ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๐๙
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๐๙
~ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญพระบารมี (คุณความดีที่ทำให้ถึงฝั่งของการดับกิเลส) เพื่อให้สัตว์โลกเข้าใจถูก เห็นถูก เพราะฉะนั้น บูชาอย่างอื่น ก็ไม่มีค่าเท่ากับการบูชาด้วยความเห็นถูก ความเข้าใจถูก คิดถึงชีวิตที่เกิดมาแล้ว เพื่ออะไร? ลองคิดดู มีใครบ้างที่คิดเพื่อบูชาพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ทรงแสดงพระธรรมให้ชีวิตทั้งชีวิตที่ไม่เคยเข้าใจธรรม คือ สิ่งที่ปรากฏเลย ได้เกิดเข้าใจเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย สมควรแก่การมีชีวิตอยู่ต่อไป เพื่อบูชาพระคุณด้วยการศึกษาพระธรรม แล้วการเข้าใจธรรมนั้นก็จะทำให้กุศลจิตเกิดจนกระทั่งสามารถดับกิเลสได้
~ พระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นคำสอนของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคำสอนเรื่องของปัญญา เรื่องของการอบรมเจริญปัญญาให้รู้ลักษณะของสภาพธรรมในชีวิตประจำวันตามปกติ ตามความเป็นจริง ซึ่งทุกคนเกิดมาด้วยความไม่รู้ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงตรัสรู้และทรงแสดงธรรม ทุกคนก็ยังคงไม่รู้ แม้ว่าเห็นก็ไม่รู้ ได้ยินก็ไม่รู้ ได้กลิ่น คิดนึก สุขทุกข์ในวันหนึ่งๆ เหมือนกันทุกคน ตั้งแต่เกิดจนตาย ด้วยความไม่รู้
~ สมัยโน้น คือ สมัยพุทธกาล ภิกษุรับเงินรับทอง คฤหัสถ์ต่างพากัน
เพ่งโทษ (กล่าวให้รู้ว่า สิ่งนั้น เป็นโทษ)
ติเตียน (กล่าวให้ได้รู้ความจริงว่า พระภิกษุในพระธรรมวินัย
มีความประพฤติที่ไม่ดีอย่างนั้นได้อย่างไร)
โพนทะนา (กล่าวกระจายข่าวให้ความจริงปรากฏในทุกที่ทุกสถาน เพื่อบุคคลอื่นจะได้เข้าใจอย่างถูกต้อง)
แต่สมัยนี้คฤหัสถ์ชักชวนกันมอบเงินให้แก่พระภิกษุ เป็นการรักษาพระพุทธศาสนา หรือ เป็นการทำลายพระพุทธศาสนา?
เพราะเหตุว่าภิกษุไม่ใช่คฤหัสถ์ ความต่างกันมีมาก
เพราะเงินนี่แหละ เพราะทองนี่แหละ เพราะรับและเพราะยินดีนี่แหละ จึงได้เกิดการทุจริตต่างๆ มากมาย ทุจริตในที่นี้ คือ ความประพฤติที่ไม่เหมาะสมไม่เป็นการขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต, เพราะฉะนั้น อุบาสกอุบาสิกาที่รู้ธรรม ศึกษาและเข้าใจธรรม จะไม่ให้เงินและทองแก่พระภิกษุ
~ คฤหัสถ์ มีความนอบน้อมในเพศบรรพชิตอย่างสูง เพราะเหตุว่า ท่านสามารถละอาคารบ้านเรือนและประพฤติปฏิบัติตามพระวินัยได้ ส่วนเรื่องเฉพาะตน คือ เรื่องอบรมเจริญปัญญา ก็เป็นเรื่องที่ท่านขัดเกลาด้วยการศึกษาและการประพฤติปฏิบัติธรรมอยู่แล้ว แต่ว่า กาย วาจาของท่านต่างกับคฤหัสถ์
~ ชาวพุทธ ก็จะต้องพิจารณาถึงการกระทำทางกาย ทางวาจาของท่านในวันหนึ่งๆ ให้เป็นผู้มั่นคงจริงๆ ในกรรม ถ้าท่านทำทุจริตกรรม แล้วจะอ้อนวอนขอร้องให้ได้ผลดี เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ไหม? หรือ ถ้าท่านทำกุศลกรรมแล้ว ก็อ้อนวอนขอร้อง อย่าให้กุศลนั้นให้ผลที่ดีเลย ให้กุศลนั้นให้ผลที่ไม่ดีทั้งหมด จะอ้อนวอนขอร้องสักเท่าไร ก็เป็นไปไม่ได้เลย เพราะเหตุว่า สภาพธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน
~ ขณะที่เสียดาย ก็แสดงถึงความเยื่อใยในวัตถุที่สละ ซึ่งเป็นเพียงวัตถุสิ่งภายนอก ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว ไม่มีใครสามารถยึดครองเป็นเจ้าของได้ตลอดไป เพียงชั่วขณะที่เห็นและก็เกิดความพอใจ แต่ขณะอื่นเมื่อไม่เห็น ก็เป็นเรื่องอื่นไปแล้ว เพราะฉะนั้น แสดงให้เห็นว่า เยื่อใยของความเสียดายที่ยังมีอยู่ในสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ให้ไปแล้ว
~ เหตุกับผลต้องตรงกัน เพราะฉะนั้น อกุศลธรรม ธรรมฝ่ายไม่ดี ก็จะต้องนำไปสู่ภพภูมิที่ไม่ดี ตรงกันข้าม ธรรมฝ่ายดีก็ต้องนำไปสู่ภพภูมิที่ดี ชีวิตประจำวัน ไปนรกง่ายไหม ลองคิดดู เพราะอกุศล มาก แต่ตราบใดที่ยังไม่ถึงขั้นที่กระทำทุจริตกรรม คือ เบียดเบียนให้คนอื่นเดือดร้อน ก็ยังไม่ใช่เหตุที่สมควรที่จะนำไปสู่อบายภูมิ แต่ว่าสามารถที่จะสะสมสืบต่อในจิตทำให้เป็นผู้ที่มีอุปนิสัยอย่างนั้น
~ เราเห็นคนที่ต่างกัน คนดี คนชั่ว เพราะฉะนั้น แสดงว่าก่อนจะชั่วอย่างที่คนอื่นเห็น ก็ต้องสะสมความไม่ดีทีละเล็กทีละน้อย และคนดีก็เช่นเดียวกัน ก็ต้องสะสมคุณความดีทีละเล็กทีละน้อย ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ ก็เกิดมาเป็นอย่างนั้นได้ เพราะฉะนั้น จะเป็นอย่างไหน นี่ก็เป็นสิ่งที่น่าคิด
~ บางคนชอบของของคนอื่น แต่ลองคิดดู สิ่งที่ท่านชอบ เจ้าของเขาต้องชอบด้วยหรือเปล่า ในเมื่อท่านยังชอบของของเขา เขาก็ต้องชอบของของเขาด้วย เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นผู้ที่ละเอียดจริงๆ แม้ความคิด ก็ไม่ควรที่จะคิดต้องการถือเอาสิ่งของที่ไม่ใช่ของท่านมาเป็นของท่าน
~ ทุกเรื่องที่เป็นมุสาวาท คือ คำไม่จริง แม้เพียงเล็กน้อย ต้องเป็นผู้เห็นโทษจริงๆ แล้วก็มีความเพียรที่จะงดเว้น ที่จะไม่พูดคำที่ไม่จริง แม้เป็นเรื่องที่ท่านอาจจะเห็นว่าไม่เป็นโทษกับคนอื่น แต่ว่าการเสพคุ้นบ่อยๆ จะทำให้เป็นผู้คุ้นเคยกับการกล่าวมุสาวาทได้ง่าย และยิ่งเห็นว่าไม่เป็นโทษเป็นภัย ก็ยิ่งกล่าวไปเรื่อยๆ บ่อยๆ เพราะฉะนั้น ปกติก็จะเป็นผู้ที่ไม่มีใครเชื่อในคำพูดของท่าน
~ การมีชีวิตในวันหนึ่งๆ ก็ผ่านไป โดยที่ไม่เหลืออะไรสักอย่างเดียว จากชาติหนึ่งไปอีกชาติหนึ่ง และก็ผ่านมาแล้วในแสนโกฏิกัปป์ชาติ ก็ไม่มีอะไรเหลืออีก แล้วก็จะต้องผ่านไปอีก
~ ในข้อของปาณาติบาต (การฆ่าสัตว์ที่มีชีวิต) ถ้าขณะนั้นเกิดเมตตา ย่อมไม่สามารถที่จะฆ่าผู้อื่นได้ หรือแม้แต่จะเบียดเบียนประทุษร้ายด้วยกาย หรือด้วยวาจาก็ตาม ถ้าเกิดเมตตาขึ้นทันที ในขณะนั้น ย่อมงดเว้นการที่จะเบียดเบียนประทุษร้ายด้วยกาย ด้วยวาจา แต่ถ้าขณะนั้นเมตตาไม่เกิด ก็ย่อมเป็นไปตามกำลังของกิเลส
~ คนที่ไม่รู้เขาทำชั่ว แต่คนที่รู้ เขาไม่ทำ เพราะรู้ว่าความชั่วเป็นโทษทั้งกับตนเองและคนอื่น นำมาซึ่งทุกข์โทษภัยต่างๆ ซึ่งผู้ที่ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้โดยละเอียดยิ่ง ซึ่งถ้ารู้จริงๆ อย่างนี้ คนรู้ ไม่ทำชั่ว เพราะฉะนั้น ถ้าทุกคน เข้าใจถูกต้อง โลกนี้ก็เป็นโลกที่ไม่เดือดร้อน ไม่มีการฆ่ากัน ไม่มีการประทุษร้ายเบียดเบียนกัน เป็นโลกที่อยู่ด้วยกันด้วยความสงบ และถ้ามีปัญญายิ่งขึ้น โลกนี้ก็ยิ่งสงบมากขึ้น
~ ควรที่จะมีความละอายเกิดขึ้น ที่จะขัดเกลาละคลายอกุศลแต่ละอย่างให้เบาบาง อย่าเห็นว่าไม่เป็นโทษไม่เป็นภัย เพราะเหตุว่าถ้าเป็นอย่างนั้น (คือเห็นว่าไม่เป็นโทษไม่เป็นภัย) ไม่มีวันที่จะตั้งต้นที่จะคลายอกุศลทั้งหลายได้
~ ไม่รั้งรอที่จะกระทำความดีเท่าที่สามารถจะกระทำได้ เพราะเหตุว่าแม้ว่าจะกระทำความดีสักเท่าไรก็ยังไม่พออยู่นั่นเอง ตราบใดที่เมื่อไม่กระทำความดี
จิตก็ต้องเป็นอกุศล เพราะฉะนั้น ก็ควรที่จะเจริญกุศลทุกประการ ด้วยการที่จะอบรมตนเองให้เป็นผู้ที่มีความอดทน แล้วก็คิดถึงคนอื่นแทนที่จะคิดถึงตนเองเสมอๆ ถ้าเป็นอย่างนี้ได้ ก็มีโอกาสที่กุศลจิตจะเกิดมากกว่าอกุศล
~ สิ่งใดที่ไม่ถูกต้อง ก็สามารถกล่าวให้เข้าใจอย่างถูกต้องว่า เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องอย่างไร ด้วยความหวังดีผู้หวังดี ย่อมมีความเห็นต่างจากผู้หวังร้าย
~ เพื่อนดี มิตรดี สหายดี คือผู้ที่ชักชวนเกื้อกูลกันในกุศลธรรม ที่จะทำให้เจริญมั่นคงขึ้นในกุศลธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะเหตุว่าถ้าได้ยินได้ฟังสิ่งใดมาก ก็มักจะคล้อยไปน้อมไปสู่ความเห็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น ถ้ามีเพื่อนที่ดี ที่ชักชวนให้ทำกุศลธรรมเนืองๆ ก็จะทำให้เพิ่มพูนมั่นคงในกุศลกรรมยิ่งขึ้น
~ ธรรมที่เป็นอกุศล ใครจะอยากเก็บไว้มากๆ แต่เพราะความไม่รู้
ด้วยความไม่รู้นั่นแหละก็สะสมโดยไม่เห็นโทษภัย
~ รู้สึกว่าเรื่องใหญ่ของทุกชีวิต ก็คือ เรื่องความโกรธ ความไม่พอใจ ซึ่งถ้าเราจะค้นคิดให้ลึกลงไปอีกว่า ความโกรธเกิดขึ้นได้อย่างไร มาจากไหน เราก็อาจจะพบต้นตอที่ทำให้เราต้องโกรธบ่อยๆ ซึ่งถ้าเรารู้จักต้นตอจริงๆ แล้ว เราก็จะคลายความโกรธลงไปได้ เพราะฉะนั้น ต้องรู้สาเหตุของความโกรธว่า สาเหตุของความโกรธอยู่ที่ไหน สาเหตุของความโกรธ ก็คือ มีความพอใจอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วไม่ได้อย่างที่ต้องการ
~ ในสมัยพุทธกาล อุบาสกอุบาสิกา เข้าไปพระวิหารที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ เพื่อฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่ได้จำกัดวันเลย ได้ทุกวัน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง เพื่อจะได้ทรงแสดงความจริงเพื่อประโยชน์เกื้อกูล แก่ผู้อื่น
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงเหตุและผลของธรรมทุกอย่าง เพื่อจะให้ผู้ฟังได้พิจารณาจริงๆ เห็นประโยชน์จริงๆ แล้วก็อบรมเจริญกุศลเพิ่มขึ้น เป็นผู้ที่นับถือในเหตุผล และเข้าใจในเหตุและในผลให้ถูกต้องตามความเป็นจริง.
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๐๘
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...