แก้ภัยที่เกิดขึ้นกับพระพุทธศาสนา_ประมวลสาระสำคัญจากการสนทนาพิเศษ วันศุกร์ที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓

 
khampan.a
วันที่  14 ก.พ. 2563
หมายเลข  31547
อ่าน  2,109

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น



ประมวลสาระสำคัญ

จากการสนทนาพิเศษ เรื่อง

"ภัย ของพระพุทธศาสนา (ต่อ) "

ที่บ้านคุณทักษพล - คุณจริยา เจียมวิจิตร

วันศุกร์ที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓

[ทีมงานอาสาสมัครบันทึกวีดีโอการสนทนาพิเศษในครั้งนี้]

~ ภัย ที่ทุกคนมองไม่เห็น แล้วก็คิดว่ารู้ภัยของพระพุทธศาสนาเรื่องนั้นเรื่องนี้ แต่ความจริง ภัย ก็คือ ไม่เข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี้เป็นภัยที่สำคัญที่สุด เพราะนำมาซึ่งพฤติกรรมการกระทำต่างๆ ที่เข้าใจว่าเป็นไปตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ความจริง ไม่ใช่เลย เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ก็ไม่สามารถที่จะแก้ภัยของพระพุทธศาสนาได้เลย ไม่ว่าจะพากเพียรทำประการใดๆ ก็ตาม ผิด เพราะไม่เข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็แก้ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจจริงๆ ว่า ภัยที่แท้จริง คือ การไม่รู้ไม่เข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~ ถ้าจะแก้ภัย ก็คือ ต้องศึกษาต้องเข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วมีใครคิดอย่างนี้บ้าง? มีแต่คิดที่จะแก้ภัยโดยวิธีนั้นโดยวิธีนี้ต่างๆ แต่เมื่อไม่เข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะแก้ภัยได้อย่างไร

~ แก้ภัยทั้งหมดได้ เมื่อมีความเข้าใจพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะภัยเกิดจากความไม่รู้ เมื่อไม่รู้ ก็เข้าใจผิดแล้วก็ต้องทำผิดไปเรื่อยๆ ตราบใดที่ไม่สนใจที่จะเข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~ การชักชวนกันบวช ถ้าไม่มีการเข้าใจพระธรรมมวินัยแล้วชักชวนกันทำอะไร คือ ทุกอย่างต้องละเอียด เพราะว่า โดยมากจะนิยมว่าให้บวชเวลานั้นเวลานี้ยามนั้นยามนี้ บวชหน้าไฟบ้างหรืออะไรบ้าง หรือแม้เพียงคิดว่าพอถึงฤดูกาลที่น่าจะบวชก็บวช อย่างนี้ก็แสดงถึงว่าชาวบ้านไม่ได้เข้าใจเลยว่าบวชคืออะไร ไม่รู้ แต่ว่าอยากบวชแล้วก็ไม่ละไม่สละด้วย เท่านี้ก็เป็นภัยที่เห็นกันอยู่ที่มีการชักชวนกันบวช

~ ยังไม่ทันรู้อะไร เพียงแค่ถูกชวนกันบวช ก็ไม่ได้ถามสักนิดเลยว่าคุณประโยชน์คุณค่าของการบวชคืออย่างไร แล้วสามารถที่จะบวชได้ไหมหรือ ถึงแม้ว่าไม่บวชก็สามารถที่จะทำประโยชน์แก่พระศาสนาได้โดยไม่ต้องบวช เพราะว่า การบวชไม่ง่าย

~ ถ้าเราจะกล่าวว่า การบวชด้วยความไม่รู้ เป็นภัย ผิดไหม? ถูกต้องที่สุด เพราะเหตุว่า ไม่รู้แล้วบวช ก็ชัดเจนแล้วว่าไม่รู้ ไม่ใช่รู้ ต่างกันมากเลยระหว่างเข้าใจแล้วบวช กับ ไม่รู้แล้วบวช แล้วจะเป็นประโยชน์อะไร บวช เพราะไม่รู้

~ ทำไมคนที่ฟังธรรมแล้วเข้าใจ แต่ไม่บวช ก็มี ทำไมไม่บวช เห็นไหม นี่ก็ต่างกันแล้ว

~ ที่จริง ถ้าใครที่คิดว่าตัวเองจะบวช แล้วไปขอให้พระภิกษุบวชให้ พระภิกษุรูปนั้นก็น่าจะถามว่า รู้จักพระธรรมวินัยหรือเปล่าที่จะมาบวช สามารถที่จะรักษาพระวินัยแล้วก็เห็นประโยชน์ว่าจะต้องศึกษาพระธรรมวินัย หรือเปล่า? แต่นี่ไม่ได้ถามอะไรเลย เพียงบวชก็ดีใจกันแล้วว่าเขาจะบวช แต่หารู้ไม่ว่าเขารู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องบวชหรือเปล่า เพราะไม่บวชก็สามารถเข้าใจพระธรรมได้ ก็มี เพราะฉะนั้น ก็ไม่ใช่ว่าจะให้ทุกคนไปบวชโดยไม่เข้าใจพระธรรม นี่ก็ผิดตั้งแต่ต้น

~ ไม่ว่าอะไรทั้งหมด ต้องตรง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นใคร ตรัสรู้อะไร ด้วยพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และทรงมีพระมหากรุณาคุณให้คนที่เห็นโทษภัยของความไม่รู้และกิเลสทั้งหลาย ได้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ซึ่งใครสามารถที่จะนำสิ่งที่ไม่เคยมีในชีวิต (คือปัญญา) ให้เกิดขึ้นแล้วก็นำชีวิตไปสู่ทางแห่งการดับกิเลสได้? ซึ่งทั้งโลกเวลานี้ก็มากด้วยกิเลสทั้งนั้นที่ปรากฏเหตุการณ์ต่างๆ ขึ้น

* * * ~ คิดว่า เกาะชายผ้าเหลือง แต่พอบวชแล้ว ภิกษุอาบัติ (ล่วงละเมิดพระวินัย) หมด เช่น รับเงินเมื่อออกจากโบสถ์ เพราะฉะนั้น ก็เกาะชายผ้าเหลืองไปกับภิกษุผู้อาบัติกันเป็นแถว ส่งเสริมการประพฤติผิดพระธรรมวินัยและไม่เป็นประโยชน์อะไรเลยทั้งสิ้น นอกจากบาป * * *

~ พระธรรมวินัย แสดงความจริงทั้งหมด โดยประการทั้งปวงถึงที่สุดเปลี่ยนไม่ได้

~ อย่าลืมว่า จะแก้ภัยใช่ไหม จะช่วยกันใช่ไหม ก็ช่วยให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง เมื่อนั่นแหละ จึงจะแก้ได้

~ ศึกษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อเข้าใจ ไม่ใช่ชักชวนใครให้ไปทำอะไรเลยทั้งสิ้น แต่รู้ว่า คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ลึกซึ้ง ยากที่จะรู้ได้ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ศึกษาโดยความไม่ประมาท จะเข้าใจผิดได้ จริงหรือเปล่า? เราเป็นผู้ที่เคารพจริงๆ เพราะว่า ความละเอียดลึกซึ้ง มี ต้องศึกษาก่อน ศึกษาแล้วจะบวชหรือไม่บวชแล้วแต่อัธยาศัย เพราะฉะนั้น คนที่ศึกษาแล้วไม่บวช เพราะไม่มีอัธยาศัย แต่ถ้าจะบวชก็เพราะว่า เข้าใจจริงๆ ว่า สละ เพื่อขัดเกลากิเลส โดยการที่เข้าใจธรรม

~ มีหน้าที่ของพุทธบริษัท ส่วนใหญ่จะลืม เมื่อมีผู้ที่เข้าใจพระธรรมวินัยไม่ถูกต้อง เราซึ่งเป็นพุทธบริษัท ได้ศึกษาแล้ว ก็สามารถที่จะพูดคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรงตามพระธรรมวินัย ไม่ใช่เราคิดเองเพราะฉะนั้น นี่คือ หน้าที่ของเราที่จะพูดให้คนอื่นได้เข้าใจถูก หรือเปล่า? เพราะฉะนั้น เรารู้ว่า นี่คือ หน้าที่ของเรา

~ หน้าที่ของพุทธบริษัท ก็คือ พร้อมเพรียงกันศึกษา ไม่ใช่ว่าเว้นบริษัทหนึ่งบริษัทใดเลย แล้วเราเกิดมาก็มีโอกาสได้ศึกษาพระธรรม เป็นชาวพุทธ พระคุณของพระธรรม พระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่เราจะปล่อยปละละเลยได้อย่างไร ที่จะไม่กล่าวถึงให้คนอื่นได้เข้าใจได้ดำรงรักษาสิ่งที่พระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมีมอบหมายให้ทุกอย่างทุกประการใน ๔๕ พรรษา ไม่ใช่เวลาน้อยเลย แล้วถ้าไม่ศึกษาจะเข้าใจไหม? ถ้าศึกษาผิวเผินจะเข้าใจถูกต้องไหม? เพราะฉะนั้น ทั้งสี่บริษัทในครั้งโน้น ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็มีภิกษุ อุบาสก อุบาสิกา ก็ควรที่จะพร้อมเพรียงกัน เคารพในพระธรรม สิ่งใดที่ถูกต้องก็ประพฤติปฏิบัติตาม สิ่งใด ที่ไม่ถูกต้อง แต่คนอื่นเข้าใจผิด ว่า ถูก เราก็กล่าวคำนั้นให้เขาพิจารณา นี่คือ หน้าที่ของเรา

~ ใครจะเปลี่ยนโลกได้ ใครจะไปเปลี่ยนแต่ละคนได้? แต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสำหรับผู้ฟังที่มีความเคารพในพระองค์เท่านั้นที่จะประพฤติปฏิบัติตาม เพราะฉะนั้น เราไม่สามารถที่จะไปบังคับใครชักชวนใครทั้งสิ้น แต่เราทำสิ่งที่ถูกต้อง เพราะเหตุว่า เราไม่ได้พูดคำของเรา ทุกคำตรวจสอบได้ทั้งหมด ว่า เราทำหน้าที่ของพุทธบริษัทที่ได้ศึกษาแล้ว แล้วก็มีการเห็นประโยชน์อย่างยิ่ง ที่วิธีที่ถูกต้อง ก็คือ ให้คนอื่นได้เข้าใจธรรม ส่วนเขาแต่ละคนจะทำอะไรก็เป็นเรื่องของแต่ละคน

~ ตราบใดที่ยังคิดว่า การที่จะเข้าใจพระธรรมวินัยหรือพระพุทธศาสนาให้ถูกต้อง เป็นเรื่องทีหลัง เรื่องอื่นด่วนกว่า ผิด แล้วอะไรจะไปแก้ได้ ในเมื่อเราก็รู้อยู่แล้วว่าปัญหาทั้งหมดมาจากความไม่รู้ เพราะฉะนั้น ถึงเขาคิดว่าเรื่องอื่นสำคัญกว่าเขาต้องแก้ก่อน สำเร็จไหม? ทุกอย่าง ก็ยังเหมือนเดิม คนที่ไม่รู้ก็ไม่รู้ ทำผิดก็ทำผิดต่อไปทุจริตก็ทุจริตต่อไป และประเพณีต่างๆ ซึ่งทำด้วยความไม่รู้ ทำลายเศรษฐกิจทำลายหลายๆ อย่าง แต่ที่สำคัญที่สุด คือ ทำลายความเป็นพุทธบริษัท

~ ไม่รู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด ก็ทำสิ่งที่ผิด ทุจริตต่างๆ ไม่ได้มาจากความเห็นถูกเลย

~ ผิด กับ ถูก แยกกันหรือเปล่า? แยกกันอยู่แล้วโดยเด็ดขาด จะทำให้ผิดกับถูกมารวมกัน เป็นไปไม่ได้ เพราะเหตุว่า ผิดต้องผิด ถูกต้องถูก

~ จะเห็นได้ว่า ตราบใดที่เริ่มผิด ความผิดนั้นก็จะขยายต่อไป ไม่สิ้นสุด แต่ถ้าเริ่มถูก ก็จะมีความเข้าใจถูก เพราะฉะนั้น ปัญญา เป็นความเห็นที่ถูกต้อง พูดสิ่งที่เป็นประโยชน์ นั่น เป็นปัญญา ไม่ต้องกลัวความแตกแยก ใช่ไหม เพราะว่าถูกต้อง แต่ถ้าจะผิดกันหมดทั้งประเทศทั้งโลก เอาไหม จะได้ไม่แตกแยก คนมีปัญญาจะไม่เห็นอย่างนั้นเลย เพราะถูกก็คือถูก ผิดก็คือผิด เพราะว่า ผิดกันมานาน ก่อนการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์จึงทรงบำเพ็ญพระบารมี เพื่อตรัสรู้ความจริงให้รู้ถูกต้องตามความเป็นจริง แล้วถ้าเราไม่ศึกษาพระธรรม เราจะสามารถรู้ไหมว่าอะไรจริงและอะไรควร ในเมื่อไม่รู้ ก็ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น ทางแก้ ไม่ใช่การแก้โดยวิธีใดอื่น นอกจากศึกษาพระธรรมวินัยให้เข้าใจ และนั่นแหละ ประเทศชาติ จะไม่เป็นอย่างที่เป็นอยู่ คือ ทุจริตทุกหนแห่งทุกวงการ

~ ใครอนุญาตให้สามเณรไปเรียนวิชาอื่นๆ อยู่ที่ไหนในพระวินัยและในพระธรรม? เพราะฉะนั้น การที่จะให้เด็ก มีการศึกษาแล้วก็มีความรู้ทางด้านสามัญ แล้วก็มีทุนให้ นั่นดี แต่อย่าบวช

~ ถ้าอยากให้เด็กเป็นคนดี ไม่ต้องบวชเลย ให้เขาเรียนวิชาชีพแล้วก็มีการสอนศีลธรรมให้เขาด้วย ไม่ต้องบวชเลย ไม่ทำให้พระศาสนาเศร้าหมอง

~ ความผิดอยู่ที่ใคร ใครให้เขาบวช? เขาเป็นเด็ก บางคน ก็ - ขวบด้วยซ้ำไป ใครให้เขาบวช เขารู้จักไหมว่าบวชคืออะไร แล้วใครให้เขาบวช ความผิดอยู่ที่ใคร? ต้องเป็นผู้ใหญ่ใช่ไหม? เพราะฉะนั้น ผู้ใหญ่ที่ไม่เข้าใจธรรม จะไม่สามารถแก้ปัญหาได้ เพราะฉะนั้น ให้ทราบไว้ว่า ความผิดอยู่ที่ไม่เข้าใจพระธรรมวินัย ไม่ว่าใครทั้งสิ้น เด็กหรือผู้ใหญ่ เมื่อผู้ใหญ่ไม่เข้าใจ เด็กไม่มีทางจะเข้าใจได้ และเมื่อเด็กไม่เข้าใจต่อไปเขาเป็นผู้ใหญ่ เขาก็ไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้น มองเห็นอนาคตไหมว่าจะเป็นอย่างไร?

~ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ให้คนได้เข้าใจพระพุทธศาสนา ทั้งพระวินัย พระสูตรและพระอภิธรรม ด้วยความเป็นมิตรเพราะเห็นประโยชน์ ว่า พระธรรม ยากที่จะรู้ได้ ลึกซึ้ง เป็นประโยชน์สูงสุด ไม่ใช่เฉพาะชาตินี้แต่ในสังสารวัฏฏ์ เพราะฉะนั้น โอกาสที่จะทำลายสิ่งที่มีค่าที่สุดซึ่งกำลังถูกทำลายอยู่เรื่อยๆ ก็ควรจะได้ลดน้อยลง แล้วก็มีความเข้าใจจริงๆ โดยการที่ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา จะกล่าวถึงคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้วทั้งพระสูตร พระวินัย และ พระอภิธรรม ต่อๆ ไป

[ขอเชิญอ่านประมวลสาระสำคัญของการสนทนาพิเศษ เรื่อง ภัย ของพระพุทธศาสนา ครั้งแรก ได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ]

ภัยเกิด เพราะไม่เข้าใจพระพุทธศาสนา_ประมวลสาระสำคัญจากการสนทนาพิเศษ วันศุกร์ที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๖๓



...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
petsin.90
วันที่ 14 ก.พ. 2563

อนุโมทนาในกุศลจิตค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
mammam929
วันที่ 14 ก.พ. 2563

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Tuangporn
วันที่ 15 ก.พ. 2563

กราบท่านอาจารย์กราบขออนุโมทนาสาธุกับท่านด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
เมตตา
วันที่ 17 ก.พ. 2563

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่เคารพยิ่ง
และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Khemsai
วันที่ 12 มี.ค. 2563

ขออนูโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Nattaya40
วันที่ 4 เม.ย. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
chatchai.k
วันที่ 22 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ