พระปัจเจกพุทธเจ้า หมายถึงผู้ใด
พระปัจเจกพุทธเจ้า หมายถึงพระอริยะ ระดับไหน หรือมีความหมายอย่างไรครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระอรหันตสัมมามัมพุทธเจ้า คือ ผู้ที่ตรัสรู้ชอบได้ด้วยพระองค์เอง โดยไม่ฟังจากใคร และสามารถสั่งสอน ให้ผู้อื่นรู้ตาม และ บรรลุได้ด้วย
พระปัจเจกพุทธเจ้า คือ ผู้ตรัสรู้เฉพาะผู้เดียว หมายถึง พระพุทธเจ้าผู้บำเพ็ญบารมีสิ้น ๒ อสงไขกับ ๑ แสนกัปป์ เป็นผู้ตรัสรู้เองได้ เพราะการสะสมบารมีไม่เพียงพอที่จะรู้ทุกสิ่งเหมือนพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธพุทธเจ้าไม่ได้ตั้งศาสนาเพราะไม่สามารถบัญญัติศัพท์ที่เป็นคำพูดให้เข้าถึงสภาวธรรม ไม่สามารถกำหนดรู้อินทรีย์ของสัตว์ และไม่มีอัธยาศัยใหญ่ในการอนุเคราะห์เกื้อกูลสัตว์ เหมือนกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าจึงอุปมาตนเองเหมือนกับนอแรด คือมีนอเดียว ไม่มีกิ่งก้านสาขาอันเป็นที่เกาะเกี่ยว ไม่เกี่ยวข้องด้วยกิเลสกับใครๆ ซึ่ง ในช่วงเวลาที่ พระอรหันตสัมมามัมพุทธเจ้า เกิดขึ้นในโลก และ พระธรรมของพระองค์ยังไม่อันตรธาน ผู้ที่จะบรรลุเองได้อีก โดยไม่ฟังจากใคร ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เพราะ เป็น ช่วงเวลาของการประการศพระศาสนาของพระพุทธเจ้า หากว่ามีการเกิดขึ้นของพระปัจเจกพุทธเจ้าได้ ก็เท่ากับว่า มีการรู้ด้วยตนเอง โดยไม่ไ้ด้ฟังจากใคร ดั่งเช่น พระุพุทธเจ้าในยุคสมัยนั้น พระพุทธเจ้า ก็จะถูกติเตียน หรือ ไม่ถือว่าเป็นเลิศผู้เดียวได้ เพราะ แม้ไม่ฟัง ก็บรรลุได้ โดยไม่ต้องอาศัยพระพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้น ช่วงเวลาที่พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น พระศาสนายังอยู่ ย่อมไม่มีพระปัจเจกพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น ผู้ที่จะตรัสรู้ได้ ก็ต้องเป็น สาวก คือ ผู้ที่รู้ตามเท่านั้น
พระปัจเจกพุทธเจ้า ย่อมจะบังเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เหมาะสม คือ พระพุทธศาสนาอันตรธานไปแล้ว คือ พระพุทธเจ้าปรินนิพพาน และ คำสอนก็อันตรธานไปหมดสิ้น เป็นช่วงที่ว่างจากพระศาสนา พระปัจเจกพุทธเจ้า ย่อมบังเกิดขึ้นในโลกได้ และสามารถมีหลายพระองค์ในช่วงเวลาที่ว่างพระศาสนา แต่ สำหรับ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว อุบัติได้คราวละพระองค์เดียวในช่วงเวลานั้น ครับ
ดังนั้น ผู้ที่จะไม่ฟัง ไม่ศึกษาพระธรรม ย่อมเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะรู้ได้ด้วยตนเองและ แม้การเป็นสาวก ก็ไม่สามารถเป็นไปได้ เพราะไม่ได้ศึกษา อบรมปัญญาในการฟัง ศึกษามา
ที่สำคัญที่สุด แม้แต่พระปัจเจกพุทธเจ้า ก่อนจะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าในอนาคตก็ต้องเคยฟังพระธรรมจากพระพุทธเจ้าในอดีตมาแล้ว ไม่ใช่ไม่เคยสะสมปัญญาการฟังมาเลยจะบรรลุเป็นพระปัจเจกพุทะเจ้าได้ครับ ดั่งเช่น พระเจ้าอชาตศัตรู และท่านพระเทวทัต ที่ต่อไปจะได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าในอนาคต ท่านเหล่านี้ก็ต้องฟัง สะสมปัญญามาในอดีตชาติมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน ดังนั้น ปัญญาจะมาจากไหน หากไม่มีการสะสมอบรมจากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม การคบสัตบุรุษ การฟังพระธรรม จึงมีอุปการะมาก ต่อการบรรลุธรรมทั้ง การเป็นพระพุทธเจ้าพระปัจเจกพุทธเจ้า และ สาวก ครับ
จึงไม่ต้องรอชาติหน้า สะสมปัญญาตั้งแต่เดี๋ยวนี้ การสะสมสิ่งที่ดี ไม่หายไปไหนย่อมเป็นปัจจัยให้บรรลุธรรมในอนาคต ครับ
เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่ ครับ
พระเทวทัต เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าในอนาคตกาล
พระเจ้าอชาตศัตรูได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าในอนาคตกาล
นายสุมนมาลาการจักเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า
ความต่างกันในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า [ขัคควิสาณสูตร]
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ถ้าไม่ได้อบรมเจริญปัญญา ไม่ดำเนินในหนทางที่ถูกต้อง ย่อมไม่สามารถดำเนินไปถึงการรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้เลย อย่าว่าแต่ถึงความเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าเลย แม้ในฐานะของความเป็นพระอริยสาวก ยังเป็นไม่ได้เลย เพราะไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้อง
เมื่อกล่าวถึง พุทธะ แล้ว ควรที่จะได้เข้าใจว่า มีพุทธะ ๓ ประเภท คือ
๑. สัมมาสัมพุทธะ หมายถึง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงตรัสรู้สภาพธรรมด้วยพระองค์เอง โดยไม่มีใครเป็นครูอาจารย์ พร้อมทั้งทรงแสดงพระธรรม ประกาศพระศาสนา ให้สัตว์โลกได้เข้าใจธรรม ตาม ด้วย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นเอกบุคคลทรงเป็นบุคคลผู้เลิศที่สุด เจริญที่สุด ประเสริฐที่สุดในโลก โดยไม่มีใครเสมอเหมือน ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่ทรงอุบัติขึ้นพร้อมกัน ๒ พระองค์
๒. ปัจเจกพุทธะ หมายถึง พระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้ตรัสรู้สภาพธรรมด้วยตนเอง ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาตลอดระยะเวลา ๒ อสงไขย แสนกัปป์ จึงจะตรัสรู้ได้ แต่ไม่สามารถตั้งศาสนา เพราะไม่สามารถบัญญัติศัพท์ที่เป็นคำพูดให้เข้าถึงสภาพธรรม อีกทั้งไม่มีอัธยาศัยใหญ่ในการอนุเคราะห์เกื้อกูลสัตว์โลกเหมือนกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจจเกพุทธเจ้า อุบัติขึ้นพร้อมกันๆ หลายพระองค์ได้ และจะอุบัติขึันได้เฉพาะในกาลสมัยที่ว่างจากพระพุทธศาสนา หรือ ว่างจากการอุบัติขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เท่านั้น
๓. อนุพุทธะ หรือ สาวกพุทธะ หมายถึง ผู้ที่ได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง แล้วได้ตรัสรู้ตามเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ เช่น พระอัญญาโกณฑัญญะ พระสารีบุตร พระมหาโมคคัลลานะ เป็นต้น
ถ้าไม่เคยได้ฟังพระธรรมมาเลยตั้งแต่ในอดีต ย่อมไม่สามารถถึงความเป็นพุทธะได้เลย เพราะการถึงความเป็นพุทธะ เป็นได้ด้วยปัญญา
เพราะฉะนั้นแล้ว การมีโอกาสได้ยินได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลอย่างยิ่ง ป้องกันไม่ให้ตกไปในฝ่ายผิดเพราะได้เข้าใจอย่างถูกต้อง และความเข้าใจที่ตนเองมี ก็ยังสามารถจะเกื้อกูลผู้อื่นให้มีความเข้าใจถูกเห็นถูก ตามความเป็นจริงได้ด้วย
...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...