ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๙๕
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๙๕
~ การบวชต้องสำหรับผู้ที่ได้เข้าใจพระธรรม แล้วรู้จักตัวเองที่จะขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต มิฉะนั้นแล้ว การบวชก็เป็นบาป เพราะเหตุว่า ทำไปด้วยความไม่รู้ และก็ไม่ได้ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยที่พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ เป็นโทษอย่างยิ่ง เพราะว่าพระธรรมวินัย สำหรับผู้ขัดเกลากิเลสไม่ใช่เป็นผู้ที่ตามกิเลส พอกพูนกิเลสด้วยความไม่รู้
~ ถ้าใครจะบวชก็ต้องถามว่าทำไมบวช? ถ้าไม่ถูกต้องตั้งแต่ต้น ก็ไม่มีประโยชน์ตั้งแต่ต้น และเป็นอันตรายมาก เพราะเหตุว่าการเป็นเพศบรรพชิต คฤหัสถ์เคารพ แค่เขาเคารพ แต่ไม่มีอะไรที่ควรแก่การเคารพอันตรายไหม?
~ บวชทำไม? บวชคือขัดเกลากิเลส และด้วยความเข้าใจพระธรรม ด้วยความเป็นผู้ตรง เพราะว่าจะขัดเกลากิเลสโดยไม่บวชก็ได้ จะเป็นคนดี โดยไม่บวชก็ได้ เพราะฉะนั้น ทำไมจึงต้องบวช เพราะถ้าไม่รู้ นี่ก็ผิดแล้ว เป็นอันตรายอย่างยิ่ง
~ ไปบวชเพื่อสนุก ทำลายคำสอนของพระศาสนาไหม?
~ ไม่รู้แล้วก็ไปบวช บวชแล้วก็ไม่รู้ จนเดี๋ยวนี้ก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น ก็ไร้ประโยชน์
~ ความไม่ถูกต้อง แม้เพียงเล็กน้อย ก็นำไปสู่ความผิดต่อๆ ไปยิ่งขึ้น เพราะเหตุว่าไม่รู้จักพระพุทธศาสนา ไม่เข้าใจคุณของพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คิดว่า ใครก็ตาม ไปบวช แล้วดี แต่ไม่รู้ว่าดี คืออะไร? ถ้าคนนั้นไม่เข้าใจธรรม แล้วก็ไปบวช บวชแล้วก็ไม่รู้ บวชแล้วสึกมาก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น ตลอดเวลานั้น ประโยชน์อยู่ที่ไหนตั้งแต่เริ่มไปบวช จนระหว่างที่บวช จนออกมาแล้ว แต่ถ้าไม่บวชเลย ช่วยพ่อแม่ได้ทุกอย่าง และก็ยังมีความดีอีกหลายอย่าง เพราะฉะนั้น มีความเข้าใจผิดว่าควรจะไปบวช แต่ไม่รู้ว่าบวชคืออะไรนี่ก็ผิด ตั้งแต่ต้น
~ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ (ทรงรู้อย่างแจ่มแจ้ง) ถึงกิเลส (เครื่องเศร้าหมองของจิต) แล้วก็ทรงรู้ว่าการดับกิเลส การขัดเกลากิเลส เป็นเรื่องที่ยาก จึงทรงแสดงพระธรรมสำหรับทุกคน ที่ได้ฟัง พิจารณาเข้าใจ ความเข้าใจที่ถูกต้องจะค่อยๆ ละคลายความไม่รู้ซึ่งเป็นมูลเหตุของกิเลสทั้งหลาย
~ ไม่เคารพในความถูกต้อง จึงไม่ทำในสิ่งที่ถูกต้องไปทำในสิ่งที่ผิด ซึ่งเป็นโทษ
~ เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพาน ไม่ทรงแต่งตั้งบุคคลใดเป็นศาสดาแทนพระองค์ แล้วเราจะเชื่อตามพระองค์ไหม ว่า ทำไมไม่ทรงแต่งตั้งบุคคลใดเป็นศาสดาแทนพระองค์ ในเมื่อสมัยโน้นก็มีพระภิกษุที่เป็นพระอรหันต์มากมาย ท่านพระมหากัสสปะ ก็ยังอยู่ ท่านพระอานนท์ก็ยังอยู่ มีพระอริยบุคคลมากมาย ก็ไม่ทรงตั้งบุคคลใดเป็นศาสดาเลย เพราะว่าพระธรรมที่ได้ทรงแสดงไว้ดีแล้วนั่นแหละเป็นศาสดา ทุกยุคทุกสมัย เพราะว่าแต่ละคนก็ต้องจากโลกนี้ไปแล้วทั้งนั้น และอะไรจะเหลือถ้าแต่งตั้งเป็นบุคคล แต่คำสอนที่ได้ทรงแสดงไว้นั่นแหละจะเป็นศาสดาแทนพระองค์ ถ้าใครศึกษาคำสอนก็จะสามารถที่จะเข้าใจความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ค่อยๆ เห็นพระคุณจริงๆ ไม่ใช่เพียงแต่กราบไหว้บูชาแต่ไม่รู้พระคุณ
~ ชีวิตคนก็เปลี่ยนแปลงขึ้นลง แต่เมื่อเป็นมิตรจริงๆ ไม่ว่าคนนั้นจะเปลี่ยนแปลงอยู่ในสภาพอย่างไร เคยเป็นอย่างไร ก็เหมือนอย่างนั้น ปฏิบัติในสหายเหมือนอย่างที่เคยปฏิบัติมา ด้วยให้พ้นจากอกุศลแล้วให้ตั้งอยู่ในกุศล มิใช่ให้ตั้งอยู่โดยอย่างอื่น
~ ถ้าทราบว่าเป็นผู้ที่ยังมีโมหะ (ความหลง ความไม่รู้) มาก ที่จะต้องขัดเกลา ก็จะทำให้ไม่ละเลยการฟังพระธรรม แล้วก็ไม่ละเลยการเจริญกุศลทุกประการด้วย
~ ความอกตัญญู (ไม่รู้คุณความดีที่ผู้อื่นกระทำให้) จะบอกว่าดี ก็ต้องเป็นผู้มีความเห็นผิดแน่ๆ จะดีได้อย่างไรในเมื่อเป็นอกุศล
~ พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง เป็นเรื่องสภาพธรรมตามความเป็นจริง แล้วคนที่ฟังยังดับกิเลสไม่ได้ แต่ว่ามีโอกาสที่จะเข้าใจพระธรรมขึ้น และเมื่อมีปัญญาเพิ่มขึ้น อกุศลจะค่อยๆ ละคลายไปเอง
~ โลภะ (ความติดข้อง) ก็ต้องทำกิจของโลภะ มานะ (ความสำคัญตน) ก็ต้องทำกิจของมานะ โทสะ (ความโกรธ ความไม่พอใจ) ก็ต้องทำหน้าที่ของโทสะ เพราะว่าปัญญาไม่เกิด ต่อเมื่อใดปัญญาเกิด เมื่อนั้นเหมือนแสงสว่างที่จะทำให้เราค่อยๆ เห็นทุกอย่างตามความเป็นจริง แล้วก็จะรู้ว่าพระคุณของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงพระธรรมถึง ๔๕ พรรษา สำหรับพวกเราสมัยนี้
~ น่ากลัวอกุศลเหลือเกิน เพราะว่ามีอกุศลหลายระดับขั้น อกุศลอย่างหยาบเป็นเหตุให้เกิดกายทุจริต วจีทุจริต ทางกายมีการประหัตประหาร มีการเบียดเบียนยึดถือทรัพย์ที่เป็นของคนอื่นที่คนอื่นไม่ได้ให้ ทางวาจาก็มีกิเลสขั้นหยาบที่ทำให้พูดสิ่งที่ไม่จริง คำพูดที่น่าฟังกับคำพูดที่ไม่น่าฟังเกิดจากจิตที่ต่างกัน คำพูดหยาบต้องเกิดจากอกุศลจิตที่มีกำลังมาก
~ ปัญญาไม่ใช่ว่าทุกคนมี แต่เป็นสิ่งซึ่งจะเกิดมีขึ้นได้ โดยอาศัยการฟัง การพิจารณา การไตร่ตรอง การสนทนา การเห็นประโยชน์ แล้วก็การฟังเพิ่มขึ้น เข้าใจเพิ่มขึ้น ปัญญาก็จะเจริญขึ้น
~ กุศลต้องเป็นกุศล และอกุศลต้องเป็นอกุศล ผู้ที่ตรงต่อธรรม ก็ต้องเป็นผู้อบรมเจริญปัญญาและเจริญกุศลยิ่งขึ้นได้
~ ไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงที่จะไม่ให้อกุศลเกิด ไม่สามารถที่จะให้กุศลเกิดเป็นไปได้ตลอด แต่ธรรมก็จะทำให้เป็นผู้ที่ตรงต่อธรรม ธรรมที่เป็นกุศลก็เป็นกุศล ธรรมที่เป็นอกุศลก็เป็นอกุศล แล้วถ้าเป็นผู้ที่มีปัญญา ถึงแม้อกุศลเกิด ปัญญานั้นก็ยังสามารถที่จะรู้ความจริง และไม่เป็นไปในอกุศลกรรมบถที่จะเป็นเหตุให้เกิดเป็นอกุศลวิบาก
~ ยังไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร? เพราะฉะนั้น ถ้าชาวพุทธทุกคนเข้าใจถูกต้องว่า ธรรมคืออะไร นั่นคือได้เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และก็จะทำให้เข้าใจคำสอนทั้งหมด สอดคล้องกันด้วย เพราะเป็นความจริงเดี๋ยวนี้
~ คำทุกคำที่ไม่นำไปสู่การเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ เวลาที่ท่านจะระลึกถึงคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ต่อเมื่อมีความเข้าใจในพระธรรมที่ได้ทรงแสดงไว้ จึงเห็นพระคุณได้ว่า พระองค์ทรงรู้แจ้ง และได้ทรงแสดงสภาพธรรมตามที่ได้ทรงตรัสรู้ เพื่อทรงอนุเคราะห์สัตว์โลก
~ ธรรมทั้งหมด หลั่งไหลจากพระผู้มีพระภาค โดยทรงแสดงแก่พุทธบริษัท ตั้งแต่ตรัสรู้จนกระทั่งปรินิพพาน เพราะฉะนั้น เวลาที่เข้าใจพระธรรม ก็รู้ว่าพระธรรมนั้นมาจากไหน ที่ใดเป็นกายของพระธรรม คือ ที่ประชุมของพระธรรม ก็ต้องเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น เพราะฉะนั้น เวลาที่ฟังธรรม ประโยชน์ที่ได้รับ ก็คือ ความเข้าใจในพระธรรมเพิ่มขึ้น
~ ต้องเป็นผู้ที่อดทน แล้วก็รู้ว่าการฟังพระธรรมทำให้เข้าใจว่าไม่ใช่เราตามกำลังของปัญญาที่กำลังเริ่มเข้าใจ
~ สิ่งที่ผิด จะถูกไม่ได้ สิ่งที่ถูก จะผิดไม่ได้
~ อกุศลของใครก็ของคนนั้น คนนั้นน่ารังเกียจเพราะเหตุว่ามีธรรมที่เป็นอกุศลที่สะสมมามาก เพราะฉะนั้น กาย วาจา ใจของเขาก็ต้องเป็นไปตามการสะสม
~ ธรรมเป็นเรื่องตรง และเป็นเรื่องอุปการะทุกชีวิตที่สามารถเจริญขึ้นในกุศลธรรม ด้วยปัญญา ความเห็นที่ถูกต้อง แต่ถ้าเข้าใจไม่ถูกต้องเพราะไม่รู้ ก็ทำทุกอย่างด้วยความไม่รู้ เพราะด้วยความไม่รู้จึงเป็นโลภะบ้าง เป็นโทสะบ้าง เป็นอกุศลประเภทต่างๆ บ้าง
~ ถ้าปัญญาเกิด ไม่มีทางที่จะน้อมไปฝ่ายอกุศล แต่เพราะไม่มีปัญญา เพราะไม่รู้ จึงเป็นอกุศล
~ กว่าจะรู้จริงๆ ว่า ไม่ใช่เรา ก็ต้องอาศัยการฟังพระธรรมและเข้าใจจริงๆ มากแค่ไหน?
~ ความโกรธ เกิดขึ้นมีแล้ว ฟังไว้ว่าไม่ใช่เรา จนกว่าลักษณะที่โกรธปรากฏเป็นธาตุโกรธ ซึ่งไม่ใช่ใครทั้งสิ้น เมื่อนั้นความไม่ใช่เราก็มั่นคงขึ้นตามลำดับขั้น
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา แต่ละคำเป็นปัญญาทั้งหมด เป็นคำที่ทำให้รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง
~ ฟังพระธรรมแล้วก็ค่อยๆ เข้าใจ ความเข้าใจก็เริ่มที่จะเห็นความจริงตามลำดับขั้น
~ กรรมเป็นสภาพที่ปกปิด ขณะที่กรรม (การกระทำที่ดี หรือ ไม่ดี) เกิดขึ้น ก็ไม่รู้ว่าจะให้ผลเมื่อไหร่ ผลของกรรมก็เป็นสภาพที่ปกปิด อย่างเช่น ไม่รู้ว่าเห็นเดี๋ยวนี้ มาจากรรมในชาติไหน?
~ แต่ละคำ ไม่ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสเรื่องอะไร ก็กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ ฟังจนกว่าจะเข้าใจขึ้น นี้คือ ประโยชน์ของการฟังพระธรรม มีค่าทุกครั้งที่ความเข้าใจเกิดขึ้น
~ เมื่อเกิดมาแล้ว ทำดีและศึกษาพระธรรม ก็คุ้มแล้วกับที่เกิดมา
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๙๔
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสัจจะความจริง การฟังคำสอนของท่านต้องฟังด้วยพิจารณาไตร่ตรองอย่างละเอียดจึงจะเข้าใจถูกหรือมีปัญญา การกระทำด้วยกายวาจใจ ก็ถูกต้องเป็นกุศล
กราบอนุโมทนาสาธุด้วยครับ
ชีวิตคนก็เปลี่ยนแปลงขึ้นลง แต่เมื่อเป็นมิตรจริงๆ ไม่ว่าคนนั้นจะเปลี่ยนแปลงอยู่ในสภาพอย่างไร เคยเป็นอย่างไร ก็เหมือนอย่างนั้น ปฏิบัติในสหายเหมือนอย่างที่เคยปฏิบัติมา ด้วยให้พ้นจากอกุศลแล้วให้ตั้งอยู่ในกุศล มิใช่ให้ตั้งอยู่โดยอย่างอื่น
น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ