ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๙๖
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๙๖
~ พระธรรมวินัยสำหรับผู้ที่มีปัญญา เห็นโทษของกิเลสแล้วก็รู้ว่าพระธรรมเท่านั้นที่จะขัดเกลากิเลส จึงศึกษาพระธรรมเพื่อที่จะขัดเกลากิเลส ถ้าบวชก็ในเพศบรรพชิต ถ้าเป็นคฤหัสถ์ก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ในขณะนั้นก็เป็นการค่อยๆ ละคลายกิเลส โดยที่ว่าเหมือนกันหมดไม่ว่าจะเป็นเพศบรรพชิตหรือคฤหัสถ์ ถ้าเข้าใจธรรม ก็ละคลายอกุศลด้วยกัน
~ มีเงินทองเมื่อไหร่ กิเลสยินดีติดข้องตามมามากมายมหาศาล เพราะฉะนั้น ถ้าจะขัดเกลา ก็คือไม่รับและไม่ยินดีในเงินและทอง นี้เป็นเพียงข้อหนึ่งในพระธรรมวินัยสำหรับเพศบรรพชิตที่จะต้องรักษา แต่ว่าข้อละเอียดปลีกย่อยยังมีเพื่อแสดงว่า เป็นการขัดเกลาจริงๆ จิตใจมั่นคงจริงๆ จึงสามารถที่จะประพฤติปฏิบัติตามอย่างนั้นได้
~ เราให้เงินภิกษุเท่ากับผลักภิกษุท่านลงนรก แล้วนั่นหวังดีหรือ? เป็นภิกษุไม่มีใครบังคับ ถ้าเป็นไม่ได้ก็ลาสิกขา (สึก) เสีย ปลอดภัยมากกว่าจะไปลงนรก
~ ก่อนอื่นยังไม่ต้องบวช เป็นคนดีได้ไหม? ทั้งประเทศ ไม่ต้องบวช แต่ทั้งประเทศมีคนดีได้ไหม? การบวช ยาก ไม่ใช่ง่ายเลย เพราะฉะนั้น การที่จะเป็นคนดี ต้องมาจากการเข้าใจธรรม แต่ถ้าขาดการเข้าใจธรรม ก็ยังเป็นคนดีได้ แต่ไม่มากพอไม่ถึงที่สุดที่จะดับกิเลสได้ เพียงแต่ว่าเป็นคนดีตามที่ได้สะสมมา
~ เมื่อไม่รู้พระธรรม ไม่ศึกษาพระธรรมแล้วบวช เมื่อบวชแล้วก็ไม่ศึกษาพระธรรม ไม่รักษาพระวินัย แล้วจะบวชทำไม เพราะฉะนั้น คำตอบก็คือ บวช ทำลายพระพุทธศาสนา ถ้าไม่ศึกษาพระธรรมและไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย
~ ต้องเป็นผู้ที่ตรง ไม่ใช่ว่าจะรักษาพระพุทธศาสนา รักพระพุทธศาสนาเหลือเกิน แต่ไม่เข้าใจพระพุทธศาสนาเลย ว่า พระพุทธศาสนา เป็นเรื่องขัดเกลากิเลส ทุกคนมีกิเลสมาก แค่เป็นคฤหัสถ์ที่ดีก่อนดีขึ้น ดีขึ้น ดีขึ้น ด้วยการศึกษาพระธรรมขัดเกลากิเลส แล้วก็ไม่ทำลายพระพุทธศาสนาพระพุทธศาสนาก็จะดำรงอยู่ต่อไป
~ ทำไมจึงเห็นผิด เพราะไม่ได้ฟังคำจากจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วจะเห็นถูกได้อย่างไร?
~ ผู้ที่พิจารณาธรรม ย่อมเห็นอวิชชา (ความไม่รู้) ของตนเอง คือ เห็นความไม่รู้ของตนเองที่ทำให้ยังมีความต้องการในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ (สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย) ทุกๆ วัน ก็เหมือนกับการกินเหยื่อทุกวัน แล้วก็จะทำให้เกิดทุกข์ คือ ชาติ (การเกิด) ชรา (แก่) มรณะ (ตาย) ไม่สิ้นสุด
~ ไม่ว่าจะเป็นจิตแพทย์ อายุรแพทย์ ศัลยแพทย์ ก็ไม่สามารถจะเยียวยาและถอนลูกศร คือ กิเลสออกได้ นอกจากพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้และทรงแสดงไว้แล้ว
~ ขณะใดที่มีการเพลิดเพลินในการเล่นต่างๆ ขณะนั้นย่อมทำกิจที่ไม่ควรทำ และไม่ยินดีกิจที่ควรทำ ระหว่างการฟังธรรมกับการที่จะดูหนังดูละคร ในขณะนั้นก็จะเห็นได้ว่า ถ้าในขณะใดอกุศลครอบงำ ก็ย่อมเป็นไปตามอกุศล
~ บุคคลอื่นไม่สามารถที่จะทำให้เราโกรธได้ ถ้าเราไม่มีกิเลส เพราะฉะนั้น จะเห็นได้เลยว่า ขณะใดที่ความโกรธเกิดขึ้น ขณะนั้นเป็นการประทุษร้ายตนเอง ซึ่งบุคคลอื่นไม่ได้กระทำ นอกจากกิเลสของตนเองเป็นผู้กระทำ ถ้าคิดได้อย่างนี้ ในขณะนั้น ก็จะเห็นโทษของอกุศล
~ ตามความเป็นจริงแล้ว กุศลคือจิตขณะใดที่ปราศจากโลภะ โทสะ โมหะและอกุศลทั้งหลาย ขณะนั้นจึงสงบจากอกุศลและเป็นกุศล เมื่อจิตสงบแล้ว จึงมีการกระทำหรือทางของกุศลจิต เพราะว่ากุศลจิตที่เกิดเมื่อประกอบด้วยโสภณธรรม คือ โสภณเจตสิก (ธรรมที่เกิดกับจิตฝ่ายที่ดีงาม) ต่างๆ แล้ว จะไม่อยู่เฉยๆ ไม่ใช่ว่าจิตผ่องใสเป็นกุศลแล้วก็ไม่ทำอะไรเลย แต่เมื่อจิตผ่องใสเป็นกุศล การกระทำทางกายก็เป็นสิ่งที่ดีงาม ที่เป็นประโยชน์ และวาจาก็เป็นวาจาที่เป็นประโยชน์ด้วย
~ การลบล้างคุณของผู้อื่นเกิดขึ้นขณะใด ควรนึกถึงสภาพของจิตของผู้ที่กำลังลบล้างคุณของผู้อื่นในขณะนั้นว่า เป็นอกุศลกรรมของตนเองซึ่งจะต้องให้ผล ทั้งๆ ที่ในขณะนั้นคิดที่จะลบล้างคุณของคนอื่น แต่จิตที่กำลังคิดอย่างนั้น เป็นอกุศล และเมื่อได้กระทำกรรมนั้นแล้ว ก็เป็นอกุศลกรรม ซึ่งตนเองจะต้องเป็นทายาท คือ เป็นผู้ที่รับผลของกรรมนั้น
~ ข้อสำคัญที่สุด คือ ต้องเห็นโทษของอกุศลตามความเป็นจริง ตราบใดที่ยังไม่เห็นว่า อกุศลนั้นๆ เป็นโทษ ก็จะไม่มีการพากเพียรที่จะละอกุศลนั้นๆ เลย
~ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ควรฟั
~ ความดีเป็นสิ่งที่ควรทำ แล้วเวลาที่จะทำความดี เราก็ไม่สามารถที่จะเลือกได้ ว่
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้
~ ปัญญา ไม่ทำให้เกิดความทุกข์
~ ขัดเกลากิเลสด้วยความเข้
~ การขัดเกลากิเลสไม่ใช่แค่วันเดี
~ เราเห็นโทษของกิเลสไหม? ตีรันฟันแทง ทุจริตต่างๆ ใจร้าย ใจดำ กิเลสทั้งหมด โกงก็มี เพราะฉะนั้น สำหรับผู้ที่มีปัญญาดับกิเลส ไม่มีพฤติกรรมหรืออะไรที่จะเป็
~ ทุกคนเร่าร้อนและไม่สงบใจอยู่บ่อยๆ ใช่ไหม? บางคนก็พากันไปแสวงหาว่า ทำอย่างไรจิตใจถึงจะสงบ มีข้อปฏิบัติอะไรที่ทำให้สงบได้ แต่ว่าจะต้องเข้าใจให้ถูกต้องจริงๆ ว่า การสงบจริงๆ นั้นจะมีได้ เมื่อปัญญาเกิดขึ้น เข้าใจลักษณะของสภาพธรรม ตามความเป็นจริง
~ ความรักตัว ทำให้เห็นแก่ตัว ไม่รักใครเท่าตัวทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อตัว แม้ทุจริตก็ทำได้ โดยไม่รู้ว่าทุจริตนั่นแหละจะนำผลร้ายมาสู่ตัว
~ ไม่รู้เมื่อไหร่ก็โง่เมื่อนั้น
~ ความดีเกิดเมื่อไหร่ ก็เป็นเวลาดีเมื่อนั้น
~ ปัญญาจะค่อยๆ ละคลายความไม่รู้
~ ไม่เห็นคุณค่าของพระธรรมวินัยพอ เราจึงทำในสิ่งที่ผิด
~ ความดีทั้งหมด คือ การสละ
~ มีกิเลสเท่าไหร่ ทุกข์เท่านั้น
~ ความหวังร้ายของคนอื่น ก็เป็นความหวังร้ายของคนอื่น แต่เปลี่ยนความหวังดีของเราไม่ได้
~ ถ้าใครก็ตามที่เป็นคนดี แล้วถูกคนอื่นว่ามากมายต่างๆ นานา คำว่าร้ายทุกคำ ไม่สามารถจะเปลี่ยนความดีนั้นให้เป็นความไม่ดีอย่างที่เขาว่าได้
~ จะเอาโทษ (ความชั่ว) หรือจะเอาประโยชน์ (ความดี) ให้กับจิตใจของเราเอง
~ ฟัง (พระธรรม) ไว้ เพราะปัญญากำลังเข้าใจไปเรื่อยๆ ในขณะที่มีการฟัง.
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๙๕
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ถ้าอยากรักษาพระพุทธศาสนาต้องศึกษาคำสอนของพระสัมสัมพุทธเจ้า ถ้าอยากจะบวชก็ต้องเป็นคฤหสถ์ที่ดีและจะต้องมีอัธยาศัยที่จะเป็นพระภิกษุ
กราบอนุโมทนา สาธุ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิต ของ อ.คำปั่น เป็นอย่างยิ่งค่ะ