ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๘๕
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๘๕
~ ชีวิตของทุกคนไม่ใช่ว่าจะยืนยาวนานมากเลย เพราะเหตุว่าชีวิตดำรงอยู่เพียงชั่วขณะจิตเดียวแล้วก็ดับ เมื่อกี้นี้ก็ดับแล้ว แล้วก็มีจิตเกิดต่อ แล้วจิตขณะนั้นก็ดับ แล้วก็มีจิตเกิดต่อ
~ การที่จะดับกิเลส (เครื่องเศร้าหมองของจิต) ได้ ต้องรู้ ถ้าไม่รู้ก็ดับกิเลสไม่ได้ เพราะกิเลสเกิดเพราะความไม่รู้ เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า ถึงแม้ว่าอกุศลธรรมจะเกิดบ่อย เป็นประจำทุกวัน ก็ไม่รู้สึก ว่าเป็นอกุศล อย่างทางตาที่กำลังเห็นนี้ แล้วไม่รู้ความจริง ก็ไม่รู้ว่านั่นแหละเป็นอกุศลธรรมแล้ว ความไม่รู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏ จึงทำให้เกิดความพอใจบ้าง ไม่พอใจบ้าง
~ ถึงแม้ว่าในวันหนึ่งๆ จะมีอกุศลมาก ก็ยังมีโอกาสที่ได้กระทำกุศล หรือว่าในวันหนึ่งๆ ที่มีกุศลหลายชั่วโมง อกุศลก็ยังเกิดแทรกได้อย่างรวดเร็ว ถ้าไม่เป็นผู้ที่ละเอียด ขณะที่เป็นอกุศลก็ผ่านไป โดยที่ไม่รู้ว่า ขณะนั้นเป็นขณะที่อกุศลธรรมกำลังปรากฏให้รู้ว่า ตนเองยังมีอกุศลธรรม
~ วันหนึ่งๆ จะเห็นได้ว่า กุศลจิตที่เกิดขึ้นกระทำกุศลกรรมต่างๆ เป็นไปตามฉันทะ (ความพอใจ) ของแต่ละบุคคลที่ได้สะสมมา ซึ่งบางท่านก็อาจจะช่วยเหลือบุคคลอื่น หรือว่าบางท่านก็อาจจะให้ทานวัตถุสิ่งของเป็นประโยชน์แก่คนอื่น กุศลธรรมเป็นปรมัตถธรรม เป็นสภาพธรรมที่ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ตามฉันทะทั้งในเรื่องของทาน ในเรื่องของศีล ในเรื่องของการไตร่ตรองเหตุผลในธรรม ซึ่งพระธรรมนี้จะต้องไตร่ตรองให้ได้เหตุผลจริงๆ มิฉะนั้น ก็อาจจะเข้าใจคลาดเคลื่อนไปได้
~ กุศลธรรมย่อมเป็นที่สรรเสริญชมเชย ไม่ว่าในขณะที่กำลังกระทำซึ่งมีผู้เห็น หรือแม้แต่ในกาลภายหน้า คือ ไม่ว่ากาลเวลาจะล่วงไป จะ ๑๐๐ ปี ๑๐๐๐ ปี ๒๕๐๐ กว่าปี กุศลธรรมหรือธรรมฝ่ายดีก็เป็นธรรมฝ่ายดี ธรรมใดเป็นธรรมที่ประเสริฐ ธรรมนั้นก็เป็นธรรมที่ประเสริฐ
~ ถ้ายังมีความเห็นที่ถูกบ้างผิดบ้าง ปะปนกันอยู่ ซึ่งจะทราบแน่นอน ว่า ความเห็นส่วนใดที่ยังผิด ยังคลาดเคลื่อน ก็ต่อเมื่อได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม และพิจารณาเหตุผลโดยละเอียด โดยรอบคอบจริงๆ มิฉะนั้นแล้ว ก็ยังจะละความเห็นผิดไม่ได้ ถ้าไม่ได้พิจารณาโดยละเอียด
~ พระธรรมย่อมจะเกื้อกูลให้กุศลประเภทอื่นค่อยๆ เจริญขึ้น แล้วแต่ว่ากุศลประเภทใดจะเจริญมากกว่าประเภทใด เช่น ถ้าเป็นเรื่องของกุศลในการฟังธรรม ก็คงจะเจริญต่อไป ตามที่เคยผูกใจไว้ และตามความประพฤติเสมอ แต่ว่ากุศลประเภทอื่นที่ยังไม่ได้ประพฤติเสมอก็คงจะต้องรอกาลเวลาต่อไปอีก จนกว่าจะมีเหตุปัจจัยที่จะทำให้กุศลนั้นๆ เพิ่มขึ้น
~ ทุกคนย่อมเคยโกรธ แต่ถ้าใครมีสติที่จะระลึกได้ว่า ขณะนั้นเป็นสภาพธรรมที่เป็นอันตรายกับตนเอง เพราะเหตุว่าบุคคลอื่นไม่สามารถที่จะทำให้เราโกรธได้ ถ้าเราไม่มีกิเลส เพราะฉะนั้น จะเห็นได้เลยว่า ขณะใดที่ความโกรธเกิดขึ้น ขณะนั้นเป็นการประทุษร้ายตนเอง ซึ่งบุคคลอื่นไม่ได้กระทำ นอกจากกิเลสของตนเองเป็นผู้กระทำ ถ้าคิดได้อย่างนี้ ในขณะนั้น ก็จะเห็นโทษของอกุศล
~ การเกิดเป็นมนุษย์ ก็เป็นผลของกุศลกรรมหนึ่งที่ได้กระทำแล้ว แล้วก็ระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็แล้วแต่ว่าจะมีกุศลกรรมอื่นที่จะให้ผล ก็ให้ผลทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ซึ่งเมื่อเป็นผลที่น่าพอใจ ก็ทำให้เป็นผู้มีรูปสมบัติ มีทรัพย์สมบัติ มีลาภ มียศต่างๆ กันไป ตามกรรมที่ได้กระทำ ซึ่งแต่ละคนก็สามารถที่จะพิจารณาผลในปัจจุบัน แล้วก็รู้เหตุในอดีตว่า เป็นผลของกุศลหรือว่าเป็นผลของอกุศล แต่ว่าผลของกุศลที่ได้รับ จะเป็นเหตุให้เกิดอกุศลจิตหรือกุศลจิต?
~ เวลาที่กุศลจิตเกิด สภาพของจิตผ่องใส ไม่มีความเดือดร้อนด้วยความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ ไม่มีการที่จะขาดความเมตตาในบุคคลอื่น จะเห็นได้ว่าจิตที่ผ่องใสเป็นกุศลนั้นไม่เป็นโทษเป็นภัย เพราะฉะนั้น ก็รู้ได้ว่า ด้วยจิตที่ไม่เป็นโทษเป็นภัยเป็นเหตุ ย่อมจะไม่เป็นผลให้เกิดโทษภัยขึ้นได้ เพราะฉะนั้น กุศลทั้งหลายมีวิบากที่เป็นสุข ไม่ใช่นำมาซึ่งวิบากที่เป็นทุกข์
~ กิเลสเกิดเมื่อไหร่ ก็ทำร้ายตนเองเมื่อนั้น ทำร้ายทุกวันด้วยความไม่รู้
~ ไม่มีใครทำร้ายใครได้ ทำร้ายใจคนอื่นได้อย่างไร ทำให้เขาเจ็บใจได้อย่างไร ถ้าเขาไม่มีกิเลส ไม่มีทางจะเป็นไปได้เลย
~ เวลาที่ไม่รู้ ก็คิดว่า เป็นคนอื่นที่ทำร้ายเรา ทำให้เราเสียใจ ทำให้เราผิดหวัง ทำให้เราโกรธ ที่ไม่เป็นไปอย่างใจหวัง แต่ความจริง ไม่มีใครทำร้ายใจใครได้เลย นอกจากกิเลสที่อยู่ในใจของคนนั้นเท่านั้นที่ทำร้ายคนนั้น เวลาที่กิเลสเกิด ทำร้ายทันทีทุกขณะ
~ ตราบใดที่ยังมีการฟังพระธรรม ความเข้าใจก็ต้องเพิ่มขึ้น
~ แต่ละขณะที่ชอบครั้งหนึ่ง ก็เพิ่มความติดความพอใจ ขณะที่โกรธ ขุ่นเคืองใจครั้งหนึ่ง กิเลสนั้นก็ยังไม่ได้ดับ ก็จะต้องสะสมสืบต่อไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นที่ว่าจะดับกิเลส หรือบอกให้ละกิเลส จะทำได้อย่างไร? ถ้าไม่อบรมเจริญปัญญาจริงๆ ที่จะต้องรู้แจ้งอริยสัจจธรรมที่กำลังปรากฏ
~ ถ้าไม่มีความเข้าใจในพระธรรม และคบหาสมาคมกับความเห็นผิด ก็ย่อมจะต้องเห็นผิดตามไปด้วย
~ อวิชชาทำให้ไม่รู้คุณของผู้ที่มีอุปการคุณ เพราะฉะนั้น ผู้ใดที่ไม่เป็นผู้ที่กตัญญูกตเวที ก็เพราะมีอวิชชา ไม่เห็นคุณของผู้มีคุณ จึงไม่รู้คุณ และไม่ประกาศ และไม่มีความกตัญญูกตเวทีต่อผู้นั้น
~ การคิดนึกของแต่ละคนบังคับบัญชาไม่ได้เลย ถ้าสะสมอกุศลที่จะคิดในทางอกุศล ก็ย่อมคิดในเรื่องอกุศลต่างๆ
~ เพียงอกุศลธรรมอย่างหนึ่งเกิดขึ้น ก็เป็นเครื่องเตือนให้ระลึกได้ว่า แม้อกุศลธรรมอื่นๆ ก็ยังมีอยู่มากด้วย จึงเป็นผู้ที่จะเห็นความน่ารังเกียจของอกุศลธรรม ซึ่งมีอยู่ในตนได้ เพราะเหตุว่ามักจะรังเกียจอกุศลธรรมที่มีอยู่ในบุคคลอื่น แต่ว่าผู้ที่ฉลาดจะต้องเป็นผู้ที่รังเกียจอกุศลธรรมที่มีอยู่ในตน
~ โกรธเกิดขึ้นขณะเดียว คิดว่าไม่มาก ใช่ไหม? แต่ทีละขณะ สองขณะไปเรื่อยๆ ก็ย่อมจะเป็นเหตุที่สามารถที่จะไปสู่อบายภูมิได้
~ การที่ชาตินี้เป็นบุคคลที่โกรธมาตั้ง ๑๐ กว่าปี แล้วยังไม่ลืม ก็เพราะเหตุว่าสะสมมาที่จะผูกโกรธ แล้วก็นึกโกรธบ่อยๆ ต้องเคยเป็นอย่างนี้มาแล้ว และถ้ายังไม่เห็นโทษ ชาติต่อไปก็ยังจะต้องเป็นอย่างนี้อีก
~ ตราบใดที่ยังไม่ใช่พระอนาคามีบุคคล อย่าไปถามใครเลยเรื่องวิธีอื่นที่จะทำให้ไม่มีโทสะ เพราะเหตุว่ามีวิธีเดียวเท่านั้น คือ ต้องเจริญปัญญาจนรู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงขั้นพระอนาคามีบุคคลเมื่อไร เมื่อนั้นจึงจะไม่มีโทสะ
~ เพื่อนโกรธเพื่อนได้ไหม? โกรธขณะไหน ไม่ใช่เพื่อนขณะนั้น ไม่ว่าเขาเป็นใคร โกรธเมื่อไหร่ คนนั้นไม่ใช่เพื่อน ไม่มีเมตตา
~ เวลาโกรธ โทษอยู่ที่ไหน? (โทษอยู่ที่ตัวเอง) รู้ก็ดีแล้วว่าเราได้ทำสิ่งที่ไม่สมควร จะได้รู้ว่าไม่สมควร เพื่อที่จะได้ไม่ทำสิ่งที่ไม่สมควร
~ วันทั้งวันโอกาสของกิเลสมีมากอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น การที่จะได้ฟังพระธรรมหรือการพิจารณาธรรม หรือสนทนาธรรม เป็นแต่เพียงโอกาสที่สั้นและเล็กน้อยมาก ที่ขณะนั้นอกุศลไม่มีกำลังพอที่จะให้ไม่ฟัง แต่เวลาที่เกิดไม่ฟังหรือเกิดการสนใจน้อยลง จะเห็นได้ว่า ขณะนั้นเป็นการเปิดช่องให้กิเลสซึ่งมีอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน ค่อยเพิ่มโอกาสที่จะมีกำลังขึ้นอีกจากการไม่ฟังธรรม จากการไม่พิจารณาธรรม จากการไม่สนทนาธรรม
~ ถ้าเป็นอกุศลแล้ว ต้องกล้าออกจากอกุศลอย่างเร็วที่สุดด้วยความไม่ประมาท เพราะว่าถ้าช้าก็จะทำให้ออกจากอกุศลนั้นยากขึ้น จนในที่สุดก็อาจจะสายเกินไปที่จะออกจากอกุศลนั้นได้ และอาจจะเป็นอย่างนี้ทุกๆ ชาติ
~ มีสภาพธรรมให้ศึกษาอยู่ตลอดเวลา โดยการฟังพระธรรมและเข้าใจขึ้นๆ แล้วเจริญกุศลทุกประการเพื่อที่จะขัดเกลาอกุศล ด้วยความจริงใจที่จะละคลายอกุศล ไม่ใช่ต้องการหรือปรารถนาสิ่งอื่นนี่คือผู้เห็นคุณของพระธรรม และเห็นโทษของอกุศล และรู้ว่า สิ่งที่ควรเจริญในชาตินี้คือปัญญา เพราะเหตุว่าสิ่งอื่นไม่สามารถจะติดตามไปได้ ทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่มีอยู่ ก็ติดตามไปไม่ได้ แต่ปัญญา ความเข้าใจพระธรรมจากชาติหนึ่งไปอีกชาติหนึ่ง ก็จะค่อยๆ เพิ่มขึ้น
~ ความจริงต้องเป็นความจริง ไม่เข้าใจธรรมแน่นอนถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม หรือ ฟังด้วยความประมาท ก็ไม่เข้าใจ
~ ธรรมหลากหลายมาก ไม่ว่าจะหลับหรือตื่น ตั้งแต่เกิดจนตาย เป็นธรรมทั้งหมด
~ การพูดความจริง เป็นการอนุเคราะห์อย่างยิ่ง เป็นเพื่อนแท้ที่ไม่หวังร้ายต่อเพื่อนเลย เพราะรู้ว่ากำลังเห็นผิด กำลังเข้าใจผิด และผลของการเห็นผิด เข้าใจผิด มากมายสักแค่ไหน ไม่ใช่ชาตินี้ชาติเดียว สะสมต่อไป เห็นผิดต่อไปทุกชาติ พอถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป ไม่ไปเฝ้า ไม่ฟังธรรม
~ ความหวังดี เป็นความหวังดี คำพูดดีจากความหวังดี ก็ต้องดีกว่าคำพูดที่ไม่ดี
~ เข้าใจคนอื่น เพราะเข้าใจตัวเอง เราเป็นอย่างไร เขาก็เป็นอย่างนั้น ถ้าเราไม่ชอบคำที่ไม่น่าฟัง เราเองจะไม่พูดคำนั้น แต่ถ้าเราไม่เข้าใจอย่างนี้ เราก็มีเหตุผลของเราที่เราจะต้องโกรธจะต้องดุ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสั่งสอนคน ไม่ใช่ด้วยคำดุหรือเสียงดุ แต่ด้วยพระมหากรุณา
~ สิ่งที่มีจริง เป็นธรรม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรม ทรงแสดงธรรมให้คนอื่นเข้าใจธรรม เพื่อที่จะรู้ว่าธรรมเป็นธรรม นี่คือการเริ่มที่จะละความไม่รู้ เพราะกิเลสเกิดขึ้น เพราะไม่รู้ว่าเป็นธรรม
~ อาศัยการฟังพระธรรมบ่อยๆ ด้วยความอดทนและด้วยการรู้ว่าค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละน้อยมาก เพราะเราสะสมความไม่รู้มานานมาก แต่ว่าถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมเลย ไม่มีทางเลยที่จะละความเป็นเราได้
~ มีความไม่รู้ที่สะสมมามานมาก ก็ต้องเป็นหน้าที่ของความเห็นถูก หน้าที่ของความอดทน หน้าที่ของความตรงต่อธรรม และเป็นหน้าที่ของความไม่ประมาทที่จะรู้ว่าการฟังพระธรรมแต่ละครั้งดูเหมือนว่าเหมือนเดิม แต่ความจริงแล้ว ไม่ใช่เลย เพราะปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูกค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละน้อยๆ
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๘๔
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
กราบอนุโมทนากุศลจิตทุกขณะแห่งการเกื้อกูลด้วยพระธรรมค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
~ การพูดความจริง เป็นการอนุเคราะห์อย่างยิ่ง เป็นเพื่อนแท้ที่ไม่หวังร้ายต่อเพื่อนเลย เพราะรู้ว่ากำลังเห็นผิด กำลังเข้าใจผิด และผลของการเห็นผิด เข้าใจผิด มากมายสักแค่ไหน ไม่ใช่ชาตินี้ชาติเดียว สะสมต่อไป เห็นผิดต่อไปทุกชาติ พอถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป ไม่ไปเฝ้า ไม่ฟังธรรม