ก่อนเป็นอริยะบุคคลทำไมยังติดข้องในกาม
เพราะเหตุใด อุปติสสะ และ โกลิตะ จึงยังติดข้องในเบญจกามคุณ 5 ในชาติสุดท้ายก่อนเป็นอริยะบุคคล เพราะทั้งที่ท่านทั้งสองได้อบรมเจริญปัญญามานานเป็นอสงไขย หลายภพหลายชาติ น่าจะสามารถละคลายหรือลดกิเลสพวกนี้ได้ แต่ในชาติสุดท้าย ท่านทั้งสองยังเที่ยวชมดูมหรสพอยู่เลย
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตราบใดที่ยังไม่ได้บรรลุธรรมถึงความเป็นพระอริยบุคคล กิเลสใดๆ ก็ยังไม่สามารถดับได้ กิเลสเมื่อได้เหตุปัจจัยก็เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ แม้แต่โลภะ ก็เช่นเดียวกัน เป็นธรรมที่มีจริง ไม่ว่าจะเกิดกับใคร โลภะ ก็เป็นโลภะ คือ เป็นสภาพธรรที่ติดข้องยินดีพอใจ แม้ท่านอุปติสสะ กับ โกลิตะ จะได้สะสมบารมีมาเพื่อได้ถึงความเป็นพระอัครสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เมื่อยังไม่ถึงกาลเวลาที่ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ก็ยังไม่สามารถดับกิเลสใดๆ ได้
บุคคลผู้ที่จะดับความติดข้องยินดีพอใจในกาม คือ ในรูป เสียง กลิ่น รส และสิ่งที่กระทบสัมผัสกายได้ คือ พระอนาคามีบุคคล และ ผู้ที่จะดับโลภะได้อย่างหมดสิ้นไม่เหลือเลย ต้องถึงความเป็นพระอรหันต์ ครับ
...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
กัลยาณชนที่มีคุณธรรมสูงต้องใช้ระยะเวลาอีกกี่ชาติครับ กว่าจะได้อานิสงฆ์ให้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน
เรียน ควาเมห็นที่ 3 ครับ
นับชาติไม่ถ้วนครับ และ ตามเหตุปัจจัยอีกหลายๆ ประการครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
อบรมปัญญาให้เข้าใจความจริง จะเป็นประโยชน์ทั้งชาตินี้ และชาติต่อๆ ไป กุศลที่ทำได้เสมอๆ คือ การฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีคุณค่ามหาศาลสำหรับชีวิตที่ต้องเดินทางต่อไป อีกแสนไกล และกันดาร
ขอเชิญศึกษาพระธรรม...
รวมลิงก์เมนูต่างๆ ในเว็บไซต์
การที่ได้มีโอกาสศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม ทำให้มีความเข้าใจตามความเป็นจริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏแล้วก็หมดไป ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหูทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ จิตทุกขณะเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป หมดไป ไม่มีอะไรเหลือเลยจริงๆ จากภพหนึ่งไปอีกภพหนึ่ง ดังนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่ควรสั่งสมไปทุกภพทุกชาติ นั่นก็คือ กุศล (รวมถึงการอบรมเจริญปัญญา ในชีวิตประจำวันด้วย)