ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๓๔

 
khampan.a
วันที่  14 ม.ค. 2561
หมายเลข  29410
อ่าน  2,280

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๓๔

~ การที่จะกล่าวธรรมที่ถูกต้อง ให้ผู้อื่นได้ฟังได้พิจารณานั้น ไม่เป็นเรื่องลำบากสำหรับผู้กล่าว แต่ว่า (อาจจะ) เป็นเรื่องขัดใจของผู้ฟัง (บางคน) ถึงคนอื่นจะขัดใจ แต่ถ้าท่านจะสามารถที่จะให้เขาออกจากอกุศล และดำรงอยู่ในกุศลได้ ก็ควรที่จะคิดว่า ความขัดใจของบุคคลนั้น เป็นเรื่องเล็กน้อย แต่เรื่องที่จะให้เขาออกจากอกุศล ดำรงอยู่ในกุศลนั้น เป็นเรื่องใหญ่กว่า เพราะฉะนั้น ก็ควรจะพูด

~ ในการเป็นพุทธบริษัท เพื่อจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ต้องเป็นผู้ตรงต่อธรรม ทั้งกาย ทั้ง วาจา ทั้งใจ แต่ถ้าท่านผู้ใดยังไม่ตรง ยังเห็นแก่บุคคลบ้าง สำนักบ้าง สถานที่บ้าง ข้อปฏิบัติที่คลาดเคลื่อนบ้าง ก็ย่อมไม่สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้เลย

~ พระธรรมวินัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้โดยละเอียดครบถ้วน ทั้งพระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก เพื่อเกื้อกูลพุทธบริษัทให้ศึกษา และเป็นผู้ตรงต่อธรรมวินัยจริงๆ การประพฤติปฏิบัติก็ต้องตรงต่อธรรมวินัย ผู้ที่จะเป็นพระอริยเจ้า (ผู้ประเสริฐ ผู้ห่างไกลจากกิเลสที่ดับได้) ต้องเป็นตรง ถ้าคดโค้ง หรือว่าคดโกง ไม่ตรงต่อธรรม ทั้งในความเข้าใจ ทั้งในการประพฤติปฏิบัติ ก็ไม่สามารถที่จะเป็นอริยเจ้าได้

~ ถ้าคิดย้อนไปเมื่อ ๒,๕๐๐ กว่าปี จริงๆ แล้วก็ไม่นาน ถ้าจะเกิดในภพภูมิบางภูมิก็อาจจะเพียงชาติเดียวก็มาเกิดในโลกนี้ก็ได้ หรือถ้าจะเกิดเป็นสัตว์เล็กสัตว์น้อย หรือเป็นมนุษย์ก็นับไป อายุไม่เกิน ๑๐๐ ปี ก็อาจจะ ๒๐๐ กว่าชาติ บางชาติก็อายุสั้นอายุน้อย แต่ก็ไม่ไกลนักถ้าเทียบกับ ๑ กัปป์ จะเห็นได้ว่าระยะเวลาเพียง ๒,๕๐๐ กว่าปีที่ผ่านไป ถ้ามีผู้ที่เคยฟังพระธรรมแม้ว่าในครั้งนั้นยังไม่ได้อบรมเจริญปัญญาไว้มาก แต่ก็ยังมีปัจจัยที่จะทำให้มีความสนใจที่จะไม่เข้าใจผิดที่จะพิจารณาพระธรรมโดยถูกต้อง และก็สะสมอบรมต่อไป

~ ถ้าจะเกิดการรังเกียจหรือหิริ (ความละอายต่ออกุศล) จริงๆ ต้องเป็นความรังเกียจหรือหิริในอกุศลของตนเอง ไม่ใช่รังเกียจอกุศลของคนอื่น เพราะบางคนก็เห็นกายวาจาของคนอื่นที่ไม่ดีงาม ที่น่ารังเกียจ แต่ว่าขณะใดที่คิดรังเกียจอกุศลของคนอื่น ที่จะไม่เกื้อกูล ไม่เมตตา ไม่สงเคราะห์ ไม่กรุณา ขณะนั้นก็ลองพิจารณาดูว่า การรังเกียจอกุศลของคนอื่น (ในลักษณะอย่างนั้น) เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ดีหรือไม่ดี?

~ ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย จะมีสุขมีทุกข์ไม่ได้เลย แต่เพราะเหตุว่าเมื่อมีตาเกิดขึ้น ก็มีสุขทุกข์ที่เกิดเพราะตาเห็น เมื่อมีหู ก็มีสุขทุกข์เกิดขึ้นเพราะการได้ยิน เมื่อมีจมูก ก็มีสุขทุกข์เกิดขึ้นเพราะการได้กลิ่น เมื่อมีลิ้น ก็มีสุขทุกข์เกิดขึ้นเพราะการลิ้มรส เมื่อมีกาย ก็มีสุขทุกข์เกิดขึ้นเพราะการกระทบสัมผัส เมื่อมีใจ ก็มีสุขทุกข์เกิดขึ้นเพราะการคิดนึก

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงพระธรรมเพื่อให้เจริญกุศลทุกประการ จนกว่าจะดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉท (ถอนขึ้นได้อย่างเด็ดขาด)

~ การฟังพระธรรมเพื่อให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริง ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ และที่ชื่อว่า อภิธรรม ก็คือ เป็นธรรมส่วนละเอียด ที่จะทำให้เห็นจริงว่า สภาพธรรมเหล่านี้ ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เพราะเหตุว่าก่อนที่จะฟังพระธรรม ก็ยึดถือสภาพธรรมทั้งหมดว่าเป็นเรา เป็นตัวตน ที่กำลังเห็น ก็เป็นเราเห็น ที่กำลังได้ยิน ก็เป็นเราได้ยิน ที่กำลังคิดนึก ก็เป็นเราคิดนึก ที่กำลังเป็นสุขเป็นทุกข์ ก็เป็นเรา นี่เป็นความเห็นผิดจึงศึกษาพระธรรมส่วนละเอียดที่เป็นพระอภิธรรม เพื่อที่จะให้เข้าใจได้จริงๆ ว่า ไม่มีสักขณะเดียวซึ่งเป็นตัวตน เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย

~ วันหนึ่งๆ คนที่มีลูกศร (คือกิเลส) ปักอยู่ในใจ ทำอะไร พล่านไปทางโน้น ทางนี้ ทางนั้นตามกำลังของลูกศร เห็นโทษเห็นภัยหรือเปล่าว่า จะสงบได้ต่อเมื่อไม่มีลูกศร แต่ไม่สามารถเอาลูกศรออกเองได้เลย เพราะมีสะสมอยู่ในจิตมานานมาก ด้วยเหตุนี้ถ้านึกถึงภาพ ซึ่งเป็นภาพที่ทุกคนกำลังพล่านไปทุกวัน ทุกนาที แล้วแต่ว่าจะไปทางไหน เพราะเหตุว่ายังคงมีลูกศร คือ อกุศลอยู่ในจิตใจ พระธรรมที่ทรงแสดง แสดงให้เห็นความจริง ซึ่งถ้าไม่ฟังจะไม่รู้เลยว่า ขณะนี้ไม่รู้แค่ไหน แล้วติดข้องมากมายแค่ไหน จึงมีความขุ่นใจเพราะไม่ได้สิ่งที่ต้องการ ก็เป็นชีวิตแต่ละวันตามความเป็นจริง

~ มิตรแท้คือผู้ที่หวังดี พร้อมทำประโยชน์เกื้อกูลทุกสถานทั้งต่อหน้าและลับหลัง และทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจ นั่นคือมิตรผู้ที่หวังดี ในสังสารวัฏฏ์ก็คงจะมีทั้งมิตรและศัตรูแน่นอน แม้ในปัจจุบันชาตินี้หรือชาติต่อๆ ไป ก็จะมีทั้งคนที่หวังดีและหวังร้าย ถ้าเป็นศัตรูก็ตรงกันข้ามทุกประการ ทั้งกายวาจาก็เป็นไปในทางทำลายและทำร้าย นั่นคือ ศัตรู

~ พระธรรมนำไปสู่การละอกุศล การเจริญกุศลและดับอกุศลตามลำดับ อย่างพระโสดาบันก็ไม่เห็นผิดในสภาพธรรมที่ปรากฏ แล้วค่อยๆ ละอกุศล ความติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย) เบาบางลง จนมีปัญญาถึงขั้นพระอนาคามี ไม่ยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ แต่ยังยินดีในความเป็น เมื่อถึงความเป็นพระอรหันต์เมื่อไร ก็รู้ว่าไม่มีความติดข้องใดๆ เหลืออยู่เลย

~ แท้ที่จริงแล้วไม่มีใคร ไม่ว่าจะเป็นชาติใด ภาษาใด เด็ก ผู้ใหญ่ ยศถาบรรดาศักดิ์ ตำแหน่งใดๆ ทั้งสิ้น ดีคือดี ชั่วคือชั่ว

~ ทุกคนต้องจากโลกนี้ไป วันหนึ่งก็จะถึงเวลาที่ไม่รู้ว่า โลกนี้เป็นอย่างไรต่อไปอีกแล้ว เพราะว่าจากไปสู่โลกอื่น แต่ว่าจะจากไปสู่ที่ไหน ถ้าเป็นผลของกุศล บุญนั้น ชื่อว่า ตาณะ เพราะหมายความว่า เป็นที่ต้านทานของผู้ไปสู่ปรโลก จะต้านทานไม่ให้ไปสู่อบายภูมิทั้ง ๔ (มีนรกเป็นต้น) ซึ่งเป็นภูมิที่ไหลไปโดยง่าย

~ ความโกรธไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับใครเลย

~ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ไพเราะ เพราะว่าเป็นสัจจธรรมที่พิสูจน์ได้ทุกกาลสมัย แม้ในขณะนี้ อย่างเรื่องการเห็นก็เป็นสิ่งที่มีจริง และก็เป็นอนัตตา (ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น) ด้วย เพราะฉะนั้น คำที่ไพเราะ คือ คำจริง ถ้าเป็นคำไม่จริง เป็นคำเท็จ แม้เมื่อฟังดูเหมือนจะไพเราะ แต่ว่าเมื่อไม่จริงแล้ว ก็ย่อมไม่ใช่ความไพเราะ

~ กิเลส (เครื่องเศร้าหมองของจิต) ทำหน้าที่ของกิเลส คือ โลภะเขาก็มีกิจหน้าที่ของเขา คือ ติดทุกสิ่งทุกอย่าง เห็นแล้วก็ชอบอยากได้ ได้ยินเสียงก็ติดข้อง มีความยึดมั่นไม่สละ นั่นคือกิจของโลภะ ถ้าโทสะก็เป็นสภาพที่หยาบกระด้าง ขณะใดที่เกิดขึ้นเขาก็แข็งกระด้าง ขุ่นเคือง ทำร้ายทำลายทุกอย่าง นั่นคือลักษณะของโทสะ

~ ปัญญามีกิจที่ตรงกันข้ามกับอกุศล เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่า เราทำอะไรไม่ได้เลย ถ้าเรารู้กิจของปัญญา ถ้าปัญญาสามารถที่จะรู้ว่าสิ่งใดผิด สิ่งใดถูก สิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร เราก็จะอบรมเจริญปัญญา ให้ปัญญาเกิดขึ้นแล้วก็ทำกิจของปัญญาได้ แต่ถ้าปัญญาไม่เกิด แล้วจะอ้อนวอนขอให้เราเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ก็เป็นไปไม่ได้ และอยู่ดีๆ ปัญญาก็เกิดไม่ได้ ต้องอบรมเจริญให้ค่อยๆ เกิดขึ้น

~ ถ้าไม่มีปัญญา ก็ไม่สามารถรู้ถึงโทษของอกุศลได้เลย

~ เมื่อยังมีชีวิตอยู่ ก็ไม่ควรที่จะทำอกุศลกรรม

~ คิดเรื่องอื่น แต่ไม่คิดว่าจะตาย

~ ควรที่จะได้รู้ความจริง ก่อนที่จะละจากโลกนี้ไป

~ มีธรรมอยู่ตลอด และ ไม่รู้อยู่ตลอด จึงต้องฟังพระธรรมให้เข้าใจ

~ ความดีที่ประเสริฐสุด คือ ได้เข้าใจความจริง

~ มีชีวิตอยู่อย่างประมาท ก็ไม่ต่างอะไรกับผู้ที่ตายแล้ว เพราะผู้ที่ตายแล้ว ไม่สามารถเจริญกุศลได้ ไม่สามารถฟังพระธรรมอบรมเจริญปัญญาได้

~ ชีวิตสั้นแสนสั้น เมื่อรู้อย่างนี้จะเบียดเบียนทำร้ายผู้อื่นไหม?

~ สิ่งที่ควรกลัว ไม่ใช่ความตาย แต่สิ่งที่ควรกลัว คือ อกุศล ความชั่วทั้งหลาย

~ ธรรมดาของคน น้อยคนที่จะได้เกิดเป็นมนุษย์อีกคิดดูคำพูดแค่นี้ น่ากลัวไหม?เพราะว่ากิเลสมีมากทุกวันด้วยความไม่รู้หรือรู้ก็ตาม แต่ก็ยับยั้งไม่ได้ เพราะมีเหตุปัจจัยที่ยังจะต้องเกิดอยู่ เพราะเหตุมี ผลก็ต้องมี เพราะฉะนั้นความไม่ดีทั้งหมดไม่ได้นำไปสู่สุคติ

~ ต้องรู้จริงๆ จึงสามารถที่จะดำรงพระศาสนาไว้ได้ และการที่จะให้พระศาสนาดำรงอยู่ ลองคิดดูว่าคุณมหาศาลแค่ไหน เพราะกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะบำเพ็ญบารมีได้ตรัสรู้ ได้แสดงธรรมจนมาถึงเราได้ ให้เราได้มีโอกาสได้ฟัง ได้เข้าใจถูกต้อง แล้วเราจะไม่ประคับประคองช่วยให้คนอื่นได้เห็นถูกหรือ หรือพากันเห็นผิดไปหมด?

~ ทุกคนที่มีความเข้าใจธรรมแล้ว ก็มีความเป็นมิตรกับคนอื่นที่ไม่เข้าใจและทำในสิ่งทีไม่ถูกต้อง เพราะฉะนั้น เราก็ไม่ท้อถอยในการที่จะให้คนอื่นได้เข้าใจด้วย

~ ชีวิตมีค่าที่สุดเมื่อได้เข้าใจพระธรรม ส่วนชีวิตที่ไม่เข้าใจพระธรรม มีแต่จะทำทุจริตต่างๆ และต่ำลงไปในทางทุจริต ในทางอกุศล เพราะความไม่รู้ อะไรจะฉุดทุกคนขึ้นจากความไม่รู้และจากอกุศล ก็มีทางเดียว คือ การมีโอกาสได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๓๓

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 14 ม.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
mammam929
วันที่ 14 ม.ค. 2561

กราบบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ที่เคารพยิ่งและกราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
มกร
วันที่ 14 ม.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
meenalovechoompoo
วันที่ 14 ม.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
peem
วันที่ 14 ม.ค. 2561

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
thilda
วันที่ 14 ม.ค. 2561

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
j.jim
วันที่ 15 ม.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
siraya
วันที่ 15 ม.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 15 ม.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
jaturong
วันที่ 15 ม.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
panasda
วันที่ 15 ม.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
kullawat
วันที่ 16 ม.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
kukeart
วันที่ 17 ม.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
nattawan
วันที่ 19 ม.ค. 2561

ฟังธรรมเพื่อเข้าใจว่าเป็นธรรมะไม่ใช่เรา เป็นการละตลอดทาง

ขอบคุณและอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
chatchai.k
วันที่ 7 พ.ย. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ