บทแผ่เมตตาให้ตัวเอง
อะหัง สุขิโต โหมิ (ขอให้ข้าพเจ้ามีความสุข)
อะหัง นิททุกโข โหมิ (ขอให้ข้าพเจ้าปราศจากความทุกข์)
อะหัง อะเวโร โหมิ (ขอให้ข้าพเจ้าปราศจากเวร)
อะหัง อัพยาปัชโฌ โหมิ (ขอให้ข้าพเจ้าปราศจากอุปสรรคอันตรายทั้งปวง)
สุขี อัตตานัง ปะริหะรามิ (ขอให้ข้าพเจ้าจงมีความสุขกายสุขใจ รักษากายวาจาใจให้พ้นจาก ทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด)
ขอเรียนถามว่า
1. คำแปลของบทแผ่เมตตา มีคำว่า "ขอให้" ในขณะที่เราบอกว่า พุทธศาสนาไม่ได้สอนให้มีการอ้อนวอนร้องขอ จึงไม่เข้าใจความหมายของคำว่า ขอให้ กับการร้องขอ เหมือนหรือต่างกันอย่างไรครับ
2. ปราศจากเวร หมายความว่าอย่างไรครับ อยากทราบความหมายที่แท้จริงของคำว่า เวร
ขออนุโมทนาและขอบคุณครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การอบรมเจริญเมตตา หมายถึงการมีจิตคิดปรารถนาดี มีไมตรี มีความหวังดี มีความเป็นเพื่อน และเป็นมิตรกับผู้อื่น คือมีการกระทำทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ เพื่อให้ผู้อื่นมีความสุข สำหรับผู้ที่จะเจริญเมตตากับผู้อื่นนั้น ท่านอรรถกถาจารย์ได้แสดงไว้ว่า ควรเจริญเมตตาในตนก่อน ข้อความตรงนี้หมายถึงกระทำตนให้เป็นพยาน คือ ตนเองรักสุขเกลียดทุกข์ฉันใด ผู้อื่นก็ฉันนั้น เพราะฉะนั้น ข้อความดังกล่าวไม่ได้หมายความว่าต้องเห็นแก่ตัวเองก่อน เพียงทำตนให้เป็นพยานเท่านั้น อีกอย่างหนึ่งการแผ่เมตตา ในตอนแรกยังแผ่ไม่ได้ ต้องอบรมเจริญให้มีมากๆ ก่อนแล้วจึงแผ่ไปยังสรรพพสัตว์ในภายหลัง
การแผ่เมตตาในสมัยครั้งพุทธกาล คือ ผู้ที่มีปัญญาอบรมเจริญเมตตาจนมีกำลังมาก ไม่มีประมาณ จิตสงบ ระดับฌานจิต แล้วแผ่ความปรารถนาดี ความหวังดีไปยังสรรพสัตว์ทุกหมู่เหล่า ทุกทิศ ไม่มียกเว้นสัตว์ประเภทใดเลย แต่ก่อนที่จะถึงระดับขั้นที่สามารถแผ่ได้จะต้องอบรมเมตตาตั้งแต่เบื้องต้น คือ ความเป็นมิตร ความเป็นเพื่อน ความมีไมตรี ความหวังดีแก่เพื่อนๆ แก่สัตว์บุคคลที่เราพบเห็นทั้งหมด ถ้าหากว่ายังไม่สามารถมีความปรารถนาดี หรือเป็นมิตรกับทุกคนที่เราพบ คือยังมีความไม่ชอบหน้าบุคคลบางคน เมตตาชื่อว่ายังไม่ได้เจริญให้มีกำลัง แบบนี้ยังแผ่ไม่ได้ ส่วนการท่องคำแผ่เมตตาว่า สัพเพสัตตา เป็นต้นนั้น เรียกว่า ท่องคำแผ่เมตตาไม่ใช่แผ่เมตตา
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอเชิญคลิกศึกษาเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ
เมตตาตัวเองได้หรือ
...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...