ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๕๕
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๕๕
~ การฟังพระธรรมก็ไม่ต้องเร่งรีบ ไม่ต้องรีบๆ จบ แต่ว่าพระธรรมศึกษาเท่าไรก็ไม่จบ ตลอดชีวิต ทุกชาติๆ
~ บางท่านแม้มีโลภะ มีโทสะ มีโมหะ ก็ยังอยากจะมีต่อไป บางท่านแม้รู้ตัวเองว่ายังมี แต่ก็ต้องการที่จะดับ ถึงยังดับไม่ได้ แต่ก็ศึกษาและปฏิบัติเพื่อให้ถึงการดับได้ ท่านเหล่านี้จะศึกษาธรรมอย่างเป็นประโยชน์จริงๆ เพราะว่าจะเป็นผู้ที่พิจารณาธรรมที่ตน และก็เห็นอกุศลธรรมตามความเป็นจริง แล้วก็มีความเพียรที่จะขัดเกลาให้เบาบางด้วยการอบรมเจริญปัญญาที่สามารถจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้
~ การพูดมีหลายอย่างจริงๆ ตามอัธยาศัยที่สะสมมา เพราะฉะนั้น เพียงเสียงกระทบหู แล้วก็มีการได้ยินเรื่องราวต่างๆ ย่อมนำความเดือดร้อนใจมาให้มากน้อย ตามแต่การที่แต่ละท่านจะพิจารณาในแต่ละวัน ซึ่งถ้าขาดการพิจารณา จะไม่ทราบเลยว่าจิตหวั่นไหวไปทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจอย่างรวดเร็วตลอดเวลา แต่ว่าถ้าเป็นผู้ที่เข้าใจสภาพธรรมมากขึ้น การพูดก็จะพูดในสิ่งที่เป็นประโยชน์มากขึ้น และพูดในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์น้อยลง
~ ถ้าเป็นผู้ที่มีความเห็นถูกแล้ว แม้คนอื่นมีความเห็นผิด ก็รู้ว่าการที่คนอื่นมีความเห็นผิดอย่างนั้นๆ ก็เป็นไปตามอัธยาศัยที่สะสมมา ไม่จำเป็นที่ต้องไปว่ากล่าว
~ แต่ละคนก็สะสมมาที่จะมีอัธยาศัยต่างๆ กัน ก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคลจริงๆ ความเห็นผิดเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง เป็นปรมัตถธรรม (สิ่งที่มีจริงไม่เปลี่ยนลักษณะ) เป็นอกุศลเจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดกับจิต ที่ไม่ดี) เพราะฉะนั้น ก็มีปัจจัยที่จะเกิด ตราบใดที่ยังไม่ได้ดับเป็นสมุจเฉท (ถอนขึ้นอย่างเด็ดขาด) แม้พระผู้มีพระภาคจะทรงแสดงพระธรรมโดยละเอียดด้วยประการต่างๆ แต่ว่าคนที่สะสมมาที่จะเข้าใจผิด เห็นผิด ปฏิบัติผิด ก็ย่อมจะต้องเข้าใจผิด เห็นผิด และปฏิบัติผิด ตามการสะสมของบุคคลนั้นๆ
~ ถ้าเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ก็เป็นผู้ที่อบรมข้อประพฤติปฏิบัติที่จะเป็นผู้สงบ เพราะฉะนั้นขึ้นอยู่กับว่าเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย ตามพระธรรมวินัยหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย ก็เป็นโมฆบุรุษ (ผู้ว่างเปล่าจากคุณความดี) แม้ในครั้งที่พระผู้มีพระภาคยังไม่ปรินิพพาน พระภิกษุที่ไม่ได้ประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย ตามพระธรรมวินัย พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกว่า โมฆบุรุษ
~ เมื่อเกิดมาด้วยความไม่รู้ และก็ตายไปด้วยความไม่รู้ ก็เกิดอีกด้วยความไม่รู้ และก็ตายไปด้วยความไม่รู้ จะหมดความไม่รู้ได้ก็ต่อเมื่อความรู้ค่อยๆ เกิดขึ้น เช่น เวลาที่ไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่รู้เรื่องของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่พอฟังแล้วก็เริ่มรู้ ขณะใดที่รู้ ขณะนั้นก็ละความไม่รู้ทีละเล็กทีละน้อย จนกว่าความรู้เรื่องของสภาพธรรมทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจจะเพิ่มขึ้น
~ กิจของปัญญา คือ ละความไม่รู้ สำหรับกิจของอวิชชา คือ ทั้งๆ ที่เห็น ตั้งแต่เกิดจนตายก็ไม่รู้ความจริงของเห็น เป็นเราเห็น และสิ่งที่ปรากฏก็เป็นสัตว์บุคคลที่ไม่ใช่อนัตตาเลยสักอย่างเดียว
~ ในขณะที่กำลังรู้จักอกุศลของคนอื่น ต้องไม่ลืมที่จะพิจารณาจิตด้วยว่า ขณะนั้นเกิดเมตตา หรือว่าเกิดอกุศล ในขณะที่เห็นอกุศลของคนอื่น ถ้าจะเป็นผู้ที่ขาดทุนก็คือว่า เมื่อเห็นอกุศลของคนอื่นแล้วตนเองเกิดอกุศล แต่ถ้าจะเป็นผู้ที่ได้ประโยชน์ ก็คือ เมื่อเห็นอกุศลของคนอื่นแล้ว เกิดเมตตา เพราะเหตุว่าแม้ตนเองก็มีอกุศลอย่างนั้นเหมือนกัน
~ สภาพธรรมทั้งหลายเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย คำใดที่ตรัสแล้วไม่เปลี่ยน ได้ยินต้องเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เห็นต้องเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย คิดนึกต้องเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย สติต้องเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย สุขต้องเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ทุกข์ต้องเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่จะเกิดตามความพอใจได้ แต่ว่าทุกอย่างเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยเฉพาะของสภาพธรรมนั้นๆ
~ การฟังพระธรรมจะต้องพิจารณาถึงจุดประสงค์ และก็เป็นผู้ที่ตรง เป็นผู้ที่มั่นคงในเหตุผลจริงๆ เพื่อการประพฤติปฏิบัติจะได้ไม่คลาดเคลื่อน และไม่คล้อยตามในสิ่งที่ไม่เป็นเหตุและเป็นผล เพราะเหตุว่าถ้าไม่พิจารณา ไม่เป็นผู้ที่มั่นคงในเหตุผลจริงๆ การเชื่อในมงคลตื่นข่าวต่างๆ ที่ไม่ใช่เหตุผล ก็เป็นทางที่จะทำให้ค่อยๆ ไกลออกไปจากข้อปฏิบัติที่ถูกต้องทีละเล็กทีละน้อย ในที่สุดก็ไม่สามารถที่จะพิจารณาได้ว่า ข้อปฏิบัติใดเป็นข้อปฏิบัติที่ถูก ที่จะทำให้ปัญญาเจริญ และข้อปฏิบัติใดเป็นข้อปฏิบัติที่ไม่ทำให้ปัญญาเจริญ
~ ถ้าไม่มีหิริ (ความละอายต่อบาป) โอตตัปปะ (ความเกรงกลัวต่อบาป) จะฟังพระธรรมไหม? ทำไมถึงฟัง ฟังเพื่อที่ต้องการจะเข้าใจธรรม คือ สิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ ซึ่งไม่มีโอกาสจะรู้ได้ถ้าไม่ฟังพระธรรม ในขณะที่เห็นอันตรายของความไม่รู้ ต้องการที่จะพ้นจากความไม่รู้ ต้องการเจริญความรู้ขึ้น ในขณะนั้นต้องมีหิริโอตตัปปะที่เห็นภัย แล้วก็เห็นโทษ แล้วก็กลัว ละอายอกุศล คือ ความไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ
~ การที่ปัญญาจะเจริญ นี้ จะเห็นได้ว่าไม่ใช่ง่ายเลย แม้ว่าจะเป็นผู้ที่มีศรัทธา เป็นผู้ที่สอบถามข้อสงสัยเพื่อความเข้าใจชัดเจนขึ้น เป็นผู้ที่พิจารณาผลจากการฟังพระธรรมของตนเอง เป็นผู้ที่สำรวมระวัง และก็เป็นผู้ที่มีปกติเห็นภัยในโทษแม้มีประมาณน้อย ก็ยังต้องเป็นผู้ที่ต้องอาศัยการฟังต่อไปอีก
~ ในเมื่อยังมีกิเลสด้วยกันทั้งนั้น ก็ไม่ควรที่จะคิดถึงแต่เพียงกิเลสของคนอื่น ในขณะนั้น ก็จะต้องคิดถึงกิเลสของตนเองด้วย
~ การฟังพระธรรมไม่มีวันจบ การศึกษาพระธรรมก็ไม่มีวันจบ กิจที่จะกระทำก็ไม่มีวันจบสิ้น จนกว่าจะถึงความเป็นพระอรหันต์ เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องซึ่งทุกท่านจะต้องเจริญกุศลเป็นบารมีต่อไปเรื่อยๆ
~ ทุกคนก็ต้องเดินทางชีวิตต่อไปอีกยาวนานในสังสารวัฏฏ์ จนกว่าจะอบรมเจริญปัญญาถึงขั้นที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นพระอริยบุคคล และชีวิตข้างหน้าก็จะสุขทุกข์อย่างไร ก็ย่อมเป็นไปตามกรรม ซึ่งถ้าทุกคนมีความมั่นใจจริงๆ และมีความเข้าใจจริงๆ ในเรื่องของกรรม ก็ย่อมจะเป็นผู้ที่ไม่ประมาทในการเจริญกุศล
~ ผู้ใดหนักด้วยมิจฉาทิฏฐิ (ความเห็นผิด) ยึดมั่นในความเห็น แม้ไม่ตรงกับพระธรรมที่ได้ทรงแสดงไว้ และไม่ตรงกับสภาพธรรมตามความเป็นจริง แต่ว่าก็ไม่ทิ้งหรือว่าทิ้งไม่ได้ นั่นก็แสดงว่าความเห็นผิดหนักมากทีเดียว ซึ่งถ้าไม่ถ่ายถอน ก็ไม่มีโอกาสที่จะเห็นถูก หรือว่าไม่มีโอกาสที่จะรู้แจ้ง รู้จริงในสภาพธรรมตามที่ปรากฏและตามที่ได้ทรงแสดงไว้
~ ถ้าบุคคลใดไม่มีความเห็นถูก การปฏิบัติก็ไม่ถูก การรู้แจ้งธรรมก็ถูกไม่ได้ เพราะฉะนั้น ความเห็นถูกเป็นเบื้องต้นทีเดียว เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้ท่านสามารถประพฤติปฏิบัติต่อไปจนกระทั่งได้รู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง
~ ถ้าบุคคลที่ท่านเลื่อมใสนั้น ถ้าเป็นผู้ที่เห็นผิด แล้วท่านก็ยึดมั่นติดในบุคคลนั้น จะทำให้ท่านขาดการฟังสัทธรรม
~ ถ้าเป็นผู้ที่ติดในบุคคลอย่างหนาแน่นทีเดียว ถึงแม้ว่าบุคคลนั้นพูดผิด กล่าวผิด ก็เชื่อว่าถูก นี่ก็เป็นโทษอย่างยิ่ง
~ เรื่องทาน ถ้าท่านมีวัตถุที่จะสละได้ ท่านก็สละให้ไป เป็นประโยชน์แก่บุคคลอื่น เป็นครั้งเป็นคราว แต่กายวาจาของท่านเคยคึกคะนอง หรือว่าเคยเป็นไปในลักษณะที่เป็นไปด้วยกิเลสแรงกล้าอย่างใด ถึงขั้นทุจริตกรรม หรือ อกุศลกรรม ถ้าเป็นผู้ที่ไม่ใส่ใจ ไม่สนใจในการที่จะละกิเลส ขัดเกลากิเลส ท่านก็จะไม่ระมัดระวังในกาย วาจาของท่าน
~ ผู้ตระหนี่คือผู้ที่ไม่ยินดีในการให้ แล้วก็เสียดายในการที่จะบริจาคสิ่งที่ตนมีอยู่ให้เป็นประโยชน์สุขแก่คนอื่น เมื่อไม่เป็นผู้ที่บริจาคไม่มีการเสียสละเพื่อประโยชน์สุขของบุคคลอื่น เวลาที่ใครพูดเรื่องนี้ ก็จะปลาบปลื้มใจไม่ได้ เพราะเหตุว่าตนเองไม่ได้บริจาค
~ จะมีคฤหัสถ์คนไหนใจร้ายที่จะใส่เงิน (ถวายเงินให้พระภิกษุ) เพื่อเป็นทางไปสู่อบายภูมิแน่นอนหลังจากที่ (พระภิกษุ) ท่านสิ้นชีวิตไปแล้ว
~ บวชคืออะไร? บวชคือการสละชีวิตของคฤหัสถ์ (ซึ่งชีวิตของคฤหัสถ์) เต็มไปด้วยกิจธุระการงาน ทรัพย์สินเงินทองธุรกิจ เรื่องเพลิดเพลินต่างๆ
~ บวช หมายถึง การสละชีวิตคฤหัสถ์สู่เพศบรรพชิตซึ่งสูงกว่าเพศคฤหัสถ์ราวฟ้ากับดิน นี้เป็นเหตุที่คฤหัสถ์กราบไหว้ผู้ที่บวช เพราะเหตุนี้ไม่ใช่เพราะเหตุอื่น ไม่ใช่เพราะชวนกันไปบวชหรือว่าบวชให้เต็มจำนวนแต่เพราะเหตุว่าอัธยาศัยอย่างนี้ใครมีบ้าง มิใช่ทุกคนเพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่มีอัธยาศัยที่จะขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิตแล้วเห็นผู้ที่มีอัธยาศัยสะสมมาอย่างนั้น จึงกราบไหว้ แสดงความเคารพในคุณความดีที่สะสมมาที่สามารถสละเพศคฤหัสถ์สู่เพศบรรพชิตได้
~ คฤหัสถ์รับเงินและทอง พระภิกษุรับเงินและทอง แล้วจะแตกต่างกันอย่างไร?
~ พระภิกษุ ถ้าไม่ประพฤติตามพระธรรมวินัย ว่ายากแน่นอน
~ ฟังพระธรรมให้เข้าใจ เพื่อจะได้ไม่ไปทำอย่างอื่นที่ไม่ทำให้เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ
~ เริ่มต้นที่การฟังพระธรรมให้เข้าใจ
~ ฟังพระธรรม เพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ตามความเป็นจริง
~ พระธรรมที่ได้ฟังในแต่ละคำ มากจากพระมหากรุณาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๕๔
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...