ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๖๘

 
khampan.a
วันที่  9 ต.ค. 2559
หมายเลข  28271
อ่าน  2,301

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๖๘

~ พระพุทธเจ้า เป็นพุทธรัตนะ พระธรรมที่จะนำไปสู่การรู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นธรรมรัตนะ สังฆรัตนะคือพระอริยบุคคลสังฆรัตนะ เป็นหมู่ของบุคคลผู้ขัดเกลากิเลสรู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอริยบุคคล นอกจากนั้นไม่ใช่สังฆรัตนะ

~ จุดประสงค์ของการบวช ถ้าเป็นผู้ที่ตรง คือ ได้ฟังพระธรรม และเห็นประโยชน์ของการที่จะละเพศคฤหัสถ์สู่เพศบรรพชิตมุ่งตรงต่อการที่จะขัด เกลากิเลส บุคคลผู้นั้น ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ทั้งกับตนเองและผู้อื่น

~ ถ้ามีบุคคลหนึ่งซึ่งเข้าใจว่าตนเองเป็นพระภิกษุ แล้วกล่าวว่า รับเงินรับทองไม่ผิดศีล ผู้นั้นเป็นภิกษุหรือเปล่า?

~ ต่อไปนี้จะให้เงินพระภิกษุไหม? ด้วยความจริงใจที่จะดำรงรักษาพระพุทธศาสนา จะทำอย่างไร จะให้หรือไม่ให้? และเมื่อมีความห่วงใยพระพุทธศาสนาจริงๆ หนทางเดียว คือ ทุกคนศึกษาธรรมให้เข้าใจ และเผยแพร่คำสอนที่ถูกต้อง ให้ทุกคนได้เข้าใจทั่วกัน

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงรับเงินรับทองหรือเปล่า? แล้วพระองค์ทรงมีพระชนม์ได้อย่างไร พระภิกษุซึ่งบวชตามพระธรรมวินัย รับเงินรับทองหรือเปล่า? ท่านพระสารีบุตร ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ท่านพระอัสสชิ ท่านพระปุณณมันตานีบุตร พระภิกษุทั้งหลายในครั้งพุทธกาล รับเงินรับทองหรือเปล่า แล้วท่านอยู่ได้อย่างไร? อยู่ด้วยคุณความดี

~ เข้าใจผิด ไม่มีประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น

~ ถ้ามีการกระทำอย่างใดเหมือนกับคฤหัสถ์ นั่น ไม่ใช่พระภิกษุ

~ ธุระของคฤหัสถ์ ไม่ใช่ธุระของบรรพชิต ต้องไม่ลืมว่าพระภิกษุเป็นใคร? ไม่ใช่คฤหัสถ์ และที่กล่าวว่าเป็นเพศที่สูงยิ่งก็เพราะเหตุว่าได้รับอนุญาตจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ เพื่ออะไร? เพื่อที่จะได้ศึกษาพระธรรมที่พระองค์ได้ทรงแสดงไว้และก็จะต้องประพฤติปฏิบัติตามพระวินัยด้วย

~ สำหรับพระภิกษุที่พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติพระวินัยไว้โดยครบถ้วนนั้น ทำกิจของคฤหัสถ์ไม่ได้เลย กิจของคฤหัสถ์กับกิจของบรรพชิตแยกกัน คฤหัสถ์ก็มีกิจที่จะทำ กิจกรรมธุระการงานต่างๆ ตามเพศของคฤหัสถ์ แต่บรรพชิตจะทำอย่างคฤหัสถ์ไม่ได้ ซื้อขายอะไรไม่ได้เลย

~ พุทธบริษัทมีความจำเป็นที่จะต้องศึกษาพระวินัยตามสมควร เพื่อที่จะเข้าใจได้ว่า พระภิกษุรูปใดเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย จึงเป็นภิกษุ และภิกษุรูปใดประพฤติผิดข้อใด ถ้าถึงขั้นอาบัติปาราชิก ก็ไม่มีความเป็นภิกษุต่อไป

~ บวชเพื่อขัดเกลากิเลส และประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย แต่ถ้าไม่เป็นอย่างนี้ การเป็นพระภิกษุ จะมีประโยชน์อะไร?

~ ทั้งๆ ที่คฤหัสถ์ไม่ใช่บรรพชิต ก็ยังต้องศึกษาพระวินัย เพื่อที่จะได้ทำสิ่งที่ไม่เป็นโทษต่อพระภิกษุ แม้แต่การที่จะถวายสิ่งหนึ่งสิ่งใด จะเห็นได้ว่า คฤหัสถ์ที่ไม่รู้ว่าเงินทองเป็นโทษอย่างยิ่งแก่พระภิกษุ ก็กลับเอาเงินทองนั้นไปให้พระภิกษุ พระภิกษุสละแล้ว เอา (เงิน) ไปให้ได้อย่างไร และพระภิกษุ เขาให้ (เงิน) แล้ว รับได้อย่างไร ก็ต้องไม่รับ ไม่ใช่กล่าวว่า ไม่ผิดศีล

~ กิเลสเต็มบ้านเต็มเมือง เพราะไม่รู้ความจริง

~ ถ้าไม่เข้าใจทีละเล็กทีละน้อย ความเข้าใจจะมากได้อย่างไร และถ้าไม่ฟังพระธรรมบ่อยๆ จะเข้าใจได้แค่ไหน? เพราะฉะนั้น แต่ละนาทีของชีวิตมีค่าที่สุดเมื่อได้เข้าใจธรรม

~ เห็นประโยชน์ของการเป็นผู้ได้เคยสะสมบุญไว้แต่ปางก่อน ทำให้แต่ละคนมีโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรมฟังแล้วก็ค่อยๆ เข้าใจความลึกซึ้งขึ้น ต้องรู้ว่าเข้าใจความลึกซึ้งของธรรมขึ้น ไม่ใช่ไปทำให้ง่าย และจากการที่ได้เข้าใจวันนี้ ประโยชน์ก็คือต่อไปในวันข้างหน้ายังมีวันหน้าอีกมาก ในแต่ละชาติจะมีโอกาสได้ฟังไหม ถ้ามีโอกาสได้ฟัง ที่เคยได้ฟังแล้วก็สามารถที่จะทำให้มีความเข้าใจ

~ เรื่องของการขัดเกลากิเลสนี้เป็นเรื่องละเอียดจริงๆ ถ้าศึกษาพระวินัยปิฎก จะเห็นได้ว่า ขัดเกลาทั้งกาย ทั้งวาจา ซึ่งเป็นการอบรมจิตด้วย และจิตนี้สะสมกิเลสไว้มากเหลือเกิน ถ้าไม่ศึกษาพระวินัยบัญญัติ ก็จะไม่เห็นจริงๆ ว่า กายอย่างนั้น วาจาอย่างนั้นเกิดขึ้นเพราะกิเลสจริงๆ การที่จะดับกิเลสได้จริงๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย แล้วก็เป็นเรื่องที่ต้องอบรมทุกประการ

~ ลองพิจารณาในชีวิตประจำวันจริงๆ ของท่าน มีเรื่องใหญ่โตที่เกิดขึ้นเพราะเรื่องเล็กน้อย หรือจากคำพูด ๒ – ๓ คำ บ้างไหม? ถ้าเว้นเสีย เรื่องใหญ่นั้นก็ไม่เกิด ใช่ไหม? เพราะฉะนั้น ผู้ที่เล็งเห็นประโยชน์จริงๆ และผู้ที่มุ่งขัดเกลากิเลส คือ ผู้ที่จะชนะตนเอง ก็เป็นผู้ที่เพียรที่จะละเว้นการพูดสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ คำที่ไม่มีประโยชน์

~ กุศลธรรมทั้งหมด ชื่อว่า สิกขา เพราะควรแก่การศึกษา ควรแก่การปฏิบัติ เพื่อที่จะได้ขัดเกลากิเลสยิ่งขึ้น

~ ความเข้าใจถูก ก็ดับความเข้าใจผิดซึ่งเป็นเหตุของกิเลสทั้งหลาย ซึ่งเกิดเพราะความไม่รู้

~ พุทธบริษัท ต้องเป็นผู้เข้าใจธรรม, ทั้งหมดที่เป็นพฤติกรรมที่มองเห็นที่ไม่ตรงตามพระธรรมวินัย เพราะพุทธบริษัทไม่เข้าใจพระธรรม

~ กล้าที่จะทำผิด กิเลสแน่นอน กล้าที่จะผิดต่อไป ก็เป็นกิเลส แต่ถ้ารู้ว่า สิ่งใดเป็นสิ่งที่ถูกแล้ว กล้าที่จะทำสิ่งที่ถูกต้อง นั่นก็เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง


~ คฤหัสถ์สงเคราะห์คฤหัสถ์ ได้ คฤหัสถ์สงเคราะห์พระภิกษุ ได้ พระภิกษุต่างกับคฤหัสถ์ เพราะเหตุว่า พระภิกษุทำอย่างอื่นไม่ได้เลย ทำอย่างที่คฤหัสถ์ทำ ไม่ได้เลย เพศต่างกันแล้วชัดเจน เพราะฉะนั้น พระภิกษุมีกิจของพระภิกษุเพียง ๒ อย่าง ซึ่งเป็นกิจที่จะสงเคราะห์อุปการะคฤหัสถ์อย่างมาก คือ ศึกษาธรรม แล้วประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย

~ บวชนาน ก็ผิดนาน เพราะเริ่มจากความไม่รู้

~ สิ่งใดก็ตามที่ผิด ก็แก้ไขให้ถูกได้ ที่เคยผิดก็ต้องแก้ไข ถ้าไม่แก้ไข แล้วจะเป็นผู้ที่เคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างไร?

~ ในครั้งพุทธกาล ไม่มีเถรสมาคม แม้ว่ามีพระเถระมากมาย เพราะเหตุว่า พระธรรมวินัย เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องประพฤติปฏิบัติตาม ไม่ใช่ว่าจะต้องมีผู้ที่จะไปสั่งหรือไปบอกว่า ให้ประพฤติอย่างนั้น ให้ประพฤติอย่างนี้ แต่ว่าทุกรูปไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ต้องประพฤติตามพระธรรมวินัย ไม่ว่าจะเป็นเถระหรือไม่ใช่เถระ เมื่อเป็นพระภิกษุแล้วจะต้องประพฤติตามพระธรรมวินัย เพราะฉะนั้น จึงไม่มีใครกล้าที่จะเปลี่ยนสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติแล้ว ยิ่งเป็นเถระ ยิ่งต้องเคารพในพระธรรมวินัย เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นพระเถระ ที่เพียงแค่บวชนาน หรือ บวชเมื่อแก่ แต่ไม่มีคุณธรรมเลย ไม่ใช่เถระ

~ ถ้าใครก็ตาม ไม่สามารถที่จะประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย แล้วบวช หลอกลวง และ เมื่อบวชแล้ว ไม่ศึกษาธรรมด้วย ก็หลอกลวง เพราะฉะนั้น ตลอดชีวิตที่เป็นบรรพชิต เป็นพระภิกษุหลอกลวงตลอด เพราะฉะนั้น ผู้นั้น ไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัย

~ สิ่งที่ประเสริฐที่สุด คือ ความเข้าใจธรรม

~ ไม่ใช่บอกใครให้มาฟัง ไม่ใช่บอกใครให้มาเชื่อ ไม่ใช่บอกใครให้มาเป็นสาวก แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริง ให้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง

~ พูดสิ่งที่มีจริง ที่ถูกต้อง ให้เขาได้พิจารณาได้ไตร่ตรอง และถ้าสิ่งใดเป็นโทษ ก็ต้องรู้ว่าเป็นโทษ แล้วติเตียน ว่า ทำไม่ได้ ไม่ควรทำ แล้วก็โพนทะนา คือ ประกาศให้รู้โดยทั่วกัน

~ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ที่ไม่หลอกลวงใคร เพราะเป็นคำจริง

~ อกุศลใด ที่จะทำให้คนไปเกิดในสวรรค์? ไม่มี

~ ถ้าไม่เป็นไปตามพระธรรมวินัย ชื่อว่า ไม่เคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


~ ใคร มีปัญญา ใคร ฟังพระธรรมเข้าใจ ผู้นั้น เป็นชาวพุทธ.

ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๖๗

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
j.jim
วันที่ 9 ต.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
thilda
วันที่ 9 ต.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ปาริชาตะ
วันที่ 9 ต.ค. 2559

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
จิรัฎฐ์
วันที่ 9 ต.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
worrasak
วันที่ 9 ต.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 9 ต.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Srisuda77
วันที่ 10 ต.ค. 2559

เป็นหัวข้อที่น่าสนใจ ขออนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
peem
วันที่ 10 ต.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
jaturong
วันที่ 10 ต.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
kukeart
วันที่ 10 ต.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
rrebs10576
วันที่ 11 ต.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
Boonyavee
วันที่ 11 ต.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 11 ต.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
สิริพรรณ
วันที่ 14 ต.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
chatchai.k
วันที่ 12 เม.ย. 2564

ขออนุโมทนาครับ 

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ