ปรึกษาเรื่อง ความรัก

 
Pissamai
วันที่  28 เม.ย. 2561
หมายเลข  29697
อ่าน  6,671

อยากขอคำปรึกษาค่ะ: ดิฉันกับแฟนเราคบกันมาจนถึง ๖ ปีแล้วค่ะ แต่ช่วงปีที่ ๖ นี้ เขาเริ่มเปลี่ยนไป เขาอารมณ์เสียชวนทะเลาะบ่อยขึ้น หงุดหงิดง่าย เวลาโทรหาเขาก็ไม่อยากคุย เราทำอะไรก็ไม่ถูกใจเขาทุกเรื่อง ดิฉันไม่รู้จะทำอย่างไรให้เขาเป็นคนรักคนเดิมได้ ทุกๆ วัน เขามักจะพูดบั่นทอนจิตใจของเรา จนดิฉันต้องนอนร้องไห้ทุกคืน ไม่มีความสุขเหมือนเคยอีกเลยค่ะ ดิฉันจะทำอย่างไรคะ ให้ชีวิตคู่เราอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขได้


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 28 เม.ย. 2561

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ทุกข์มีจริงเกิดขึ้นแล้วเพราะมีเหตุให้เกิดขึ้น เพราะมีรักจึงมีทุกข์ เพราะสิ่งที่รักนั้นแปรปรวนไป ไม่เป็นไปตามความต้องการ ก็ต้องมีทุกข์เป็นธรรมดา ดังที่นางวิสาขาหลานของท่านตาย แม้ท่านเป็นพระโสดาบันแล้ว ท่านก็ยังทุกข์ใจมากมาย เพราะท่านรักหลานของท่าน เมื่อไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธจึงตรัสถามว่า ทำไมเธอถึงเศร้าโศก นางวิสาขาจึงกราบทูลว่า หลานสาวข้าพระองค์สิ้นชีวิต พระพุทธเจ้าจึงตรัสคาถาว่า มีรักหนึ่ง ก็มีทุกข์หนึ่ง มีรักสอง ก็มีทุกข์สอง มีรัก ร้อยหนึ่ง ก็ทุกข์ร้อยหนึ่ง ผู้ที่ไม่มีรักจึงไม่มีทุกข์ นี่แสดงให้เห็นถึงความเป็นธรรมดาของความทุกข์ที่จะต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดาในชีวิตประจำวันที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย ในความเป็นปุถุชนที่ยังหนาด้วยกิเลสและเต็มไปด้วย ความติดข้องที่เป็นโลภะ อันเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์และเพราะมีอวิชชา ความไม่รู้ จึงต้องมีการเกิดและต้องทุกข์กายและใจเป็นธรรมดา ดังนั้น จึงไม่ใช่การบอกวิธีให้ทำใจหายจากทุกข์ได้ทันที แต่ต้องเข้าใจความจริงที่เกิดแล้วว่าทุกข์มีจริง ขณะที่คิดถึงคนนั้น แฟน หรือ บุคคลที่ยึดถือ เป็นแต่เรื่องที่คิด และทุกอย่างก็ผ่านไปหมดแล้ว หากจะพูดถึงทางโลกก็จะกล่าวว่า คนที่ไม่รักเรา ควรหรือที่จะเศร้าโศกถึง เพราะทำอย่างไร จะร้องไห้สักเท่าไหร่ ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะเขาก็ไม่ได้สงสาร ไม่ได้รักเรา และทุกอย่างก็ผ่านไปหมด อันนี้ แนะนำอย่างที่แนะนำทั่วไป แต่การคลายโศกด้วยวิธีนี้ก็เป็นเพียงชั่วคราว แต่ก็เป็นเราๆ เขาๆ ไม่ได้เข้าใจความจริงว่าเป็นธรรม แต่ประโยชน์ที่จะคลายโศก ทุกข์ใจจริงๆ คือ การแก้ที่ต้นเหตุ คือ เหตุคือ กิเลสประการต่างๆ ที่มีอยู่ในใจ ที่ทำให้เกิดความรัก มีโลภะ เป็นต้น เป็นเหตุให้ทุกข์ใจ การแก้ที่ต้นเหตุ คือ อบรมธรรมฝ่ายตรงกันข้ามที่จะละกิเลส คือ ละโลภะได้ด้วยการเจริญปัญญาศึกษาพระธรรมของพระพุทธเจ้า แต่ต้องไม่ลืมว่า กิเลสมีมากและสะสมมาเนิ่นนาน จะให้หายทุกข์ใจ ทำใจได้ทันทีคงเป็นไปไม่ได้ครับ เพราะปัญญามีน้อยมาก ต้องค่อยๆ สะสมไป แต่การเริ่มจากเหตุที่ถูก ในการจะละความทุกข์ได้จริง ดีกว่า ประเสริฐกว่าการจะทำให้ทุกข์หายไปทันทีด้วยเพียงการปลอบใจอย่างชาวโลกครับ เพราะเดี๋ยวก็ต้องทุกข์อีกแน่นอนครับ แต่ผู้ที่เริ่มสะสมเหตุที่ถูกคือการอบรมปัญญา แม้จะทุกข์บ้างเป็นธรรมดาของปุถุชน แต่ก็ค่อยๆ ละทุกข์ได้ทีละน้อยด้วยปัญญาและในที่สุดวันหนึ่งก็ละทุกข์ได้จริงๆ ครับ ดังนั้นในพระพุทธศาสนา จึงทำใจไม่ได้ เพราะบังคับให้เป็นไปตามต้องการไมได้ แต่ค่อยๆ เข้าใจความจริงได้ครับ

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 359

[๒๗๑] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า

ผู้มีทุกข์นั่นแหละ จึงมีความเพลิดเพลิน ผู้มีความเพลิดเพลินนั่นแหละ จึงมีทุกข์ ภิกษุย่อมเป็นผู้ไม่มีความเพลิดเพลิน ไม่มีทุกข์ ท่านจงรู้อย่างนี้เถิด ผู้มีอายุ.

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 28 เม.ย. 2561

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ความรัก ความติดข้องความยินดีพอใจ เป็นโลภะ เป็นอกุศลธรรม เป็นกิเลสตัณหา เป็นเครื่องเศร้าหมองของจิตใจ ไม่ใช่เพียงแค่ความรักของหนุ่มสาวเท่านั้น ความรักพี่น้อง รักเพื่อน หรือ ความติดข้องยินดีพอใจในกามคุณ ๕ กล่าวคือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย) ก็เป็นโลภะ เป็นตัณหาเหมือนกัน และที่สำคัญ ตัณหาเป็นต้นเหตุของทุกข์ทั้งปวง เพราะมีรัก เมื่อยังไม่พลัดพรากจากสิ่งที่รัก ก็เพิ่มโลภะมากยิ่งขึ้น แต่ถ้าผิดหวัง หรือ พลัดพรากจากสิ่งที่รัก ก็เป็นเหตุแห่งทุกข์ นำมาซึ่งความเศร้าโศกเสียใจ เมื่อกล่าวโดยรวมแล้ว ทุกข์ที่เกิดขึ้นก็เพราะยังมีตัณหา เมื่อดับตัณหาเสียได้ ทุกข์ย่อมถูกดับไปด้วย

โลภะ (หรือตัณหา) เกิดขึ้นเมื่อใด ย่อมทำให้ไม่เห็นสภาพธรรมตามความเป็นจริง เพราะขณะที่โลภะเกิด ย่อมมีโมหะ (ความไม่รู้) เกิดร่วมด้วยทุกครั้ง ทำให้คิดไปในทางที่ผิด การพูดก็ผิด การกระทำก็ผิด ทำให้ไม่รู้ว่าสิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร ไม่รู้ว่าสิ่งใดมีโทษ สิ่งใดไม่มีโทษ ไม่รู้ว่าสิ่งใดมีประโยชน์ สิ่งใดไม่มีประโยชน์, ขณะที่กุศลจิตเกิด จึงไม่นำมาซึ่งประโยชน์ใดๆ เลย ทำให้ไม่รู้ความจริง แต่โดยนัยตรงกันข้ามเมื่อปัญญาเกิด ย่อมเห็นตามความเป็นจริง

บุคคลผู้ที่เข้าใจตามความเป็นจริงว่ากิเลสเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ แล้วก็ใคร่ที่จะละคลายกิเลสลง ด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา ไม่ละเลยโอกาสของการเจริญกุศลทุกๆ ประการ สะสมอุปนิสัยในการอบรมเจริญปัญญาเป็นปกติทุกๆ วันเพื่อละคลายกิเลสของตนเอง บุคคลประเภทนี้ เป็นบัณฑิต ควรอย่างยิ่งที่จะเป็นอย่างนี้ ด้วยเห็นประโยชน์ของการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมในแนวทางที่ถูกต้อง สะสมความเข้าใจถูกต่อไป เพราะคนอื่นหรือทรัพย์สมบัติต่างๆ ไม่ใช่ที่พึ่่งที่แท้จริงในชีวิต ไม่ใช่สิ่งที่จะติดตามไปในภพหน้าได้ แต่ความดี และปัญญาที่สะสมไว้ตั้งแต่เมื่อยังมีชีวิตอยู่เท่านั้นที่จะสะสมเป็นที่พึ่งต่อไปในภายหน้า ครับ.

ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ

ความโศกและภัยย่อมเกิดแต่ของที่รัก

ความรัก...

ความรักและความเมตตา

...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 2 พ.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 2 พ.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
peem
วันที่ 4 พ.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Kantteer^_^
วันที่ 5 พ.ค. 2561

สาธุๆ ๆ ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
hetingsong
วันที่ 5 พ.ค. 2561

แปลกนะครับ

ขณะที่ขณะที่หลับความทุกข์และเศร้าใจหายไปอยู่ไหน

และขณะที่ต้องการให้คนที่รักมาเข้าใจและรับรู้ถึงความเจ็บช้ำในจิตใจ ก็เป็นเพียงเราที่รับรู้เพียงผู้เดียว

ทำให้เขามารักก็ไม่ได้ ทำให้ไม่รักเค้าก็ไม่ได้ บังคับบัญชาไม่ได้เลยจริงๆ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
kukeart
วันที่ 6 พ.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
Tommy9
วันที่ 8 พ.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
papon
วันที่ 9 พ.ค. 2561

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
wannee.s
วันที่ 15 พ.ค. 2561

ทุกสิ่งเกิดขึ้นแล้วดับไป ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร เราไม่สามารถทำให้ใครรักเราได้ตลอดไป แต่เราสามารถอบรมปัญญา เพราะปัญญาทำให้พ้นทุกข์ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
Sea
วันที่ 13 ต.ค. 2564

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
chatchai.k
วันที่ 13 ต.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ