พระภิกษุกับเงิน ความเข้าใจผิดของสังคม
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระภิกษุกับเงิน ความเข้าใจผิดของสังคมและที่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย
พระภิกษุ คือ ใคร พระภิกษุ คือ บุคคลที่ออกบวชเป็นบรรพชิต เพราะเห็นโทษของกิเลสด้วยปัญญา สละทุกสิ่งที่เป็นอย่างคฤหัสถ์ ละการกระทำอย่างคฤหัสถ์ ประพฤติขัดเกลาละกิเลสอย่างยิ่งเพื่อถึงการดับทุกข์ โดยมีพระวินัยบัญญัติที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงให้ภิกษุประพฤติปฏิบัติตาม ไม่ว่าจะเป็นภิกษุในเมือง ภิกษุชนบท และภิกษุทุกๆ รูปที่บวชมาในพระศาสนานี้ ต่างก็ต้องปฏิบัติตามพระวินัยบัญญัติทุกรูป
เงิน คือ สิ่งที่สังคมสมมติขึ้นมาสำหรับแลกเปลี่ยนเพื่อได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ
พระวินัย เป็นพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ทรงแสดงเกื้อกูลกับพระภิกษุ ที่เป็นพระธรรมที่ทรงแสดงบัญญัติสิกขาบท ข้อห้าม และข้อควรประพฤติ ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญ ให้กุศลที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น และที่เกิดขึ้นแล้วเจริญ และอาสวกิเลสที่ไม่เกิด ก็ไม่เกิดขึ้น และที่เกิดขึ้นแล้วก็ไม่เกิดขึ้น ซึ่งจะเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ อันเป็นรากฐานสำคัญให้กุศลอื่นๆ เจริญจนถึงการดับกิเลส อันเป็นพระวินัย เป็นรากฐานในการขัดเกลากิเลสอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้น ภิกษุที่ดี ที่เป็น ลัชชี (ผู้มีความละอาย) ย่อมรักษาพระวินัยไว้
พระวินัยบัญญัติข้อภิกษุ เกี่ยวกับเงินทอง ที่ภิกษุทุกรูปไม่ว่ารูปใดหรืออยู่วัดใด วัดในเมือง วัดชนบท ต้องประพฤติปฏิบัติตามเมื่อบวชเป็นบรรพชิต
[เล่มที่ 3] พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 940
พระบัญญัติ
๓๗. ๘. อนึ่ง ภิกษุใด รับก็ดี ให้รับก็ดี ซึ่งทอง เงิน หรือ ยินดีทอง เงิน อันเขาเก็บไว้ให้ เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์.
[เล่มที่ 29] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๒ - หน้า 212
๑๐. มณิจูฬกสูตร
"ทองและเงินไม่ควรแก่สมณศากยบุตร สมณศากยบุตรย่อมไม่ยินดีทองและเงิน สมณศากยบุตรห้ามแก้วและทอง ปราศจากทองและเงิน ... เรามิได้กล่าวว่า สมณศากยบุตรพึงยินดี พึงแสวงหาทองและเงินโดยปริยายอะไรเลย."
[เล่มที่ 45] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้า 327
๑๑. อปายสูตร
"คนเป็นอันมากอันผ้ากาสาวะพันคอ มีธรรมอันลามกไม่สำรวม คนลามกเหล่านั้นย่อมเข้าถึงนรก เพราะกรรมอันลามกทั้งหลาย ก้อนเหล็กร้อนเปรียบด้วยเปลวไฟ อันผู้ทุศีลบริโภคแล้วยังประเสริฐกว่า ผู้ทุศีล ไม่สำรวม พึงบริโภคก้อนข้าวของชาวแว่นแคว้น จะประเสริฐอะไร."
เมื่อเราตั้งอยู่บนพื้นฐานความเข้าใจถูกต้องตรงกัน คือตามพระธรรมวินัย ไม่ใช่ตามความคิดชอบใจของตนเองแล้ว สมกับเป็นชาวพุทธที่กล่าวว่ามีพระธรรมเป็นที่พึ่ง และเคารพคำของพระพุทธเจ้า ก็จะสามารถกล่าวไปแต่ละประเด็นในความเข้าใจผิดและความเข้าใจถูกของพระรับเงินทอง
เข้าใจผิด
๑. พระรับเงินไม่อาบัติ (อาบัติ คือ การตกไป ตกไปจากความดี เป็นโทษ ที่เกิดเพราะความละเมิดพระวินัย)
เข้าใจถูก
๑. พระรับเงิน หรือ แม้ยินดีในเงินที่เขาเก็บมาไว้เพื่อตนต้องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ เป็นโทษ พระพุทธเจ้าและบัณฑิตทั้งหลายผู้เข้าใจพระธรรม ย่อมติเตียน ส่วนฝ่าย ภิกษุอลัชชี (ผู้ไม่ละอาย) และคฤหัสถ์ผู้ไม่ได้ศึกษาพระธรรม หรือเข้าใจพระธรรมผิด ย่อมไม่ติเตียนการรับเงินของพระภิกษุ
คฤหัสถ์ไม่ควรถวายเงินพระและใบปวารณา แต่ให้เงินกับไวยาวัจกรของวัดที่ดี มีคุณธรรม ดูแลเงินนั้น ไวยาวัจกร คือคฤหัสถ์ผู้มีศรัทธา เสียสละเพื่อทำประโยชน์ต่อพระภิกษุตามพระธรรมวินัย และภิกษุมีเหตุจำเป็นตามธรรมวินัย จึงขอปัจจัยที่เหมาะสม ที่ไม่ใช่เงินทอง กับไวยาวัจกร เพื่อหาสิ่งที่เหมาะสมให้กับพระภิกษุนั้น โดยคฤหัสถ์ทำการซื้อมาให้ มี บาตร จีวร เป็นต้น
เข้าใจผิด
๒. ยุคสมัยเปลี่ยนไป พระภิกษุรับเงินทองได้
เข้าใจถูก
๒. สัจจะ ความจริงไม่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยเลย อกุศล ความชั่วเป็นอกุศลเป็นความชั่วไม่เปลี่ยนแปลง กุศล ความดีเป็นกุศลเป็นความดี ไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะ ไม่ว่าเกิดกับใคร และช่วงเวลาไหน แม้ อดีต ปัจจุบัน และอนาคต
โลกเปลี่ยนแปลงไปตามสมมติเรื่องราวที่เป็นบัญญัติ ไม่ใช่สัจจะ แต่สภาพธรรมที่มีจริง คือ กุศล อกุศล ไม่เปลี่ยนไปตามโลก เรื่องราวเลย สิ่งใดมีโทษ พระองค์ตรัสว่ามีโทษ ความมีโทษที่ทำให้อกุศลเจริญ ก็ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย แม้แต่การรับและยินดีเงินทองนั้น ของพระภิกษุ พระพุทธองค์ก็ตรัสว่ามีโทษและไม่สมควรกับพระภิกษุไม่ว่ากาลเวลาไหน อดีต ปัจจุบัน และอนาคต เพราะก็ต้องเข้าใจความจริงที่ไม่เปลี่ยนแปลงว่า บวช บรรพชา คือการเว้นทั่วจากกิเลส และเป็นการสละอาคารบ้านเรือน ไม่ใช่เพศคฤหัสถ์แล้ว ดังนั้น จะทำดังเช่นคฤหัสถ์ที่มีการใช้จ่ายเงินและทอง รับเงินทองไม่ได้เลย แต่ถ้าจะใช้เงินทอง หรือปฏิบัติตนดังเช่นคฤหัสถ์ ก็ต้องกลับมาเป็นเพศคฤหัสถ์ดังเดิม สละเพศบรรพชิต
ดังนั้น พระพุทธเจ้าทรงมีพระปัญญาสูงสุด พระองค์ทรงรู้อดีต ปัจจุบัน อนาคต ถ้าบอกว่าเปลี่ยนแปลงได้ ก็กล่าวตู่พระปัญญาคุณของพระพุทธเจ้า เพราะเราไม่มีปัญญา เป็นเพียงแค่ปุถุชน จะกล่าวเปลี่ยนคำของพระพุทธเจ้าไม่สมควรเลย เพราะฉะนั้น ที่กล่าวว่ารับเงินทองได้ เปลี่ยนไปตามยุคสมัย ไม่ได้แย้งกับใคร ก็แย้งกับพระพุทธเจ้าเอง ดังนั้น พุทธบริษัทควรมีพระธรรมเป็นที่พึ่ง มิใช่มีความคิดตนเองเป็นที่พึ่ง และที่วงการสงฆ์วุ่นวายมากขึ้นเรื่อยๆ ก็เพราะ พระรับและยินดีในเงินและทอง และคฤหัสถ์ไม่รู้พระวินัย
เข้าใจผิด
๓. คฤหัสถ์ถวายเงินพระภิกษุได้บุญ
เข้าใจถูก
๓. คฤหัสถ์ถวายเงินพระไม่ได้บุญ เพราะความไม่รู้ และพระภิกษุต้องอาบัติเป็นโทษกับตัวท่าน
การให้ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นกุศลธรรม เป็นความดีทุกครั้ง การให้เพราะเลี้ยงสัตว์เอาไว้ขาย ให้เพราะติดสินบน เหล่านี้ แม้เป็นการให้ แต่ก็ไม่ใช่ทานของสัตบุรุษ ไม่ใช่กุศลธรรม เช่นเดียวกับการให้เงินและทองกับพระภิกษุด้วยความไม่รู้ของผู้ให้ ผิดพระวินัย พระภิกษุต้องโทษ จึงไม่ใช่ทานของสัตบุรุษ ไม่ใช่กุศลธรรม
ดั่งในกฎหมายตรา ๓ ดวง ที่มีขึ้นในรัชกาลที่ ๑ ที่ปราบพวกพระอลัชชี ตั้งขึ้นมาจากผู้มีความเข้าใจพระธรรม ก็แสดงความจริงว่า ฆราวาสผู้ไม่รู้ ไม่มีปัญญา ถวายเงินพระ ไม่ได้บุญ ทำลายพระพุทธศาสนา ... ข้อความบางตอนดังนี้
ฝ่ายฆราวาสก็ปราศจากปัญญา มิได้รู้ว่า ทำทานเช่นนี้จะเกิดผลน้อยมากแก่ตนหามิได้ มักพอใจทำทานแก่ภิกษุสามเณรอันผสมประสานทำการของตนจึ่งทำทาน บางคนย่อมมักง่ายถวายเงินทองของอันเป็นอกัปปิยะมิควรแก่สมณะ สมณะก็มีใจโลภสะสมทรัพย์เลี้ยงชีวิต ผิดพระพุทธบัญญัติ ฉะนี้ ได้ชื่อว่าฆราวาสหมู่นั้นให้กำลังแก่ภิกษุโจรอันปล้นพระศาสนา ทานนั้นหาผลมิได้ ชื่อว่าทำลายพระศาสนา ... "
ชาวพุทธควรพิจารณาศึกษาพระธรรม เข้าใจความจริงตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่าการให้เงินและทองพระภิกษุ พระภิกษุต้องอาบัติ เป็นโทษกับท่าน และทำลายพระพุทธศาสนา และเวลานี้ที่วงการสงฆ์วุ่นวาย ถูกฟ้องร้องเรื่องเงินทองและทำผิดประการต่างๆ ก็เพราะ การรับเงินทองของพระภิกษุ ทุจริตเรื่องเงินทองนั่นเอง ควรที่ชาวพุทธจะรู้ว่าพระที่ดี คือพระที่ประพฤติตามพระวินัย ไม่รับเงินทอง และคฤหัสถ์ที่ดี คือถวายของที่เหมาะสมกับพระภิกษุ ไม่ถวายเงินทอง ก็จะเป็นการช่วยกันทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา กำจัดภิกษุอลัชชี (ผู้ไม่มีความละอาย) ออกไป ภิกษุรับเงินและทอง คือภิกษุมิจฉาชีพ อลัชชี ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง
เข้าใจผิด
๔. วัดมีค่าใช้จ่าย ค่าน้ำ ค่าไฟ ในสมัยปัจจุบัน ไม่เหมือนสมัยก่อน ไม่มีค่าใช้จ่าย พระจึงจำเป็นจะต้องรับเงิน ใช้เงิน
เข้าใจถูก
๔. เป็นความจริงที่ว่าปัจจุบันวัดต้องเสียค่าน้ำ ค่าไฟ แต่มีวิธีการที่ถูกต้องเหมาะสมที่จะไม่ทำให้พระท่านอาบัติ และพระที่ดี ท่านก็จะไม่รับเงินโดยประการทั้งปวง แต่ใช้วิธีที่เหมาะสม
ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าใช้จ่ายที่เป็นเงินในวัด คฤหัสถ์ที่ดีรับเงินดูแลเงิน
เรื่องค่าน้ำ ค่าไฟในวัด แม้ในในอดีตและปัจจุบันก็มีบางวัดประพฤติตามพระวินัย ที่ให้คฤหัสถ์เป็นคนรับเงินของวัด ดูแลเงิน จัดการเงินและจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟให้ โดยที่พระไม่ยุ่งเกี่ยวกับเงินและทองเลย ท่านไม่ต้องอาบัติ แต่เลือกคฤหัสถ์ที่ดี มีคุณธรรมเป็นไวยาวัจกรในการจัดการดูแลเงิน และพระภิกษุก็มีหน้าที่ศึกษาพระธรรม (คันถธุระ) และปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม (วิปัสสนาธุระ) เพราะบวชมา จุดประสงค์คือ ละอาคารบ้านเรือน ไม่ประพฤติตนดั่งเช่นคฤหัสถ์ และบวชเพื่อถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบโดยส่วนเดียว และไม่ใช่ข้ออ้างว่าคฤหัสถ์จะทุจริตเงินวัด จึงจำเป็นที่พระภิกษุต้องรับเงินดูแลเงินเอง ทำทุจริต ผิดพระวินัยเสียเอง เพราะพระรับเงิน ยินดีในเงินทอง เป็นทุจริตแล้วตามพระวินัยบัญญัติ
คฤหัสถ์ไม่ควรถวายเงินพระและใบปวารณา แต่ให้เงินกับไวยาวัจกรของวัดที่ดีมีคุณธรรม ดูแลเงินนั้น และภิกษุมีเหตุจำเป็นตามธรรมวินัย จึงขอปัจจัยที่เหมาะสมที่ไม่ใช่เงินทองกับไวยาวัจกรเพื่อหาสิ่งที่เหมาะสมให้กับพระภิกษุนั้น โดยคฤหัสถ์ทำการซื้อมาให้ มี บาตร จีวร เป็นต้น
เข้าใจผิด
๕. ค่าหมอ ค่ายาไม่ฟรี เดินทางไปหาหมอ ก็ไม่ฟรี จำเป็นที่ยุคสมัยนี้ต้องใช้เงิน และพระต้องรับเงิน
เข้าใจถูก
๕. ปัญหาเหล่านี้จะหมดไป ถ้าทำวิธีการที่ถูกต้อง คือ พระไม่รับเงิน แต่ฆราวาสให้เงินกับคฤหัสถ์ผู้เป็นไวยาวัจกรของวัดโดยตรงดูแล ที่เป็นคนดี มีคุณธรรม และเมื่อพระต้องการยา การเดินทางไปหาหมอ การเดินทาง ไวยาวัจกรนั้นก็จัดสิ่งที่เหมาะสม สมควรให้กับภิกษุนั้นได้ อันทำให้พระไม่ต้องอาบัติรับเงินทอง ยินดีในเงินทอง เพราะมีเงินส่วนกลางของวัดในการบริหารจัดการ ทั้งในเรื่องค่ายา ค่าอื่นๆ ที่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย อันเป็นสิ่งของที่เป็นกัปปิยะ เหมาะสมกับพระภิกษุ ก็สามารถแจ้งไวยาวัจกรวัดได้ในการจัดหา และในสมัยพุทธกาล ภิกษุทั้งหลายก็ดูแลกันเอง มียาตามสมัย ที่เป็นเภสัช มี น้ำผึ้ง น้ำอ้อย ยาดองมูตรเน่า เป็นต้น และแม้ปัจจุบัน จะเปลี่ยนไปอย่างไรก็สามารถใช้วิธีการให้คฤหัสถ์ดูแลได้ในเรื่องยาและค่าใช้จ่ายอื่นๆ รวมทั้งโรงพยาบาลสงฆ์ก็ไม่เสียค่าใช้จ่าย และหากเป็นภิกษุที่ประพฤติดีประพฤติชอบ ก็ย่อมจะเป็นผู้มีโยมอุปัฏฐาก ที่ปวารณาช่วยเหลือในสิ่งที่เหมาะสม
เข้าใจผิด
๖. พระต้องสร้างวัด ซ่อมแซมสิ่งต่างๆ ในวัด พระจึงจำเป็นต้องรับเงินทอง ทำกฐิน ผ้าป่า
เข้าใจถูก
๖. การสร้างวัด พระไม่ใช่ผู้เรี่ยไรเงิน พระไม่ใช่ผู้รับเงิน แต่คฤหัสถ์เป็นคนจัดการเรื่องเงิน
คฤหัสถ์ผู้ฉลาดและเคารพระธรรม เคารพพระพุทธเจ้าและเคารพพระสงฆ์ ย่อมปฏิบัติตามพระวินัย คือไม่ถวายเงินทองกับพระภิกษุและเคารพพระสงฆ์ ไม่ถวายของที่เป็นอกัปปิยะ ของที่ไม่สมควร มีเงิน เป็นต้น กับพระภิกษุเพราะทำให้ท่านต้องอาบัติ คฤหัสถ์ผู้ฉลาดเคารพในพระรัตนตรัย จึงทำวิธีการที่ถูกต้อง ดั่งเช่น สมัยพุทธกาล นางวิสาขา ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี พระเจ้าพิมพิสาร ไม่ได้เอาเงินไปถวายพระพุทธเจ้า ไม่ได้เอาเงินไปถวายท่านพระสารีบุตร เพราะท่านเหล่านั้นเคารพพระพุทธเจ้า เคารพพระธรรม เคารพพระสงฆ์ แต่สร้างวัดถวายเองโดยไม่ให้พระยุ่งเกี่ยวกับเงินและทอง เวลาที่จะสร้างอย่างอื่น เช่น โรงครัว อุบาสก อุบากสิกา ผู้เข้าใจพระธรรม ก็กล่าวบอกกับพระภิกษุ และสร้างถวาย โดยไม่ใช่เอาเงินไปให้ท่าน นี่คือ วิธีการที่ถูกต้อง เป็นการรักษาพระวินัย และดำรงไว้ซึ่งพระพุทธศาสนา
ข้อความในพระไตรปิฎก แสดงความจริงว่า การสร้างวัด เป็นต้น ไม่ใช่การให้เงินพระโดยตรง ไม่มีการที่พระทำกฐิน ผ้าป่า เงินทอง แต่คฤหัสถ์เป็นคนจัดการเรื่องเงินสร้างวัดให้
ท่านพระอุเทน "พราหมณ์ พระเจ้าอังคะโปรดพระราชทานอะไรเป็นเบี้ยเลี้ยงประจำแก่ท่านทุกวัน"
โฆฏมุขพราหมณ์ "ท่านอุเทน พระเจ้าอังคะโปรดพระราชทานทรัพย์ ๕๐๐ กหาปณะเป็นเบี้ยเลี้ยงประจำแก่ข้าพเจ้าทุกวัน"
ท่านพระอุเทน "พราหมณ์ การรับทองและเงินไม่สมควรแก่อาตมภาพทั้งหลาย"
โฆฏมุขพราหมณ์ "ท่านอุเทน ถ้าทองและเงินนั้นไม่สมควร ข้าพเจ้าจะให้สร้างวิหารถวายท่านอุเทน"
ท่านพระอุเทน กล่าวว่า "พราหมณ์ ถ้าท่านปรารถนาจะให้สร้างวิหารถวายอาตมภาพ ก็ขอให้สร้างโรงฉันถวายแก่สงฆ์ในเมืองปาตลีบุตรเถิด"
ข้อความบางตอนในโฆฏมุขสูตร มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๓
เข้าใจผิด
๗. พระภิกษุ สามเณรต้องเรียนหนังสือ มีค่าใช้จ่าย
เข้าใจถูก
๗. ภิกษุมีกิจ ๒ อย่าง คือ คันถะธุระ (ศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้า) วิปัสสนาธุระ (อบรมปัญญา ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม) ... กิจที่เป็นคันถธุระนั้นไม่ใช่การศึกษาหนังสือทางโลก แต่ศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้า (คันถธุระ) ไม่ใช่การศึกษาพุทธศาสนาประยุกต์ หรือคำแต่งเหล่าอื่น หรือทำวิทยานิพนธ์ ทำปริญญา รับปริญญา เหมือนคฤหัสถ์ ไม่เช่นนั้นก็ไม่ต่างจากการกระทำดั่งคฤหัสถ์ บวชทำไม ... สามเณรสมัยพุทธกาล หรือผู้บวชใหม่ ต้องไปเรียนศาสนาเปรียบเทียบ ประยุกต์ หรือไปสำนักตักศิลา เพื่อศึกษาศาสตร์ทางโลกอื่นๆ หรือไม่ ไม่เลย ถ้าเป็นสิ่งที่ดี พระพุทธเจ้าย่อมให้ภิกษุไปศึกษาวิชาทางโลก สำนักตักศิลา ศาสนาเปรียบเทียบ ให้ไปเรียนมหาวิทยาลัย ทำวิทยานิพนธ์ อย่างกับคฤหัสถ์อย่างนั้นหรือ ... แต่ พระองค์ทรงแสดงกิจของภิกษุ มี ๒ อย่างเท่านั้น คือ ศึกษาคำสอนที่พระองค์ทรงแสดงเป็นสำคัญและอบรมปัญญาเพื่อดับกิเลส ... สำหรับพระภิกษุ เมื่อบรรพชา บวชแล้ว ย่อมเป็นผู้สละทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นผู้เว้นทั่วจากอกุศลด้วยการอบรมปัญญา ด้วยจุดประสงค์สูงสุดของการบวชเป็นพระภิกษุ คือเพื่อดับกิเลส ไม่ใช่อย่างอื่น ซึ่งหน้าที่ หรือกิจของพระภิกษุที่ถูกต้อง มี ๒ อย่างตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ คือคันถธุระ และวิปัสสนาธุระ การเรียนบาลี เพื่ออะไร ในเมื่อมีผู้มีความรู้ทางภาษาบาลี ที่แปลคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นภาษาไทย ให้สามารถศึกษาให้เข้าใจแล้ว เพราะฉะนั้น ควรศึกษาภาษาของตนให้เข้าใจด้วยการคึกษาพระธรรมตามพระไตรปิฎก นี่คือ คันถะธุระในพระพุทธศาสนา วัดมีตู้พระไตรปิฎกที่แปลแล้วมากมาย ควรที่ภิกษุ สามเณร จะศึกษาพระไตรปิฎกนั้น
เข้าใจผิด
๘. ภิกษุต้องเดินทางไปไหน มาไหน ค่ารถไม่ฟรี จึงต้องรับเงิน และคฤหัสถ์จึงต้องให้เงินพระ
เข้าใจถูก
๘. ภิกษุในธรรมวินัย คือเป็นผู้เบา มีกิจน้อย ไม่เป็นผู้เดินทางบ่อย หากมีผู้นิมนต์ไปฉันที่บ้านหรือแสดงธรรมที่บ้าน ภิกษุผู้ฉลาด ประพฤติตามพระวินัย สามารถแจ้งกับคฤหัสถ์ได้ว่าควรกระทำสิ่งใด ไม่ให้ภิกษุออกค่าใช้จ่ายเอง แต่ควรมารับ มาส่ง อันไม่เกี่ยวข้องกับเงินและทอง เป็นต้น และพระภิกษุที่ดี หากพิจาณาว่าต้องยุ่งเกี่ยวกับเงินทอง ไม่สะดวกในการเดินทาง ท่านก็แจ้งกับคฤหัสถ์ไปในเรื่องนั้นว่าไม่สะดวกโดยประการใด อันเป็นการเคารพพระวินัย ทำตามพระวินัยบัญญัติ และพระภิกษุไม่มีหน้าที่เรียนหนังสือทางโลก จึงไม่จำเป็นจะต้องเดินทางไปเรียนมหาวิทยาลัยสงฆ์ที่สอนหนังสือทางโลก เป็นต้น
และตามที่กล่าวแล้ว ปัญหาเหล่านี้จะหมดไป ถ้าทำวิธีการที่ถูกต้อง คือพระไม่รับเงิน แต่ ฆราวาสให้เงินกับคฤหัสถ์ผู้เป็นไวยาวัจกรของวัดโดยตรงดูแล ที่เป็นคนดี มีคุณธรรม และเมื่อพระภิกษุต้องการเดินทางในการประกอบกิจของสงฆ์ คฤหัสถ์ที่เป็นไวยาวัจกรก็สามารถเป็นผู้ดูแลในเรื่องค่าใช้จ่าย โดยที่พระไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับเงินทอง อันทำให้พระไม่ต้องอาบัติรับเงินทอง ยินดีในเงินทอง เพราะมีเงินส่วนกลางของวัดในการบริหารจัดการ ทั้งในเรื่องค่าเดินทาง ค่ายา ค่าอื่นๆ ที่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย
เข้าใจผิด
๙. พระภิกษุรับเงินได้ หากนำเงินนั้นไปช่วยเหลือสังคม
เข้าใจถูก
๙. หากได้ศึกษาพระวินัย กิจของพระภิกษุ มีสองอย่าง คือ คันถธุระและวิปัสสนาธุระ ไม่ใช่จะทำกิจอย่างคฤหัสถ์ โดยการสร้างโรงพยาบาล สร้างโรงเรียน เป็นต้น
การรับและยินดีในเงินและทอง แม้จะช่วยสังคมก็เป็นอาบัติสำหรับพระภิกษุ ถ้าจะช่วยสังคมอย่างคฤหัสถ์ ก็สึกออกมาเป็นคฤหัสถ์ เพราะเพศบรรพชิต สละแล้วซึ่งเงินและทองทั้งปวง พระอริยสาวกผู้มีปัญญาในอดีต มีท่านพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ เป็นต้น ออกมาช่วยสังคมแบบคฤหัสถ์หรือไม่ หรือรับเงินและทอง ช่วยสังคม หรือไม่ ไม่เลย เพราะท่านเคารพพระวินัย เคารพในพระพุทธเจ้า และรู้ตัวเองว่าเป็นเพศใด ดังนั้น ท่านช่วยสังคมที่ถูกต้อง ตามเพศบรรพชิต คือท่านแสดงธรรมอันเป็นการช่วยสังคมอย่างสูงสุดและเคารพพระวินัยที่จะไม่ทำอย่างคฤหัสถ์
เข้าใจผิด
๑๐. พระต้องรับเงิน เพราะมีเงินนิตยภัต ฝากเข้าบัญชี ทำกันมานานแล้ว
เข้าใจถูก
๑๐. เงินนิตยภัตเป็นเงินค่าอาหารของภิกษุที่มีสมณศักดิ์ ซึ่งสำนักงานพระพุทธศาสนาต้องดูแลนำเงินนี้ไปจัดการจัดหาภัตตาหารถวาย ไม่ใช่มอบเงินให้แก่ภิกษุไปโดยตรง เนื่องจากเป็นการปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบ ไม่เป็นการเอื้อเฟื้อพระวินัย ทำให้ภิกษุต้องอาบัติที่รับเงินดังกล่าวไว้โดยตรงอีกด้วย
ความมักง่ายของข้าราชการไทยและองค์กรพระพุทธศาสนา ที่เมื่อรับเงินนิตยภัต เพื่อซื้อของที่สมควรกับพระภิกษุ แต่กลับนำเงินนั้นโอนเข้าบัญชีพระ ให้ของที่ไม่เหมาะสม ทำผิดพระวินัย ทำลายพระพุทธศาสนา ดังนั้น ควรกระทำให้ถูกต้อง และก็จะไม่ทำให้พระเป็นอาบัติ และไม่เป็นข้ออ้างของภิกษุอลัชชีผู้ไม่ละอาย
เข้าใจผิด
๑๑. พระพุทธศาสนาต้องปรับตัว ภิกษุต้องปรับตัวเข้ากับยุคสมัย คือรับเงิน มีมือถือ ใช้เฟซบุ๊ก ศาสนาดำรงอยู่มาได้ เพราะพระพุทธศาสนาและพระภิกษุปรับตัวตามยุคสมัย
เข้าใจถูก
๑๑. ความเข้าใจถูกและประพฤติตามพระวินัยทำให้ศาสนาเจริญ การประพฤติผิดพระวินัยของพระภิกษุและพุทธบริษัทไม่ปฏิบัติไม่เคารพพระธรรม เป็นเหตุของศาสนาพุทธเสื่อมถอย
บรรพชิต คือผู้สละ ละทุกสิ่งที่กระทำดั่งคฤหัสถ์ ออกบวช เพื่อถึงความสิ้นทุกข์ แต่ผู้บวชอ้างยุคสมัย ขอทันโลก แต่เป็นโลกที่คฤหัสถ์เขาทำกัน เล่นเฟซบุ๊ก เดินห้าง รับเงินทอง มีบัญชีธนาคาร ซ่อมถนนชาวบ้าน ไม่ใช่กิจของภิกษุ ทันโลกของพระภิกษุ คือโลกตามพระวินัยบัญญัติ ไม่ขัดแย้งกับพระวินัย ประพฤติให้น่าเลื่อมใส ดั่งเป็นผู้สละ ประพฤติอบรมปัญญาขัดเกลากิเลสตามพระวินัยบัญญัติที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ดีแล้ว ไม่ใช่ตามโลกคฤหัสถ์ กระทำตนแบบคฤหัสถ์ นำมาซึ่งการเพิ่มกิเลส พระพุทธเจ้าทรงติเตียนภิกษุประพฤติตนดั่งคฤหัสถ์ ชาวพุทธควรตื่นรู้ความจริงว่า พระคือใคร การบวชคืออะไร และไม่สนับสนุนพระเหล่านั้น มีการให้เงินและทอง เป็นต้น อันเป็นการรักษาพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง ดังนั้น ศาสนาพุทธที่ดำรงอยู่ได้จนถึงปัจจุบัน ดำรงอยู่ด้วยความเจริญ หรือความเสื่อมลงในปัจจุบัน เพราะพระพุทธศาสนาจะหมดสิ้นไปเมื่อถึงห้าพันปี แต่ปัจจุบัน สองพันห้าร้อยกว่าปีแล้ว ศาสนาเจริญหรือเสื่อม เมื่อภิกษุสมัยปัจจุบันกระทำตามคฤหัสถ์ ไม่ประพฤติตามพระวินัย บอกว่ารับเงินทองได้ ทั้งๆ ที่ผิดพระวินัยบัญญัติ และคฤหัสถ์ที่ไม่เข้าใจพระธรรมวินัยก็เห็นดีงามด้วย นี่ต่างหากที่เป็นเหตุพระพุทธศาสนากำลังเสื่อมไปเรื่อยๆ เพราะพุทธบริษัทไม่ปฏิบัติตามพระธรรม จนถึงเมื่อห้าพันปี พระพุทธศาสนาก็อันตรธานไปจากใจของทุกคน
เข้าใจผิด
๑๒. พระพุทธศาสนาต้องเดินทางสายกลาง ไม่ตึง ไม่หย่อนเกินไป ปัจจุบันพระต้องใช้เงิน
เข้าใจถูก
๑๒. ทางสายกลาง คือทางที่ถูกต้อง ทางที่เป็นกุศลธรรม ทางที่ดี มีปัญญา ไม่ใช่ทางที่ชั่ว ทางที่ตึงเกินไป และทางที่หย่อนเกินไป คือทางที่เป็นอกุศลธรรม ทางชั่ว เพราะฉะนั้น คำของพระพุทธเจ้าที่ตรัสออกมาด้วยพระปัญญาในการบัญญัติสิกขาบท มี ภิกษุไม่รับและไม่ยินดีในเงินและทอง เป็นทางที่ถูก ทางสายกลาง เพราะ เมื่อภิกษุประพฤติปฏิบัติตามแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อไม่ติดข้อง เพื่อละ เพื่อขัดเกลากิเลส และไม่ทำให้เกิดความวุ่นวายในสงฆ์ เหมือนปัจจุบันที่ภิกษุรับเงินทองและเกิดความวุ่นวาย แต่การรับเงินทองด้วยความยินดี ติดข้อง ไม่ต่างจากคฤหัสถ์ ขณะนั้นเป็นกิเลส จะเป็นทางสายกลางไม่ได้ แต่เป็นทางหย่อน ที่มัวเมาเพลินเพลินในกามคุณ มี เงินทอง เป็นต้น เพราะฉะนั้น พระวินัยบัญญัติของพระพุทธเจ้า มีการไม่รับและไม่ยินดีในเงินและทองของพระภิกษุ จึงเป็นทางสายกลาง
เข้าใจผิด
๑๓. พระพุทธเจ้าตรัสก่อนปรินิพพานให้ถอนสิกขาบทเล็กน้อย เพราะฉะนั้น ก็ควรจะถอนสิกขาบทข้อที่ภิกษุไม่รับและไม่ยินดีในเงินและทองไปได้
เข้าใจถูก
๑๓. ผู้มีปัญญาเคารพในสิกขาบททุกข้อ จึงไม่เพิกถอนสิกขาบท
หากจะกล่าวว่า พระพุทธเจ้าให้ยกเลิกสิกขาบทเล็กน้อย แล้วใครเล่าที่จะให้ยกเลิก ข้อนั้น ข้อนี้ แม้แต่ พระอริยสาวก ผู้เป็นพระอรหันต์ มีท่านพระมหากัสสปะ และท่านพระอานนท์ เป็นต้น เมื่อครั้งทำสังคายนา ครั้งที่ ๑ ผู้ล้วนทรงคุณ เลิศด้วยฤทธิ์และปัญญา ก็มีมติว่า เราจะไม่ยกเลิกสิกขาบทเล็กน้อย เพราะท่านเหล่านั้นเคารพในพระปัญญาคุณและเคารพในพระวินัยที่พระพุทธเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้นที่จะบัญญัติได้ แม้ท่านพระสารีบุตรผู้เลิศด้วยปัญญาก็ไม่สามารถบัญญัติพระวินัยได้เลย นี่คือ ความเคารพในพระวินัยบัญญัติและเคารพในพระพุทธเจ้าของผู้มีปัญญาในสมัยอดีตกาล และพระพุทธเจ้าตรัสไว้เพื่อแสดงถึงกำลังของพระมหากัสสปะที่จะสังคายนาพระธรรมไว้ดีแล้ว และจะดำรงรักษาพระวินัยบัญญัติทุกข้อไว้
เรื่องการรับเงินทอง พระพุทธเจ้าทรงติเตียนเป็นอันมาก และยังมีในพระสูตรอีกมากมายที่แสดงว่า ภิกษุไม่พึงรับและยินดีในเงินและทอง มี มณิจูฬกสูตร เป็นต้น เพราะฉะนั้น การรับเงินและทองจึงไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลยสำหรับเพศบรรพชิต
เข้าใจผิด
๑๔. พระภิกษุรับเงินได้ เพราะปรับตามมหาปเทส ๔
เข้าใจถูก
๑๔. พระภิกษุรับเงินไม่ได้ เพราะไม่เข้ากับมหาปเทส ๔
มหาปเทส ๔ เป็นหลัก ข้ออ้างใหญ่ ซึ่งมีทั้งพระสูตร พระวินัย แต่หลักมหาปเทส ๔ ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้นั้น หลักนั้น แม้เวลาจะเปลี่ยนไป แต่สิ่งของ หรือของใช้พระภิกษุ บริขาร ปัจจัยที่จำเป็นจะต้องไม่ใช่ของที่ไม่สมควร คือเป็น อกัปปิยะ กับพระภิกษุด้วย เพราะฉะนั้น เงินและทอง ไม่ว่าจะยุคสมัยไหน อย่างไรก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรกับพระภิกษุ และพระพุทธเจ้า ก็ทรงปรับอาบัตินิสัคคิยปาจิตตีย์สำหรับพระภิกษุที่รับและยินดีในเงินทอง และไม่เข้ากับพระสูตรอื่นๆ ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่า เงินและทองไม่สมควรกับสมณเชื้อสายศากยบุตรโดยประการทั้งปวง มี มณิจูฬกสูตร เป็นต้น ดังนั้น การเอาหลัก มหาปเทส ๔ มาอ้าง แต่ขัดกับหลักพระธรรมวินัย ย่อมไม่สมควรโดยประการทั้งปวง เพศบรรพชิต เป็นเพศที่ขัดเกลา ดังนั้น การกระทำ ก็ต้องไม่ใช่ดังเพศคฤหัสถ์ มีการรับหรือใช้เงินทอง เป็นต้น ดังนั้น พุทธบริษัท ก็ควรเป็นผู้เคารพพระวินัย ศึกษาพระธรรม ตามความเป็นจริง และละเอียดในการอ่านพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ดีแล้ว
เข้าใจผิด
๑๕. คฤหัสถ์และพระภิกษุควรเห็นด้วยกับการรับเงินทองของพระภิกษุในสมัยปัจจุบัน
เข้าใจถูก
๑๕. คฤหัสถ์และภิกษุผู้มีปัญญาเข้าใจพระธรรม ไม่เห็นด้วยกับพระภิกษุรับเงินทอง เห็นด้วยกับภิกษุชั่ว อลัชชี ที่กล่าวว่าภิกษุรับเงินทองได้ หรือเห็นด้วยกับพระพุทธเจ้าว่า ภิกษุรับเงินทองมีโทษ เป็นอาบัติ พระองค์ทรงติเตียน
ดังเช่น สมัยเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานได้ ๑๐๐ ปี พระภิกษุวัชชีบุตร ชาวเมืองเวสาลี เป็นภิกษุอลัชชี ไม่ดี กล่าวตั้งวัตถุ ๑๐ ประการ ที่เป็นอธรรม ซึ่ง ข้อที่ ๑๐ คือ ภิกษุรับเงินทองได้ ไม่ต้องอาบัติ พระอรหันต์ชื่อท่านพระยสกากัณฑกบุตร เห็นว่า อธรรม (ธรรมชั่ว) เกิดขึ้นแล้ว ไม่ควรให้ธรรมชั่วมีกำลัง จึงได้รวมประชุมพระอรหันต์ และทำสังคายนาครั้งที่ ๒ กล่าว การรับเงินทองมีโทษ จนสังคายนาพระธรรมวินัยใหม่ ดังนั้น ก็เป็นที่น่าพิจารณาว่า เราเห็นด้วยว่าพระภิกษุรับเงินทองได้ ไม่เป็นไร เห็นด้วยกับธรรมชั่วของพระภิกษุอลัชชี คือเหล่าภิกษุกลุ่มวัชชี หรือเราไม่เห็นด้วยเรื่องการรับเงินทองของพระภิกษุเป็นอาบัติ มีโทษ อันเป็นฝักฝ่ายธรรมะ คือเหล่าพระอรหันต์ทั้งหลาย และตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงและพระพุทธเจ้าที่ทรงติเตียนเรื่องนี้ ที่ภิกษุรับเงินทองมีโทษ ดังนั้น การกล่าวคำที่ตู่ ไม่ตรง จึงมีโทษมาก ควรมีพระธรรมเป็นที่พึ่ง และศึกษาพระวินัยอย่างละเอียดรอบคอบ ก็จะเป็นการจรรโลงพระพุทธศาสนาให้อายุยืนนานอย่างแท้จริง ไม่เช่นนั้น เราก็บอกว่า อนุโลมได้ตามยุคสมัย ค่อยๆ อนุโลมสิ่งที่ผิด ค้านพระวินัยไปเรื่อยๆ ทีละข้อ ตามยุคสมัย ก็จะกลายเป็นแบบนิกายอื่น และพระธรรมก็เสื่อมไปในที่สุด ช่วยๆ กันรักษาพระวินัยด้วยการศึกษาพระวินัย เผยแพร่คำจริงและเป็นฝักฝ่ายของธรรม ฝักฝ่ายความเห็นถูกให้มีกำลังตามธรรมวินัย
เชิญคลิกอ่านประวัติสังคายนาครั้งที่ ๒ และ เรื่อง ภิกษุชั่ว การว่า รับเงินทองได้ ไม่อาบัติ จึงเป็นเหตุของการสังคายนา โดยภิกษุผู้เป็นพระอรหันต์ ครับ
การสังคายนาพระไตรปิฎก ครั้งที่ ๒
เข้าใจผิด
๑๖. วัดเมือง กับ วัดชนบท มีเงื่อนไข บริบทต่างกัน
เข้าใจถูก
๑๖. ภิกษุทุกรูปที่บวชแล้วย่อมมีพระธรรมเป็นศาสดาแทนพระองค์และต้องประพฤติตามพระวินัยเป็นเงื่อนไขพื้นฐานทุกรูป
เมื่อกาลเมื่อเราล่วงไปแล้ว พระธรรมจะเป็นศาสดาแทนพระองค์ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าภิกษุใด ที่บวช จะอยู่วัดไหน อย่างไร ล้วนมีพระธรรมเป็นศาสดาแทนพระองค์ เป็น ศากยบุตร เป็นบุตรของพระพุทธเจ้าที่จะต้องประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย เพราะฉะนั้น เงื่อนไข บริบทที่พระภิกษุทุกรูป จะต้องประพฤติปฏิบัติตาม คือพระธรรมวินัยบัญญัติ พระในเมือง เช่น เมืองราชคฤห์ พระภิกษุที่ดี ก็ล้วนแล้วแต่ไม่รับและไม่ยินดีในเงินและทอง ประพฤติตามพระธรรมวินัย พระภิกษุเมืองตักศิลา อยู่ห่างไกล ภิกษุที่ดีก็ล้วนแล้วแต่ประพฤติตามพระวินัย คือไม่รับและไม่ยินดีในเงินและทอง
พระในเมือง ต้องเสียค่าใช้จ่าย ตามที่กล่าวแล้ว ถ้าแก้ปัญหาถูกวิธี มีคฤหัสถ์เป็นไวยาวัจกร ก็สามารถจัดการเรื่อเงินทองโดยพระไม่ยุ่งเกี่ยว จึงตัดปัญหาเรื่องการรับเงินของพระภิกษุ แต่ถ้าอ้างว่าเสียเวลาไม่สะดวกในการแจ้งกับไวยาวัจกร พระภิกษุอดทนไม่ได้ จนถึงขนาดต้องประพฤติตนนอกคำสอน ล่วงพระวินัยเลยหรือ แล้วบวชทำไม ถ้าไม่ใช่เพื่ออดทน ขัดเกลากิเลส เป็นพระภิกษุที่ดี เพื่อถึงการดับทุกข์ ประพฤติตามพระธรรมวินัย
ดังนั้น เงื่อนไขของพระภิกษุทุกรูป ไม่ต่างกันเลย คือประพฤติตามพระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ภิกษุดีที่ตั้งใจประพฤติตามพระวินัย ย่อมไม่มีข้ออ้าง ไม่เดือดร้อน ประพฤติเบาสบาย แต่ตรงกันข้าม ภิกษุอลัชชี ไม่ละอาย ย่อมมีข้ออ้างเพื่อจะทำผิดพระวินัยเสมอ เป็นผู้เดือดร้อนในพระวินัยบัญญัติที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว
เข้าใจผิด
๑๗. ต้องให้ลองมาบวชเอง ถึงจะรู้ว่าสมัยนี้พระต้องใช้เงิน รับเงิน เพราะมีชีวิตลำบาก
เข้าใจถูก
๑๗. ผู้ที่รู้อัธยาศัยตนเอง ว่าสละอาคารบ้านเรือนได้จริงๆ จึงจะออกบวช หากได้อ่านพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง พระพุทธเจ้าไม่ได้มีการบังคับให้ใครไปบวช พุทธบริษัท จึงมี ๔ พระอริยสาวกที่บรรลุธรรมอยู่ในเพศคฤหัสถ์มีมากมาย มีท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี นางวิสาขาอุบาสิก ท่านเหล่านั้นไม่ได้บวช แต่พระพุทธเจ้าทรงยกย่องสรรเสริญคฤหัสถ์เหล่านั้น เพราะปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมในเพศคฤหัสถ์ แต่พระภิกษุที่ออกบวช แต่ประพฤติตนไม่ตามพระวินัยบัญญัติ พระพุทธเจ้าไม่ทรงสรรเสริญ แต่ทรงติเตียน เช่น พระฉัพพัคคีย์ที่ละเมิดพระวินัยเป็นประจำและไม่เห็นโทษ เป็นต้น เพราะฉะนั้น ตนเองไม่มีอัธยาศัยในการบวช ยังกระทำตนดั่งคฤหัสถ์ พระพุทธเจ้าทรงติเตียน ดังนั้น บุคคลจะเป็นผู้ประเสริฐไม่ได้อยู่ที่เพศ แต่อยู่ที่ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยหรือไม่ หากเป็นผู้รับเงินและทองในเพศพระภิกษุ พระพุทธเจ้าทรงติเตียน ไม่ทรงสรรเสริญเลย ดังนั้น ผู้ที่ขัดเกลลากิเลสอย่างยิ่งจริงๆ จึงไม่รับเงินทองโดยประการใดๆ เลยในเพศพระภิกษุ
สามารถอ่านหนังสือ จะบวชหรือจะบาปได้ที่ลิงก์นี้
เข้าใจผิด
๑๘. การบวชต้องเสียเงิน เช่น ซื้อบาตร จีวร พระจึงต้องรับเงิน
เข้าใจถูก
๑๘. เมื่อบวชไปแล้ว ไม่ต้องใช้เงินเลย หากพระภิกษุประพฤติตามพระวินัยและมีไวยาวัจกรจัดการเรื่องเงิน อย่างถูกต้องเหมาะสม แต่พระภิกษุอลัชชี ไม่ละอาย ย่อมอยากได้เงิน เป็นผู้รับเงินเอง ไม่ให้ไวยาวัจกรเข้ามาจัดการ นั่นเป็นวิธีที่ผิด ตัวท่านเองก็อาบัติ และก็แนะนำญาติโยมในสิ่งที่ผิดว่าพระรับเงินได้ ก็ช่วยกันทำลายพระพุทธศาสนา
เข้าใจผิด
๑๙. ถ้าให้พระไม่รับเงิน คนก็ไม่บวช หรือพากันสึก มีพระภิกษุน้อย พระพุทธศาสนาก็เสื่อม
เข้าใจถูก
๑๙. วัด และพระภิกษุ ไม่ใช่พระพุทธศาสนา แต่พระพุทธศาสนา คือคำสอนและความเข้าใจพระธรรม มีวัดมาก แต่ วัด คืออาราม ที่อยู่ของผู้สงบ แต่มีพระที่ไม่ประพฤติธรรม มีรับเงินทอง เป็นต้น และทำกิจของคฤหัสถ์ เรี่ยไรเงิน ผ้าป่า กฐิน สร้างสำนักปฏิบัติ สอนธรรมผิดๆ วัดเหล่านั้นที่มีพระภิกษุอลัชชี ล่วงพระวินัย ไม่ละอาย สอนธรรมผิด ยิ่งมีมาก ยิ่งทำลายพระพุทธศาสนาและทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อม จึงไม่ใช่ใครที่ไหนที่ทำลายพระพุทธศาสนา
ศึกษาธรรมเพิ่มเติมได้ที่ www.dhammahome.com
โดย มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
ขออนุโมทนา
กราบขอบพระคุณและกราบอนุโมทนาค่ะ
ความจริงเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาที่ชาวพุทธส่วนใหญ่ไม่รู้ สมควรเปิดเผยให้ได้รับทราบอย่างยิ่งค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ
อนุโมทนาสาธุค่ะ
เป็นข้อมูลดีๆ ที่ควรเผยแพร่ อยากให้ชาวพุทธเข้าใจพระธรรมคำสอนที่ถูกต้องแท้จริง
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ถ้าเข้าใจว่า พระภิกษุคือใคร จะตอบได้ทุกประเด็น เพราะก่อนบวช ก็เป็นคฤหัสถ์ เป็นชาวบ้านธรรมดา มีชีวิตเป็นไปอย่างคฤหัสถ์ แล้วทำไมถึงบวชเป็นภิกษุ นี่คือสิ่งที่จะต้องคิดพิจารณาแล้ว พระภิกษุ คือเป็นผู้ที่เห็นภัยในสังสารวัฏฏ์ ภัย คือการมีชีวิตอยู่ที่เต็มไปด้วยกิเลส เพราะฉะนั้น บุคคลในสมัยพุทธกาล เมื่อได้ฟังพระธรรมแล้วเห็นประโยชน์ของการขัดเกลากิเลสเพราะท่านสะสมมาที่จะเห็นโทษของอกุศล และมีปัญญารู้ว่า กุศลย่อมดีกว่าอกุศลและรู้ว่าปัญญาเท่านั้นที่จะดับอกุศลได้ เมื่อได้ฟังพระธรรมแล้ว ผู้ที่จะบวชเป็นพระภิกษุ ย่อมเป็นผู้ที่จริงใจที่จะขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิตซึ่งสูงกว่าเพศคฤหัสถ์ และสะสมอัธยาศัยใหญ่ที่จะสละ ละทุกอย่างที่เคยติดข้อง สละหมดไม่เหลือเลย ทั้งครอบครัว วงศาคณาญาติ ทรัพย์สมบัติ ไม่ผูกพันไม่ติดข้องในสิ่งเหล่านั้น เพื่อเข้าใกล้ความสงบจากกิเลส นี้คือจุดประสงค์ของการเป็นพระภิกษุ ไม่ใช่เพื่อจุดประสงค์อื่นใดทั้งสิ้น และที่สำคัญ พระภิกษุทุกรูปในสมัยพุทธกาลทั้งหมดและทุกยุคทุกสมัยด้วย ต้องเคารพในพระวินัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ ซึ่งจะต้องศึกษาพระธรรมวินัยให้เข้าใจ น้อมประพฤติในสิ่งที่ถูกต้อง ละเว้นในสิ่งที่ผิดที่ขัดต่อความประพฤติเป็นไปของพระภิกษุอันเป็นเพศที่สูงยิ่ง สิ่งใดก็ตามที่จะทำให้เกิดอกุศลพอกพูนมากยิ่งขึ้น ไม่ได้เป็นไปเพื่อขัดเกลากิเลสของตนเอง สิ่งนั้นพระภิกษุ ทำไม่ได้ ดังนั้น พระภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ จึงไม่รับเงินและทอง รับเงินและทองไม่ได้ เป็นผู้ปราศจากเงินและทองอย่างสิ้นเชิง เพราะท่านเหล่านั้น ต้องสละทรัพย์สินเงินทองก่อนแล้วจึงบวช เมื่อบวชแล้วจะรับเงินทองได้อย่างไร
เมื่อบวชเป็นพระภิกษุแล้ว จึงรับเงินและทองไม่ได้ เงินทองไม่ควรแก่เพศบรรพชิตโดยประการทั้งปวง เงินทองนี้เองเป็นเหตุนำมาซึ่งอกุศลอีกมากมาย ไม่มีพระพุทธดำรัสแม้แต่คำเดียวที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสให้พระภิกษุรับเงินและทองหรือไปแสวงหาเงินและทอง
พระภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ไม่มีเงินและทอง มีเพียงบริขารเครื่องใช้อันเหมาะควรแก่บรรพชิตและอาศัยปัจจัย ๔ ในการดำรงชีวิตเพื่อให้ชีวิตเป็นไปได้ในการที่จะศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญาขัดเกลากิเลสเท่านั้น ได้แก่ อาหารบิณฑบาตที่มาจากศรัทธาของชาวบ้าน จีวรเครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรคเมื่อเกิดอาพาธ (เจ็บป่วย)
พระภิกษุรูปใด รับเงินและทอง หรือแม้ยินดีเงินและทองที่ผู้อื่นเก็บไว้ให้ ย่อมเป็นผู้ล่วงละเมิดพระวินัยบัญญัติที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ ต้องสละเงินนั้นในท่ามกลางสงฆ์ จึงจะแสดงอาบัติ (ปลงอาบัติ) ได้ จึงจะทำให้เป็นผู้พ้นจากโทษนั้นได้ แต่ถ้าพระภิกษุรูปใด มีเงินและทอง รับเงินและทอง ยินดีในเงินและทองแม้ที่เขาเก็บไว้ให้เพื่อตน ไม่เห็นโทษของการล่วงละเมิดพระวินัย ผู้นั้น ไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ แต่เป็นผู้ไม่มีความละอาย ไม่มีความเคารพยำเกรงต่อพระรัตนตรัย เป็นผู้ไม่ได้กระทำตามที่ได้ปฏิญาณไว้ว่าตนเองเป็นพระภิกษุอันเป็นเพศที่แตกต่างไปจากคฤหัสถ์อย่างสิ้นเชิง เป็นมหาโจร หลอกลวงชาวบ้าน และถ้าหากมรณภาพ (ตาย) ในขณะที่มีอาบัติติดตัวอยู่ ก็เป็นผู้มีอบายภูมิเป็นที่ไปในเบื้องหน้า หมายความว่า ชาติหน้าเกิดในอบายภูมิ เท่านั้น ครับ
... อนุโมทนาในกุศลวิริยะของอ.ผเดิม เป็นอย่างยิ่ง
และ อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...
เห็นด้วยกับการไม่ถวายเงินแก่ภิกษุครับ
ภิกษุควรบวชเพื่อศึกษา และปฏิบัติเพื่อให้รู้และเข้าใจธรรมะ แต่ขอถามแนวทางแก้ไข เรื่องที่สงสัยนะครับ
๑. สมัยพุทธกาล ภิกษุที่เป็นพระอุปัชฌาย์จะเป็นผู้ทรงวินัย และทรงธรรม สามารถ สั่งสอนข้อธรรม ให้แก่ ภิกษุใหม่ๆ ได้
แต่ปัจจุบัน เมื่อภิกษุบวชใหม่ จะหาความรู้ทางธรรมะที่ถูกต้อง ควรศึกษากับใคร และทำอย่างไรครับ
เพราะวัดบางแห่งอาจไม่มีพระอุปัชฌาย์คอยพร่ำสอน ภิกษุใหม่ต้องเดินทางไปศึกษาที่อื่นหรือไม่ เดินทางอย่างไรครับ จึงไม่ผิดพระวินัย
๒. ถ้าภิกษุต้องเดินทางคนเดียว เพื่อไปรักษาตัว หรือกิจบางอย่าง จะต้องมีโยมอุปฐาก ไปด้วยทุกครั้งหรือไม่ เพราะการเดินทางอาจต้องใช้เงิน
๓. การที่ภิกษุจับต้องและใช้เงินที่มีผู้ถวาย ในบางเรื่อง เมื่อเสร็จกิจ แล้วนำเงินส่วนเหลือมาคืนแก่ส่วนกลาง และบอกอาบัติแก่พระคู่สวด จะทำให้อาบัติตกไปไหมครับ
๔. จะทำอย่างไร ให้ทุกวัด สามารถมีพระอุปัชฌาย์ ที่มีความรู้ที่ถูกต้อง สามารถสอนธรรมะที่ถูกต้อง แก่ภิกษุใหม่ และญาติโยมครับ
ขออนุญาตร่วมสนทนาในความคิดเห็นที่ 7 ครับ
๑. ถ้าหากว่า ก่อนบวช ได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม มีความเข้าใจอย่างถูกต้อง รู้อัธยาศัยของตนเอง จึงสละทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อมุ่งสู่เพศที่สูงยิ่ง แล้วก็ยังต้องมีการศึกษาพระธรรมวินัย น้อมประพฤติตามสิกขาบทที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติ เมื่อเป็นผู้ทรงธรรม ทรงวินัย เป็นผู้มีศีล มีความเข้าใพระธรรมวินัยเป็นอย่างดี มีกำลังความสามารถที่จะพร่ำสอนผู้อื่นให้มีความเข้าใจอย่างถูกต้องตามพระธรรมวินัยได้ เมื่อมีอายุพรรษา ๑๐ พรรษาขึ้นไป ท่านก็สามารถเป็นพระอุปัชฌาย์ ตามพระธรรมวินัยได้ ถ้าเป็นอย่างนี้ ปัญหาต่างๆ ก็จะไม่เกิดขึ้นเลย ไม่ว่าจะเป็นยุคใดสมัยใดก็ตาม พระภิกษุ ก็ต้องศึกษาพระธรรมวินัย ซึ่งจะต้องศึกษาจากผู้เข้าใจพระธรรมวินัย ไม่ว่าจะอยู่ภายในวัด หรือที่วัดอื่น ก็ตาม และตามพระวินัยแล้ว พระภิกษุ เมื่อบวช ต้องอาศัยพระอุปัชฌาย์อาจารย์ในการพร่ำสอนพระธรรมวินัยอยู่แล้ว ดังนั้น จึงกล่าวสรุปในประเด็นที่ ๑ ได้ว่า ถ้าเข้าใจพระธรรมวินัย น้อมประพฤติตามแล้ว จะไม่มีปัญหาใดๆ เลย
๒. พระภิกษุ ไม่ใช่คฤหัสถ์ เป็นผู้มีชีวิตในเพศที่สูงยิ่ง สละชีวิตคฤหัสถ์แล้ว เป็นชีวิตที่อยู่เพื่อขัดเกลากิเลสจริงๆ ไม่มีข้ออ้างใดๆ ที่จะให้พระภิกษุรับเงินได้เลย เพราะพระภิกษุจะรับเงินไม่ได้โดยประการทั้งปวง รับเพื่อตนเองก็ไม่ได ้ให้ผู้อื่นรับแทนก็ไม่ได้ รับเพื่อผู้อื่นก็ไม่ได้ หรือแม้แต่ รับเพื่อส่วนรวมก็ยังไม่ได้ แสดงให้เห็นเลยว่า เงินทอง ไม่ควรแก่เพศบรรพชิตโดยประการทั้วปวง, พระภิกษุที่ท่านเข้าใจพระธรรมวินัย เป็นภิกษุในพระธรรมวินัยจริงๆ ท่านจะไม่รับและไม่ยินดีในเงินและทองโดยประการใดๆ เลย หากเกิดเจ็บป่วย พระภิกษุด้วยกันก็สามารถพยาบาลดูแลรักษากันและกันได้ คฤหัสถ์ผู้มีศรัทธา สามารถถวายยารักษาโรคได้ เป็นต้น และถ้าหากเป็นผู้รักษาพระวินัยจริงๆ ท่านก็ย่อมจะไม่ล่วงละเมิด ไม่ทำในสิ่งที่ผิด หากท่านเห็นว่าตนเองไม่สามารถอยู่ในเพศบรรพชิตได้ ก็สามารถลาสิกขามาเป็นคฤหัสถ์ได้ ไม่มีโทษใดๆ เลย
๓. การรับเงินทองของพระภิกษุ ผิดพระวินัย เป็นอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ การที่จะพ้นจากอาบัติข้อนี้ได้ ต้องมีการสละในท่ามกลางสงฆ์ สำนึกผิดจริงๆ ว่าจะไม่ทำอย่างนั้นอีก แล้วแสดงอาบัติจึงพ้นจากอาบัตินั้นได้ การให้เงินแก่ผู้อื่น หรือสละให้แก่ผู้อื่น ไม่ใช่การแสดงอาบัติข้อนี้ ก็ยังเป็นผู้ไม่พ้นจากอาบัติอยู่ดี
๔. ถ้าหากไม่มีพระภิกษุในพระธรรมวินัย ก็ย่อมจะไม่มีพระอุปัชฌาย์ตามพระธรรมวินัย ไม่มีก็คือไม่มี ไม่มีใครจะไปทำอะไรได้เลย ทุกอย่างเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย แม้ไม่มีพระภิกษุเลย คฤหัสถ์ผู้เข้าใจพระธรรมวินัย เห็นคุณค่าของพระธรรมแต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ที่ช่วยกันศึกษาและดำรงความถูกต้องต่อไป เผยแพร่ความถูกต้องตามกำลังปัญญาของตนต่อไป พระพุทธศาสนาก็ยังดำรงอยู่ ไม่ใช่ว่า เมื่อไม่มีภิกษุแล้ว จะไม่มีพระพุทธศาสนาเหลืออยู่เลย เพราะเหตุว่า พระพุทธศาสนา คือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตราบใดที่ยังมีผู้ศึกษาและเข้าใจอย่างถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม พระพุทธศาสนาก็ยังดำรงอยู่ ครับ
... อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ ...
ขออนุญาต เผยแพร่รายละเอียดข้อมูล เพื่อประโยชน์ต่อสังคม ครับ
ขอขอบพระคุณและอนุโมทนาที่ให้ข้อมูลที่ถูกต้องค่ะ
ก่อนที่จะได้ฟังธรรมจากท่าน อ.สุจินต์ เคยเข้าใจผิดๆ มาตลอดว่าการถวาย (ให้) เงินภิกษุเป็นการทำบุญ
ขอบพระคุณ คุณ Khampan.a และขออนุโมทนาครับ
การให้ความรู้แก่สังคม เรื่องการให้เงินพระ ไม่ใช่กุศล ก็ควรทำต่อเนื่องไปครับ เพราะพระธรรมยุต และวัดป่าหลายๆ วัด ปฏิบัติได้ แต่ยังสงสัยว่า
เราจะทำอย่างไรได้บ้างไหมครับ ที่จะทำให้พระสงฆ์ไทยส่วนใหญ่ในปัจจุบัน มีความรู้ทางธรรมดีขึ้นกว่านี้ครับ การบวชในสมัยพุทธกาล ก็มีสงฆ์ทำผิด ที่เป็นต้นแบบของข้อวินัยต่างๆ แม้แต่พระแก่สุภัททะ ลูกศิษย์ของพระมหากัสสปะ ก็เคยกล่าววาจาจ้วงจาบต่อพระวินัย เมื่อทราบข่าวปรินิพพานของพระพุทธเจ้า
การบวชในปัจจุบัน จึงมีทั้งด้วยศรัทธา หรือเพื่อทดแทนคุณบิดามารดา คงไม่ทุกรายที่บวชเพราะเห็นโทษของกาม และเห็นว่าฆราวาส จะไม่สะดวกในการปฏิบัติธรรม ก็คงมีพระสงฆ์บางรูปที่ตั้งใจจะศึกษาและปฏิบัติธรรมให้ยิ่งขึ้นไป แต่การอ่านพระไตรปิฎกเอง คงทำไม่ได้ทุกแห่ง
ตอนนี้การมี รร.สอนสงฆ์ จะมีข้ออ้างในการรับเงินเพื่อเดินทาง เราจะแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างไร เพื่อตอบปัญหานี้กับสงฆ์ ที่ต้องเดินทางไปศึกษาครับ เพราะเรื่องป่วยไม่ค่อยได้เดินทางบ่อยครับ
เห็นด้วยอย่างยิ่งและกราบอนุโมทนา
อยากให้พุทธบริษัทเข้าใจตามนี้ ถูกต้องที่สุด ดูคำถามคำตอบจากรายการของคุณจอมขวัญแล้วไม่สบายใจเลย อยากให้คำตอบของรายการบ้านธัมมะนี้เผยแพร่ออกไปให้มากที่สุด เพราะยังมีคนอีกมากที่ไม่เข้าใจ ถึงแม้จะมีความรู้มากแต่ก็ยังไม่เข้าใจในพระธรรมวินัย สาธุๆ ๆ
กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ ผู้มีพระคุณอย่างสูงที่ถ่ายทอดธรรมที่ถูกต้องให้ได้เข้าใจ เกิดมาชาตินี้ไม่เสียชาติเกิดแล้วฟังรายการธัมมะ "ฟังธรรมออนไลน์" ทุกวันทั้งเช้าและก่อนนอน มีประโยชน์มากๆ ค่ะ
ผมรับอุปัฏฐากพระภิกษุตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๗ - ๒๕๖๐ ทั้งสายวัดบ้าน สายวัดป่า สายหลวงปู่ชา (ซึ่งสายหลวงปู่ชาเป็นวัดบ้านที่เคร่งเหมือนวัดป่า) แต่ทั้ง ๓ สายมีดี มีไม่ดี แต่ที่ดีมีน้อยมากๆ แทบจะหาทำยาหยอดตาแทบไม่ได้เลย
ผมยืนยันว่า เราควรยืนหยัดต่อไป นอกจากช่วยให้พระภิกษุทั้งหลายที่กำลังผิดพระวินัยตกนรกทันทีที่มรณภาพไป ก็ควรช่วยให้ท่านได้เข้าใจธรรมะที่ถูกต้อง เหมือนอย่างที่พวกเรากำลังได้โอกาสในการรับฟัง รับชม youtube ในขณะที่พระภิกษุทั้ง ๓ สาย คือ วัดป่า วัดบ้าน และพระบ้านที่เคร่งเหมือนวัดป่า ไม่มีโอกาสได้รับฟังธรรมะของอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ พระภิกษุที่จะรู้เรื่องการเผยแพร่ธรรมะของ มศพ. นี้มีน้อย ยิ่งในป่าก็ยิ่งไม่มีโอกาส
ขออนุโมทนาท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์และคณะวิทยากรทุกๆ ท่านที่ยังคงดำเนินการต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ทั้งนี้เป็นประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง
กราบขอบพระคุณที่ให้ความกระจ่างกับสังคม ประเทศไทยมีพระและวัดเยอะที่สุดในโลก แต่คนไม่ค่อยเข้าถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า และก็ทำให้ความเข้าใจของชาวบ้านผิดไปในคำว่า ภิกษุสงฆ์ ไม่มีใครคิดว่า เป็นผู้ที่ต้องการละแล้วซึ่งกิเลสและคฤหัสถ์ มุ่งสู่ทางพ้นทุกข์อย่างแท้จริง ถึงได้ออกบวช ส่วนใหญ่คิดว่าพระเป็นผู้ให้บุญกับคนที่เอาเงินมาถวาย ปัจจุบันบวชเพื่อเรียนรู้พระธรรม บวชเพื่อทดแทนบุญคุณพ่อแม่ เลยติดความเคยชินในชีวิตคฤหัสถ์ เอามาใช้ในเพศบรรพชิต เลยมีการบิดเบือนพระธรรมวินัย
บวชเป็นพระตามพระธรรมวินัยนั้นยาก และไม่รับปัจจัยเงินหรือทองอีกในปัจจุบัน ยิ่งยากใหญ่ หากตามนี้ พระคงต้องสึกออกไปแทบหมด เหลือแต่พระตามป่าเขา ที่ห่างไกลและออกไปจากสังคมที่ใช้เงินและทอง แล้วพระที่เอาปัจจัยทำเพื่อส่วนรวม โดยไม่ใช้เพื่อส่วนตน พออนุโลมได้ไหมครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
ผมเองก็มักทำบุญด้วยเงินเป็นประจำ เพราะว่ามันทำง่าย อย่างไป รพ.สงฆ์ ก็ใช้เงินซื้อบุญเอา จะทำบุญเป็นค่าอาหารหรือค่ายาก็จ่ายไป ไปวัดไหนก็หยอดตู้เงิน จบหัวแล้วก็หยอด ใส่บาตรก็ต้องมีเงินใส่ไปด้วยทุกครั้ง คิดเอาเองว่าให้ๆ ไป แล้วท่านอยากใช้สอยอะไรก็พิจารณากันเอาเอง เราทำบุญไปแล้วก็แล้วกัน แต่พออ่านตามที่ มศพ. ลงไว้ก็เห็นด้วยครับกับการเคร่งครัดตามธรรมวินัย ซึ่งหากทำได้จริงๆ ก็จะถือว่าเป็นการคัดกรองผู้ที่จะมาบวชได้ในระดับหนึ่งว่าจะต้องเป็นผู้ที่พร้อมจะละกิเลสและพร้อมตัดทางโลกแล้วจริงๆ
กราบขอบพระคุณครับ
ความจริงย่อมจริงวันยังค่ำ ธัมมะคือสิ่งที่มีจริง ท่านอาจารย์บอกว่าก่อนอื่นเริ่มที่ธัมมะก่อน แค่นี้ก่อนแล้วกัน
อนุโมทนากับทุกๆ ท่านที่มีวันนี้ ขณะนี้
ตอนเด็กตื่นสาย ตักบาตรไม่ทัน เลยเอาเงินยัดใส่ในย่าม พระตกใจ ว่าทำอะไร เพราะมันแปลก
อนุโมทนาค่ะ ได้ส่งต่อให้เพื่อนในเฟซบุ๊กอ่านด้วยแล้วค่ะ
กราบอนุโมทนาครับ
สังคมเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา เหตุนี้อาจเป็นข้ออ้างในการบิดเบือนแก่นแท้ของพระธรรมในปัจจุบัน เปรียบเหมือนกิเลสที่กำลังพอกพูนมากขึ้น ขอชื่นชม และยังคงติดตามและรับฟังคำสนทนาให้ความรู้แก่นแท้ในพระธรรมของ มศพ.และพระคุณของอาจารย์สุจินต์และอาจารย์วิทยากรทุกท่าน ครับ
ขออนุโมทนา
ยกตัวอย่าง เวลามีงานศพจะมีการนิมนต์พระมาสวดแสดงธรรมเทศนา หลังจากสวดแสดงธรรมเทศนาเสร็จ จะมีการถวายซองปัจจัยแก่พระภิกษุ สามเณร แบบนี้ถือว่าผิดพระธรรมวินัยใช่หรือไม่ หากเป็นการผิดพระธรรมวินัย แล้วควรทำอย่างไรเพื่อไม่ให้เป็นการมองว่าเราจะมาเปลี่ยนแปลงการปฏิบัติตามกันมาของคนในหมู่บ้านหรือตามสถานที่ต่างๆ ที่ปฏิบัติสืบทอดกันมานาน (ขอคำชี้แนะด้วยค่ะ)
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
อบรมปัญญาให้เข้าใจความจริง จะเป็นประโยชน์ทั้งชาตินี้ และชาติต่อๆ ไป กุศลที่ทำได้เสมอๆ คือ การฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีคุณค่ามหาศาลสำหรับชีวิตที่ต้องเดินทางต่อไป อีกแสนไกล และกันดาร
ขอเชิญศึกษาพระธรรม ...
รวมลิงก์เมนูต่างๆ ในเว็บไซต์
ถ้าพระใช้ชื่อบัญชีตนเองร่วมกับไวยาวัจกร ได้ไหมคะ เวลาต้องการใช้สิ่งใดให้ไวยาวัจกรไปเบิกมาใช้ แต่บัญชียังมีชื่อพระท่านด้วย เพื่อป้องกันไวยาวัจกรทุจริตค่ะ
เรียน ความคิดเห็นที่ ๗๖ ครับ
พระภิกษุจะเปิดบัญชี ไม่ได้ แม้จะเปิดร่วมกับคฤหัสถ์ก็ไม่ได้ เพราะเหตุว่าพระภิกษุจะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเงินทองไม่ได้โดยประการทั้งปวง ความจริงต้องเป็นความจริง เมื่อบวชแล้ว ก็ต้องประพฤติตามพระธรรมวินัย ขัดเกลากิเลสของตน ประพฤติคล้อยตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครับ
...ยินดีในกุศลของคุณวิเวียนและทุกๆ ท่านด้วยครับ...
สมเด็จพระสังฆราช เคยรับสั่งว่า
เลิกเอาเงินให้พระเสียทีเถิด
สมเด็จพระสังฆราช รับสั่งกับประชาชนที่มาสักการะบูชาท่านว่า "อย่าเอาเงินมาถวาย"
พระรับเงินรับทองเป็นอาบัติที่รุนแรงมาก พุทธศาสนาของเราเสื่อมลงถึงวันนี้ คิดให้ดี เป็นเพราะโยมไม่ศึกษาพระธรรมวินัย เอาเงินไปถวายพระ เมื่อไหร่พวกเราจะเลิกทำบาปกันเสียที หยุดเอาเงินให้พระ หยุดทำร้ายพระศาสนา หยุดสร้างกลุ่ม "เบ็ญจราคี"
ที่โสโครกโสมมเพิ่มขึ้น สวดอภิธรรมศพก็คงงดเว้นการใส่ซองขาวด้วย กิจของสงฆ์นิมนต์แล้วต้องทำมิฉะนั้นอาบัติผิดวินัยอย่างร้ายแรง ไม่ควรมีพระร่ำรวยเพราะเงินทำบุญ