สนทนาธรรมที่เวียดนามครั้งที่ 9 (2) อย่าจำเพียงชื่อและเรื่องราว
อย่าจำเพียงชื่อและเรื่องราว
มาสนทนาธรรมครั้งนี้เริ่มที่ไซ่ง่อน ซึ่งมาหลายครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 จนผู้จัดหาสถานที่พาไปพักผ่อนครึ่งการสนทนาไม่ได้แล้ว เพราะได้พาไปท่องเที่ยวระยะสั้นใน 1 วันหมดแล้ว เช่น สามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง ไปมาแล้ว 3 ครั้ง เที่ยวชมเมือง ล่องแม่น้ำไซ่ง่อนตอนกลางคืนเพื่อทานอาหารเย็นและชมแสงสีริมแม่น้ำ กู๋จี ฐานทัพที่เป็นอุโมงค์ใต้ดินของเวียดกงในครั้งสงครามเวียดนาม ที่ได้ฆ่าทหารอเมริกันมากมายโดยชาวบ้านที่ร่วมมือร่วมใจกัน อาจจะมีสถานที่อื่นอีก แต่ต้องใช้เวลาเดินทางมากเลยไม่ได้จัดให้ หรือเพราะเวียดนามใต้ไม่มีสถานที่ให้เที่ยวชมมากเหมือนเวียดนามเหนือ
หรือผู้จัดเริ่มเข้าใจธรรมมากขึ้น เห็นประโยชน์ของการเข้าใจธรรมมากขึ้น จึงไม่อยากเสียเวลาที่มีค่าให้ผ่านไปเที่ยวดูเที่ยวชมสิ่งที่เพียงปรากฏทางตาให้ติดข้องมากขึ้น หรือเห็นว่าท่านอาจารย์อายุ 90 แล้วควรจะได้ฟังธรรมศึกษาธรรมจากท่านที่ศึกษาและเข้าใจแล้วให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เราก็เช่นเดียวกัน ไม่ใช่ติดตามท่านอาจารย์เพื่อจะมาเที่ยวเล่น แต่ควรตั้งใจฟังธรรมด้วยดี ด้วยการพิจารณาสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ อย่าให้ขณะที่มีค่าผ่านไปด้วยความไม่รู้ เหมือนอย่างที่เคยผ่านมาเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์และกำลังจะผ่านไป หมดไป ไม่กลับมาอีกเลย
ทั้งหมดนั้นเป็นเพียง "ความคิด" ที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย "คิด" เป็นสภาพธรรมที่มีจริง บังคับบัญชาไม่ได้ จะให้คิดเป็นกุศลอย่างเดียวก็ไม่ได้ หรือไม่ให้คิดเป็นอกุศลก็ไม่ได้ "คิด" เกิดขึ้นเป็นอย่างไรก็ปรากฏเป็นอย่างนั้นแล้ว จึงเปลี่ยนแปลงความคิดไม่ได้ บางคน "ห้ามไม่ให้คิด" อย่างนั้นอย่างนี้ ตอนห้ามยังไม่ได้คิด แต่เมื่อคิดเกิดแล้วก็ผ่านไปแล้ว หมดไปแล้ว จะห้ามได้อย่างไร นอกจากรู้ความจริงว่า "คิด" ก็ "เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง" ที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยมากมาย เกิดแล้วก็ดับไป ไม่กลับมาอีก แต่สะสมอยู่ในจิตทำให้คิดทำนองนั้นเกิดขึ้นได้อีก แม้จะไม่ใช่ความคิดเดิม "คิด" เพียง "ทำกิจคิด" เป็นกุศลอกุศลซึ่งเป็นเหตุให้เกิดผลข้างหน้า ส่วนเรื่องที่คิดนั้นไม่จริงแท้ ไม่ใช่ปรมัตถธรรม แต่จริงโดยสมมติบัญญัติที่เกิดขึ้นจากนิมิตของขันธ์ทั้ง 5 ที่เกิดดับสืบต่อจนปรากฏเป็นเครื่องหมายให้รู้
คิดไปเขียนไป อาจจะถูกบ้าง ผิดบ้าง ยอมรับว่ายังไม่เข้าใจปริยัติโดยทั่ว บางอย่างก็เข้าใจชัดเจน ซึ่งมีน้อยมาก บางอย่างก็ยังมัวๆ บางอย่างซึ่งเป็นส่วนใหญ่ยังมืดสนิท ท่านผู้รู้ช่วยกรุณาแก้ไขที่ผิดให้ถูกด้วย จะเป็นพระคุณยิ่ง
กว่าจะเข้าเรื่องการสนทนาธรรมก็มีธรรมหน้าม่านเสียนาน การสนทนาธรรม 2 วันที่ผ่านมา พระภิกษุถามเรื่องรูปว่า อะไรทำให้เกิดปุริสภาวรูปและอิตถีภาวรูป คำตอบสั้นๆ ก็คือกรรม แต่วิทยากรก็กรุณาอธิบายเรื่องรูปทั้ง 28 อย่างละเอียด
และอีกวันพระภิกษุอีกรูปถามถึงอาเสวนปัจจัยและปัจจัยอื่นๆ ถามเรื่องชวนจิตขณะที่ 1 ถึง 7 จนผู้ฟังท่านหนึ่งถามว่า ทำไมยิ่งฟังก็ยิ่งสับสน แทนที่ยิ่งฟังจะแจ่มแจ้งขึ้น ไม่ใช่แต่เฉพาะท่านนั้น ดิฉันเองก็เช่นกัน ท่านอาจารย์ก็เลยต้องอธิบายว่า ไม่ใช่รู้เพียงชื่อในหนังสือแล้วจะเข้าใจได้ แต่ต้องเริ่มต้นเข้าใจตั้งแต่สิ่งที่สามารถรู้ได้ คือ ธรรมคืออะไร
ธรรมคือสิ่งที่มีจริง เช่น เห็น ได้ยิน คิดนึก เป็นต้น ถ้าไม่เข้าใจธรรมที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ ก็ไม่สามารถเข้าใจปัจจัยและอื่นๆ ได้ เพราะขณะที่ผ่านไปแล้วก็ดับหมดแล้ว ไม่สามารถรู้สิ่งที่ผ่านไปแล้วได้ สิ่งที่ยังไม่มาถึงก็ยังไม่ปรากฏ ก็ไม่สามารถรู้ได้เช่นกัน ชีวิตคือขณะเดี๋ยวนี้ที่กำลังปรากฏ ซึ่งไม่พ้นไปจากเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก กว่าจะรู้เท่านี้ก็ต้องฟังและพิจารณาอย่างละเอียดซ้ำแล้วซ้ำอีก ความเข้าใจเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ท่านอาจารย์ปรารภภายหลังว่า ถ้าศึกษาธรรมผิดก็จะจำชื่อและเรื่องราวมาพูดกัน โดยไม่รู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้
กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์ที่คอยเตือนให้รู้ความจริงที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงอยู่บ่อยๆ เนืองๆ โดยไม่ท้อถอยเบื่อหน่าย เพราะรู้ว่า แต่ละคนอยู่ในโลกมืดมาแสนนาน
ขอเชิญติดตามตอนอื่นๆ ได้ที่นี่ ...
สนทนาธรรมที่เวียดนามครั้งที่ 9 (1)
กราบนอบน้อมพระรัตนตรัยด้วยเศียรเกล้า
กราบบูชาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขณะใดได้ฟังพระธรรม ได้อ่านข้อความพระธรรมที่ตรงตามที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเป็นการสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกเพิ่มขึ้น มีคุณค่าอย่างยิ่งค่ะ
กราบอนุโมทนาขอบพระคุณพี่แดงในกุศลจิตธรรมทานด้วยนะคะ