ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๐๒
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๐๒
~ ถ้าไม่มีหลักธรรม ความเข้าใจความถูกต้อง ความเข้าใจความจริง ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ชีวิตของผู้นั้น ไม่มีทางที่จะดำเนินไปในทางที่เป็นประโยชน์
~ ถ้าเข้าใจธรรมแล้ว มีหรือที่ใครจะละเลยทอดทิ้งภาระที่จะต้องให้คนอื่นได้มีความเข้าใจที่ถูกต้องในพระธรรมวินัยสืบต่อไปด้วย เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นภิกษุหรืออุบาสกอุบาสิกาที่เข้าใจธรรมแล้ว จะไม่ละเลยการที่จะดำรงรักษาพระพุทธศาสนา แล้วก็เกื้อกูลกัน
~ ถ้ารู้ว่าสิ่งใดผิดวินัย ก็ไม่สนับสนุน เพราะฉะนั้น เมื่อไหร่จะสำนึกว่าอะไรถูกอะไรผิด โดยเฉพาะเรื่องของพระพุทธศาสนา เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ประเสริฐมาก ถ้ามีความเห็นถูกต้องยิ่งขึ้น ทุกคนก็ร่วมกันทำสิ่งที่ถูกต้องได้ ทำเท่าที่จะทำได้ แต่ละคนถ้ามีจำนวนมากขึ้นก็ต้องสำเร็จ (เป็นการช่วยกันดำรงรักษาพระพุทธศาสนา ไม่ไปทำลายสิ่งที่ประเสริฐที่สุดให้หมดสิ้นไป)
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรมแล้วๆ เล่าๆ ถึงสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ จนกว่าผู้นั้นจะเกิดปัญญา ทรงมีพระมหากรุณาอย่างยิ่ง เพราะเขาไม่รู้ เพราะฉะนั้น ก็ทรงแสดงโดยละเอียดโดยประการทั้งปวงสิ้นเชิง เพื่อเขาจะเข้าใจ เมื่อเขาเข้าใจแล้วเขาก็เป็นผู้ที่ปลอดโปร่งจากการหลงผิด เพราะเขารู้ว่าอะไรเป็นเหตุที่แท้จริงที่จะทำให้เกิดความทุกข์ ถ้ายังมีเหตุที่จะทำให้เกิดทุกข์แล้วไม่รู้ ก็เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ต่อไป
~ ชาวพุทธก็ต้องรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีใครที่จะประเสริฐกว่าพระองค์เมื่อไม่มี (ใครที่จะประเสริฐกว่าพระองค์) สมควรไหมที่จะเคารพสูงสุดด้วยการศึกษาให้เข้าใจพระธรรมที่พระองค์ได้ทรงแสดง ๔๕ พรรษา เพื่อประโยชน์แก่ผู้ฟัง แล้วเราจะไม่เป็นผู้ฟังคนหนึ่งหรือ? ที่จะค่อยๆ ฟังธรรม ซึ่งกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงจนกระทั่งสามารถที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่งขึ้นนอบน้อม เคารพ สักการะยิ่งขึ้น
~ ผู้ที่ระลึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบ่อยๆ ย่อมเสมือนกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่เฉพาะหน้า ไม่สามารถที่จะล่วงกายทุจริตได้ เพราะเหตุว่า ระลึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ทรงแสดงธรรม ให้เห็นว่าธรรมใดเป็นอกุศล ที่ควรเว้น ธรรมใดเป็นกุศลที่ควรเจริญ
~ ถ้าสามารถจะทำให้คนอื่นได้เข้าใจว่าอะไรผิด อะไรถูก เป็นประโยชน์ไหม มีเมตตาไหม ไม่ใช่เห็นแก่ตัว แต่รู้ว่าคนอีกมากที่ไม่ได้เข้าใจพระธรรมอย่างถูกต้อง พระวินัย พระสูตร ก็ไม่ได้ศึกษาเลย เพราะฉะนั้น พระธรรมยิ่งเปิดเผยยิ่งรุ่งเรืองถ้ามีความเมตตา มีความหวังดี มีความเป็นเพื่อนกับคนที่เห็นผิด ก็ต้องพูดต้องเปิดเผยพระธรรมวินัยให้เขาได้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง
~ เข้าใจผิด คิดว่าพระพุทธศาสนา ง่าย ไม่ต้องเรียน ก็ได้ คิดได้อย่างไร นี่อันตรายที่สุด ที่ประมาทคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ คนที่เคยฟังคำสอนอื่น ไปหลงผิด ไปปฏิบัติผิดมา แต่เพราะการที่เคยสะสมความเป็นผู้มีเหตุผล ความเป็นผู้ตรง ความเป็นผู้เห็นสาระของการเข้าใจสิ่งที่จริง ไม่ต้องการสิ่งที่ไม่จริง พอได้ฟังธรรม เขาเปลี่ยนเลย เพราะเหตุว่า เขารู้ว่าที่ผ่านมาแล้วทั้งหมด ไม่ใช่ความถูกต้อง ไม่จริง ไม่ใช่ความเข้าใจใดๆ เลยทั้งสิ้น
~ เพียรที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ นั่นคือประโยชน์สูงสุดถ้าไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ แล้วจะไปหาความจริงอะไรที่ไหนมารู้ เพียรฟังจนกระทั่งค่อยๆ หมดความสงสัย ค่อยๆ ละความเป็นเรา
~ พระธรรมเป็นสิ่งที่สามารถเข้าใจได้ แต่ว่า ลึกซึ้ง เป็นประโยชน์, คำไหนที่ไม่ใช่คำที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง ทุกคำไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมด
~ จะต้องการทรัพย์สมบัติอื่นใด ชื่อเสียงเกียรติยศ หรืออะไร เพียงแค่ทุกอย่างเพียงเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไปหมดในสังสารวัฏฏ์ที่ยาวนาน ไม่เหลือเลย แม้แต่วันนี้สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ก็ไม่เหลือ เพราะฉะนั้น พอถึงพรุ่งนี้ วันนี้จะไม่มีอะไรเหลือสำหรับพรุ่งนี้เลย
~ ความมั่นคงของประเทศชาติเป็นเรื่องใหญ่มาก ความมั่นคงของประเทศชาติต้องมาจากคนดี ถ้าไม่มีคนดีเลย จะไปหาความมั่นคงที่ไหน ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลย เพราะฉะนั้น คนดี จะดีได้อย่างไร ถ้าไม่ได้เข้าใจความจริง
~ ต้องเป็นคนดีจริงๆ เป็นคนเสียสละจริงๆ เป็นคนที่มุ่งมั่นจริงๆ ที่จะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ เพราะว่า สิ่งใดก็ตามที่เป็นประโยชน์ แม้น้อยหนึ่งก็เป็นประโยชน์
~ เวลานี้วิกฤต (เสื่อมอย่างหนัก) หรือเปล่า ในทุกด้าน ใช่ไหม ไม่ว่าจะเป็นวงการใดๆ ทั้งสิ้น ความวิกฤตมาจากไหน มาจากการที่ไม่เข้าใจคุณค่าของความดี และจะดีได้ ก็มีหนทางเดียว คือ ต้องมีความเข้าใจว่าสิ่งใดถูก สิ่งใดผิด แล้วใครจะรู้ว่าสิ่งใดถูก สิ่งใดผิด สิ่งตรง สิ่งใดไม่ตรง เหนือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มี
~ การที่เป็นคนตรง เป็นคนดี มีเหตุผล เข้าใจความถูกต้องซึ่งมาจากพระพุทธศาสนา นั่นแหละจะช่วยให้ทุกอย่าง ดี
~ พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาที่สามารถจะช่วยให้ประเทศชาติมั่นคง เพราะว่าทำให้คนดีขึ้น
~ ถ้าเคารพรักมารดาบิดา สิ่งเดียวที่จะทำให้ท่านปลาบปลื้ม ก็คือ เป็นคนดี ถึงจะเอาอะไร ไปให้สักเท่าไหร่ แต่ความประพฤติไม่ดี ทุกอย่างไม่ดี ท่านจะมีความสุขไหม ไม่ว่าใครทั้งนั้น แม้แต่พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ๔๕ พรรษา เพื่อประโยชน์กับทุกคน ก็เพื่อเขาเป็นคนดีและเข้าใจสิ่งที่มีจริง ตามความเป็นจริง
~ คนที่ไม่รู้เขาทำชั่ว แต่คนที่รู้เขาไม่ทำ เพราะรู้ว่าความชั่วเป็นโทษทั้งกับตนเองและคนอื่น นำมาซึ่งทุกข์โทษภัยต่างๆ ซึ่งผู้ที่ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้โดยละเอียดยิ่ง ซึ่งถ้ารู้จริงๆ อย่างนี้ คนรู้ไม่ทำชั่ว เพราะฉะนั้น ถ้าทุกคน เข้าใจถูกต้อง โลกนี้ก็เป็นโลกที่ไม่เดือดร้อน ไม่มีการฆ่ากันไม่มีการประทุษร้ายเบียดเบียนกัน เป็นโลกที่อยู่ด้วยกันด้วยความสงบ และถ้ามีปัญญายิ่งขึ้น โลกนี้ก็ยิ่งสงบมากขึ้น
~ คนอื่นเขาไม่ได้ตกนรกเพราะเราโกรธเขา แต่ตัวเราเองต่างหากที่จะตกนรกเพราะกิเลสของเราเอง ดีมากนักหรือสำหรับอกุศล? โกรธคนอื่น ไม่ชอบคนอื่น คิดร้ายต่อคนอื่น ดีมากนักหรือ? แล้วจะเก็บไว้ทำไม เพราะไม่ใช่สิ่งที่ดีเลยแม้แต่น้อย เนื่องจากเป็นอกุศล
~ ถ้าเห็นคนที่พิการ มีอาการวิกลพิการต่างๆ เคยคิดบ้างไหม ว่า เคยเป็นอย่างนี้มาแล้วในกาลนานมาแล้ว หรือว่าอาจจะเป็นอย่างนี้ หรือยิ่งกว่านี้ในอนาคต
~ ไม่ว่าจะเคยเห็นใครก็ตามที่กำลังตกทุกข์ได้ยาก กำลังเจ็บป่วยด้วยโรคภัยต่างๆ หรือเป็นผู้ที่พิการ หรือมีความทุกข์ ความทรมานอย่างหนึ่งอย่างใด ให้ทราบว่าทุกท่านเคยเป็นมาแล้ว ไม่ใช่ไม่เคยเลย เพราะฉะนั้น ไม่ควรที่จะประมาท ไม่ควรที่จะดูหมิ่นหรือว่าไม่ควรที่จะนึกรังเกียจ แต่ว่าควรจะเป็นคติให้ระลึกได้ว่า เคยเป็นอย่างนี้มาแล้วและอาจจะเป็นอย่างนี้อีกก็ได้
~ การเห็นกันครั้งหนึ่งๆ ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้ว่าจะเป็นการเห็นกันครั้งสุดท้ายหรือไม่ เพราะถ้าคิดว่า อาจเป็นการเห็นกันครั้งสุดท้ายก็อาจจะทำให้จิตใจอ่อนโยนแล้วมีความเมตตากรุณาต่อกัน
~ การให้อภัย ก็ทำให้บุคคลอื่นมีความสุข เขาไม่ต้องเดือดร้อนเพราะความโกรธ
ของเราหรือเพราะความคิดเบียดเบียนของเรา
~ ความไม่ดีของคนอื่น เหมือนกับความไม่ดีของเราที่กำลังโกรธไม่พอใจคนอื่นหรือเปล่า?
~ ถ้าเห็นคนที่กำลังโกรธจริงๆ เห็นอาการประทุษร้ายจิตใจที่กำลังเกิดขึ้นกับบุคคลนั้น เห็นโทษทันที เวลาที่เห็นความโกรธของบุคคลอื่น แล้วตัวเองเมื่อเห็นโทษอย่างนั้น ยังอยากจะโกรธเหมือนอย่างนั้นหรือ? ในเมื่อกำลังเห็นอาการของคนโกรธ ของความโกรธ เพราะฉะนั้น เมตตาเกิดได้ในขณะนั้น ซึ่งควรเจริญจนกว่าจะเป็นพื้นของจิตใจ สามารถที่จะให้อภัยได้ ไม่ว่าบุคคลนั้นจะกระทำการกระทำที่ไม่เหมาะสมทางกาย หรือทางวาจาก็ตาม
~ คนโกรธ ไม่รู้ตัวเลย แต่คนอื่นที่ดูอยู่ รู้เลยว่า คนโกรธ หน้าเปลี่ยน ถมึงทึง น่ากลัว ไม่น่าดูเลย
~ ผู้ที่หวังร้ายต่อท่าน ก็เป็นอกุศลจิตของเขา ไม่ใช่ของท่าน
~ แต่ละคนก็ดำรงอยู่เพียงชั่วขณะจิตหนึ่ง ชีวิตของใครจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น สุขสบาย ทุกข์ยาก ลำบาก มากน้อยสักเท่าใด จะเห็นอะไร ได้ยินอะไร ทั้งหมดก็ให้ทราบว่า แท้ที่จริงแล้ว ก็เป็นเพียงชั่วขณะจิตหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเท่านั้นจริงๆ
~ ชีวิต นี้ สั้นมาก ประโยชน์อยู่ที่ความเข้าใจถูกเห็นถูก วันนี้ได้ฟังพระธรรม พรุ่งนี้ตายไป ก็ยังเป็นประโยชน์
~ ชาตินี้ ก็จะเป็นชาติก่อนของชาติหน้า ถ้าไม่เห็นประโยชน์ของพระธรรมและความดีในชาตินี้ ชาติต่อไปก็จะเป็นอย่างนี้อีก ซึ่งจะประมาทไม่ได้เลย
~ ความยากของพระธรรม ก็เป็นเครื่องส่องถึงความอดทน ความเพียร ความตั้งใจมั่น ของแต่ละคนว่า มีมากแค่ไหนในการที่จะฟังที่จะศึกษาให้เข้าใจต่อไป.
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๐๑
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
เป็นคำเตือนที่มีค่ายิ่งค่ะ ชาตินี้ได้ฟังคำจริง
ชาติต่อไป ไม่ทราบว่าจะได้ฟังหรือไม่
ชาตินี้จึงต้องฟังบ่อยๆ สะสมไว้ ในหทัย....
กราบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์เป็นอย่างสูงยิ่ง
กราบอนุโมทนาขอบพระคุณในกุศลจิต อ.คำปั่น อักษรวิลัย ด้วยค่ะ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรมแล้วๆ เล่าๆ ถึงสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ จนกว่าผู้นั้นจะเกิดปัญญา ทรงมีพระมหากรุณาอย่างยิ่ง เพราะเขาไม่รู้ เพราะฉะนั้น ก็ทรงแสดงโดยละเอียดโดยประการทั้งปวงสิ้นเชิง เพื่อเขาจะเข้าใจ เมื่อเขาเข้าใจแล้วเขาก็เป็นผู้ที่ปลอดโปร่งจากการหลงผิด เพราะเขารู้ว่าอะไรเป็นเหตุที่แท้จริงที่จะทำให้เกิดความทุกข์ ถ้ายังมีเหตุที่จะทำให้เกิดทุกข์แล้วไม่รู้ ก็เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ต่อไป
น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ