ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ มูลนิธิฯ วิสาขบูชา ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๙
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เมื่อวันศุกร์ ที่ ๒๐ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ ที่ผ่านมา มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา โดย ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการ และ คณะวิทยากรของมูลนิธิฯ ได้จัดให้มีการสนทนาธรรม เนื่องในโอกาสวันวิสาขบูชา เช่นทุกๆ ปีที่ผ่านมา
สำหรับวันวิสาขบูชาในปีนี้ สังเกตเห็นว่า มีท่านผู้ใหม่มากหน้าหลายตาให้ความสนใจเข้าร่วมฟังการสนทนาธรรมตลอดทั้งเช้าและบ่าย และที่น่าอนุโมทนาคือ มีเยาวชนคนหนุ่มสาว เข้าร่วมฟังมากขึ้น
ขออนุโมทนาท่านเจ้าภาพและผู้จัดดอกไม้บูชาพระบรมสารีริกธาตุ เจ้าภาพอาหารคาวหวาน น้ำดื่ม ผลไม้ และทุกๆ ท่านที่มีส่วนร่วมในการเจริญกุศลในครั้งนี้ ครับ
อันดับต่อไป ขออนุญาตนำภาพและความการสนทนาธรรมในวันนั้น มาฝากทุกๆ ท่าน เพื่อประโยชน์ในการพิจารณาเช่นเคย ครับ
อ.คำปั่น ทุกท่านที่มาศึกษาพระธรรม ก่อนการศึกษา จะได้ยินคำว่า พระพุทธเจ้า บ้าง จะได้ยินคำว่า พระธรรม บ้าง ซึ่งความจริงแล้ว ถ้าหากว่า ไม่มีการฟังพระธรรม จะไม่สามารถที่จะเข้าใจถูกเลยว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นใคร? และ ทรงตรัสรู้อะไร?
เพราะฉะนั้น วันนี้ก็เป็นโอกาสที่สำคัญที่จะได้สนทนาเพื่อความเข้าใจความจริง เพื่อเป็นพุทธศาสนิกชนหรือว่าเป็นชาวพุทธที่แท้จริง คือ ชาวพุทธที่ศึกษาพระธรรมและเข้าใจพระธรรม กราบเรียนท่านอาจารย์ในช่วงแรกครับ วันนี้ก็เป็นวันวิสาขบูชา ซึ่งก็กล่าวถึงความสำคัญของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยตรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือ เป็นวันที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบท่านอาจารย์ครับว่า สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ คือ อะไร? เพื่อประโยชน์ เพื่อความเข้าใจความจริงครับ
ท่านอาจารย์ ได้ยินคำว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า คำนี้ต้องไม่ใช่คำที่คนอื่นจะมีชื่อให้คนอื่นเรียกอย่างนี้ได้เลย เพราะฉะนั้น ก็ต้องรู้ว่า คำนี้ เป็นพระคุณนาม จากการที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมี "ทรงตรัสรู้ความจริง" ที่สำคัญก็คือว่า แม้แต่คำว่า "ความจริง" ก็ไม่รู้ว่า ความจริงของอะไร? ถ้าไม่รู้อย่างนี้ ก็ไม่รู้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้อะไร?
เพราะฉะนั้น ชาวพุทธที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ รู้จักพระคุณของพระองค์ ที่ทรงบำเพ็ญพระบารมี ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อให้คนอื่น สามารถที่จะเข้าใจถูก มีความเห็นที่ถูกต้อง รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ นี่เป็นสิ่งที่ละเลยไม่ได้เลย ว่าขณะนี้ มีสิ่งที่มีจริงๆ และพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ที่ทรงบำเพ็ญพระบารมี เพื่อให้คนที่ได้ฟัง "คำ" ของพระองค์ สามารถที่จะมีความเห็นถูก มีความเข้าใจถูก รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้
เพราะฉะนั้น ก็ไม่พ้นจากแต่ละขณะในชีวิตประจำวันจริงๆ ทุกขณะที่ได้ฟังพระธรรม ก็เริ่มเข้าใจถูกต้องว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระมหากรุณาให้คนอื่นได้ "เข้าใจความจริง ของสิ่งที่มีจริง ที่กำลังปรากฏ" ที่เน้นเรื่องนี้ ก็เพราะเหตุว่า ตั้งแต่เกิดมา ก็มีสิ่งที่ปรากฏจริงๆ ทั้งนั้น แต่ก็ผ่านไป หมดไป โดยที่ว่า ไม่มีใครรู้เลยว่า สิ่งนั้นๆ ที่มีแล้วไม่มี จะกลับมาอีกไม่ได้เลย
นี่เป็นสิ่งที่ กว่าจะรู้ความจริงอย่างนี้ จนกระทั่ง ละคลายการยึดว่า มี มีคนจริงๆ มีต้นไม้จริงๆ มีดอกไม้จริงๆ มีเก้าอี้จริงๆ นั่นคือ ก่อนได้ฟังพระธรรม แต่ถ้าได้ฟังพระธรรมแล้ว จะรู้ว่า เพราะไม่รู้ ที่ยึดถือสิ่งหนึ่งสิ่งใดว่าเป็นสิ่งนั้นแน่นอน ทำให้เกิดความยินดีติดข้อง ในทุกสิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ ใน "ความเป็นเรา" เพราะเหตุว่า "เรา" เกิดมา "เป็นเรา" แล้วก็ "เราเห็น", "เราได้ยิน", "เราคิด", "เราชอบ", "เราไม่ชอบ"
แต่ทั้งหมด เป็นธรรมะ "ชั่วคราว" ซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้น ไม่มีใครสามารถที่จะไปเปลี่ยนแปลงให้เป็นอย่างอื่นได้ เวลาที่ "โกรธ" เกิดขึ้น ต้องมีปัจจัย ที่ทำให้เกิดเป็นเช่นนั้น เป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย แล้วก็หมดไปแล้วด้วย แล้วก็ไม่กลับมาอีกด้วย นี่คือ ความเป็นไปของสังสารวัฏฏ์ ที่จะต้องมี "สิ่งหนึ่งสิ่งใด" เกิดขึ้น ปรากฏ และ เพราะความไม่รู้ ก็มีความติดข้อง แล้วก็มีการกระทำกรรมต่างๆ ทั้งดี ทั้งชั่ว ซึ่งทำให้แต่ละคนซึ่งเกิดมา ซึ่งเป็นผลของกรรม ก็หลากหลายกันไป เพราะมีจิตซึ่งเป็นธาตุรู้หรือสภาพรู้ เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้
เดี๋ยวนี้เลย คือ กำลังเห็นนี่แหละ เกิดแล้ว!! ได้ยิน เกิดแล้ว นี่คือ ความเป็นไปในสังสารวัฏฏ์ ซึ่งจะไม่ขาดเลย เกิดเมื่อไหร่ ก็ เห็น, ได้ยิน, ได้กลิ่น, ลิ้มรส, รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส, คิดนึก, หลับ แล้วก็ ตื่น แล้วก็ หลับ แล้วก็ ตื่น แล้วก็หลับ แล้วก็ตื่น ไปเรื่อยๆ ในสังสารวัฏฏ์ โดยแต่ละขณะ แต่ละสิ่ง ซึ่งปรากฏว่ามีเดี๋ยวนี้ ไม่กลับมาอีกเลย ไม่สามารถจะมีอย่างนี้อีกได้
เพราะฉะนั้น เป็นคนนี้ เพียงในชาตินี้ และจะเป็นคนนี้ได้มากหรือน้อย ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ ว่าจะมีอายุอีกนานเท่าไหร่ และจะเห็นอะไรบ้าง ระหว่างที่ยังอยู่ในโลกนี้ เห็นแล้ว ก็ รักบ้าง ชังบ้าง เดือดร้อนใจบ้าง หรือ ทำดี ทำชั่ว บ้าง ก็ชั่วขณะที่เป็นบุคคลนี้ ในชาตินี้ แล้วก็จากโลกนี้ไป เป็นบุคคลอื่น ทันที!!! ไม่ได้กลับมาเป็นบุคคลนี้อีกได้เลย
เพราะฉะนั้น ระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ ขณะที่ประเสริฐที่สุด คือ ขณะที่ได้ฟัง แล้วเข้าใจ "คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า" เพื่อละความไม่รู้ และ ความติดข้อง ไม่ใช่เพื่อต้องการสิ่งหนึ่ง สิ่งใด เลย เพราะเหตุว่า เพราะต้องการ ก็ทำให้ไม่รู้ความจริงว่า สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ จากไม่มี ก็เกิดมี แล้วก็หามีไม่ คือ ไม่มีอีกต่อไปเลย
อ.คำปั่น กราบท่านอาจารย์ครับ ฟังดูเหมือนกับว่า เป็นธรรมดาว่า สิ่งที่มีจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้นั้นก็คือ สิ่งที่มีจริงๆ ในชีวิตประจำวัน แต่ว่า เป็นสิ่งที่ ยากที่จะเข้าใจถูก ตรงตามความเป็นจริง ก็จะกราบเรียนท่านอาจารย์ต่อเนื่องว่า แม้ว่าสภาพธรรมะจะมีจริง สิ่งที่มีจริงๆ นั้น จะมีจริง ในชีวิตประจำวัน แต่ว่า เป็นสิ่งที่ยากที่จะรู้ตามความเป็นจริงครับท่านอาจารย์ครับ
ท่านอาจารย์ แล้วรู้ได้ไหม? ไม่มีใครสามารถทำให้สิ่งซึ่ง ละเอียด ลึกซึ้ง เพราะเหตุว่า เกิดดับ สืบต่อ เร็ว จนไม่ปรากฏการเกิดดับ มาให้ปรากฏการเกิดการดับได้ โดยการกระทำอย่างหนึ่ง อย่างใด แต่ต้องอบรมความเห็นถูก ความเข้าใจถูก มั่นคง ว่า สิ่งที่มีจริงๆ เกิด แล้วก็ ดับ
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม จากไม่มี ก็มีชั่วคราว แสนสั้นมาก แล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก ถ้ารู้อย่างนี้จริงๆ ก็เริ่มเข้าใจคำว่า "ธรรมะ" เข้าใจคำว่า "อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา" รู้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ที่ทรงตรัสรู้ความจริง ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็เป็นจริงอย่างนั้น แต่ปัญญา ยังไม่ถึงระดับขั้น ที่สามารถที่จะประจักษ์แจ้ง ว่า คำที่ได้ตรัสไว้ สามารถที่จะรู้จริงได้
เพราะฉะนั้น อีกนานเท่าไหร่? ใครรู้? ก็ต้องเป็นผู้ฟังรู้ได้ด้วยตัวเอง แม้แค่ "เห็น" เดี๋ยวนี้ เมื่อเช้านี้ ลืมหรือเปล่า? เป็นเพียง "สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้" ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ คิดดู จะมีปัญญา พอที่จะละความติดข้อง ว่าสิ่งนั้นเที่ยง เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มั่นคง หรือไม่? เพราะเหตุว่า ถ้ายังไม่เป็นอย่างนี้ ดับกิเลสอะไรไม่ได้เลยทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้น ชีวิตที่วุ่นวาย มีปัญหาต่างๆ ทั้งหมด มาจากธรรมะฝ่ายไม่ดี ซึ่งเป็นอกุศลธรรม ซึ่งใครก็ดับไม่ได้ ถ้าไม่รู้ คือ ไม่สามารถจะรู้ได้ด้วยตัวเอง แต่อาศัย "การฟัง" ค่อยๆ รู้ ค่อยๆ เข้าใจความจริงขึ้น!! ด้วยเหตุนี้ แต่ละครั้งที่มีการรู้ความจริง แม้เพียงเล็กน้อย ว่าเดี๋ยวนี้ มีสิ่งที่มีจริง แค่นี้...ระลึกถึงพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว
อ.คำปั่น ครับท่านอาจารย์ครับ ก็เป็นการตั้งต้นจริงๆ ก็คือ ตั้งต้นในคำว่า ธรรมะ คือ สิ่งที่มีจริงๆ ก่อนการศึกษาพระธรรม ได้ยินคำว่าธรรมะเหมือนกัน แต่ว่าจะไม่สามารถเข้าใจอย่างถูกต้อง ตรงตามความเป็นจริง ก็จะเข้าใจเพียงผิวเผินว่า ธรรมะคือสิ่งที่เป็นฝ่ายดีที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง แต่พอได้เริ่มฟังเริ่มศึกษา ก็พอที่จะเข้าใจไปตามลำดับว่า สิ่งที่มีจริงนั้น ไม่มีเพียงสภาพธรรมะฝ่ายดีเท่านั้น ยังมีมากกว่านั้น นี่คือการตั้งต้น ที่จะค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ ศึกษา ความเข้าใจความจริง
เมื่อสักครู่ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึง ความเดือดร้อน ความวุ่นวายทั้งหมด มาจากสภาพธรรมะที่ไม่ดี การที่ได้มีโอกาสได้ฟังพระธรรม ค่อยๆ เข้าใจในสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวัน จะเป็นไปเพื่อขัดเกลาความไม่ดีอย่างไรครับท่านอาจารย์ครับ
ท่านอาจารย์ สภาพธรรมะ มีปัจจัยเกิดแล้วดับ , ไม่รู้!! ดีหรือเปล่า? เริ่มไม่ดี ตั้งแต่ไม่รู้ เมื่อไม่รู้ ก็มีความติดข้อง แสวงหา ได้มาในทางสุจริต หรือในทางทุจริต ดีไหม? แล้วก็ไม่มี!!! ไม่ใช่ว่าได้มาแล้วยังเป็นของเรา ยังอยู่กับเราตลอดไป แค่มีปรากฏแต่ละทาง "ทางตา" อย่างหนึ่ง ทางหู "เสียง" ปรากฏ สิ่งที่ปรากฏทางตาไม่มี ขณะที่สิ่งที่ปรากฏทางตามี เสียงไม่มี นี่คือความจริงธรรมดาอย่างนี้ เป็นสิ่งซึ่ง เห็นความเป็นปกติ และรู้ว่า ความเข้าใจที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้น
เพราะฉะนั้น จะพึ่งอะไร? ไม่ใช่พึ่งอย่างอื่นเลย พึ่งความเห็นถูกต้อง ซึ่งรู้ว่า เพียงขั้นฟังเท่านี้ ความรู้น้อยมาก เมื่อเทียบกับ การที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมะ ซึ่งเกิดดับอยู่ในขณะนี้ ถ้าไม่รู้อย่างนี้ ก็ไม่มีทางออกจากสังสารวัฏฏ์ ยังเหมือนเดิม!!! ที่ไม่รู้!!
แต่ว่า ถ้าค่อยๆ รู้ขึ้น ค่อยๆ รู้ขึ้น ค่อยๆ เข้าใจขึ้น จิตที่หนาแน่นไปด้วยความไม่รู้และความติดข้อง และกิเลสอีกมากมาย ก็จะค่อยๆ ละคลาย แต่ไม่ใช่เร็ว เพราะฉะนั้น จะไม่มีคำถามว่า ทำอย่างไร? ถึงจะรู้การเกิดดับของสภาพธรรมะ ในขณะนี้ หรือว่า จะฟังอย่างไร? คำว่า "อย่างไร" ไม่มี เพราะเหตุว่า "อย่างไร" คือ "ความเป็นเรา"
แต่ถ้าฟังแล้ว ค่อยๆ น้อมไป ค่อยๆ เข้าใจ จะเห็นว่า "ความเข้าใจ" ค่อยๆ เกิดขึ้น น้อยแค่ไหน แค่รู้ว่า ขณะนี้ เป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ แค่นี้ ถ้าไม่ได้ฟังมาก่อน ก็ไปนั่งคิดถึง อริยสัจสี่ เป็นต้น แต่ว่า ตามความเป็นจริง ไม่ว่าอะไรทั้งหมด ต้องมีจริงในขณะนี้ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แสดงความจริงของสิ่งที่มี
อ.คำปั่น พอได้ฟังอย่างนี้ ก็พอที่จะเข้าใจว่า ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมเลย จะไม่สามารถเข้าใจได้ว่า พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อะไร ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ จะนั่งอยู่เฉยๆ แล้วจะบอกว่าเป็นทางที่จะเข้าใจธรรมะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นไปไม่ได้เลย เพราะว่า ปัญญาจะเจริญขึ้น ก็ต้องมาจากการได้ฟังคำจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง
มีข้อความที่ทรงแสดงไว้ใน ทุติยสุริยูปมสูตร ก็ทรงแสดงไว้ชัดเจนมากว่า ก่อนการอุบัติขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โลกมืดสนิท เปรียบเหมือนกับพระจันทร์และพระอาทิตย์ยังไม่เกิดขึ้น แสงสว่างก็ไม่มี ต่อเมื่อใดก็ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นในโลก แสงสว่างก็ปรากฏ คือ มีการทรงแสดงคำจริงที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ ซึ่งก็จะเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ พุทธบริษัทที่มีโอกาสได้ฟัง ได้ศึกษา มีปัญญา เข้าใจถูก เห็นถูก ในธรรมะตามความเป็นจริง
เพราะฉะนั้น ผู้ที่เป็นพุทธบริษัทจริงๆ ต้องได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพราะเหตุว่า พระธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด ลึกซึ้ง ยากที่จะเข้าใจ หนทางเดียวที่จะเข้าใจธรรมะตามความเป็นจริงได้ คือ ฟังพระธรรมด้วยความเคารพ และไม่ประมาทในแต่ละคำที่ได้ยินได้ฟังครับท่านอาจารย์ครับ
ท่านอาจารย์ ฟังธรรมะมากี่ปีแล้ว? บางที พบผู้ที่มาฟังใหม่ๆ ก็ไม่ทราบว่า ฟังมานานเท่าไหร่? บางคนก็เพิ่งฟัง บางคนก็ฟังหลายเดือนแล้ว บางคนก็หลายปี สิบปี ยี่สิบปี สามสิบปี สี่สิบปี ห้าสิบปี ไม่มีความหมายอะไรเลย เพราะเหตุว่า ไม่ใช่เอาวัน เดือน ปี มาวัด แต่ว่า ถ้าได้สะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ที่มั่นคง ฟัง แล้วก็รู้ความจริงว่า พระธรรมที่ทรงแสดง พูดถึงสิ่งที่มี
เพราะฉะนั้น ผู้นั้นสามารถที่จะรู้ตัวเองได้ว่า มีปัญญาแค่ไหน? แค่ฟังแล้วก็รู้ว่า ขณะนี้พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ เป็นปรกติในชีวิตประจำวัน แค่นี้ เห็นความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และรู้ด้วยตัวเอง รู้แค่ไหน? น้อยหรือมาก? ปรกติ เดี๋ยวนี้ อย่างนี้ ธรรมดาทุกอย่าง
เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นความจริงว่า ตราบใดที่ยังไม่สามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ก็ไม่มีการที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ได้ทรงตรัสรู้ความจริง ซึ่งได้ทรงแสดงความจริง ให้ผู้อื่นสามารถเข้าใจถูก ทีละเล็ก ทีละน้อย ทีละเล็ก ทีละน้อย ถ้าได้สะสมมามาก อย่างแสนกัป อย่างท่านพระสารีบุตร ก็สามารถที่จะเข้าใจทันที เมื่อพูดถึงสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ลักษณะของสิ่งที่มีจริงเกิดขึ้น เป็นธาตุ เป็นธรรมะ ไม่ใช่ใครเลย ลักษณะนั้นจะเป็นใครได้อย่างไร?
เพราะว่า "เห็น" เกิดขึ้นเห็น "เห็น" คือ อะไร? "เห็น" ก็คือ กำลังรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ ว่าสิ่งที่กำลังปรากฏ เป็นอย่างนี้ ไม่ต้องอธิบายอะไรเลย จะมีดอกไม้ จะมีโต๊ะ จะมีนาฬิกา จะมีอะไรก็ตามแต่ แต่มี "สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น" เพื่อที่จะละความยึดถือสภาพธรรมะว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง
เพราะฉะนั้น การฟังธรรมะโดยความไม่ประมาท ก็ทำให้เป็นผู้ที่ อยู่ในหนทางที่จะทำให้รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง ไม่ออกไปนอกทาง ที่จะไปทำอย่างอื่น ซึ่งคิดว่าหนทางนั้นจะทำให้รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย
หนทางเดียวที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และ พระคุณ ก็คือว่า เดี๋ยวนี้ ให้เข้าใจถูกต้องว่า มีความจริงซึ่งไม่รู้ ทั้งหมดเลย "เห็น" เกิดดับ ก็ไม่รู้ "ได้ยิน" เกิดดับ ก็ไม่รู้ "คิด" เกิดดับ ก็ไม่รู้ "ความจำ" ซึ่งกำลังจำ สิ่งที่มีจริง ก็ไม่ใช่ตัวตน เป็นธรรมะแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง จริงๆ
เพราะฉะนั้น การที่จะค่อยๆ ละ ความไม่รู้ ก็คือว่า ฟังพระธรรม ที่ทรงแสดงไว้ ๔๕ พรรษา ลองคิดดู พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญพระบารมี ตรัสรู้เพื่อแสดงพระธรรม ให้ผู้ที่ได้ยิน ได้ฟัง สามารถที่จะเข้าใจถูกได้ เพราะฉะนั้น ภิกขุ คือ ผู้ควรที่จะได้ฟังพระธรรม คือ ผู้ที่เห็นภัยในสังสารวัฏฏ์ และเห็นประโยชน์ของการที่จะรู้ความจริง ซึ่งมีมาตั้งนานแสนนาน ถึงเดี๋ยวนี้ก็มี แต่ก็ยังไม่รู้สักที แต่รู้แน่ ถ้าละ ความต้องการ แล้วก็ฟังพระธรรมด้วยความเคารพ ว่า แต่ละคำ พูดถึงสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ในขณะนี้
เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ใช่คำที่ทำให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ คำนั้น ไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า!!!
เข้าใจแค่ไหน? เห็นไหม? ฟังไปแล้วรู้เลย ไม่ใช่เรื่องที่เรากระวน กระวาย อยากจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ทั้งๆ ที่ไม่รู้อะไรเลย ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย อย่างนี้ ก็ไม่รู้ แล้วก็จะไปพยายามทำอย่างอื่น ไม่ใช่หนทางแน่นอน เพราะหนทาง คือ "ปัญญา" ซึ่ง "ไม่ใช่เรา" แต่เป็นความเข้าใจถูก ในขณะที่ฟัง แล้วก็สามารถที่จะรู้ว่า สิ่งที่จริงนี้แหละ เป็นสิ่งที่ตราบใดที่ยังไม่รู้ ก็ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้าที่ ๔๕๗
ทุติยสุริยูปมสูตร
(ว่าด้วย พระตถาคตอุบัติความสว่างย่อมปรากฏ)
[๑๗๒๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระจันทร์และพระอาทิตย์ยังไม่เกิดขึ้นในโลกเพียงใด ความปรากฏแห่งแสงสว่างแจ่มจ้าอย่างมาก ก็ยังไม่มีเพียงนั้น เวลานั้นมีแต่ความมืดมิด มีแต่ความมัวเป็นหมอก กลางคืนกลางวันไม่ปรากฏ เดือนหนึ่งและกึ่งเดือนก็ไม่ปรากฏ ฤดูและปีก็ไม่ปรากฏ
เมื่อใด พระจันทร์และพระอาทิตย์เกิดขึ้นในโลก เมื่อนั้น ความปรากฏแห่งแสงสว่างแจ่มจ้าอย่างมากก็ย่อมมี เวลานั้น ไม่มีความมืดมิด ไม่มีความมัวเป็นหมอก กลางคืนกลางวันปรากฏ เดือนหนึ่งและกึ่งเดือนก็ปรากฏ ฤดูและปีก็ปรากฏ ฉันใด ฉันนั้นเหมือนกัน
ภิกษุทั้งหลาย พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังไม่อุบัติขึ้นในโลกเพียงใด ความปรากฏแห่งแสงสว่างแจ่มแจ้งอย่างมาก ก็ยังไม่มีเพียงนั้น เวลานั้น มีแต่ความมืดมิด มีแต่ความมัวเป็นหมอก การบอก การแสดง การบัญญัติ การแต่งตั้ง การเปิดเผย การจำแนก การกระทำให้ง่าย ซึ่งอริยสัจจ์ ๔ ก็ยังไม่มี
เมื่อใด พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลก เมื่อนั้น ความปรากฏแห่งแสงสว่างแจ่มแจ้งอย่างมาก ก็ย่อมมี เวลานั้น ไม่มีความมืดมิด ไม่มีความมัวเป็นหมอก การบอก การแสดง การกระทำให้ง่าย ซึ่งอริยสัจจ์ ๔ ก็ย่อมมี อริยสัจจ์ ๔ เป็นไฉน คือ ทุกขอริยสัจจ์ ฯลฯ ทุขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจจ์
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงกระทำความเพียร เพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา.
จบทุติยสุริยูปมสูตรที่ ๘.
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
กราบเท้าบูชาคุณ
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะ
ของคุณวันชัย ภู่งาม เป็นอย่างยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง
กราบอนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณวันชัย ภู่งาม และทุกๆ ท่านเป็นอย่างยิ่งค่ะ