ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๙๐
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๙๐
~ ภิกษุไม่ใช่คฤหัสถ์ เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ทั้งหมดทุกประการ คฤหัสถ์มีเงินมีทอง สนุกสนานเพลิดเพลิน มีทุกสิ่งทุกอย่างได้ แต่พระภิกษุ เป็นผู้สละ ถ้าไม่สละ เป็นพระภิกษุไม่ได้
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประพฤติอย่างไร บุตรของพระองค์ต้องประพฤติอย่างนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรับเงินรับทองหรือเปล่า?
~ ถ้าพระภิกษุ ไม่ศึกษาธรรม ไม่เข้าใจพระวินัย ไม่ประพฤติปฏิบัติขัดเกลากิเลส จะช่วยคฤหัสถ์อย่างไร ช่วยสงเคราะห์แบบคฤหัสถ์ ก็ไม่ใช่บรรพชิต
~ คฤหัสถ์ มีเงินมีทอง ซื้อสิ่งของต่างๆ ได้ แต่บรรพชิตต้องมีชีวิตที่ดำเนินไป ด้วยการอาศัยที่อยู่อาศัย อาหารบิณฑบาต เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรคเพื่อที่จะรักษาชีวิตให้สามารถที่จะได้ศึกษาธรรมขัดเกลากิเลส จุดประสงค์ คือ ขัดเกลากิเลส คำนี้เอาไปทิ้งไว้ที่ไหน
~ การที่จะบวชเป็นพระภิกษุ ต้องศึกษาธรรมและประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย
~ ไม่ได้คิดอย่างพระภิกษุ ถ้าใครคิดว่าภิกษุรับเงินรับทองเพื่อช่วยสังคม เพราะคฤหัสถ์เขาทำกันอยู่แล้ว คฤหัสถ์รับเงินรับบริจาคเพื่อจะช่วยสังคมอยู่แล้ว แล้วพระภิกษุมีหน้าที่อะไรที่จะไปทำอย่างนั้น หน้าที่แยกกันตั้งแต่บวช พระภิกษุถ้าไปทำหน้าที่ของคฤหัสถ์ แล้วจะไปบวชทำไม
~ บวช เพื่อไม่ศึกษาธรรม บวชทำไม บวชเพื่อรับเงินรับทอง บวชทำไม?
~ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพื่อให้รู้จักตัวเอง ไม่ได้บังคับเชิญชวนให้ใครมาบวชเลย แต่คนที่บวชเมื่อได้ฟังธรรมแล้วต่างหากจึงบวช เพราะฉะนั้น ถ้าจะบวชเพียงเพราะอยากบวช นั่น ไม่ใช่ผู้เห็นภัยในสังสารวัฏฏ์ ไม่ใช่ศากยบุตร และไม่ใช่พระภิกษุด้วย
~ สละเพศของคฤหัสถ์ทั้งหมด เพื่อที่จะขัดเกลากิเลสอย่างยิ่ง โดยสามารถที่จะประพฤติปฏิบัติตามพระวินัยได้ จึงเป็นพระภิกษุ
~ ถ้าใครกล่าวว่า พระภิกษุรับเงินและทองได้ ผู้นั้นกล่าวตู่สัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยคำอันไม่จริง เพราะพระสัมมาสัมเจ้า ไม่ได้ทรงอนุญาตให้พระภิกษุรับเงินและทองได้แม้เพียงเล็กน้อย เพราะเป็นอาบัติ (ล่วงละเมิดพระวินัย มีโทษ)
~ ถ้าบวชแล้วไม่ทำความดี ต่อให้บวชตั้งร้อยคน พันคน ใครจะดีใจ บวชแล้วทำชั่ว บวชแล้วอาบัติ (ล่วงละเมิดพระวินัย มีโทษ) บวชแล้วไม่รู้เรื่อง บวชทำไม เพราะฉะนั้น ถ้าจะให้บุคคลอื่นได้เกิดกุศลจิต อนุโมทนา (ชื่นชมยินดีในความดีของผู้อื่น) ก็ต้องเป็นผู้ที่ประพฤติดี ทำความดี ไม่ว่าในเพศบรรพชิตหรือคฤหัสถ์
~ ผู้ที่เห็นว่า ถ้าขณะใดจิตไม่เป็นกุศล ก็ย่อมจะเป็นอกุศลแต่ละประเภทที่ละเอียดมาก บางครั้งไม่เป็นเหตุให้กระทำทางกาย ทางวาจา แต่จิตใจในขณะนั้นก็เป็นอกุศล เมื่อเห็นความละเอียดของอกุศลอย่างนี้ จึงไม่รั้งรอที่จะกระทำความดีเท่าที่สามารถจะกระทำได้ เพราะเหตุว่าแม้ว่าจะกระทำความดีสักเท่าไร ก็ยังไม่พออยู่นั่นเอง ตราบใดที่เมื่อไม่กระทำความดี จิตก็ต้องเป็นอกุศล เพราะฉะนั้น ก็ควรที่จะเจริญกุศลทุกประการ ด้วยการที่จะอบรมตนเองให้เป็นผู้ที่มีความอดทน แล้วก็คิดถึงคนอื่น แทนที่จะคิดถึงตนเองเสมอๆ ถ้าเป็นอย่างนี้ได้ ก็มีโอกาสที่กุศลจิตจะเกิดมากกว่าอกุศล
~ จะต้องระวังความเห็น ไม่ให้คล้อยไปในทางที่ผิด เพราะเหตุว่า ถ้าสะสมปัจจัยที่จะให้เกิดความเห็นผิดคลาดเคลื่อนแล้ว ถึงแม้ว่าเป็นพระธรรมที่แจ่มแจ้งชัดเจน ก็ไม่ได้เข้าใจถูกตามควรแก่เหตุผล เพราะเหตุว่าสะสมความเห็นผิดมาที่จะเห็นผิดคลาดเคลื่อน
~ เป็นความดีไหมที่เราจะช่วยกันศึกษาพระธรรมวินัยให้ถูกต้อง แล้วก็แล้วเผยแพร่ความถูกต้องให้คนอื่นได้เริ่มเข้าใจถูกต้องด้วย
~ ให้อย่างอื่นก็ยังเป็นสิ่งที่นำมาซึ่งความยินดีของได้ แต่ว่าการให้ความเข้าใจที่ถูกต้องเท่านั้นแหละ ที่จะทำให้ค่อยๆ ละคลายกิเลสได้ ซึ่งทุกคนต้องยอมรับว่ากิเลสเป็นโทษ แต่ก็มีกิเลสหลายระดับ โทษก็ต้องมีหลายระดับด้วย
~ กุศลเป็นสิ่งที่ดีงาม ก็ต้องเป็นสิ่งที่ดีงาม อกุศลเป็นสิ่งที่ไม่ดีงาม ก็ต้องไม่ดีงาม ความไม่รู้ ความเห็นผิดต่างๆ จะเป็นความเห็นถูกไม่ได้ เพราะฉะนั้น ความตรง ก็คือ สามารถที่จะฟังคำใด พิจารณาไตร่ตรองรอบคอบลึกซึ้ง และเคารพในความถูกต้องนั้น แล้วก็ช่วยให้คนอื่นได้มีความเข้าใจถูกต้องด้วย
~ มีโอกาสที่จะเข้าใจคำของบุคคลที่เลิศที่สุดไม่มีผู้ใดเปรียบได้เลย คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อมีความรู้ความเข้าใจแล้วก็มีความเป็นเพื่อนที่ใคร่จะให้คนอื่นได้เข้าใจถูกต้องด้วย เพราะว่าเกิดมาแล้วต้องจากโลกนี้ไปทุกคน ตายจากโลกนี้ไปทุกคน ช่วยให้คนที่ไม่รู้ได้รู้ด้วย ตามกำลังความสามารถที่จะทำกันได้ เพราะถึงอย่างไรก็ตาม ก็ต้องทำ ดีกว่าไม่ทำเลย จะได้มากได้น้อยแต่ประโยชน์ที่ได้จากการที่จะทำให้คนอื่นมีความเข้าใจถูกต้อง นั้น เป็นสิ่งที่ดีที่สุดของการได้เกิดมา
~ ศาสนาไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย นอกจากอยู่ที่ความเข้าใจพระธรรมวินัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้แล้ว เพราะฉะนั้น มีหนทางเดียวที่ศาสนาจะรุ่งเรืองได้ รักษา ดำรงไว้ได้ ก็ต่อเมื่อมีการศึกษาอย่างละเอียด ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง
~ เวลา เรามีสำหรับอย่างอื่นมากแล้วในชีวิต ไปเที่ยว ไปเตร่ แล้วก็ตายจากโลกนี้ไป แต่ยังไม่ได้เข้าใจเลยว่า ทั้งหมดเป็นธรรมแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดมา เพราะฉะนั้น ถ้าเห็นประโยชน์ เวลาจะมีสำหรับฟังธรรมด้วย ไม่ใช่มีเฉพาะอย่างอื่นที่เคยเป็น
~ ถ้าไม่ฟังธรรม จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไหม? ไม่เลย เพราะฉะนั้น จะรู้จักพระองค์ยิ่งขึ้นแน่นอนถ้าได้เข้าใจเพิ่มขึ้น และสามารถเข้าใจได้ ไม่ยากเกินไปเพียงแต่ว่าเป็นผู้ที่ไม่ประมาท ฟังแล้วไม่ใช่ฟังเผินเร็ว แต่ต้องพิจารณาทีละคำจนกระทั่งมั่นคงว่าไม่ใช่เรา ธรรมเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง
~ โลภะ (ความติดข้อง) เกิดเพราะไม่รู้ โทสะ (ความโกรธ) เกิดเพราะไม่รู้ กิเลสทั้งหลาย เกิด เพราะไม่รู้
~ คิดไม่ดี ทำไม่ดี พูดไม่ดี ไม่ใช่สติ (ไม่ใช่ความระลึกเป็นไปในความดี)
~ พระธรรมทั้งหมดที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ทุกข้อ ทุกเรื่อง เพื่อความเข้าใจ.
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๘๙
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...