ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๙๙
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๙๙
~ พระภิกษุ ไม่ใช่บวชเพื่ออาศัยผ้าเหลือง แต่ต้องเพราะเห็นประโยชน์ของการเข้าใจพระธรรม เพื่ออุทิศชีวิตต่อการที่จะศึกษาธรรม และขัดเกลากิเลสอย่างยิ่ง โดยการที่จะต้องประพฤติปฏิบัติตามพระวินัยด้วย
~ พระภิกษุ ก่อนบวช เป็นผู้ฟังพระธรรม เข้าใจพระธรรม จึงสละทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งทรัพย์สมบัติ วงศาคณาญาติ ที่จะฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญาขัดเกลากิเลสยิ่งขึ้น ในเพศบรรพชิต
~ พระภิกษุ สละเงินและทองแล้ว จึงบวช เมื่อบวชแล้ว จะมีเงินทองได้อย่างไร
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงรับเงินทองหรือเปล่า? เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงไม่รับเงินทองแล้วเพราะเหตุใดภิกษุที่ปฏิญาณว่าจะประพฤติตามพระองค์ จึงรับเงินรับทอง
~ รับเงินรับทอง เป็นกิเลส พระภิกษุจะขัดเกลากิเลสมิใช่หรือ แล้วจะรับเงินทองได้อย่างไร?
~ เวลาที่กุศลจิตเกิด จะให้กล่าวคำร้ายๆ จะให้ทำสิ่งที่ชั่วๆ ได้ไหม? ก็ไม่ได้
~ เป็นมิตรจริงๆ ต้องให้สิ่งที่ประเสริฐถูกต้อง คือ ความเข้าใจ จะมากหรือจะน้อยก็ตาม
~ ฟังพระธรรมเพื่อเข้าใจ หนึ่งขณะในสังสารวัฏฏ์ยังมีโอกาสได้ยินได้ฟัง
~ เมื่อโกรธเกิดขึ้นแล้ว ดีไหม? ไม่ดี, ใครเดือดร้อน โกรธเกิดที่ไหนไม่เป็นสุข จะไปทำให้คนที่มีความโกรธ เป็นสุข เป็นไปไม่ได้เลย
~ ปัญหาทั้งหลาย โทษทั้งหลาย ความไม่สงบทั้งหลาย ก็เกิดจากอกุศลทั้งหมด
~ ถ้าไม่ใช่ปัญญา ไม่มีทางเลยที่จะไปละ ชำระล้างอกุศลซึ่งเกาะติดแน่นอยู่ในใจ
~ พระธรรมช่วยให้คนทั้งหลายพ้นจากความเห็นผิด ความเข้าใจผิดแล้วก็เป็นผู้ที่ตรงที่สามารถที่จะเข้าใจความจริงได้ มิฉะนั้น ก็แก้ไขปัญหาอะไรไม่ได้เลย เพราะเข้าใจผิด คิดว่า อกุศลเป็นกุศล
~ ถ้าโกรธเขา เป็นกุศลหรือเปล่า? เป็นอกุศล, ถ้าสงสารเขา เป็นกุศลหรือเปล่า? เป็นกุศล
~ บูชาพระรัตนตรัย ด้วยความเข้าใจธรรม ศึกษาธรรม แล้วก็ช่วยให้คนอื่น ได้มีความเข้าใจที่ถูกต้องด้วย ทุกครั้งที่กล่าวคำจริง เพื่อหวังประโยชน์ให้คนอื่นได้เข้าใจถูกต้อง เป็นการบูชาพระรัตนตรัย
~ ถ้าใครกล่าวตามพระธรรมวินัย ควรฟังไหม ไม่ว่าใคร ไม่ว่าภิกษุ อุบาสก อุบาสิกา ควรฟังไหม? เพราะไม่ใช่คำของเขา แต่เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เท่านั้น ทุกคำที่จริง
~ พระธรรมทั้งหมดทรงแสดงให้เข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ เท่าที่กำลังของสติปัญญาจะเข้าใจได้ และ อบรมต่อไป เพราะคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ เปลี่ยนไม่ได้เลย เป็นความจริงถึงที่สุด
~ ตลอดชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย ทุกขณะ คือ ความจริง ไม่เว้นเลยสักขณะเดียว ทุกวันทุกเวลา สั้นยิ่งกว่าวินาที ก็เป็นสภาพธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป โดยไม่รู้เลย
~ ถ้าไม่มีการฟังพระธรรม ย่อมไม่มีทางที่จะรู้โทษของการที่มีความไม่รู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏจึงทำให้หลงพอใจ มาก จนกระทั่งเกิดความทุกข์เมื่อเกิดความพลัดพรากหรือไม่ได้ในสิ่งที่พอใจ จนกระทั่งเป็นเหตุให้กระทำทุจริตกรรม ร้ายแรงถึงกับว่าสามารถที่จะฆ่าคนอื่นได้ เอาทรัพย์ของคนอื่นมาเป็นของตน มากมายมหาศาล
~ สะสมความไม่รู้มานานแสนนาน และไม่มีวันจะหมดสิ้นไปได้ ถ้าไม่มีความเข้าใจถูกต้องตรงตามความเป็นจริง
~ ไม่ว่าจะเป็นเพศไหนก็ตาม (บรรพชิตหรือคฤหัสถ์) ต้องเป็นปัญญาความเห็นที่ถูกต้องเท่านั้นที่สามารถที่จะทำให้ค่อยๆ ละคลายความติดข้อง แม้ขณะที่กำลังฟังพระธรรมเดี๋ยวนี้ รู้ไหมว่ากำลังละคลายความติดข้อง
~ ความเข้าใจเป็นธรรมที่ค่อยๆ คลายความติดข้อง เพราะค่อยๆ เริ่มเข้าใจ
~ เราเป็นทุกข์ เพราะความไม่รู้ และ มีกิเลส หนทางที่จะดับทุกข์ คือ มีความรู้ (ปัญญา) ที่จะดับกิเลส
~ พูดง่ายมากว่าเห็นประโยชน์ของพระพุทธศาสนา เพราะยังไม่รู้ว่าพระพุทธศาสนาคืออะไร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อะไร ทรงแสดงอะไร
~ ไม่มีใครทำให้ใครมีศีล ๕ ได้ นอกจากความเข้าใจของบุคคลนั้น ซึ่งเกิดจากความเข้าใจพระธรรม ถ้าไม่มีความเข้าใจพระธรรมแล้วใครจะมีศีล ๕ ได้ครบถ้วนไม่ล่วงละเมิดเลย ด้วยเหตุนี้ ไม่ใช่ใครจะบอกให้ใครมีศีล ๕ ได้
~ กุศล ความดีทั้งหลาย ไม่นำทุกข์โทษภัยมาให้ แต่อกุศลที่ทุกคนมีนี่แหละนำทุกข์โทษภัยมาให้ ตามกำลังของอกุศลนั้นๆ
~ มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นที่พึ่ง ก็ต้องอาศัยคำของพระองค์ ไม่ใช่คิดเอง
~ หนทางเดียวที่จะทำให้เป็นคนดีได้ คือ ความเข้าใจพระธรรม
~ พระธรรมเป็นสิ่งที่ควรอย่างยิ่งแก่การได้ยินได้ฟังด้วยความเคารพในความลึกซึ้งของผู้ที่ทรงตรัสรู้ความจริง และทรงแสดงความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ด้วยพระมหากรุณาที่จะให้คนอื่นได้เข้าใจถูก ได้เห็นถูก
~ ประโยชน์ของการเข้าถึงความจริงของสภาพธรรม คือ มั่นคงที่จะเข้าใจว่า ขณะนี้เป็นธรรมที่เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
~ ธรรมเป็นปกติ คนส่วนใหญ่คิดว่า ธรรมต้องไปทำให้มีขึ้น ให้เกิดขึ้น แต่ว่าตามความเป็นจริงตลอดชีวิต ทุกชีวิตในสังสารวัฏฏ์ เป็นธรรมทั้งหมด ไม่มีขณะไหนที่ไม่ใช่ธรรมเลย เพราะฉะนั้นการรู้จักธรรม ไม่ใช่ต้องไปทำอะไรให้เกิดเลย เพียงแต่ว่าสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ ฟัง แล้วก็รู้ว่า ปัญญาสามารถรู้ว่า สิ่งที่ได้ยินได้ฟังเป็นคำจริงทุกคำ
~ สะสมอวิชชามาแค่ไหน มากมายในสังสารวัฏฏ์ จนแม้กำลังฟัง ก็ฟังด้วยดี และเป็นผู้ตรงที่จะรู้ว่า ค่อยๆ เข้าใจทีละเล็กทีละน้อย เหมือนของที่หนัก ตอ เคลื่อนไม่ได้ มั่นคงด้วยอกุศลทั้งหลาย กว่าจะเคลื่อนไป ค่อยๆ ขยับให้พ้นจากสังสารวัฏฏ์ จะนานสักแค่ไหน คงไม่ต้องคำนึงถึงกาลเวลา เพราะเหตุว่าต้องเป็นไปตามความรู้ความเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ
~ การฟังธรรมก็เพื่อเข้าใจถูกต้องว่า ธรรมเป็นธรรม เกิดปรากฏแล้วดับไป ชั่วคราว ทุกอย่างปรากฏชั่วคราว ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ชั่วคราวทั้งนั้น
~ ทั้งหมดของพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง แต่ละหนึ่ง ละเอียดยิ่ง เพื่อความไม่ใช่เรา
~ ไม่รู้จักธรรม ก็ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ บุญ คือ สภาพธรรมที่ดีงาม มีทุกวัน ดีไหม?
~ เข้าใจธรรม ก็ทำดีขึ้น เป็นคนดีขึ้น
~ อกุศลทั้งหลาย ล้อมรอบ แต่ก็ยังสามารถมีปัญญาเข้าใจสิ่งที่มีจริงได้
~ ยังไม่รู้ จึงฟังพระธรรม เพื่อจะได้รู้
~ เป็นคนดี ยังไม่พอ ต้องเข้าใจพระธรรมด้วย จะได้ดีมากขึ้น เพิ่มขึ้น
~ เมื่อเห็นประโยชน์ของพระธรรม ก็ศึกษาต่อไป.
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๙๘
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
พระพุทธองค์อุปมาปริยัติ (การศึกษา) เหมือนดวงอาทิตย์ที่ส่องโลก ถ้าพระอาทิตย์ยังส่องโลก คือยังมีผู้ศึกษาคำสอนอยู่ ผู้มีดวงตาจักษุ (ปัญญา) ก็จะรู้ได้ว่าอะไรเป็นโทษเป็นคุณ เป็นบุญ เป็นบาป
แต่ถ้าปริยัติศาสนาสูญสิ้น ไม่มีการศึกษาพระไตรปิฎกต่อไป เปรียบเหมือนพระอาทิตย์ดับไปจากโลก