ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๒๖
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๒๖
~ บวชก็เพื่อที่จะมีความประพฤติที่แตกต่างไปจากคฤหัสถ์มิใช่หรือ แล้วทำไมถึงจะกลับไปมีความประพฤติเหมือนอย่างคฤหัสถ์เขาล่ะ
~ การศึกษาธรรม ต้องรู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง ว่า เป็นธรรมทั้งหมด แค่นี้ทุกคำก็ไม่ลืม ไม่ว่าจะพูดถึงกุศลธรรมหรืออกุศลธรรมหรือธรรมใดๆ ก็คือธรรม
~ กำลังศึกษาให้เข้าใจธรรมก็เพื่อที่จะเข้าใจให้ถูกต้องว่าสิ่งที่มีที่เคยเข้าใจว่าเป็นเรานั้นเป็นธรรมแม้แต่กุศลธรรม เป็นธรรมที่ดี ก็ต้องไม่ใช่เรา
~ การฟังธรรม เป็นกุศลหรือเปล่า เป็นกุศลในขณะที่เข้าใจ
~ ให้เราทบทวนบ่อยๆ เพื่อที่จะเข้าใจให้ถูกต้องว่า ธรรมเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ไม่ว่าจะกล่าวถึงอะไรทั้งสิ้น ก็เพื่อนำไปสู่ความเข้าใจ ว่า ไม่มีเรา แต่มีธรรม
~ ทำไมเราถึงต้องฟังทีละคำ ทีละเรื่อง เพื่อให้เข้าใจมั่นคงขึ้นว่า ไม่ใช่เรา ประโยชน์อยู่ตรงนี้ เพื่อที่จะฝังความไม่ใช่เรา ให้มั่นคงว่า ไม่มีเรา
~ แม้คำว่าธรรมคำเดียวที่ไม่ใช่เราเลย ครอบคลุมทุกอย่าง ที่มีจริงๆ แล้วก็ไม่ใช่เรา
~ การฟังธรรม มีประโยชน์มาก คือ ในแต่ละครั้ง แต่ละคำ ถ้าได้เข้าใจจริงๆ นั่นคือ ประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะเหตุว่า จะไปได้ความรู้ความเข้าใจมาจากที่ไหน ถ้าเรามัวแต่ไปทำอย่างอื่น
~ ต้องย้อนกลับมาที่ ธรรม ทุกครั้งที่ฟัง ว่า เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่มีจริงๆ ไม่ใช่เรา จึงใช้คำว่าธรรม กลับมาที่เดี๋ยวนี้ เพื่อให้เข้าใจว่ามีสิ่งที่มีจริงๆ แต่ ไม่ใช่เรา และเป็นธรรมแต่ละหนึ่งๆ ซึ่งเกิดขึ้นแล้วดับไปอย่างรวดเร็วสุดที่จะประมาณได้
~ รู้ค่าของความที่สามารถเข้าใจ มีสิ่งต่างๆ มากมาย เต็ม แต่ไม่เข้าใจ ไม่รู้ความจริง แต่ขณะใดที่รู้ค่าของการที่สามารถเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ แม้น้อย แต่เป็นหนทางที่จะเริ่มเข้าใจขึ้นๆ ซึ่งเป็นหนทางเดียว
~ ประโยชน์ของการฟังพระธรรมวันนี้ มี เมื่อเราได้เข้าใจถูกต้อง และค่อยๆ สะสมการที่จะรู้ว่าเป็นธรรม
~ รู้ไหมว่าอะไรนำมาซึ่งความทุกข์? ความไม่เข้าใจธรรม เพราะฉะนั้น ตราบใดที่ยังไม่เข้าใจธรรม อยู่ที่ไหน ก็เป็นทุกข์
~ สำหรับคฤหัสถ์ ทรัพย์สินมีประโยชน์ สามารถทำประโยชน์แก่ผู้อื่นได้มากมายเป็นสาธารณประโยชน์ ถ้าเราอยากจะช่วยคนอื่น แต่ไม่มีทรัพย์สินที่จะช่วย ก็ช่วยไม่ได้
~ จะมีชีวิตอย่างไม่ฉลาด หรือว่า จะมีชีวิตอย่างเข้าใจชีวิตตามความเป็นจริง จะสุขหรือจะทุกข์ จะมั่งมีหรือยากจน เป็นเศรษฐีมหาศาลหรือเป็นคนที่ยากไร้ ก็เป็นธรรมทั้งหมด ตามเหตุตามปัจจัย
~ รู้ความจริงว่า ธรรมมีหลากหลายมาก ธรรมที่เป็นความเห็นที่ถูกต้องเข้าใจความจริง ของสิ่งที่กำลังปรากฏ ก็มี ธรรมที่เป็นความติดข้องก็มี ธรรมที่เป็นความโกรธขุ่นเคืองใจไม่พอใจ ก็มี ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นธรรมทั้งหมด ให้เข้าใจก่อนว่าเป็นธรรม
~ ถ้าไม่เข้าใจธรรมมากพอ จะเข้าใจทางสายกลางไหม ก็มีแต่ชื่อ เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ว่าเราจะพูดคำซึ่งคนที่ไม่ได้เข้าใจธรรม (มาก) พอแล้วเขาสามารถที่จะฟังแล้วเข้าใจได้หรือว่าประพฤติปฏิบัติตามได้
~ ฟังธรรมให้เข้าใจให้ถูกต้องว่าไม่มีเรา แต่เป็นธรรมทั้งหมด ไม่ว่าอะไรก็ตาม เพราะฉะนั้น หนทางที่ถูกต้อง ก็คือ หนทางที่ไม่มีเรา แต่ว่ามีธรรมซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ทำหน้าที่ของธรรม
~ ไม่ได้หมายความว่า สละทรัพย์ คือ สละกิเลส ต้องเข้าใจให้ถูกต้อง แต่สละความไม่รู้ที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าไม่มีเรา แล้วธรรมที่จะเกิด จะยากจนหรือจะมั่งมี ก็เพราะเหตุปัจจัยไม่มีใครสามารถที่จะดลบันดาลได้เลยทั้งสิ้น ต้องมีความมั่นคงในคำว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ที่รู้ว่าเป็นอนัตตา ก็เพราะเกิดแล้วเดี๋ยวนี้ ซึ่งไม่มีใครทำให้เกิดได้เลย
~ ธรรม มีทั้งฝ่ายที่เป็นกุศลธรรม และธรรมที่เป็นฝ่ายอกุศลธรรม แต่ธรรม เป็นธรรม ไม่ใช่เรา
~ สันโดษคือการดับโลภะ แต่ว่า โลภะดับได้อย่างไร แสนยาก ต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป โดยการพอใจในสิ่งที่มี ต้องค่อยๆ เป็นไปตามลำดับ ไม่ใช่บอกว่าละเสีย จะได้หมดโลภะ เป็นไปไม่ได้เลย สันโดษ คือ พอใจในสิ่งที่มี แล้วมีมาก มีน้อย จะพอใจระดับไหน เป็นความเพียงพอ แต่ตามความจริง ก็คือว่า ต้องเห็นว่าเป็นโทษของโลภะ ซึ่งละแสนยาก โลภะมีกำลังมากที่ทำให้วนเวียนอยู่ในสังสารวัฏฏ์ ไม่สามารถจะออกไปได้เลย ปัญญาเท่านั้นที่ตรงกันข้ามกับอวิชชาที่เป็นเหตุให้เกิดโลภะ จะดับโลภะได้ เพราะฉะนั้น กว่าจะเข้าใจความหมายของคำว่า ละโลภะ และก็รู้ด้วยว่า ละไม่ได้ ถ้าไม่มีปัญญา และละโลภะทันทีก็ไม่ได้ ต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป โดยปัญญาที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เป็นการค่อยๆ ละไปในตัว
~ ใครจะไปฝืนดับโลภะ ไม่ให้มีอะไรเลย เป็นไปไม่ได้ เพราะยังมีความยินดีในความเป็นเรา
~ ถ้าไม่มีกรรมดี ไม่มีทางที่สิ่งดีๆ จะมาสู่ตา หู จมูก ลิ้น กายได้เลย
~ ถ้ามีความเข้าใจว่า ปัญญา ไม่ใช่เรา แล้วรู้ว่าปัญญามีน้อยมาก หนทางที่จะเพิ่มขึ้นก็คือว่า ฟังแล้วก็เข้าใจขึ้น ไม่ใช่ฟังด้วยความหวัง
~ ถ้ามีความเข้าใจพระธรรม มีความเข้าใจที่มั่นคงขึ้น คนดีเพิ่มขึ้น คนชั่วน้อยลงประเทศชาติก็เจริญมั่นคงขึ้น
~ เวลาที่ได้ยินเสียง ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าว่า ใครจะได้ยินเสียงอะไร เพราะกรรมเป็นปัจจัยให้เกิดการได้ยินเสียงนั้น แต่เวลาที่ได้ยินเสียงแล้ว ทุกท่านคิดเหมือนกันหรือเปล่า บางท่านเป็นกุศล บางท่านเป็นอกุศล เพราะฉะนั้น หลังจากที่ได้ยินแล้ว กุศลและอกุศล ไม่ใช่วิบาก
~ ถ้าท่านจะดูชีวิตของบุคคลอื่น อาจจะเห็นเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งไม่คาดฝันเกิดขึ้นเป็นไปได้ตามกรรม ซึ่งก็เป็นที่กล่าวถึงว่า ทำไมถึงช่างวิจิตรต่างๆ กันอย่างนั้น ตามข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์บ้าง หรือว่าเรื่องของญาติมิตรทั้งหลายบ้าง อันนั้นก็พอที่จะเห็นได้ว่า แต่ละชีวิตย่อมเป็นไปตามกรรม
~ วิบากทั้งหลายก็เกิดเพราะผลของกรรม เป็นผลของกรรมของท่านเองที่ได้กระทำแล้ว แม้แต่การที่จะรอดพ้นจากอันตรายต่างๆ หรือการที่จะได้รับอันตรายต่างๆ ก็ต้องเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย คือ กรรมของตนเอง
~ ถ้าไม่มีการศึกษาพระธรรมไม่มีความเข้าใจเลยก็จะมีแต่ความโลภ (ความติดข้อง) ซึ่งนำมาซึ่งทุจริต (ความประพฤติชั่ว) ต่างๆ
~ ถ้าเห็นคุณค่าของแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วรู้ว่าคิดเองไม่ได้ ก็จะทำให้สิ่งที่ผิดๆ ค่อยๆ หมดไป
~ เดี๋ยวนี้ ทุกขณะ ไม่มีเราเลย (มีแต่ธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงๆ )
~ เพราะเห็นประโยชน์ เห็นคุณค่าของพระธรรม จึงฟังบ่อยๆ
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๒๕
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
กราบอนุโมทนาค่ะ คำจริงแต่ละคำที่ทรงแสดงไว้ลึกซึ้งยิ่ง ต้องฟังแล้วฟังอีก ฟังเมื่อใดตั้งต้นใหม่เสมอค่ะ เห็นประโยชน์ว่าควรค่าแก่การศึกษาจริงๆ ค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ