ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๑๘
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๑๘
~ คนเราทุกคนเกิดมาแล้วก็ต้องมีกิจ มีหน้าที่ หน้าที่ของคฤหัสถ์ก็เป็นหน้าที่เรื่องของการที่จะดำรงชีวิตไปตามเพศของคฤหัสถ์นั้นๆ พระภิกษุที่ท่านสละอาคารบ้านเรือนบวชในสำนักของพระผู้มีพระภาค ก็ต้องมีกิจ ไม่ใช่ว่าบวชแล้วสบาย แต่ท่านมีกิจที่ต่างจากคฤหัสถ์ เพราะเหตุว่าคฤหัสถ์มีกิจในการที่จะดำรงชีวิตในทางโลก เป็นไปกับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกาย) ต่างๆ ตามสบายของคฤหัสถ์ แต่ว่าผู้ที่เห็นว่า การขัดเกลากิเลสในเพศของบรรพชิตเหมาะควรสำหรับท่านที่ได้สะสมมา มากกว่าที่จะอบรมเจริญปัญญาในเพศของคฤหัสถ์ ท่านก็ละอาคารบ้านเรือน ละวงศาคณาญาติ ละทรัพย์สมบัติทั้งหมด ละกิจของคฤหัสถ์ทั้งหมดเพื่อกระทำกิจของบรรพชิต เป็นกิจเฉพาะของพระภิกษุทุกรูป เพราะเหตุว่าในครั้งก่อน เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสรู้และทรงแสดงธรรม เมื่อได้เสด็จจาริกไปทรงแสดงธรรม และก็มีผู้ที่ได้รับฟังพระธรรม เข้าใจแล้ว แล้วก็รู้จักอัธยาศัยของตนเองจริงๆ ว่า ใคร่ที่จะเป็นบรรพชิต จึงได้ขออุปสมบท ไม่ใช่ว่าขอบวชก่อน แล้วฟังพระธรรมทีหลัง แต่ว่าในครั้งนั้น ได้ฟังพระธรรมก่อน ได้เข้าใจพระธรรม แล้วก็รู้จักตนเองตามความเป็นจริงว่า เหมาะควรแก่เพศใด มีศรัทธาที่จะละอาคารบ้านเรือนอุปสมบทเป็นพระภิกษุหรือไม่
~ บรรพชิตครองจีวร แสดงเพศของศากยบุตร คือ ผู้ที่จะประพฤติดำเนินตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วทำในสิ่งที่ไม่ดีได้อย่างไร อย่างเช่น พูดเล่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพูดเล่นหรือ? เพราะฉะนั้น ต้องเห็นกิเลสแม้เพียงเล็กน้อย ต้องเห็นโทษที่น่ารังเกียจจริงๆ จึงสามารถที่จะมีชีวิตอยู่ในเพศบรรพชิตได้ มิฉะนั้น ก็ไปอบายภูมิ เพราะหลอกคนอื่น ลวงคนอื่นโดยการครองจีวรแล้วก็ไม่ประพฤติตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ ถ้าชื่นชมภิกษุที่ไปช่วยทำกิจของคฤหัสถ์ ก็เท่ากับเป็นการทำลายพระศาสนา ซึ่งไม่ใช่เป็นการที่ควรจะชื่นชม เพราะเหตุว่า พระภิกษุนั้นไม่ได้ทำกิจของพระภิกษุ เพราะพระภิกษุสละความเป็นคฤหัสถ์แล้ว จะไปทำกิจของคฤหัสถ์ได้อย่างไร
~ พระภิกษุ สามารถช่วยสังคมได้ตามพระธรรมวินัย ไม่ใช่ว่าไม่ช่วย แต่ช่วยในสิ่งที่คฤหัสถ์เขาช่วยไม่ได้ เพราะเหตุว่าคฤหัสถ์ไม่ได้มีความรู้ความเข้าใจธรรมอย่างผู้ที่ได้ศึกษาธรรมขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิตซึ่งเป็นหัวหน้าของพุทธบริษัท เพราะฉะนั้น พระภิกษุช่วยคฤหัสถ์ให้มีความประพฤติที่ถูกต้องให้ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันและ (ทำให้คฤหัสถ์) ทำหน้าที่ของคฤหัสถ์ที่ดี เพราะฉะนั้น พระภิกษุต้องรักษาพระวินัย ไม่ใช่ไปทำหน้าที่อย่างคฤหัสถ์
~ ขณะนี้มีพระภิกษุที่ต้องอาบัติ (ล่วงละเมิดพระวินัย) มากมายในทุกเรื่อง เพราะไม่มั่นคงในพระศาสนา
~ วัดคือที่อยู่ของพระภิกษุ อยู่เพื่ออะไร? อยู่วัดแล้วทำอย่างคฤหัสถ์ได้ไหม? เพราะฉะนั้น วัด ก็ต้องเป็นที่อยู่สำหรับผู้ที่มีเพศที่ต่างจากคฤหัสถ์ และตลอดทั้งชีวิตอุทิศเพื่อการศึกษาพระธรรมซึ่งลึกซึ้งอย่างยิ่ง จึงสละอาคารบ้านเรือนที่จะใช้ชีวิตตลอดชีวิตเพื่อให้เข้าใจธรรมที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
~ ต้องเป็นผู้ตรงและจริงใจ ถ้ายังไม่สามารถที่จะขัดเกลากิ
~ ภิกษุจริงๆ มีความเคารพอย่างยิ่
~ พระภิกษุที่มีความเคารพในพระรั
~ ศีลทุกข้อ ไม่ได้ทรงบัญญัติให้ภิกษุ
~ คฤหัสถ์ เพียงเห็นครองผ้ากาสาวพัสตร์ เครื่องหมายเครื่องนุ่งห่มที่
~ คฤหัสถ์ยังไปอบายภูมิได้ แล้วพระภิกษุที่ผิดวินัยจะไม่
~ ถวายเงินแก่พระภิกษุเมื่อไหร่ เท่ากับให้บัตรโดยสารแก่พระภิ
~ ภิกษุไม่มีเงินและทอง แล้วก็รับไม่ได้ด้วย ไม่มีตั้งแต่สละ ตั้งแต่วันที่บวชเป็นพระภิกษุ นี่ไม่มีเลยไม่มีแล้วกลับไปรับ ไม่ได้ จะไปทำกิจอะไรทั้งหมด (ที่เกี่ยวกับเงินทอง) ไม่ได้ทั้งสิ้น เพราะเหตุว่า พระภิกษุต้องมีชีวิตในการขัดเกลากิเลส
~ ผิด กันมานาน สมควรหรือยังที่จะช่วยกันรักษาพระธรรมวินัย สิ่งที่ผิด ก็แก้ไขได้ ดีกว่าที่จะปล่อยไป ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ค่อยๆ ทำ ร่วมใจกันที่จะรักษาดำรงพระศาสนา คิดว่าไม่ยากถ้าจะทำจริงๆ และก็เป็นกุศลใหญ่หลวงด้วย ต่อพระศาสนา
~ ธรรมที่เป็นที่พึ่งนั้นเป็นกุศล อกุศล พึ่งไม่ได้เลย แต่ธรรมที่จะเป็นที่พึ่งได้จริงๆ นั้นต้องเป็นกุศล แต่ว่ายากที่จะเกิด เพราะเหตุว่าเมื่อสะสมอกุศลมามาก ก็ย่อมมีปัจจัยให้อกุศลธรรมเกิดมากกว่ากุศลธรรม เพราะฉะนั้น ผู้ที่เห็นว่าธรรมใดเป็นที่พึ่งอย่างแท้จริง ก็จะเข้าใจในคุณของธรรมนั้น คือคุณของกุศล ก็ย่อมจะเป็นปัจจัยให้เจริญกุศลทุกประการอย่างละเอียด เพราะเหตุว่าเห็นโทษว่า อกุศลธรรมนั้นมีกำลังมากกว่า เพราะเหตุว่าสะสมมากกว่า
~ คิดด้วยความเมตตาว่าบุคคลใดก็ตามที่ได้ทำอกุศลกรรมไว้แล้ว เมื่อถึงกาลที่อกุศลกรรมให้ผล ใครก็ช่วยไม่ได้ มารดาบิดาก็ช่วยไม่ได้ ญาติพี่น้องมิตรสหายก็ช่วยไม่ได้ ก็จะทำให้เรามีแต่การที่จะคิดเป็นมิตรและก็ช่วยเหลือคนอื่น
~ เวลาติดข้อง ต้องเป็นทุกข์ อยากจะได้สิ่งที่เราต้องการ ถ้าไม่ได้ก็เป็นทุกข์ แต่ถ้าเราไม่ติดข้องมากนัก เริ่มเห็นความสุขขึ้นมาบ้าง คือ ไม่เดือดร้อน ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม
~ มีความหวังดี มีความเป็นมิตร ไม่ใช่เป็นมิตรเฉพาะกับคนที่ดี คนที่ไม่ดี เขาไม่ดี แล้วเราทำไมจะต้องไปไม่ดีตามเขา เพราะฉะนั้น ความเป็นมิตรจะแก้ทุกสถานการณ์ ไม่ว่าใครจะโกรธ ใครจะไม่ชอบ ใครจะเข้าใจผิด เราก็ไม่เดือดร้อน เพราะว่ามีเจตนาดีต่อเขา ที่จะให้เขาเข้าใจสิ่งที่ถูกต้อง
~ ถ้าเริ่มเป็นผู้ที่เห็นโทษของอกุศลทั้งหลาย และเจริญธรรมที่เป็นกุศลธรรม ก็จะเป็นผู้ที่อ่อนโยน เป็นผู้ที่ง่ายขึ้นในการที่จะให้กุศลจิตเกิดแทนอกุศล
~ อกุศลธรรมของเขา ย่อมให้โทษกับเขา อกุศลธรรมของคนอื่นไม่ได้มาให้โทษแก่เราเลย
~ ต้องเป็นผู้ที่มั่นคงในกุศลจริงๆ ถ้าท่านเป็นผู้ที่มั่นคงในกุศลแล้ว ไม่ต้องกลัวอะไร จะไม่มีโทษภัยอะไรซึ่งเกิดเพราะกุศลของท่าน แต่ถ้าท่านจะได้รับโทษภัยต่างๆ ให้ทราบว่าไม่ใช่เพราะกุศลของท่าน แต่การที่ท่านได้รับโทษภัยนั้น เพราะท่านมีอกุศลธรรมของท่านเอง
~ ถ้าทำดีแล้วปลอดภัยแน่นอน ไม่มีสิ่งที่ทำให้เดือดร้อนใจด้วยประการใดๆ เลยทั้งสิ้น.
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๑๗
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณ การศึกษาพระธรรมต้องเป็นผู้ละเอียด และขออนุโมทนาครับ
ต้องเป็นผู้ที่มั่นคงในกุศลจริงๆ ถ้าท่านเป็นผู้ที่มั่นคงในกุศลแล้ว ไม่ต้องกลัวอะไร จะไม่มีโทษภัยอะไรซึ่งเกิดเพราะกุศลของท่าน แต่ถ้าท่านจะได้รับโทษภัยต่างๆ ให้ทราบว่าไม่ใช่เพราะกุศลของท่าน แต่การที่ท่านได้รับโทษภัยนั้น เพราะท่านมีอกุศลธรรมของท่านเอง น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ