สนทนาธรรมที่เวียดนามครั้งที่ 9 (1) โฮจิมินห์ซิตี้ ฮอยอัน เวียดนาม
สนทนาธรรมที่เวียดนามครั้งที่ ๙ ณ โฮจิมินห์ซิตี้ ฮอยอัน เวียดนาม ๓๐ ม.ค. – ๑๕ ก.พ. ๒๕๖๐
ไม่น่าเชื่อเลยว่า ได้ติดตามท่านอาจารย์มาสนทนาธรรมที่เวียดนามตั้งแต่ปี ๒๕๕๕ จนถึงบัดนี้จะเป็นครั้งที่ ๙ แล้ว จนหมดมุขจะตั้งชื่อเรื่อง เลยตั้งตามจำนวนครั้งก็แล้วกัน เพราะเลข ๙ เป็นเลขมงคลอย่างยิ่งในปีนี้ ไปที่ไหนๆ ในเมืองไทยก็จะเห็นสัญลักษณ์เลข ๙ อยู่ทั่วไป เป็นเลขที่ทำให้ระลึกถึงในหลวงรัชกาลที่ ๙ ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ เป็นโชคดีที่ได้เกิดมาในรัชสมัยของท่าน ได้ทันเห็นพระเจ้าอยู่หัวผู้ทรงทศพิธราชธรรม ผู้ทรงเสียสละความสุขส่วนพระองค์ทรงงานหนักเพื่อความอยู่ดีกินดีของราษฎรทุกคน ประเทศนี้ถ้าไม่มีในหลวงรัชกาลที่ ๙ ก็คงไม่เจริญก้าวหน้าอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ นึกถึงพระองค์ครั้งใดก็เต็มตื้นเหมือนจะร้องไห้ ไม่เข้าใจความรู้สึกของตนเองเหมือนกันว่าเป็นอะไร เป็นกุศลหรืออกุศลอย่างไร แต่ที่แน่ๆ ก็คือ ภูมิใจที่ได้ทันเห็นพระองค์และเสียใจที่ทรงจากไปแล้ว และเมื่อได้ทรงจากไปก็เป็นตัวอย่างให้ระลึกถึงคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ทุกสรรพสิ่งเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน บังคับบัญชาไม่ได้ เมื่อถึงเวลาที่จุติจิตเกิดทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ก็ไม่มีใครสามารถยับยั้งได้ แม้จะทรงเป็นที่รักของประชาชนมากสักเพียงใดก็ตาม จะมีคนร้องไห้คร่ำครวญให้ทรงกลับมาอย่างไรก็ตาม จะทรงเป็นพระมหากษัตริย์ยิ่งใหญ่อย่างไรก็ตาม ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงให้จุติจิตที่เกิดแล้วไม่ให้เกิดได้ ประชาชนธรรมดาๆ อย่างเราก็ต้องเป็นอย่างนั้นเช่นกัน ไม่เว้นใครเลยสักคนเดียว ทุกคนมีกรรมเป็นของๆ ตน เป็นผู้รับผลของกรรม ใครทำกรรมใดไว้ไม่ว่าดีหรือชั่วต้องได้รับของกรรมนั้น พระองค์ยังทรงเป็นแบบอย่างของผู้เกิดมาแล้วทำแต่กรรมดี จนประจักษ์แก่สายตาชาวโลกให้ระลึกถึงความดีนั้นไม่เสื่อมคลาย ข้าพระพุทธเจ้าขอกราบแทบพระยุคลบาทด้วยความเคารพอย่างยิ่ง
คณะที่เดินทางมาเวียดนามครั้งนี้ ๑๒ ท่าน เป็นชาวไทย ๙ ต่างชาติ ๓ ออกเดินทางจากดอนเมืองตอน ๑๖.๐๐ น. มาถึงไซ่ง่อน ๑๗.๔๕ น. ช้ากว่ากำหนด เพราะการจราจรทางการบินหนาแน่นที่ดอนเมือง มาถึงสนามบินไซ่ง่อนลูกหลานเวียดนามที่รู้จักคุ้นเคยกันดีมาคอยมอบดอกไม้ให้ท่านอาจารย์เหมือนเดิม แล้วนั่งรถบัสออกจากสนามบินที่ประดับไฟสวยงาม จนจำไม่ได้คิดว่าสร้างใหม่ ลูกหลานบอกว่า ไม่ได้สร้างใหม่แต่ตบแต่งด้วยแสงไฟเนื่องในเทศกาลตรุษจีน เห็นความจริงหรือยังว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาใหม่เสมอ เพราะรูปเกิดดับตลอดเวลา จึงไม่มีรูปเก่ากลับมาเกิดให้เห็นซ้ำกันเลย เห็นก็ดับเช่นเดียวกัน เหลือแต่ความจำที่จำเพื่อลืมอีกเหมือนกัน
ระหว่างเดินทางระยะสั้นๆ นักร้องโอเปร่าสาวที่เคยพบกันหลายครั้งที่ญาจาง ร้องเพลง Happy New Year เป็นภาษาเวียดนามและอังกฤษอย่างไพเราะต้อนรับท่านอาจารย์และคณะ เมื่อเข้าพักที่โรงแรมเฟิร์สท์ ที่เคยพักเมื่อปีที่แล้ว ลูกหลานก็บอกว่า มีลูกศิษย์ท่านอาจารย์เชิญไปรับประทานอาหารเย็น คิดว่าจะพาไปที่ร้านอาหาร แต่พาพวกเราขึ้นแท๊กซี่ไปหาบ้านที่เป็นตึก 4 ชั้น ชั้นแรกขายของชำ ขึ้นลิฟท์ไปชั้น 2 ซึ่งเป็นห้องรับแขก เตรียมอาหารรับรองพวกเรา 5 คนเต็มที่ เพราะหลายท่านไม่รับประทานอาหารเย็น รวมทั้งท่านอาจารย์ ที่ Mr. Tung เจ้าของบ้านตั้งใจโชว์ฝีมือทำอาหาร แต่พวกเราก็ฉลองศรัทธาเต็มที่แทนท่านอาจารย์และคณะที่เหลือ
วันแรกที่ไซ่ง่อน (ชื่อเก่าของโฮจิมินห์ซิตี้) ในตอนเช้าว่าง สนทนาธรรมตอนบ่ายสามถึงห้าโมงเย็น คุณตั้มบัคบอกว่า ช่วงนี้เป็นวันหยุดตรุษจีน ร้านค้าและสถานที่ราชการต่างๆ ปิด ถนนจึงโล่ง การจราจรไม่ติดขัด ช่วงเช้าที่ว่างจึงพากันนั่งรถแท๊กซี่ 2 คัน ไปเที่ยวชมถนนดอกไม้ที่ย่านกลางเมือง เขาจัดแสดงสำหรับเทศกาลตรุษจีนเท่านั้น
และวันนี้เป็นวันสุดท้าย ชาวเวียดนามจึงแต่งชุดอ๋าวใหญ่สีเหลืองสีแดงมาเที่ยวชมมากมาย มีสัญลักษณ์ปีระกา ไก่ ตบแต่งทั่วไป แต่เราก็ไม่ได้ดูดอกไม้หลากสีหลายชนิดที่นำมาจัดอย่างวิจิตรบรรจงมากนัก เพราะมัวแต่เดินหาคณะท่านอาจารย์ที่มาถึงก่อน มองหาแต่คนที่มาด้วยกัน จนไม่ได้ชมความสวยงามของดอกไม้ที่บรรจงจัดแต่ง ความจริงจิตเห็นเกิดขึ้นเห็นเท่านั้น ไม่ได้รู้ว่าเห็นดอกไม้หรือเห็นคน แต่ความคิดหลังเห็นทำให้รู้ว่าเป็นคนหรือดอกไม้ และความติดข้องทำให้มองหาแต่คนรู้จัก จนลืมมองดอกไม้
กลับมารับประทานอาหารกลางวันที่โรงแรม ระหว่างนั้นคุณตั้มบัครายงานความก้าวหน้าของการเผยแพร่พระธรรมให้ท่านอาจารย์ฟังว่า มีสนทนาธรรมที่ไซ่ง่อนเดือนละครั้ง โดยจัดที่บ้านของสหายธรรมผู้มีศรัทธา เช่น นักร้องโอเปร่า (ลืมชื่อ) มร. บิ่น ที่ใช้บ้านเป็นที่เก็บหนังสือธรรม โดยมี มร.ตุง คนทำอาหารอร่อยที่เลี้ยงเราเมื่อคืนเป็นผู้จัดการ ส่วนวันอื่นๆ ก็สนทนาธรรมออนไลน์ มีผู้สนใจมากพอสมควร คนที่เคยมาฟังบางคนก็เปลี่ยนไปสนใจลัทธิอื่นๆ ที่ไม่มีเหตุผล จนแปลกใจว่า เคยมาศึกษาคำสอนที่เต็มไปด้วยเหตุผล พิสูจน์ได้แล้วทำไมถึงเปลี่ยนไปได้ถึงอย่างนั้น แต่ก็แปลกใจชั่วนิดเดียว แล้วก็นึกขึ้นได้ว่า ขึ้นกับการสะสม แม้ในครั้งพุทธกาล สหายของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีที่มาฟังธรรมที่พระวิหารเชตวัน แต่เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จไปที่อื่น ไม่ได้ประทับที่พระวิหารเชตวันก็ยังไปนับถืออัญญเดียรถีย์อื่น
หลังอาหารกลางวันแล้วพักผ่อนเตรียมสนทนาธรรมตอนบ่ายสามที่ห้องประชุมในโรงแรมอีกเหมือนกัน ดีที่อยู่ที่เดียวกัน ไม่ต้องเดินทางให้เหนื่อย วันแรกมีคนมาฟังเต็มห้องประชุม ทั้งพระภิกษุ แม่ชี คนเก่าๆ ที่เคยพบกันที่ญาจาง ดาลัท ฮานอย และคนใหม่ๆ ที่ไม่เคยรู้จัก แต่ทั้งหมดก็คือผู้สะสมความเห็นถูกที่จะฟังความจริงที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้
ตั้งใจไว้ว่า จะแปลภาษาอังกฤษเป็นไทยทันทีแล้วถ่ายทอดสด เพราะพอเข้าใจบ้าง มีผู้สามารถหลายคนแนะนำและสอนวิธีใช้โปรแกรมที่สามารถทำได้หลายโปรแกรม ทั้งคุณป๊อป พรชัย คุณเอ็ม วรศักดิ์ แต่ด้วยวัยที่สูงขึ้น สมองคงฝ่อไปหลายส่วนแล้วจึงทำได้ทีละอย่าง จะแปลก็แปล ไม่สามารถใช้โปรแกรมที่สอนให้ป้าได้ เดิมใช้วิธีพิมพ์ไปในขณะฟังแล้วนำมาเขียนเพิ่มเติมภายหลัง แต่ทำอย่างนั้นขาดเนื้อหาไปมาก คิดว่าแปลแล้วบันทึกเป็นไฟล์เสียงไว้ก็ทำไม่ได้อีก คงต้องประมาณกำลังความสามารถของตนเองว่า ไม่อึดเหมือนสมัยก่อนที่สามารถใช้เวลาทั้งคืนเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
นี่แหละอนัตตา เห็นไหมว่า บังคับบัญชาให้เป็นไปตามความต้องการไม่ได้เลย แม้สิ่งนั้นจะเป็นประโยชน์และมีผู้สนับสนุนมากมาย เมื่อคืนคุณยุพินกับคุณมารศรี ทีมงานถ่ายทอดสดฝ่ายไทย ก็พยายามหาทางให้แปลสดถ่ายทอดให้ผู้สนใจฟัง แต่ก็ยังทำไม่ได้ ได้แค่ไหนก็ต้องแค่นั้น จะเป็นอย่างอื่นได้อย่างไร ก็เกิดขึ้นเป็นไปอย่างนั้นแล้ว ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วให้เป็นอย่างอื่นได้ เพราะไม่มีเรา หรือมีใครทำอะไรได้เลย นี่คือความจริงที่ต้องเข้าใจเพิ่มขึ้นๆ
ขอเชิญคลิกชมตอนต่อๆ ไปได้ที่นี่ ...
สนทนาธรรมที่เวียดนามครั้งที่ 9 (2)
กราบอนุโมทนาขอบพระคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
อนุโมทนาขอบคุณท่านวิทยากรและสมาชิกชาวเวียตนามผู้สนใจพระธรรมทุกท่าน
อนุโมทนาขอบคุณมากค่ะคุณแดงที่นำเรื่องราวมาถ่ายทำให้ได้ติดตามท่านอาจารย์ไปได้ทุกที่
ขออนุโมทนาค่ะ อ่านสำนวน kanchana.c เมื่อไรก็ชื่นชอบค่ะ
กราบอนุโมทนา
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพอย่างยิ่ง
ขอบคุณและอนุโมทนาพี่แดง กาญจนา และอาจารย์สงบ เชื้อทอง ที่เก็บภาพและเขียนบรรยายเหตุการณ์ต่างๆ จะคอยติดตามตอนต่อไปค่ะ...
อนุโมทนาคุณวันชัย ภู่งาม ด้วยค่ะ
ขอขอบพระคุณพี่แดงค่ะ ที่กรุณาเล่าถ่ายทอดเรื่องราวการเดินทาง พร้อมแทรกความเข้าใจทางธรรมด้วยค่ะ