อภิธรรมทั้งหมด ทั้งกระบิทั้งระบบนั้นเอาไปทิ้งทะเลเสียก็ได้?

 
lokiya
วันที่  28 เม.ย. 2564
หมายเลข  34146
อ่าน  1,224

ท่านพุทธทาสภิกขุ กล่าวว่า

"อภิธรรมทั้งหมด ทั้งกระบิทั้งระบบนั้นเอาไปทิ้งทะเลเสียก็ได้ โลกนี้จะไม่ขาดความรู้ที่เกี่ยวกับการปฏิบัติเรื่องดับทุกข์โดยสิ้นเชิง

พระพุทธวจนะต้องเป็นเรื่องแสดงความดับทุกข์เสมอ แล้วก็ไม่เฟ้อ

อภิธรรมมิได้อยู่ในรูปพุทธวจนะ โดยยืมเอาพุทธวจนะในสุตตันตปิฎกบางคำไปอธิบายให้มันเฟ้อ คำอธิบายในอภิธรรมปิฎกทุกคนจะติดตามมาพบต้นตอเดิมในสุตตันตปิฎกเสมอ ทีนี้เอาไปอธิบายจนเฟ้อ


ข้อเท็จจริง คือ เอาเนื้อหาสักคำหนึ่งแล้วก็ไปพอกคำอธิบายที่เพ้อเจ้อมากมายเกินจำเป็นสำหรับการดับทุกข์ ทั้งหมดนี้เรียกว่า เอาไปทิ้งทะเลเสียให้หมดก็ได้

โลกนี้ก็จะไม่ขาดอะไรไปสำหรับคำสอนที่จะดับทุกข์ได้สิ้นเชิง

ขอโทษ มีนักอภิธรรมนั่งอยู่ที่นี่บ้างก็คงจะด่าอาตมาอยู่ในใจบ้างแล้วก็ได้ แต่ก็ไม่กลัวดอก ยังพูดอย่างนี้ต่อไปเรื่อยแหละว่า อภิธรรมของคุณทั้งหมดนั่นน่ะเอาไปทิ้งทะเลเสียทั้งกระบิก็ได้ โลกนี้มันจะไม่ขาดอะไรเลยสำหรับการดับทุกข์"


พระภิกษุที่กล่าวเช่นนี้จะกล่าวได้ว่าท่านเป็น ภิกษุที่แสดงธรรมว่าเป็น "ธรรม" แสดงสิ่งที่ไม่ใช่วินัยว่า "มิใช่วินัย" ได้หรือไม่ครับ เพราะท่านมีเจตนาให้เรามุ่งตรงต่อการดับทุกข์


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 28 เม.ย. 2564

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

การจะปฏิเสธ หรือ ยอมรับ ในสิ่งใด สิ่งหนึ่ง สำคัญคือ จะต้องศึกษาอย่างละเอียดรอบคอบ จึงจะปฏิเสธ หรือ ยอมรับได้ แม้แต่มีคนกล่าวว่า 1+1 เป็น 2 สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยเรียนคณิตศาสตร์ ก็อาจจะไม่รู้ และ ไม่ควรยอมรับ หรือ ปฏิเสธทันที ต่อเมื่อได้ศึกษาแล้ว จึงจะปฏิเสธ หรือ ยอมรับได้ แต่สำหรับผู้ที่ได้ศึกษาวิชา คณิตศาสตร์ ย่อมรู้ตามความเป็นจริงเช่นนั้นได้ ว่า 1+1 เป็น 2 การจะเข้าใจพระอภิธรรม ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่มีจริงในชีวิตประจำวัน อันเป็นธรรมที่แสดงถึงความละเอียดลึกซึ้งของธรรม อย่างยิ่ง และมีเหตุปัจจัยให้เกิดอย่างลึกซึ้ง ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่า อภิธรรม จะเป็นคำกล่าวของสาวก หรือพระพุทธเจ้า จึงไม่ศึกษา หรือ ปฏิเสธเพียงแค่นั้น เพราะตนเองยังไม่ศึกษา เหมือนอย่างว่า มีคนบอกว่าวิชาคณิตศาสตร์ที่จะต้องใช้ในการเรียน ตั้งแต่มัธยม มหาวิทยาลัย และสำหรับประกอบอาชีพ แต่มีคนบอกว่า 1+1 เท่ากับ 2 ก็ไม่เชื่อ และคิดเอาเองว่า คณิตศาสตร์ เป็นวิชาที่นักวิชาการคนนี้คิด หรือนักวิชาการอีกคนคิด ไม่รู้ว่าเป็นคนไหน สรุปคือ เพราะไม่รู้ว่าเป็นคนไหนคิด จึงปฏิเสธทันทีว่า 1+1 เท่ากับ 2 ไม่จริง และทั้งๆ ที่ตนเองก็ยังไม่ได้ศึกษาโดยละเอียดในวิชานั้น และเพียงไม่รู้ว่าวิชาคณิตศาสตร์ ใครเป็นคนคิดขึ้น ก็เลยปฏิเสธและดูหมิ่นวิชาคณิตศาสตร์ จึงไม่ยอมศึกษา และดูหมิ่น ทั้งๆ ที่ตนเองยังไม่ได้ศึกษา ย่อมไม่สมควร ฉันใด พระอภิธรรม หากผู้นั้นยังไม่ได้ศึกษา และไม่รู้ว่าเป็นคำสอนของสาวก หรือพระพุทธเจ้า เพราะไม่ได้เกิดจากการศึกษานั่นเอง จะปฏิเสธว่าพระอภิธรรม ไม่จริง และดูหมิ่น จึงไม่ศึกษา สมควรหรือไม่ นั่นก็ไม่เป็นเหตุ เป็นผล

ในพระสุตตันตปิฎก กล่าวถึง "พระอภิธรรม" ไว้ด้วย ดังข้อความบางตอนใน มหาโคสิงคสาลสูตร ม. มู. ข้อ ๓๗๔

ท่านพระสารีบุตรกล่าวกะท่านพระมหาโมคคัลลานะ ว่า ท่านโมคคัลลานะ เราจะขอถามท่านว่า ป่าโคสิงคสาลวัน เป็นสถานที่น่ารื่นรมย์ราตรีแจ่มกระจ่างไม้สาละ มีดอกบานสะพรั่งทั้งต้น กลิ่นคล้ายทิพย์ ย่อมฟุ้งไปท่านโมคคัลลานะ ป่าโคสิงคสาลวัน จะพึงงามด้วยภิกษุเช่นไร.? ท่านพระมหาโมคคัลลานะตอบว่า ท่านพระสารีบุตร ภิกษุสองรูป ในพระศาสนานี้กล่าว อภิธรรมกถา ธอทั้งสองนั้น ถามกันและกันแล้ว ย่อมแก้กันเอง ไม่หยุดพักด้วยและธรรมกถาของเธอทั้งสองนั้น ย่อมเป็นไปด้วย ท่านสารีบุตร ป่าโคสิงคสาลวัน...พึงงามด้วยภิกษุ เห็นปานนี้แล.


พระอภิธรรมปิฏก

เกี่ยวกับสภาพธรรม พร้อมทั้งเหตุและผลของธรรมทั้งปวง โดยไม่มีสัตว์ บุคคล เพราะแสดงแต่สภาพธรรมตามความเป็นจริง

ก่อนอื่นก็ต้องเข้าใจก่อนว่า พระอภิธรรม เป็นธรรมที่มีจริง ละเอียดโดยความเป็นธรรม ที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ใครๆ ก็เปลี่ยนแปลงสภาพธรรมนั้นๆ ไม่ได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้สภาพธรรมที่เป็นพระอภิธรรม ตามความเป็นจริง แล้วทรงแสดงให้สัตว์โลกได้เข้าใจตามความเป็นจริง พระอภิธรรม จึงไม่พ้นไปจากชีวิตประจำวัน เป็นธรรมที่มีจริงในขณะนี้ เช่น เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรสรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย คิดนึก กุศล อกุศล เป็นต้น นี้แหละ คือ พระอภิธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวัน พระอภิธรรมจึงไม่ได้อยู่ในตำรา

พระพุทธวัจนะ ที่เป็นพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็รวม ทั้งพระอภิธรรมด้วย พระสุตตันตปิฎกด้วย และ พระวินัยด้วย ครับ

ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ตรัสกับพระนางมหาปชาบดีโคตมีว่า การจะตัดสินว่า ธรรมใด เป็นพระธรรมคำสั่งสอนของเราหรือไม่ ให้พิจารณาในคำสอนนั้นว่า คำสอนใด เป็นไปเพื่อเบื่อหน่าย คลายกำหนัดจากกิเลส ละกิเลส เป็นไปเพื่อความมักน้อย สันโดษ ขัดเกลาและ เจริญขึ้นของกุศลและปัญญา คำสอนนั้น เป็นคำสอนของเรา แต่ธรรมใด ไม่เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ไม่เป็นไปเพื่อละกิเลส แต่เป็นไปเพื่อได้ เพื่อติดข้อง ไม่รู้และไม่ทำให้เจริญขึ้นในกุศลและปัญญา คำสอนนั้น ไม่ใช่ คำสอนของเราที่เป็นพุทธพจน์ พุทธวัจนะ ครับ

ซึ่ง พระสุตตันตปิฎก เป็นคำสอนที่แสดงถึงเรื่องราวที่แสดงกับบุคคล แต่เป็นเรื่องราวที่ตรงตามความเป็นจริง ทำให้ผู้ฟังเกิดกุศลและเกิดปัญญา และ ละคลายกิเลส ดังนั้น พระสุตตันตปิฎก จึงเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่เป็นพุทธวัจนะ พุทธพจน์ครับ

ส่วนพระอภิธรรม ก็แสดงเพื่อให้ผู้ฟังได้เข้าใจตามความเป็นจริง ว่ามีแต่ธรรม ไม่ใช่เรา อันเป็นไปเพื่อละกิเลส คือ ความไม่รู้ และ เจริญขึ้นของปัญญา เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นดังนี้ พระอภิธรรมก็เป็นพระพุทธพจน์ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าเช่นกัน ดังเช่นที่พระพุทธองค์ทรงแสดงว่า คำสอนใดเป็นไปเพื่อละคลายกิเลส มีความไม่รู้และเจริญขึ้นของกุศลและปัญญา เป็นคำสอนของเรา ดังนั้นการศึกษาธรรมจึงต้องเป็นผู้ละเอียดรอบคอบในการศึกษาพระธรรม จึงจะได้สาระจากพระธรรม คือ ความเห็นถูก และละคลายกิเลส ครับ

พระพุทธวัจนะ ที่เป็นคำสอน ของพระพุทธเจ้า ก็เป็นพระอภิธรรมด้วย หากไม่ศึกษาพระอภิธรรมให้เข้าใจ ที่เป็นพุทธวัจนะแล้ว ก็จะเข้าใจธรรมส่วนอื่นผิดไปได้เช่น ศึกษาพระสูตร พระวินัย อย่างเดียว ที่เป็นการแสดงโดยนัย สัตว์ บุคคล มีเรา มีเขา ที่กล่าวโดยสมมติ เมื่อไม่ศึกษาพระอภิธรรมก็เข้าใจผิดว่า มีเรา มีสัตว์ บุคคลจริงๆ อันเป็นผลมาจากการไม่เข้าใจพระอภิธรรม ครับ ดังนั้น การศึกษาพระอภิธรรม ก็คือ การฟังเรื่องสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ที่ไม่ได้เป็นวิชาการเลย ขณะนี้ มี เห็น ได้ยิน คิดนึก โลภ โกรธ หลง ไม่รู้ เป็นต้น ล้วนแล้วแต่ เป็นอภิธรรม ควรเข้าใจว่าเป็นธรรม ก็ชื่อว่า เป็นการศึกษาพระอภิธรรม ก็จะเป็นประโยชน์ ต่อการเข้าใจในพระธรรมส่วนอื่นๆ ด้วย ครับ เพราะ ถ้าไม่ศึกษาอภิธรรม ก็ไม่สามารถละกิเลส ที่ยึดถือว่าเป็นเรา เป็นสัตว์ บุคคล ก็ไม่มีทางบรรลุธรรมได้เลย ครับ พระธรรมทุกคำ มีประโยชน์ ควรค่าแก่การศึกษาเพราะเป็นเหตุให้เกิดปัญญา

ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ

พระพุทธพจน์ [พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์]

พระอภิธรรมเป็นพระพุทธพจน์

ผู้คัดค้านพระอภิธรรม ได้รับผลอย่างไร

พระอภิธรรมเป็นคำสอนเรื่องสัจธรรม

พระอภิธรรมเป็นคำสอนที่ไม่มีผู้ใดแสดงได้

พระอภิธรรมไม่ใช่อยู่ในตำรา

พระอภิธรรมที่เทศน์โปรดพุทธมารดา

ขออนุโมทนา ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
lokiya
วันที่ 28 เม.ย. 2564

เป็นหัวข้อที่น่าสนใจ ขออนุโมทนา 

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 28 เม.ย. 2564

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

[เล่มที่ 42] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓-
หน้าที่ ๓๑๔

พระศาสดา ประทับนั่งในท่ามกลางเทวบริษัท ทรงปรารภพระมารดา เริ่มตั้งอภิธรรมปิฎกว่า "กุสลา ธมฺมา (ธรรมทั้งหลาย ที่เป็นกุศล ได้แก่ กุศลจิตและเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย) อกุสลา ธมฺมา (ธรรมทั้งหลายที่เป็นอกุศล ได้แก่ อกุศลจิตและเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย) อพฺยากตา ธมฺมา (ธรรมทั้งหลาย ที่ไม่ใช่ทั้งกุศลและไม่ใช่ทั้งอกุศล ได้แก่ วิบากจิตและเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย, กิริยาจิตและเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย, รูปทั้งหมด และ พระนิพพาน) " ดังนี้เป็นต้น”


ต้องศึกษาให้เข้าใจตั้งแต่คำว่าธรรม ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง มีจริงในขณะนี้ ทุกขณะเป็นธรรม มีแต่ธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้นเป็นไป ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ เมื่อกล่าวโดยประมวลแล้ว ไม่พ้นไปจากนามธรรมและรูปธรรม สิ่งที่มีจริงเหล่านี้ สิ่งที่มีจริงเป็นธรรม และ เป็นธรรมที่ละเอียดยิ่ง ด้วยความเป็นธรรมที่เป็นอนัตตา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ทุกกาลสมัย ธรรมก็เป็นธรรม และเป็นอภิธรรมด้วย ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆ ให้เป็นอย่างอื่นไปได้ เป็นจริงอย่างไร ก็เป็นจริงอย่างนั้น แต่สัตว์โลกจะเข้าใจอภิธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริง ตามความเป็นจริง ได้นั้น ก็ต้องเป็นกาลสมัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นในโลก พระองค์ทรงแสดงธรรมที่มีจริงที่ละเอียดยิ่ง ให้สัตว์โลกได้เข้าใจตามความเป็นจริง ด้วยการทรงแสดงพระธรรม ประกาศความจริงให้สัตว์โลกได้เข้าใจถูกเห็นถูก จากที่เต็มไปด้วยความไม่รู้ ก็จะค่อยๆ มีความรู้ที่เจริญขึ้นไปตามลำดับ จนกระทั่งสามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ดับกิเลสได้ ตามลำดับ พระธรรมคำสอนของพระองค์ เป็นคำสอนที่เป็นไปเพื่อละตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุด กล่าวคือ ละความไม่รู้ ความเห็นผิด ตลอดจนกิเลสทั้งหลายทั้งปวง ดังนั้น จึงต้องศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ เป็นปัญญาของตนเองจริงๆ ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงอะไรให้สัตว์โลกได้เข้าใจตามความเป็นจริง ซึ่งก็ไม่พ้นไปจากสิ่งที่มีจริง ทั้งหมด

เมื่อมีพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ดีแล้ว จึงควรฟัง ควรศึกษา ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย ซึ่งเมื่อมีความเข้าใจอย่างถูกต้องแล้ว ก็จะไม่เอนเอียง ไม่คล้อยตามกับสิ่งที่ไม่ถูกต้องโดยประการทั้งปวง และยังสามารถเกื้อกูลบุคคลอื่นให้มีความเข้าใจถูกเห็นถูก ได้อีกด้วย ครับ

ขอเชิญศึกษาจากคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ

ผู้มีปัญญาทรามย่อมกล่าวว่าเราย่อมสละปริยัติ

บุคคลผู้ทรงปริยัติ ย่อมไม่พ้นไปจากทุกข์ หามีไม่

...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
chatchai.k
วันที่ 28 เม.ย. 2564

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
chatchai.k
วันที่ 28 เม.ย. 2564

พระพุทธศาสนา คือ พระธรรม คำสอน ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มี ๓ ขั้น คือ

ขั้นปริยัติ คือ การศึกษาพระธรรมวินัย

ขั้นปฏิบัติ คือ การเจริญธรรม เพื่อบรรลุธรรมที่ดับกิเลส ดับทุกข์

ขั้นปฏิเวธ คือ การรู้แจ้งธรรมที่ดับกิเลส ดับทุกข์

พระพุทธดำรัส ที่ว่า "ผู้ใด เห็นธรรม ผู้นั้น ชื่อว่า ย่อมเห็นตถาคต" หมายวามว่าการ เห็นธรรม การรู้แจ้งธรรม ที่พระผู้มีพระภาค ทรงตรัสรู้คือ โลกุตตรธรรม ๙ ขั้นปฏิเวธ

การเห็น ธรรม ขั้นปฏิเวธเป็นผล ของการเจริญธรรม ขั้นปฏิบัติและ การเจริญธรรม ขั้นปฏิบัติ ต้องอาศัยปริยัติ ด้วยเหตุนี้ปริยัติ คือ การศึกษา พระธรรมวินัย จึงเป็นสรณะ เป็นที่พึ่งเป็นทางนำไปสู่พระพุทธศาสนา ขั้นปฏบัติ และ ขั้นปฏิเวธ เป็นลำดับไป

พระธรรม คำสอน ของพระผู้มีพระภาคได้ จดจำ สืบต่อกันมา โดย มุขปาฐะมุขปาถะ คือ การท่องจำพระธรรมคำสอนจพระพุทธเจ้าโดยพระอรหันตสาวก ผู้กระทำสังคายนาพระธรรมวินัย จำแนกเป็น ๓ ปิฎก เรียกว่า "พระไตรปิฎก" การท่องจำ ได้กระทำสืบต่อกันมา ตราบจนกระทั่งได้จารึกเป็นตัวอักษร

พระธรรมวินัยที่พระอรหันตสาวกได้กระทำสังคายนาจำแนกเป็น ๓ ปิฎก คือ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก

"พระวินัยปิฎก" แสดงถึง ระเบียบ ข้อประพฤติปฏิบัติเพื่อพรหมจรรย์ขั้นสูงยิ่งขึ้นเป็นส่วนใหญ่

"พระสุตตันตปิฎก" แสดงถึง หลักธรรมที่ทรงเทศนา แก่บุคคลต่างๆ เป็นส่วนใหญ่

"พระอภิธรรมปิฎก" แสดงถึง "สภาพธรรม" พร้อมทั้ง "เหตุ และ ผล" ของ "ธรรมทั้งปวง"

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
เมตตา
วันที่ 29 เม.ย. 2564

ขอบพระคุณ และยินดีในกุศลจิตค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
chatchai.k
วันที่ 2 พ.ค. 2564

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

อบรมปัญญาให้เข้าใจความจริง จะเป็นประโยชน์ทั้งชาตินี้ และชาติต่อๆไป กุศลที่ทำได้เสมอๆ คือ การฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีคุณค่ามหาศาลสำหรับชีวิตที่ต้องเดินทางต่อไป อีกแสนไกล และกันดาร

ขอเชิญศึกษาพระธรรม...

รวมลิงก์เมนูต่างๆ ในเว็บไซต์

พระไตรปิฎก 

ฟังธรรม

วีดีโอ

ซีดี

หนังสือ

กระดานสนทนา

การที่ได้มีโอกาสศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม ทำให้มีความเข้าใจตามความเป็นจริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏแล้วก็หมดไป ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหูทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ จิตทุกขณะเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป หมดไป ไม่มีอะไรเหลือเลยจริงๆ จากภพหนึ่งไปอีกภพหนึ่ง ดังนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่ควรสั่งสมไปทุกภพทุกชาติ นั่นก็คือ กุศล (รวมถึงการอบรมเจริญปัญญา ในชีวิตประจำวันด้วย)

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ