ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๖๘
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
* * ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๖๘ * *
~ เราได้ยินคำว่าพระพุทธศาสนา และเราก็นับถือพระพุทธศาสนา ศาสนาคือคำสอน พุทธะ ก็คือ ผู้ทรงตรัสรู้ความจริง ที่ไม่มีบุคคลอื่นใดจะเปรียบได้เลย ได้ยินแค่นี้ก็ปลาบปลื้มใจ แต่ก็ยังไม่รู้เลยว่าพระองค์ทรงตรัสรู้อะไรจึงเป็นบุคคลผู้เลิศที่สุดในสากลจักรวาล แม้เทวดา พรหม ยังต้องมาเฝ้า เพราะฉะนั้น แสดงให้เห็นว่า จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ต่อเมื่อเข้าใจธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดง จึงจะสามารถที่จะรู้ได้ว่าพระองค์เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงๆ
~ แต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเปิดเผยให้รู้ว่า เราไม่รู้อะไรมานานแสนนาน และไม่มีทางที่จะรู้ได้เลยถ้าไม่มีการฟังพระธรรม ด้วยเหตุนี้ การที่เรามีโอกาสได้เข้าใจธรรม จึงเป็นโอกาสที่ประเสริฐที่สุด
~ ไม่มีอะไรเป็นของใครเลยทั้งสิ้น และไม่มีตัวตน ไม่มีใครด้วย เพียงแต่มีสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย บังคับบัญชาไม่ได้
~ ทุกคนเกิดแล้วต้องตาย แต่ไม่รู้ความจริง ก่อนตายก็ไม่รู้ ไม่เคยฟังพระธรรม ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปหลงทำอะไรก็ไม่รู้ ซึ่งไม่ใช่คำที่จะทำให้เราเข้าใจสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ แต่ตอนนี้ที่ได้ฟังพระธรรม เริ่มรู้แล้วว่าคำไหนเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำไหน ไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ ที่กล่าวว่า ธรรมยาก นั่นคือ กำลังสรรเสริญพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่แค่ไม่กี่คำ (ที่ได้ฟัง) แต่พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ๔๕ พรรษานับคำไม่ถ้วน ด้วยพระมหากรุณาที่ทำให้เราค่อยๆ เห็นถูกขึ้นว่า ไม่มีเรา มีแต่ธรรม เป็นธรรมแต่ละหนึ่งที่ทรงแสดงโดยละเอียดให้เราได้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง
~ กว่าจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กว่าจะได้ฟังคำจริงที่ทำให้ค่อยๆ เข้าใจเป็นปัญญาของตนเองโดยพระมหากรุณาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ว่าใครจะได้โดยง่าย ถ้าไม่มีการได้ยินได้ฟังเลยจะไม่มีโอกาสเข้าใจ ได้ยินได้ฟังแล้วผ่านหูไปเฉยๆ ก็ไม่มีโอกาสได้เข้าใจ แต่ต้องไตร่ตรองและเป็นคนตรง ถ้าไม่ตรงจะไม่ได้สาระจากพระธรรม
~ ปัญญาค่อยๆ เจริญขึ้น สะสมไปเป็นสมบัติที่มีค่าเหนือสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น เพราะเงินทองซื้อไม่ได้
~ จะฟังธรรมต่อไปไหม อีกนานเท่าไหร่ ค่าอยู่ที่ขณะที่กำลังเห็นประโยชน์และเข้าใจในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบไหว้แต่ไม่ฟังพระธรรม ค่าของพระธรรมจะอยู่ที่ไหน ค่าของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะอยู่ที่ไหน ถ้าไม่ฟัง ก็คือ ไม่รู้ค่าของคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งแต่ละคำทำให้เกิดปัญญาซึ่งไม่เคยเกิดในสังสารวัฏฏ์ และปัญญาที่เกิดขึ้น ก็ค่อยๆ เจริญขึ้น มั่นคงขึ้น
~ แค่ประโยคที่ว่า "ธรรมทั้งหลายทั้งปวง เป็นอนัตตา (ไม่ใช่ตัวตน สัตว์บุคคล บังคับบัญชาไม่ได้) " ทำให้เห็นว่า พระสูตร ทั้งหมด พระวินัยทั้งหมด พระอภิธรรมทั้งหมด เพื่อให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องว่า ธรรม (สิ่งที่มีจริง) ทั้งหมด ไม่ใช่เรา
~ พิจารณาชีวิตประจำวัน เราเห็นแก่ตัวเองหรือว่าเราเห็นแก่ผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นลาภ ตั้งแต่ของรับประทาน (ของกิน) ของใช้ทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหมด เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่หรือว่าคิดถึงผู้อื่นบ้างหรือเปล่า? ไม่ว่าจะเป็นกาย วาจา ทั้งหมด ย่อมมาจากจิต เพราะฉะนั้น เราจะสังเกตเห็นได้ว่า กาย วาจา ของแต่ละคนเป็นไปเพื่อตนเอง หรือว่า เป็นไปเพื่อการขัดเกลากิเลส?
~ กิเลสมีมากมายมหาศาล ที่มีการฟังพระธรรมขณะนี้ รู้หรือเปล่าว่า เป็นความอดทนที่จะรู้จักสภาพธรรมที่เคยยึดถือว่าเป็นเรามานานแสนนานที่จะได้เข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริง
~ ผู้ที่กำลังฟังพระธรรมทั้งหมด เป็นผู้ที่ต้องการเข้าใจความจริง ซึ่งเป็นความถูกต้อง ซึ่งเป็นเรื่องละความไม่รู้และละกิเลส (เครื่องเศร้าหมองของจิต) ที่จะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งกล่าวถึงสภาพธรรมโดยละเอียดโดยประการทั้งปวง เพราะฉะนั้น ประโยชน์อยู่ที่คนที่เข้าใจ
~ สิ่งที่ประเสริฐที่สุดในชีวิต ไม่ใช่ลาภ ยศ สรรเสริญ สุขใดๆ ทั้งสิ้น แต่เป็นความเข้าใจถูกความเห็นถูก ซึ่งกิเลสที่มีมากในสังสารวัฏฏ์ซึ่งแต่ละคนประมาณไม่ได้เลย สามารถจะค่อยๆ ลดละคลายลงไปทีละเล็กทีละน้อย จนกว่าจะถึงอภิสมัย คือ สมัยที่สามารถจะรู้ความจริงของสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ชาติแล้วชาติเล่า วันแล้ววันเล่า จนกระทั่งสามารถที่จะประจักษ์แจ้งความจริงว่าทุกคำที่ได้ฟัง เป็นสิ่งที่กำลังมีอยู่ในขณะนี้ที่สามารถจะเข้าใจได้
~ การกระทำเป็นที่ทุจริตต่างๆ ทำร้ายตัวเองและคนอื่น เพราะฉะนั้น ไม่ได้นำมาซึ่งความสุขเลย
~ เมื่อไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา เป็นธรรมที่มีปัจจัยเกิดแล้วดับ แล้วโกรธอะไร โกรธคิ้ว โกรธตา โกรธผม โกรธเห็น โกรธคิดหรือ? เพราะฉะนั้น ปัญญาที่เข้าใจธรรมนั่นแหละ จึงจะไม่โกรธ ค่อยๆ ละความโกรธ
~ ถ้าเข้าใจผิด เผยแพร่สิ่งที่ผิดก็เป็นโทษอย่างยิ่ง เท่ากับทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปิดกั้นไม่ให้คนอื่นได้เข้าใจความถูกต้องและความจริง ตามที่พระองค์ได้ทรงแสดง
~ ขณะใดที่เข้าใจ ขณะนั้นจะไม่มีอวิชชา (ความไม่รู้) ไม่มีกิเลสใดๆ แม้ความติดข้อง เพราะฉะนั้น กำลังฟังธรรมท่ามกลางอกุศล แต่ก็ไม่ต้องไปสนใจที่จะเป็นตัวตนที่จะไปละ แต่เข้าใจเมื่อไหร่ ความเข้าใจนั่นแหละกำลังทำหน้าที่ที่จะค่อยๆ ละ
~ ใครต้องการร้องไห้บ้าง ใครต้องการเสียใจบ้าง ใครต้องการเป็นทุกข์บ้าง? แต่ถ้ามีความยินดีพอใจ เมื่อสิ่งที่เป็นที่พอใจนั้นพลัดพรากจากไปก็เป็นธรรมดาที่จะต้องมีความอาลัย มีความเสียดาย มีความโศกเศร้า
~ ความประพฤติที่ประเสริฐ คือ ในขณะที่เป็นกุศล
~ กุศล ขาดหิริ (ความละอายต่อบาป) โอตตัปปะ (ความเกรงกลัวต่อบาป) ไม่ได้ และ อกุศล ก็ขาดอหิริกะ (ความไม่ละอายต่อบาป) และอโนตตัปปะ (ความไม่เกรงกลัวต่อบาป) ไม่ได้ แต่สภาพธรรมที่จะคุ้มครองโลก ต้องเป็นหิริและโอตตัปปะ
~ ถ้าไม่เข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะสืบทอดพระพุทธศาสนาได้อย่างไร
~ การที่เราฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยความเคารพ เป็นการบำรุงพระพุทธศาสนา เราเคยรับใช้คนอื่น ญาติพี่น้องหรือใครก็ตาม แต่ไม่มีอะไรที่จะประเสริฐเท่ากับการรับใช้ทะนุบำรุงพระพุทธศาสนา เพราะเป็นสิ่งที่เหนือค่ากว่าอย่างอื่นทั้งหมดที่จะทำให้คนอื่นมีโอกาสได้เข้าใจสืบต่อกันไป
~ ความเหนียวแน่นของอกุศลธรรมแต่ละชนิดมีปรากฏให้เห็น ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากแก่การที่จะละ เพราะฉะนั้น การที่จะดับกิเลสเป็นสมุจเฉท (ถอนขึ้นได้อย่างเด็ดขาด) ไม่เกิดอีกเลย ก็ย่อมเป็นสิ่งที่ยาก แล้วก็เป็นเรื่องที่จะต้องอบรมจนกระทั่งปัญญาจริงๆ รู้แจ้งสภาพธรรมจริงๆ เกิดขึ้น จึงสามารถที่จะดับกิเลสได้
~ ชีวิตจริงย่อมปรากฏลักษณะของสภาพธรรม แต่ละขณะตามความเป็นจริง ไม่ว่าของตนเองหรือของบุคคลอื่น ซึ่งเมื่อเป็นผู้ที่พิจารณาธรรม แล้วย่อมเห็นว่าอกุศลเป็นอกุศลควรที่จะขัดเกลา แล้วถ้าเป็นอกุศลของคนอื่นที่ได้สะสมมาจนปรากฏลักษณะสภาพที่ให้เห็นว่า เป็นอกุศลที่มีกำลัง ผู้ที่พิจารณาธรรม ก็ย่อมเห็นว่าเป็นโทษที่ควรเกรงกลัว แม้ตนเองก็ควรที่จะขัดเกลาอกุศลประเภทนั้นที่มีอยู่ในจิตในของเราด้วย
~ สิ่งที่ถูกต้อง ต้องถูกต้องตามพระธรรมวินัย ภิกษุในพระธรรมวินัย แสดงชัดเจนว่า ต้องเป็นผู้ที่ศึกษา ต้องเป็นผู้ที่เข้าใจถูกเห็นถูก ประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย ด้วย มิฉะนั้น ก็คือผิด ชาวบ้านก็ได้รับสิ่งที่ผิดต่อไป ไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ ไม่ใช่ว่าใครก็ตามใส่ผ้าเหลืองห่มจีวรถือบาตร แล้วเป็นภิกษุ แต่ต้องเป็นภิกษุที่ศึกษาพระธรรมวินัยประพฤติปฏิบัติขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิตที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้แล้วเท่านั้น ไม่ใช่ว่าไม่รู้อะไรเลยแล้วไปบวช
~ ควรอย่างยิ่งที่จะได้ฟังความถูกต้อง เพื่อตัวเองที่ผิดมาแล้วจะได้พ้นผิดซึ่งเป็นโทษหนัก เพราะฉะนั้น สมควรอย่างยิ่งที่จะได้เข้าใจให้ถูกต้อง คฤหัสถ์ก็ไม่ไปส่งเสริมหรือว่าไม่ช่วยไปผลักพระภิกษุให้ตกนรกด้วยการให้เงินทอง
~ การที่เราพูดคำที่จะทำให้คนอื่นได้เข้าใจพระธรรมมวินัย นั่น เป็นมิตรที่ดี หวังดีจริงๆ ให้เขาเข้าใจถูกต้อง เขาจะได้พ้นจากโทษมหันต์ จะอยู่ในโลกนี้อีกไม่นาน จะไปไหนต่อจากนั้น อันตรายอย่างยิ่ง
* * ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ * *
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๖๗
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
กราบบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ผู้มั่นคงในการกล่าวแสดงคำจริงเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกต้องตามที่เป็นจริงค่ะ
กราบอนุโมทนาในกุศลจิตทุกขณะที่เป็นไปค่ะ สาธุๆ ๆ
กราบนอบน้อมพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นด้วยเศียรเกล้า
เกิดมาชาตินี้ เป็นโอกาสที่ประเสริฐยิ่งที่ได้ฟังคำที่แสดงความจริงจากพระธรรม เปิดเผยให้รู้ว่า ความจริงของสิ่งที่มีจริง ควรค่าในการรู้ยิ่งกว่าอื่นใดในโลกนี้
กราบแทบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง ซึ่งกุศลธรรมทุกประการ ในการถ่ายทอดความเข้าใจพระธรรมของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยความอดทน คงมั่นในความจริง พร่ำสอน ย้ำเตือน ด้วยความตรง เมตตากรุณายิ่ง ต่อผู้ไม่รู้ค่ะ
กราบอนุโมทนาขอบพระคุณ อ.คำปั่น อักษรวิลัย ผู้รวบรวม และอาจารย์วิทยากรมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนาทุกท่านด้วยค่ะ