ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๖๙
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๖๙
~ การที่ทุกข์จะเกิดขึ้นก็ต้องมาจากสิ่งที่ไม่ดี คือ บาป ตราบใดที่ยังไม่รู้จักบาป ก็ยังจะต้องมีบาปเพิ่มขึ้น ตราบใดที่ยังมีความไม่รู้ ก็ยังมีเหตุปัจจัยให้มีบาปต่อไป
~ รักตัว จึงทำบาปทุกอย่าง เพราะหวังว่า จะเป็นสุขจากการที่ทำบาปนั้นๆ ทำบาปโดยการที่ว่าจะได้สิ่งหนึ่งสิ่งใดมาโดยทางทุจริตทางกาย ทางวาจา โดยที่ไม่รู้ว่านั่นเป็นเหตุที่จะนำทุกข์มาให้, ไม่สามารถที่จะบริสุทธิ์ ได้ ตราบใดที่ยังมีกิเลส ก็จะต้องเป็นอย่างนี้ จะต้องมีกิเลสเกิดขึ้นจนกว่าจะชำระจิตให้บริสุทธิ์
~ ถ้ารู้ว่า ไม่ใช่เราจริงๆ จะมีความติดข้องไหม เมื่อความติดข้องในความเป็นเราน้อยลง การแสวงหาขวนขวายเพื่อความเป็นเราในทางทุจริตก็น้อยลง ก็มีความสุจริตเพิ่มขึ้นตามลำดับ
~ มีปัจจัยที่จะให้อกุศลเกิดบ่อยมาก ถ้ากุศลไม่เกิด เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่า มีหนทางหนึ่งที่จะให้อกุศลไม่เกิด คือ ขณะนั้นเป็นกุศล
~ ต้องขัดเกลาตนเอง กล่อมเกลาตนเอง จึงมีสิ่งที่สามารถจะให้คนอื่นได้ คือ (ให้) ความถูกต้อง ถ้ายังคงมีความไม่รู้แล้วจะให้คนอื่นเขารู้ได้อย่างไร
~ ผู้ใหญ่อยากให้เด็กเข้าใจธรรม คิดดู จะสำเร็จไหม แล้วตัวเองล่ะ แล้วจะให้เด็กเข้าใจธรรมจากใคร จากเด็กด้วยกันหรือ หรือว่าจากใคร เด็กจะเข้าใจได้จากไหน เพราะฉะนั้น กลับกันหมดเลย ที่ถูก ควรจะเป็นผู้ใหญ่นั่นแหละที่ควรจะได้เข้าใจธรรม เพราะสามารถที่จะทำให้เด็กและผู้ใหญ่อื่นๆ เข้าใจได้
~ ไม่ประมาทที่จะสะสมกุศลแม้เพียงเล็กๆ น้อยๆ เพราะใครจะรู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้น กุศลแม้เพียงเล็กน้อยก็ไม่ควรประมาทเลยตราบใดที่เกิดเป็นผู้ที่สามารถที่จะกระทำกุศลได้
~ ธรรมไม่ใช่ไปคอยเมื่อไหร่ แต่ฟังเดี๋ยวนี้ เข้าใจเดี๋ยวนี้ ความเข้าใจนั้น กำลังเริ่มที่จะขัดเกลาความไม่รู้และความเป็นตัวตน แต่น้อยมาก เมื่อเทียบกับความไม่รู้ในสังสารวัฏฏ์
~ ถ้าสะสมความดี ความดีก็มีกำลัง ขณะที่จะกระทำทุจริต ความดีก็ยังสามารถที่จะเกิดได้ (ทำให้ไม่กระทำทุจริต) ตามกำลังของการสะสม แต่ถ้าความดีน้อย ก็ต้องเป็นไปตามอกุศล เพราะฉะนั้น ที่สำคัญที่สุด คือ ไม่ประมาทกุศล (ความดี) แม้เพียงเล็กน้อย
~ สำหรับผู้ไม่มีปัญญา ก็ไม่รู้อะไรเลย อะไรเป็นนามธรรม อะไรเป็นรูปธรรม เป็นอนัตตา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ก็ไม่รู้เลย นั่นก็เป็นความมืดตลอดชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่สามารถที่จะรู้ได้ เพราะเป็นความมืดของอวิชชา ซึ่งไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดจะปรากฏก็ไม่รู้ทั้งนั้น
~ เรื่องของความเห็นไม่มีใครสามารถจะบังคับบัญชาได้ แต่ละท่านก็ย่อมมีความเห็นตามที่ได้สะสมมา เพราะฉะนั้น บางทีแม้ว่าจะเป็นพระธรรมที่สมบูรณ์ครบถ้วนด้วยเหตุด้วยผล แต่บางท่านก็อาจจะไม่พิจารณาโดยแยบคาย ทำให้การประพฤติปฏิบัติไม่ตรงตามพระธรรมวินัย ไม่เป็นไปตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้
~ ชีวิตตามความเป็นจริงของแต่ละคนก็รู้ได้เลยว่า แสวงหาไปหมด ตราบใดที่ยังมีกิเลส ก็แสวงหาสิ่งที่น่าพอใจทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่เมื่อมีโอกาสได้สะสมศรัทธา สภาพที่ผ่องใสจากอกุศลที่จะรู้ความจริง เข้าใจความจริง ก็มีการได้ยินได้ฟังพระธรรม การแสวงหาความเข้าใจพระธรรม ก็เพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น ในชีวิตของแต่ละคนตามความเป็นจริง ก็เป็นปัญญาที่สามารถรู้ถูกว่า ขณะไหนแสวงหาสิ่งไม่เป็นสาระเลย กับขณะไหนที่แสวงหาสิ่งที่เป็นสาระที่สามารถชำระจิตได้ เพราะคนอื่นชำระจิตใครก็ไม่ได้ แต่พระธรรมที่ทรงแสดงไว้เหมือนยารักษาโรค เท่านั้น ที่จะเป็นเครื่องชำระจิตใจได้
~ ฟังพระธรรมเพื่อเข้าใจ ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่นใดทั้งสิ้น จะจากโลกนี้ไปเมื่อไหร่ สิ่งที่สะสมอยู่ในจิต คือ ความเข้าใจ ก็จะติดตามไปด้วย
~ กว่าจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กว่าจะได้ฟังคำจริงที่ทำให้ค่อยๆ เข้าใจเป็นปัญญาของตนเองโดยพระมหากรุณาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ว่าใครจะได้โดยง่าย ถ้าไม่มีการได้ยินได้ฟังเลยจะไม่มีโอกาสเข้าใจ ได้ยินได้ฟังแล้วผ่านหูไปเฉยๆ ก็ไม่มีโอกาสได้เข้าใจ แต่ต้องไตร่ตรองและเป็นคนตรง ถ้าไม่ตรงจะไม่ได้สาระจากพระธรรม
~ ปัญญาค่อยๆ เจริญขึ้น สะสมไปเป็นสมบัติที่มีค่าเหนือสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น เพราะเงินทองซื้อไม่ได้
~ จะฟังธรรมต่อไปไหม อีกนานเท่าไหร่ ค่าอยู่ที่ขณะที่กำลังเห็นประโยชน์และเข้าใจในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบไหว้แต่ไม่ฟังพระธรรม ค่าของพระธรรมจะอยู่ที่ไหน ค่าของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะอยู่ที่ไหน ถ้าไม่ฟัง ก็คือ ไม่รู้ค่าของคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งแต่ละคำทำให้เกิดปัญญาซึ่งไม่เคยเกิดในสังสารวัฏฏ์ และปัญญาที่เกิดขึ้น ก็ค่อยๆ เจริญขึ้น มั่นคงขึ้น
~ การที่เราฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยความเคารพ เป็นการบำรุงพระพุทธศาสนา เราเคยรับใช้คนอื่น ญาติพี่น้องหรือใครก็ตาม แต่ไม่มีอะไรที่จะประเสริฐเท่ากับการรับใช้ทะนุบำรุงพระพุทธศาสนา เพราะเป็นสิ่งที่เหนือค่ากว่าอย่างอื่นทั้งหมดที่จะทำให้คนอื่นมีโอกาสได้เข้าใจสืบต่อกันไป
~ คำสอนซึ่งเป็นคำไม่จริงของใครก็ตาม ทุกคำทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะคำไม่จริงทำลายคำจริง ไม่มีใครรู้ว่าความจริงคืออะไร เพราะทุกคำที่จริงถูกปกปิดไว้ด้วยคำไม่จริง
~ ทรัพย์ธรรมดา ไม่มีค่า เพราะติดตามเราไปไม่ได้ มีแต่ทำให้เพิ่มพูนกิเลสความติดข้อง แต่อริยทรัพย์ ซึ่งเป็นทรัพย์ที่ประเสริฐสามารถที่จะค่อยๆ ละคลายความติดข้อง
~ ติดข้องในอะไรมากที่สุด ติดข้องในตัวเรา ติดข้องในทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเรา
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงซึ่งคนอื่นรู้ไม่ได้ ถ้าพระองค์ไม่ทรงประกาศความจริงให้รู้
~ แต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นไปเพื่อละความไม่รู้ ซึ่งความไม่รู้ นี้เป็นต้นเหตุให้เกิดกิเลสมากมายมหาศาล
~ เคารพในความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงเพื่อให้บุคคลทั้งหลายที่ไม่สามารถเข้าใจได้เอง สามารถเข้าใจจนสามารถรู้แจ้งความจริงได้ เพราะฉะนั้น เคารพด้วยการศึกษาพระธรรมด้วยความเคารพ ด้วยความมั่นคง ด้วยการไม่คิดเอง ด้วยความไตร่ตรอง ด้วยความสอดคล้อง และความเคารพในธรรมก็จะนำไปสู่การรู้แจ้งธรรม เพราะเหตุว่าเป็นผู้ที่ระลึกถึงธรรม ด้วยความเคารพ คือ ศึกษาและเข้าใจ
~ สิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร เราก็บอกกันได้ ก็ควรทำสิ่งที่ดี ไม่ใช่ทำสิ่งที่ไม่ดี
~ คำใดที่ผิดจากคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นำไปสู่ทางผิดทั้งหมด.
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๖๘
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...