ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๙๒
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๙๒
~ ผู้ใดก็ตามที่ได้ศึกษาพระธรรมวินัย ไม่ว่าภิกษุหรือคฤหัสถ์ เคารพใคร? เคารพพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เปลี่ยนคำที่พระองค์ตรัสไว้ได้หรือ ในเมื่อเป็นผู้ที่เคารพในพระธรรมวินัย พระผู้มีพระภาคตรัสไว้อย่างไร มีใครคิดจะแก้ จะเปลี่ยนทั้งพระธรรมและพระวินัยบ้าง ถ้าใครคิดอย่างนั้นก็หมายความว่า ไม่มีความเคารพในพระบรมศาสดา เริ่มคิด เริ่มไตร่ตรองให้ถูกต้องว่า จริงไหม ถูกต้องไหม คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปลี่ยนแปลงได้ไหม ไม่ว่าในกาลใดทั้งสิ้น
~ คฤหัสถ์ใดก็ตาม เพ่งโทษ (ชี้ให้เห็นว่า นี้เป็นโทษ) ติเตียน (ตำหนิในสิ่งที่ผิด) โพนทะนา (กระจายข่าวให้ผู้อื่นได้รู้ความจริงทั่วกัน) คฤหัสถ์นั้นทำกิจของพุทธบริษัทหรือเปล่า? เพื่อพระศาสนา แต่ไม่ใช่จะปกครองพระภิกษุ ควรที่จะเข้าใจให้ถูกต้องด้วย ทุกอย่างที่กระทำ เพื่อที่จะอนุเคราะห์ให้พระภิกษุได้เข้าใจตามความเป็นจริงว่า พระวินัย กล่าวไว้ว่าอย่างนี้ คือ ภิกษุใด รับเงินและทอง ยินดีในเงินและทอง ต้องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ เป็นโทษ
~ ภิกษุทั้งหลายก็ควรจะเป็นผู้อดทนและสงบเสงี่ยมด้วย ซึ่งไม่ใช่เฉพาะพระภิกษุเท่านั้น พุทธบริษัททั้งหมดเมื่อได้พิจารณาพระธรรม และเห็นคุณของพระธรรมทั้งหลาย ก็น้อมประพฤติปฏิบัติตามธรรมที่เป็นฝ่ายกุศล จึงจะเป็นผู้ที่ประพฤติตามพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง
~ พระภิกษุมีหน้าที่ที่ประเสริฐที่สุดยิ่งกว่าหน้าที่ของคฤหัสถ์ ก็คือ ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ และแสดงธรรมเพื่อที่จะให้คฤหัสถ์ได้มีโอกาสเข้าใจถูกต้องด้วย
~ พุทธบริษัท บริษัทผู้เคารพในพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษาพระธรรม พร้อมที่จะประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ก็จะต้องศึกษาให้เข้าใจให้ถูกต้อง มิฉะนั้น ก็ไม่ใช่ผู้ที่ได้ฟังพระธรรม และไม่ใช่ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรม
~ ยุคไหนๆ ก็ตาม คนที่จะมีศรัทธามั่นคงที่จะสละเพศคฤหัสถ์สู่เพศบรรพชิต ไม่ใช่เพราะเพียงอยากบวช แต่ต้องเป็นผู้ที่รู้อัธยาศัยของตนเอง โดยการที่เข้าใจพระธรรม และเห็นว่าสามารถที่จะดำรงเพศพระภิกษุ ก็จะต้องรู้จริงๆ ว่า สามารถที่จะสละอาคารบ้านเรือน และมีชีวิตที่จะไม่กระทำกิจของคฤหัสถ์อีกต่อไป ชีวิตความเป็นอยู่ถ้าใช้คำว่าสละแล้ว หมายความว่า ไม่มีเลย บ้านไม่มี ทรัพย์สมบัติไม่มี พี่น้องวงศาคณาญาติเพื่อนฝูงมิตรสหายซึ่งเคยสนุกสนานรื่นเริงกัน ก็ต้องละ เพราะเห็นแก่พระธรรมวินัย
~ ไม่ว่าจะเป็นอกุศลธรรมเพียงเล็กน้อยอย่างไร ก็เป็นโทษ เป็นภัย ที่ควรจะละคลายบรรเทาขัดเกลาในขณะนั้นเอง ถ้าไม่เห็นอกุศลธรรมอย่างละเอียด จะทราบไหมว่า นั่นเป็นอกุศลธรรม เมื่อไม่ทราบก็ไม่ขัดเกลา แต่เมื่อใดที่เห็นภัยของอกุศลธรรมแม้เพียงเล็กน้อยว่าเป็นโทษ ก็ย่อมมีความเห็นถูกที่จะขัดเกลาละคลายแม้อกุศลธรรมที่เพียงเล็กน้อยนั้น
~ พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงละเอียดมาก ชี้โทษและภัยของอกุศลธรรมแม้เพียงเล็กน้อยอยู่เสมอ เพื่อจะให้เห็นตามความเป็นจริงว่าในชีวิตประจำวัน แม้ว่ากิเลสใหญ่อย่างโลภะ โทสะ โมหะ ไม่เกิดขึ้นอย่างแรงกล้าเป็นปกติในชีวิตประจำวันก็จริง แต่ในชีวิตประจำวันซึ่งเต็มไปด้วยอกุศลธรรมเล็กๆ น้อยๆ ก็ควรจะให้เห็นโทษเห็นภัย แล้วควรขัดเกลาโดยที่ไม่ประมาท แล้วก็ไม่ข้ามด้วย
~ ถึงแม้ว่าคนอื่นจะโกรธ ก็ไม่ควรที่จะเอาชนะความโกรธของคนอื่นด้วยการโกรธตอบ แต่ว่าเมื่อคนอื่นโกรธ เราชนะกิเลสของตนเองโดยไม่โกรธตอบผู้ที่โกรธตน นั่นเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
~ ฉันทะ เป็นความพอใจ ซึ่งพอใจในกุศลธรรมก็ได้ หรือว่าพอใจในอกุศลธรรมก็ได้ บางคนพอใจในการที่จะมีโทสะมากๆ นั่นเป็นฉันทะในอกุศล แต่ความพอใจในการที่จะศึกษา ที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง เป็นฉันทะในกุศลธรรม เพราะฉะนั้น ฉันทะ ไม่ใช่โลภะ ไม่ใช่ความปรารถนาอยากจะได้มาเป็นของตน เพราะถ้าไม่มีฉันทะที่จะเจริญกุศล คงจะไปรื่นเริงสนุกสนานในฝ่ายอกุศลธรรม
~ ต้องเป็นผู้ที่มั่นคงในกุศลจริงๆ ถ้าท่านเป็นผู้ที่มั่นคงในกุศลแล้ว ไม่ต้องกลัวอะไร จะไม่มีโทษภัยอะไรซึ่งเกิดเพราะกุศลของท่าน แต่ถ้าท่านจะได้รับโทษภัยต่างๆ ให้ทราบว่าไม่ใช่เพราะกุศลของท่าน แต่การที่ท่านได้รับโทษภัยนั้น เพราะท่านมีอกุศลธรรมของท่านเอง
~ การสงเคราะห์ช่วยเหลือผู้ที่ควรสงเคราะห์ ดูเหมือนเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ยาก แต่ว่าในวันหนึ่งๆ ถ้าอกุศลจิตเกิด กระทำไม่ได้ บางท่านอาจจะเห็นว่า การสงเคราะห์ช่วยเหลือบุคคลอื่นเป็นสิ่งที่ดี มีความเข้าใจถูกว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่ในขณะที่ควรจะทำ (แต่กลับ) ไม่ทำ เคยเป็นอย่างนี้ไหม เพราะขณะนั้น อกุศลธรรมเกิดขึ้นครอบงำ ไม่สามารถที่จะกระทำแม้การสงเคราะห์ช่วยเหลือผู้ที่ควรสงเคราะห์ได้
~ ถ้าท่านสะสมกุศลเพิ่มขึ้น ความขยัน ในการที่จะศึกษาธรรม ฟังธรรม จะรู้สึกว่าจะเป็นไปได้โดยสะดวก ง่ายกว่าที่จะไปขยันในการหาความสนุกเพลิดเพลินในทางอกุศลทั้งหลาย เท่าที่เคยเป็นมา เพราะฉะนั้น สภาพธรรมซึ่งต่างกัน ก็แล้วแต่ว่าขณะนั้นจะเป็นกุศลธรรมหรืออกุศลธรรม สำหรับอกุศลธรรมนั้น นอกจากจะครอบงำให้หลงไปจากความจริงของสภาพนามธรรมและรูปธรรม ก็ยังเป็นสภาพธรรมที่ทำให้ตั้งจิตไว้ในทางที่ไม่ชอบ แม้แต่การคิดหรือการกระทำ ก็จะเป็นไปในทางที่ไม่ถูก ในทางที่ไม่ชอบ
~ ขณะที่อกุศลจิตเกิดนั้นไม่เบียดเบียนคนอื่น จิตของใครเป็นอกุศล อกุศลธรรมของผู้นั้นเองเบียดเบียนผู้นั้นให้เดือดร้อน
~ อบรมตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ค่อยๆ อบรมไป วันละเล็กวันละน้อย เรื่อยๆ ระลึกได้ สิ่งใดเป็นอกุศล ก็เว้นทันที ระลึกได้ว่าสิ่งใดเป็นกุศล กระทำทันที แล้วภายหลังจะง่ายมากทีเดียว
~ ถ้าเป็นผู้ที่มีศรัทธา เป็นผู้ที่เลื่อมใสในกุศล ขณะที่มีโอกาสที่จะได้ทำกุศลแม้เพียงเล็กน้อยก็เกิดปีติโสมนัสได้ ซึ่งทุกท่านก็คงจะสังเกตจากชีวิตประจำวันของตัวของท่านเอง ว่าบางครั้งดูเหมือนจะเป็นกุศลที่ไม่มาก แต่ว่าสามารถที่จะทำให้เกิดความรู้สึกปลาบปลื้มในกุศลนั้นได้
~ เพราะอะไรจึงไม่ดี? เพราะไม่ได้เข้าใจธรรมเลยไม่รู้ ว่าอะไรผิดอะไรถูก อะไรควรละ อะไรควรเจริญ
~ พระธรรมวินัยทั้งหมดยิ่งเปิดเผยยิ่งรุ่งเรือง เพราะเหตุว่า บริสุทธิ์ สะอาด ขัดเกลากิเลส เป็นความจริงทุกประการ
~ สิ่งใดที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติแล้ว ไม่มีใครเปลี่ยน
~ สิ่งใดที่ผิด คนพาลไม่รู้ว่าผิด แต่บัณฑิตรู้ว่าผิด เพราะฉะนั้น เมื่อผิด แล้วแก้ เริ่มแก้ ทุกอย่างก็จะดีขึ้น แต่ว่าถ้าผิดแล้วไม่รู้ ไม่ใส่ใจ ไม่สนใจที่จะรู้ ก็ไม่สามารถที่จะแก้ไขได้
~ ถ้าผู้ใดได้พบสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิต คือ พระรัตนตรัย แล้วสามารถที่จะแบ่งปันให้คนอื่นได้มีโอกาสได้รับสิ่งนั้นด้วย เกิดมาก็คุ้ม แล้วก็มีค่ากว่าการที่เราจะให้สิ่งอื่นสิ่งใด เพราะเหตุว่า ถ้าให้สิ่งอื่นสิ่งใด ก็เฉพาะในชาตินี้ แต่ว่าถ้าให้ความเข้าใจที่ถูกต้อง มั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลง สิ่งนั้นก็สามารถที่จะเจริญเติบโตต่อไปอีก
~ ทุกคนที่ฟังพระธรรม เป็นผู้ที่สะสมที่จะเห็นประโยชน์ว่าเกิดมาแล้ว ตายไป
แล้วระหว่างที่ยังไม่ตาย ทำอะไร?
~ มีชีวิตอยู่เถิด ไม่ใช่เพื่อเล่น ไม่ใช่เพื่อไม่รู้ ไม่ใช่เพื่อเพลิดเพลิน แต่เพื่อปัญญาปรากฏ (อบรมเจริญปัญญาเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง)
~ ถ้าไม่มีใครเข้าใจธรรมเลย ธรรมจะรุ่งเรืองไหม? ไม่เลย แล้วถ้าไม่เปิดเผย ว่า เดี๋ยวนี้เป็นธรรม จะเข้าใจได้ไหม? ไม่ได้
~ แต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็ทรงแสดงถึงสิ่งที่มีจริงๆ เพราะฉะนั้น ยิ่งเข้าใจถูก พระศาสนาจึงยิ่งรุ่งเรือง แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจ จะรุ่งเรืองได้อย่างไร
~ คนที่ไม่สนใจฟังพระธรรม มีมากมาย เกิดมาก็สนุกสนานไปวันหนึ่งๆ มีชีวิตอยู่วันหนึ่งๆ ก็พอแล้ว ไม่ได้คิดว่า พระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเป็นประโยชน์มหาศาล ไม่ใช่ประโยชน์เพียงชั่วครั้งชั่วคราว แต่เป็นประโยชน์ที่จะทำให้สามารถที่จะเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งถูกปกปิดไว้ด้วยความไม่รู้
~ ตลอดพระชนม์ชีพ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงให้ประโยชน์กับคนอื่น จากแต่ละคำ แม้ว่าเขาจะอยู่แสนไกล หรือใกล้ที่จะปรินิพพาน ก็ไม่ทรงละเว้นโอกาสที่จะให้คนอื่นได้รับสิ่งที่จะเป็น ประโยชน์แก่เขาต่อไปในสังสารวัฏฏ์.
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๙๑
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...