รู้แล้วมีประโยชน์อะไร
รู้ว่ามีจุติจิต ปฏิสนธิจิต แล้วมีประโยชน์อะไรคับ เพื่อนผมเขาสงสัย ผมเองก็อยากรู้คับ
ความรู้ธรรมที่เกิดขึ้นและดับไปตามเป็นจริง ความรู้ว่า เป็นจิตทำกิจปฏิสนธิหรือจุติ ไม่ใช่คนหรือสัตว์ ความรู้ว่าเมื่อจุติจิตเกิดแล้วเป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิเกิดขึ้นในภพใหม่อีก เพราะยังมีปัจจัยให้เกิดย่อมเกิดขึ้น แต่จะเกิดที่ใดย่อมเป็นไปตามกรรมที่กระทำไว้ ความรู้ว่าเพราะจุติและปฏิสนธิจิตเป็นวิบากคือผลของกรรมดีกรรมชั่ว ย่อมขนขวายทำกรรมดี ละกรรมชั่ว กลัวต่อบาป สรุปความรู้ตามความเป็นจริงย่อมมีประโยชน์ มีอุปการะแก่ชนผู้รู้ตามความเป็นจริง คือทำให้ประสบกับสาระของชีวิตที่แท้จริง
ถ้าเรารู้ว่าตายแล้วต้องเกิดอีกตราบใดที่ยังมีกิเลส และรู้ว่ากรรมดีมีจริง กรรมชั่วมีจริง ก่อนตายเราก็คงทำแต่ความดีไม่กล้าทำชั่วเพราะกลัวบาป กลัวตกนรก การรู้ว่าตาย แล้วต้องเกิดอีก มีประโยชน์ทำให้เราอบรมปัญญาและเจริญกุศลทุกอย่างเพื่อจะได้ไม่ต้องเกิดอีก เพราะการเกิดนำมาซึ่งทุกข์ มีใครบ้างที่เกิดมาไม่ทุกข์ ไม่มีเลย
รู้ว่ามีจุติจิต ปฏิสนธิจิต แล้วมีประโยชน์อะไรครับ เพื่อนผมเขาสงสัย ผมเองก็อยากรู้ ครับ?
ตามปกติของปุถุชนที่ไม่ได้ฟังพระธรรม โดยเฉพาะพระอภิธรรม ย่อมยึดถือว่า เป็นเรา เป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน แต่เมื่อศึกษพระอภิธรรมแม้ขั้นการฟัง ก็เริ่มเข้าใจว่าที่เป็น สัตว์ บุคคล ตัวตน หรือสิ่งต่างๆ ก็เป็นเพียง จิต เจตสิก รูป เท่านั้น ดังนั้นสัตว์ก็คือ จิต เจตสิก และรูป ที่ประชุมรวมกัน และประโยชน์ที่รู้ว่า เป็นธรรม คือจิต เจตสิก รูปนั้น ก็ย่อมจะทำให้ละคลายความยึดถือว่าเป็นเรา แม้ขั้นการฟัง เข้าใจความจริงของสัจจธรรม และการเข้าใจเบื้องต้นนี้เองว่าเป็นธัมมะ ก็จะเป็นรากแก้วที่จะนำไปสู่การปฏิบัติ (วิปัสสนา) ที่ถูกต้อง จนสามารถดับกิเลสได้ ซึ่งถือว่าเป็นประโยชน์สูงสุด ฉันใด แม้ การเข้าใจว่า มีจุติจิต และปฏิสนธิจิต ก็ย่อมเข้าใจความจริงที่ถูกต้องว่าไม่มีสัตว์เกิด หรือตาย เป็นแต่เพียงสภาพธัมมะ (จิต) ที่เกิดดับสืบต่อกันไปเท่านั้น และก็ละคลาย ความเข้าใจเดิมว่า มีวิญญาณล่องลอยเมื่อตาย แต่เมื่อจุติจิต (ตาย) เกิด ปฏิสนธิ จิต (เกิด) ก็เกิดต่อทันทีเป็นบุคคลใหม่ ไม่มีการที่วิญญาณล่องลอยไปครับ เพราะเกิดแล้วทันที แต่ประโยชน์สูงสุด คือ เข้าใจว่ามีแต่ธัมมะเท่านั้น ไม่ใช่เรา อันเป็นพื้นฐาน ความเข้าใจเพื่อไปสู่การดับกิเลส ขอยกข้อความในพระไตรปิฎกที่เป็นประโยชน์ครับ เรื่อง ไม่มีสัตว์เกิด หรือตาย มีแต่ทุกข์คือ ขันธ์ ๕ เท่านั้น ที่เกิด ดับ (ตาย)
เชิญคลิกอ่านที่นี่ ...
เพราะรู้ว่าจิตมีเกิดดับเป็นขณะ อกุศลจิตเกิดได้ทุกเมื่อ ถ้าขาดสติสัมปชัญญะ เพราะ เราไม่อาจรู้ได้ว่า ความตายจะมาถึงเราเมื่อไร ฉะนั้น ถ้าไม่ระวังรักษาจิตก็อาจจะต้อง ไปเกิดในอบายภูมิได้ ถึงแม้จะสร้างกุศลไว้มากกว่าอกุศลก็ตาม
เรียนคุณ แล้วเจอกัน มารและวชิราภิกษุณี ที่กล่าวข้างต้น เป็นสัญญลักษณ์หรือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง จุดประสงค์ในการถามก็คือ เรื่องในพระไตรปิฎกทั้งหมดเป็นเรื่องจริงๆ หรือบางส่วนเป็นการอธิบายธรรมะ เพื่อให้เข้าใจ หรือเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้น จริงทั้งหมดแล้วนำมาอธิบายธรรมะได้ด้วย
มารมี ๕ อย่างคือ กิเลสมาร ขันธมาร อภิสังขารมาร มัจจุมาร เทวปุตตมาร เทวปุตตมารคือ เป็นเทวดาที่เห็นผิด คอยขัดขวางความดี เหมือนกับมนุษย์ที่เป็นคนไม่ดี คอยขัดขวางคนอื่น แม้เทวดาก็มีเทวดาที่ไม่ดี เช่นกัน จึงเป็นเทวปุตตมาร ธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงเรื่องจริงแน่นอน เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง มิใช่เป็นบุคคลาธิษฐาน เปรียบเทียบหมายถึง กิเลส เพราะมาร ที่เป็นกิเลสมารก็มีเป็น เทวปุตตมาร เป็นเทวดาที่มาขัดขวางจริงๆ ก็มี ดังเช่น ตอนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ เวลาเย็นก่อนตรัสรู้ก็มีมารที่เป็นเทวดามาขัดขวาง บางทีเราอาจจะคิดว่าเป็น บุคคลาธิษฐาน คือ เอาชนะมาร คือ กิเลส แต่จริงๆ แล้ว ตอนที่ชนะมารตอนเย็นไม่ใช่การชนะกิเลส ตอนที่พระองค์ทรงชนะกิเลสมาร (ดับกิเลส) คือ ตอนใกล้รุ่งครับ ดังนั้น มารที่เป็นตัวตน มีจริงๆ ครับ
ขอบพระคุณครับ ถามต่อเลยนะครับ ผมอ่านพุทธประวัติ ว่า หลังจากพระองค์เลิก การบำเพ็ญทุกขกริยาแล้ว ไม่นานก็ทรงตรัสรู้ เราจะทราบได้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด พระองค์ท่านจึงเลิกการทรมานตน พระองค์ประจักษ์ถึงธรรม ข้อใด จึงเลิกการทรมาน ดังกล่าว มีกล่าวเรื่องนี้ที่ใหนบ้างหรือไม่