ทุกข์หรือธรรม ก่อน
เมื่อใดเห็นทุกข์ แล้วจึงเห็นธรรม คำนี้ใช้ได้ใช่หรือไม่
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ทุกข์ คือ ความจริงอย่างประเสริฐคือสภาพที่ทนได้ยาก หมายถึง สภาพธรรมที่เกิดดับ และทำให้เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏฏ์ คือ จิต ๘๑ เจตสิก ๕๒ รูป ๒๘ ซึ่งเป็นโลกียธรรมทั้งหมด
ทำไมต้องกำหนดรู้
ทุกขอริยสัจจะ กิจ คือ ควรกำหนดรู้ ที่เรียกว่า ปริญญากิจ ที่ควรกำหนดรู้ เพราะ เราไม่รู้ความจริงว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้น เป็นแต่เพียงธรรมที่เกิดขึ้นและดับไปที่เป็นทุกข์เมื่อไม่รู้ว่า เป็นแต่เพียงธรรมที่เกิดขึ้นและดับไปที่เป็นทุกข์ ไม่ใช่เรา จึงเป็นทุกข์ประการต่างๆ เพราะไม่รู้ความจริง และเพราะไม่รู้ความจริงว่าไม่เที่ยง ด้วยปัญญา ก็ย่อมไม่เห็นโลกตามความเป็นจริง หลงยึดติดในสิ่งที่เป็นสมมติ ไม่รู้ความจริงว่ามีแต่ธรรมที่เป็นทุกข์เท่านั้น เมื่อไม่รู้จึงทำบาป เมื่อทำบาปก็ทำให้เกิดในอบายและวนเวียนในสังสารวัฏฏ์ไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้น จึงควรรู้ทุกข์ตามความเป็นจริงด้วยปัญญาคือ กำหนดรู้ด้วยปัญญา เพื่อจะได้เห็นทุกข์ตามความเป็นจริง เกิดปัญญาดับกิเลสอันนำมาซึ่งทุกข์ครับ
อย่างไรจึงจะเรียกว่าการกำหนดรู้
เมื่อปัญญาเกิดรู้ความจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฎที่เป็นทุกข์ รู้ความจริงว่าไม่เที่ยงเป็นทุกข์และเป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา นั่นคือ สติปัฏฐานเกิดรู้ความจริงนั่นเองครับชื่อว่า กำหนดรู้แล้ว รู้ด้วยปัญญา โดยไม่มีเราที่จะไปกำหนดรู้
กำหนดรู้แล้วได้อะไร
เมื่อปัญญารู้ความจริงของสภาพธรรม สิ่งที่ได้ คือ การรู้จักโลกตามความเป็นจริงสิ่งทีได้ คือ วิชชา ปัญญาเกิด ย่อมละ ความไม่รู้ อวิชชาและกิเลสประการต่างๆ ได้จนดับกิเลสหมด และไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด อันนำมาซึ่งทุกข์ ครับ
เพราะฉะนั้น เมื่อรู้ทุกข์ก็รู้ธรรม แต่ ทุกข์ตามที่กล่าวมามีความละเอียดลึกซึ้ง ไม่ใช่แค่ทุกข์กายและทุกข์ใจ และ วิธีการรู้ทุกข์ ก็ด้วยปัญญา ที่ไม่ใช่หนทางผิด มีการไปนั่งสมาธิ เดินจงกรม เป็นต้น ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรมทุกคำ แต่ละคำ เป็นคำจริง แสดงเพื่อให้เข้าใจความจริง ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจไปทีละคำแล้ว จะมีความเข้าใจละเอียดลึกซึ้งได้อย่างไร ถ้าไม่ตั้งต้นที่ว่า คำนั้น คือ อะไร พูดไปทั้งวันก็ไม่รู้อะไร เพราะเต็มไปด้วยความไม่รู้พูดในคำที่ไม่รู้จัก เพราะฉะนั้น พระธรรม มีคุณค่ามาก ก็จะต้องมีความละเอียดรอบคอบในการศึกษา ไม่ประมาทในแต่ละคำที่ได้ยินได้ฟัง เมื่อค่อยๆ ศึกษาไปตามลำดับ ความเข้าใจก็จะค่อยๆ เจริญขึ้น และที่สำคัญธรรมเป็นเรื่องของตัวเองทั้งหมดตั้งแต่ตื่นจนหลับตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่พ้นจากธรรมเลย
คำว่า ธรรม เป็นคำมาจากภาษาบาลี แต่ถ้าเป็นคำไทยแล้วก็คือ สิ่งที่มีจริง แล้วสิ่งที่มีจริง นั้น คือ อะไร? คือ ขณะนี้หรือไม่ ที่กำลังเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกาย คิดนึก ขณะที่เป็นกุศล ความดีงามเกิดขึ้นเป็นไป มีเมตตา ให้ทานรักษาศีล ฟังพระธรรม ช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น เป็นต้น หรือ ในทางตรงกันข้าม ขณะที่อกุศลเกิด ไม่ว่าจะเป็นความติดข้องยินดีพอใจ หรือความโกรธ ความขุ่นเคืองใจไม่พอใจ ตลอดจนถึงสภาพธรรมที่ไม่ดีประการอื่นๆ ล้วนเป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งใครๆ ก็ปฏิเสธไม่ได้ นอกจากนั้นแล้วสิ่งที่มีจริง ที่ไม่ใช่สภาพรู้ คือ รูปธรรมก็มีจริงๆ เช่น สี มีจริงเสียงมีจริง กลิ่นมีจริง เป็นต้น เหล่านี้ทั้งหมดเป็นสิ่งที่มีจริง เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ไม่เที่ยงไม่ยั่งยืนเลย ยิ่งถ้าได้สะสมความเข้าใจไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งจะมั่นคงว่า สิ่งที่มีจริงๆ นั้น คือ ขณะนี้ที่เป็นนามธรรมกับรูปธรรมนั่นเอง ครับ
... อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...
การศึกษาพระธรรมต้องเป็นผู้ละเอียด ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ