๓. ตุณฑิลชาดก ว่าด้วยธรรมเหมือนน้ํา บาปธรรมเหมือนเหงื่อไคล
[เล่มที่ 59] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หนาที่ 136
๓. ตุณฑิลชาดก
วาดวยธรรมเหมือนน้ํา บาปธรรมเหมือนเหงื่อไคล
[๙๑๗] บัดนี้ วันนี้ แมเราใหอาหารสําหรับขุน ใหม รางอาหารนี้เต็ม นายแมยืนใกลราง อาหาร คนหลายคนมีมือถือบวง อาหารนั้น ไมแจมชัดสําหรับฉัน เพื่อจะกินอาหาร.
[๙๑๘] เจาสะดุง เจาหัวหมุนไปไย เจา ประสงคจะหลีกหนีไป เจาไมมีผูตานทาน จัก ไปไหน? นองตุณฑิละเอย เจาจงเปนผูขวนขวายแตนอย กินไปเถิด พวกเราถูกขุนเพื่อ ตองการเนื้อ.
[๙๑๙] เจาจงลงสูหวงน้ํา ที่ไมมีโคลนตม ชําระ. ลางเหงื่อไคลทั้งหมด แลวถือเอาเครื่องลูบไล ใหม ซึ่งแตไหนแตไรมา มีกลิ่นหอมไมขาด สาย.
[๙๒๐] หวงน้ําอะไรหนอที่ไมมีโคลนตม อะไร หนอเรียกวาเหงื่อไคล? อะไรเรียกวาเครื่อง ลูบไลใหม กลิ่นอะไรไมขาดหาย มาแตไหน แตไร
[๙๒๑] หวงน้ําคือพระธรรม ไมมีโคลนตม. บาป เรียกวาเหงื่อไคล และศีลเรียกวาเครื่องลูบไล ใหม แตไหนแตไรมา กลิ่นของศีลนั้นไมเคย ขาดหายไป
[๙๒๒] เหลาชน ผูไมรู ผูฆาสัตวกิน เปนปกติ จะเพลิดเพลินใจ สวนผูรักษาชีวิตสัตว ไม ฆาสัตว เปนปกติ จะไมเพลิดเพลินใจ เมื่อ วันเดือนเพ็ญมีพระจันทรเต็มดวงแลว เหลา ชนผูรื่นเริงใจอยูเทานั้น จึงจะสละชีพได
จบ ตุณฑิลชาดกที่ ๓
[เล่มที่ 59] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หนาที่ 137
อรรถกถาตุณฑิลชาดกที่ ๓
พระศาสดาเมื่อประทับอยู ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ ภิกษุผูกลัวตายรูปหนึ่ง จึงตรัสเรื่องนี้ มีคําเริ่มตนวา นวจฺฉทฺทเก ดังนี้. ไดยินวา กุลบุตรชาวเมืองสาวัตถีนั้น บวชในพระศาสนาแตได เปนผูกลัวตาย. เธอไดยินเสียงกิ่งไมสั่นไหว. ทอนไมตก. เสียงนก
พระสุตตันตปฎกขุททกนิกาย ชาดกเลม ๓ ภาค ๕ - หนาที่ 138
หรือสัตวสี่เทา แมเพียงเล็กนอย คือเบา ๆ หรือเสียงอยางอื่นแบบนั้น ก็จะเปนผูถูกภัยคือความตายขู เดินตัวในรูปเหมือนกระตายถูกแทงที่ ทองฉะนั้น. ภิกษุทั้งหลายพากันตั้งคาถา คือเรื่องสนทนาขึ้นในธรรม สภาวา ดูกอนอาวุโส ภิกษุชื่อโนนกลัวตาย ไดยินเสียงแมเพียง เล็กนอย ก็รองพลางวิ่งพลางหนีไป ควรจะมนสิการวา ก็ความตาย ของสัตวทั้งหลายเหลานี้เทานั้นเปนของเที่ยง แตชีวิตไมเที่ยง ดังนี้. พระศาสดาเสด็จมาถึง ตรัสถามวา ดูกอนภิกษุทั้งหลาย นั่งสนทนากัน ดวยเรื่องอะไรนะ เมื่อภิกษุทั้งหลายทูลวา ดวยเรื่องชื่อนี้ ดังนี้แลว ตรัสสั่งใหหาภิกษุนั้นมา แลวตรัสถามวา ดูกอนภิกษุ ไดทราบวา เธอ กลัวตายจริงหรือ เมื่อภิกษุนั้นทูลรับวา ถูกแลวพระเจาขา ดังนี้ จึง ตรัสวา ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ไมเฉพาะในปจจุบันนี้เทานั้น แมในชาติ กอน ภิกษุนี้ก็กลัวตายเหมือนกัน แลวไดทรงนําเอาเรื่องในอดีตมา สาธก ดังตอไปนี้.
ในอดีตกาล เมื่อพระเจาพรหมทัตครองราชสมบัติอยูในนคร พาราณสี พระโพธิสัตว ไดถือปฏิสนธิในทองของแมสุกร. แมสุกร ทองแกครบกําหนดแลว คลอดลูก ๒ ตัว. อยูมาวันหนึ่งมันพาลูก ๒ ตัวนั้นไปนอนที่หลุมแหงหนึ่ง. กาละครั้งนั้น หญิงชราคนหนึ่งมี ปกติอยูบานใกลประตูนครพาราณสี เก็บฝายไดเต็มกระบุงจากไรฝาย เดินเอาไมเทายันดินมา. แมสุกรไดยินเสียงนั้นแลว ทิ้งลูกนอยหนีไป เพราะกลัวตาย. หญิงชราเห็นลูกสุกรกลับไดความสําคัญวาเปนลูก จึง
พระสุตตันตปฎกขุททกนิกาย ชาดกเลม ๓ ภาค ๕ - หนาที่ 139
เอาใสกระบุงไปถึงเรือน แลวตั้งชื่อตัวพี่วา มหาตุณฑิละ ตัวนองวา จุลตุณฑิละ เลี้ยงมันเหมือนลูก. ในเวลาตอมามันเติบโตขึ้น ไดมีรางกายอวน หญิงชราถึงจะถูกทาบทามวา จงขายหมูเหลานี้ใหพวกฉันเถิด ก็บอกวา ลูกของฉัน แลวไมใหใคร ภายหลังในวันมหรสพ
วันหนึ่งพวกนักเลงดื่มสุรา เมื่อเนื้อหมด ก็หารือกันวา พวกเราจะไดเนื้อจากที่ไหนหนอ ทราบวา ที่บานหญิงชรามีสุกร จึงพากันถือเหลา ไปที่นั้น พูดวา คุณยายครับ ขอใหคุณยายรับเอาราคาสุกรแลวใหสุกรตัวหนึ่งแกพวกผมเถิด หญิงชรานั้น แมจะปฏิเสธวา อยาเลยหลานเอย สุกรนั้นเปนลูกฉัน ธรรมดาคนจะใหลูกแกคนที่ตองการจะกินเนื้อไมมีหรอก
พวกนักเลงแมจะออนวอนแลวออนวอนเลาวา ขึ้นชื่อ วาหมูจะเปนลูกของคนไมมีนะ ใหมันแกพวกผมเถิด ก็ไมไดสุกร จึงใหหญิงชราดื่มสุรา เวลาแกเมาแลว ก็พูดวายาย ยายจะทําอะไรกับหมู ยายเอาราคาหมูนี้ไปไวทําเปนคาใชจายเถิด แลววางเหรียญกระษาปณ ไวในมือหญิงชรา หญิงชรารับเอาเหรียญกระษาปณ พูดวา หลายเอย ยายไมอาจจะใหสุกรชื่อมหาตุณฑิละได แกจงพากันเอาจุลตุณฑิละไป. มันอยูที่ไหน นักเลงถาม ที่กอไมกอโนน หญิงชราตอบ ยายใหเสียง เรียกมันสิ นักเลงสั่ง ฉันไมเห็นอาหาร หญิงชราตอบ
พระสุตตันตปฎกขุททกนิกาย ชาดกเลม ๓ ภาค ๕ - หนาที่ 140
นักเลงทั้งหลายจึงใหคาอาหารใหไป นําขาวมา ๑ ถาด หญิงชรา รับเอาคาอาหารนั้น จัดชื้อขาว เทใหเต็มรางหมูที่วางไวใกลประตูแลว ไดยืนอยูใกลๆ ราง นักเลงประมาณ ๓ คน มีบวงในมือ ไดยืน อยู ณ ที่นั้นนั่นเอง
หญิงชราไดใหเสียงรองเรียกหมูวา ลูกจุลตุณฑิละมาโวย มหาตุณฑิละไดยินเพียงนั้นแลว รูแลววา ตลอดเวลา ประมาณเทานี้ แมเราไมเคยใหเสียงแกจุลตุณฑิละ สงเสียงถึงเรากอน ทั้งนั้น วันนี้คงจักมีภัยเกิดขึ้นแกพวกเราแนแท มหาตุณฑิละ จึง เรียกจุลตุณฑิละมาแลวบอกวา นองเอย แมของเราเรียกเจา เจาลงไป ใหรูเรื่องกอน จุลตุณฑิละ ก็ออกจากกอไมไป เห็นวานักเลงเหลานั้น ยืนอยูใกลรางขาวก็รูวา วันนี้ความตายจะเกิดขึ้นแกเราแลว ถูกมรณภัยคุกคามอยู จึงหันกลับ ตัวสั่นไปหาพี่ชาย ไมอาจจะยืนอยูได ตัวสั่น หมุนไป รอบๆ
มหาตุณฑิละเห็นเขาแลว จึงถามวา นองเอย ก็วันนี้เจาสั่นเทาไป เห็นสถานที่เปนที่เขาไปแลว เจาทําอะไรนั่น มันเมื่อจะบอกเหตุ ที่ตนไดเห็นมา จึงกลาวคาถาที่ ๑ วา:-
บัดนี้ วันนี้แมเราใหอาหารสําหรับขุนใหม รางอาหารนี้เต็ม นายแมยืนใกลรางอาหาร คน หลายคนมีมือถือบวง อาหารนั้นไมแจมชัด สําหรับฉัน เพื่อกินอาหาร
พระสุตตันตปฎกขุททกนิกาย ชาดกเลม ๓ ภาค ๕ - หนาที่ 141
บรรดาบทเหลานั้น บทวา นวจฺฉทฺทเก ทานิ ทิยฺยติ ความวา พี่ เมื่อกอนแมใหขาวตมที่ปรุงดวยรําหรือขาวสวย ที่ปรุงดวยขาว ตังแกพวกเรา แตวันนี้ใหอาหารสําหรับขุนใหม คือทานมีอาหารใหม.
บทวา ปุณฺณาย โทณิ ความวา รางอาหารของพวกเรานี้ เต็มไป ดวยขาวสวยลวน ๆ.
บทวา สุวามินี ิตา ความวา ฝายนายแมของ พวกเรา ก็ไดยืนอยูใกลๆ รางอาหารนั้น.
บทวา พหุโก ชโน ความ วา มิใชแตนายแมยืนอยางเดียวเทานั้น แมคนอื่นอีกหลายคน ไดยืน มีมือถือบวงอยู.
บทวา โน จ โข เม ปฏิภาติ ความวา แมภาวะที่คน เหลานี้ ยืนอยูแลวอยางนี้ ไมแจมกระจางสําหรับฉัน อธิบายวา ฉันไม ชอบใจ แมเพื่อจะกินขาวนี้.
มหาสัตวไดฟงดังนั้นแลว พูดวา นองจุลตุณฑิละเอยไดทราบวา ธรรมดาแมของเรา เมื่อเลี้ยงสุกรไวในที่นี้นั่นเอง ยอมเลี้ยงเพื่อ ประโยชนอันใด ประโยชนอันนั้นของทานถึงที่สุดแลวในวันนี้ นอง อยาคิดเลย เมื่อจะแสดงธรรมโดยลีลาพระพุทธเจา ดวยเสียงที่ไพเราะ จึงไดกลาวคาถา ๒ คาถาวา :-
เจาสะดุง เจาหัวหมุนรูปไปไย เจาประสงค จะหลีกหนีไป เจาไมมีผูตานทานจักไปไหน นองตุณฑิละเอย เจาจงเปนผูขวนขวายแตนอย กินไปเถิด พวกเราถูกเขาขุนเพื่อตองการเนื้อ
พระสุตตันตปฎกขุททกนิกาย ชาดกเลม ๓ ภาค ๕ - หนาที่ 142
เจาจงลงสูหวงน้ําที่ไมมีโคลนตม ชําระลาง เหงื่อไคลทั้งหมด แลวถือเอาเครื่องลูบไลใหม ซึ่งแตไหนแตไรมา มีกลิ่นหอมไมขาดสาย.
เมื่อมหาตุณฑิละมหาสัตวนั้น รําลึกถึงบารมีทั้งหลาย แลวทํา เมตตาบารมีใหเปนปุเรจาริก ออกหนา ยกบทแรกมาเปนตัวอยางอยู นั่นเอง เสียงไดดังไปทวมนครพาราณสี ที่กวางยาวทั้งสิ้น ๑๒ โยชน. ในขณะที่คนทั้งหลายไดยิน ๆ นั่นแหละ ชาวนครพาราณสี ตั้งตนแต พระราชา และพระอุปราชเปนตน ไดพากันมาตามเสียง. ฝายผูไม ไดมาอยูที่บานนั่นเองก็ไดยิน.
ราชบุรุษทั้งหลายพากันถางพุมไม ปราบ พื้นที่ใหเสมอแลวเกลี่ยทรายลง. ผูใหสุราแกนักเลงทั้งหลายก็งดให. พวกนักเลงพากันทิ้งบวงแลวไดยินฟงธรรมกันทั้งนั้น. ฝายหญิงชราก็ หายเมา. มหาสัตวไดกลาวปรารภเทศนาแกจุลตุณฑิละทามกลางมหาชน.
บรรดาบทเหลานั้น บทวา ตสสิ ภมสิ ความวา หวาดสะดุง เพราะกลัวตาย เมื่อลําบากดวยความหวาดสะดุง เพราะความกลัวตาย นั้นนั่นแหละ เธอจึงหัวหมุน.
บทวา เลณมิจฺฉสิ ไดแกมองหาที่พึ่ง
บทวา อตาโณสิ ความวา นองเอย เมื่อกอนมารดาของเราเปนที่พึ่ง ที่ระลึกได แตวันนี้ทานหมดอาลัยทอดทิ้งเราแลว บัดนี้เจาจักไปไหน.
บทวา โอคาห ไดแกลงไปอยู. อีกอยางหนึ่งปาฐะวาอยางนี้เหมือนกัน
บทวา ปวาหย ไดแกใหเหงื่อไคลทั้งหมดลอยไป.
บทวา น ฉิชฺชต
พระสุตตันตปฎกขุททกนิกาย ชาดกเลม ๓ ภาค ๕ - หนาที่ 143
ไดแกไมหายไป. มีอธิบายวาถาหากเจาสะดุงกลัวความตายไซร ก็จงลงสูสระโบกขรณีที่ไมมีโคลนตม ชําระลางเหงื่อและไคลทั้งหมด ในตัวของเจา แลวลูบไลดวยเครื่องลูบไลที่หอมฟุงอยูเปนนิตย. จุลตุณฑิละไดยินคํานั้นแลวคิดวา พี่ชายของเราพูดอยางนี้ วงศ ของพวกเราไมมีการลงสระโบกขรณี แลวอาบน้ําชําระลางเหงื่อไคล ออกจากสรีระราง การนําเอาเครื่องลูบไลเกาออกไปแลวเอาเครื่องลูบไล ใหมที่มีกลิ่นหอมฟุงลูบไลไมมีในกาลไหนเลย พี่ชายของเราพูดอยาง นี้ หมายถึงอะไรกันหนอ ดังนี้แลวเมื่อจะถามจึงกลาวคาถาที่๘ วา :-
หวงน้ําอะไรหนอที่ไมมีโคลนตม อะไร หนอ เรียกวาเหงื่อไคล อะไรเรียกวาเครื่อง ลูบไลใหม กลิ่นอะไรไมขาดหายมาแตไหน แตไร
พระมหาสัตวไดยินคําตอบนั้นแลวจึงกลาววาถาเชนนั้นเธอจง เงี่ยโสตฟง เมื่อจะแสดงธรรมดวยพุทธลีลาไดกลาวคาถาเหลานี้วา:-
หวงน้ําคือพระธรรมไมมีโคลนตม บาป เรียกวาเหงื่อไคล และศีลเรียกวาเครื่องลูบไล ใหม แตไหนแตไรมา กลิ่นของศีลนั้นไมขาด หายไป เหลาชน ผูไมรู ผูฆาสัตวกิน เปน
พระสุตตันตปฎกขุททกนิกาย ชาดกเลม ๓ ภาค ๕ - หนาที่ 144
ปกติ จะเพลิดเพลินใจ สวนผูรักษาชีวิตสัตว ไมฆาสัตวเปนปกติ จะไมเพลิดเพลินใจเมื่อ วันเดือนเพ็ญ มีพระจันทรเต็มดวงแลว เหลา ชนผูรื่นเริงใจอยูเทานั้น จึงจะสละชีพได.
บรรดาบทเหลานั้น บทวา ธมฺโม ความวา ธรรมะแมทั้งหมด นี้ คือศีล ๕ ศีล ๑๐ สุจริต ๓ โพธิปกขิยธรรม ๓๗ ประการ และ อมตมหานิพพาน ชื่อวา ธรรม.
บทวา อกทฺทโม ความวา ชื่อวาไม มีโคลนตม เพราะไมมีโคลนตมคือกิเลส ไดแก ราคะ โทสะ โมหะ มานะ และทิฏฐิ. ดวยบทนี้ มหาตุณฑิละ งดธรรมที่เหลือไวแสดงพระนิพพานเทานั้น เพราะพระผูมีพระภาคเจาตรัสไววา ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายมีปจจัย. ปรุงแตงก็ดีงาม ไมมีปจจัยปรุงแตงก็ตาม มี ประมาณเทาใด วิราคธรรมทานกลาววาล้ําเลิศกวาธรรมเหลานั้น ได แกธรรมใหสรางเมา. ปราศจากความหิวระหาย. ถอนอาลัยออกได ตัดวัฏฏะได เปนที่สิ้นตัณหา วิราคะ คือคลายกําหนัด นิโรธ คือดับ ตัณหาไมมีเหลือ นิพพาน คือดับกิเลสและทุกขหมด.
นัยวาพระโพธิสัตว เมื่อจะแสดงพระนิพพานนั้นนั่นแหละ จึงกลาวอยางนี้ ดวย อํานาจอุปนิสสัยปจจัยวา นองจุลตุณฑิละเอย เราเรียกสระคือพระนิพพานวา หวงน้ํา เพราะในพระนิพพานนั้นนั่นเอง ไมมีชาติ ชรา พยาธิ และมรณทุกขเปนตน แมวาหากจะมีผูประสงคจะพนจากมรณะ
พระสุตตันตปฎกขุททกนิกาย ชาดกเลม ๓ ภาค ๕ - หนาที่ 145
ก็จงเรียนขอปฏิบัติที่จะใหถึงพระนิพพาน.
บทวา ปาป เสทมล ความ วา นองจุลตุณฑิละเอย บัณฑิตในสมัยกอนทั้งหลายเรียกบาปวาเปน เหงื่อไคล เพราะเปนเชนกับเหงื่อไคล. ก็บาปนี้นั้นมีอยางเดียวคือ กิเลสเครื่องประทุษรายใจ บาปมี ๒ อยางคือ ศีลที่เลวทรามกับทิฏฐิที่ เลวทราม. บาปมี ๓ อยาง คือ ทุจริต ๓. บาปมี ๔ อยาง คือ การลุ อํานาจอคติ ๔ อยาง. บาปมี ๕ อยาง คือ สลักใจ ๕ อยาง. บาปมี ๖ อยาง คือ อคารวะ ๖ อยาง. บาปมี ๗ อยาง คือ อสัทธรรม ๗ ประการ. บาปมี ๘ อยาง คือ ความเปนผิด ๘ ประการ. บาปมี ๙ อยาง คือ เหตุเปนที่ตั้งแหงความอาฆาต ๙ อยาง. บาปมี ๑๐ อยาง คือ อกุศลธรรมบถ ๑๐. บาปมีมากอยาง คือ อกุศลธรรมทั้งหลายที่ทรงจําแนกออกไป โดยเปนธรรมหมวด ๑ หมวด ๒ และหมวด ๓ เปนตน อยางนี้ คือ ราคะ โทสะ โมหะ. บทวา ศีลไดแกศีล ๕ ศีล ๑๐ และ ปาริสุทธศีล ๔. นองเอย บัณฑิตทั้งหลาย เรียกศีลนี้วาเปนเสมือน เครื่องลูบไลใหม.
บทวา ตสฺส ความวา กลิ่นของศีลนั้น แตไหน แตไรมา ไมขาดหายไปในวัยทั้ง ๓ คือไมแผไปทั่วโลก. กลิ่นดอกไมจะไมหอมทวนลมไป กลิ่น จันทนกฤษณา หรือดอกมะลิก็ไมหอมทวนลม ไป แตกลิ่นของสัตบุรุษหอมทวนลมไป สัตบุรุษฟุงขจรไปทั่วทุกทิศ. กลิ่นศีลหอมยิ่งกวา คันธชาติเหลานี้ คือจันทนกฤษณะ ดอกอุบล
พระสุตตันตปฎกขุททกนิกาย ชาดกเลม ๓ ภาค ๕ - หนาที่ 146
หรือดอกมะลิ. เพราะกลิ่นกฤษณาและจันทน นี้หอมนอย สวนกลิ่นของผูมีศีลทั้งหลาย หอมมากฟุงขจรไปในเทวโลกและมนุษยโลก.
บทวา นนฺทนฺติ สรีรฆาติโน ความวานองจุลตุณฑิละเอย คน ผูไมมีความรูทั้งหลายเหลานี้ เมื่อทําปาณาติบาต จะเพลิดเพลินคือพอ ใจวา พวกเราจักกินเนื้ออรอยบาง จักใหลูกเมียกินบาง คือไมรูโทษ ของปาณาติบาตเปนตนนี้วา ปาณาติบาตที่ประพฤติจนชินอบรมมาทํา ใหมากแลว จะเปนเพื่อใหเกิดในนรก จะเปนไปเพื่อใหเกิดในกําเนิด เดียรัจฉาน ฯลฯ จะเปนไปเพื่อใหเกิดในเปรตวิสัย วิบากของปาณาติบาตที่เบากวาวิบากทั้งหมด จะเปนไปเพื่อใหผูเกิดเปนมนุษยมีอายุนอย ดังนี้ เมื่อไมรูก็จะเปนผูสําคัญบาปวาเปนน้ําผึ้ง ตามพระพุทธภาษิตวา :-
คนโงยอมสําคัญบาปวาเปนเหมือนน้ําผึ้ง ตลอดเวลาที่บาปยังไมใหผล แตเมื่อใดบาป ใหผล เมื่อนั้นคนโงก็จะเขาถึงทุกข. ไมรูแมเหตุมีประมาณเทานี้วา :- คนเขลา เบาปญญา เที่ยวทําบาปกรรม ซึ่งมีผลเผ็ดรอนดวยตนเอง ที่เปนเหมือนศัตรู กรรมที่มีผลเผ็ดรอน ทําใหคนมีน้ําตานองหนา
พระสุตตันตปฎกขุททกนิกาย ชาดกเลม ๓ ภาค ๕ - หนาที่ 147
รองไหไปพลางเสวยผลกรรมไปพลาง ทําแลว ไมดี.
บทวา น จนนฺทนฺติ สรีรธาริโน ความวา นองจุลตุณฑิละ เอย สัตวเหลานั้นใด ผูรักษาชีวิตสัตวไว ไมฆาสัตวเปนปกติ สัตว เหลานั้น เหลือ ตั้งตนแตพระโพธิสัตวไป เวนไวแตมฤคราชสีห ชาง อาชาไนย มาอาชาไนยและพระขีณาสพ เมื่อความตายมาถึงตน ชื่อวา ไมกลับไมมี สัตวทั้งหลายสะดุงตออาชญากันหมด เพราะชีวิตเปนที่รักของสัตวทั้งหลาย ฉะนั้น คนควรเอาตนเปนเครื่องเปรียบเทียบแลว ไม เบียดเบียน ไมฆากัน.
บทวา ปุณฺณาย ความวาเต็มดวยคุณคา
บทวา ปุณฺณมาสิยา ความวา เมื่อเดือนประกอบดวยจันทรเพ็ญ สถิตอยูเต็มดวงแลว. ได ทราบวา เมื่อนั้นเปนวันอุโบสถที่มีพระจันทรเต็มดวง
บทวา รมมานาว ชหนฺติ ชีวิต ความวา นองจุลตุณฑิละเอย เธออยาเศราโศก อยา รองไห ขึ้นชื่อวาความตายไมใชเฉพาะเราเทานั้น แมสัตวที่เหลือทั้ง หลายก็มีความตาย สัตวผูไมมีคุณมีศีลเปนตน อยูในภายในยอมจะกลัว แตพวกเราผูสมบูรณดวยศีลและอาจาระ เปนผูมีบุญ คือจะไมกลัว เพราะฉะนั้นสัตวที่เชนกับเรา จะยินดีสละชีวิตทีเดียว.
พระสุตตันตปฎกขุททกนิกาย ชาดกเลม ๓ ภาค ๕ - หนาที่ 148
มหาสัตวแสดงดวยเสียงอันไพเราะ ดวยพุทธลีลาอยางนี้แลว. ชุมนุมชนมีการปรบมือและการชูผาจํานวนพันเปนไปแลว. ทองฟาได เต็มไปดวยเสียงสาธุการ. พระเจาพาราณสี ทรงบูชาพระโพธิสัตวดวย ราชสมบัติ ประทานยศแกหญิงชรา ทรงรับเอาสุกรทั้ง ๒ ตัวไว ทรง ใหอาบดวยน้ําหอม ใหหมผา ใหไลทาดวยของหอมเปนตน ใหประดับ แกวมณีที่คอ แลวทรงนําเขาไปสูพระนคร สถาปนาไวในตําแหนง ราชบุตร ทรงประคับประคองดวยบริวารมาก. พระโพธิสัตวไดใหศีล ๕ แกขาราชบริพาร.
ชาวนครพาราณสีและชาวกาสิกรัฐพากันรักษาศีล ๕ ศีล ๑๐ ทุกคน. ฝายมหาสัตวไดแสดงธรรมแกชนเหลานั้นทุกวันปกษ นั่งในที่วินิจฉัยศาลพิจารณาคดี เมื่อมหาสัตวนั้นยังมีชีวิตอยู ขึ้นชื่อ วาการโกงไมมีแลว. ในกาลตอมาพระราชาสวรรคต. ฝายมหาสัตวใหประชาชนถวายพระเพลิงพระสรีระพระองค แลวใหจารึก คัมภีรวินิจฉัยคดีไวแลวบอกวา ทานทั้งหลายตองดูคัมภีรนี้พิจารณา คดี แลวแสดงธรรมแกมหาชน โอวาทดวยความไมประมาทแลวเขา ปาไปพรอมกับจุลตุณฑิละ ทั้ง ๆ ที่คนทั้งหมดพากันรองไหและคร่ําครวญ อยูนั่นเอง. โอวาทของพระโพธิสัตวครั้งนั้น เปนไปถึง ๖ หมื่นป. พระศาสดาครั้นทรงนําพระธรรมเทศนานี้มาแลว ทรงประกาศ สัจจะแลวทรงประชุมชาดกไว ในที่สุดแหงสัจจธรรมภิกษุผูกลัวตายนั้น ดํารงอยูแลวในโสดาปตติผล. พระราชาในครั้งนั้นไดแกพระอานนทใน