เรื่องเมณฑกเศรษฐี
[เล่มที่ 43] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนาที่ 47
๑๐. เรื่องเมณฑกเศรษฐี [๑๙๑]
ขอความเบื้องตน หนาที่ 47
พระศาสดาเสด็จไปภัททิยนคร หนาที่ 47
เหตุที่ไดนามวาเมณฑกเศรษฐี หนาที่ 47
บุรพกรรมของทานเศรษฐี หนาที่ 48
เศรษฐีประสบฉาตกภัย หนาที่ 49
เศรษฐีถวายภัตแกพระปจเจกพุทธเจา หนาที่ 51
ทั้ง ๕ คนปรารถนาใหไดอยูรวมกัน หนาที่ 53
อานิสงสของการถวายทาน หนาที่ 55
เศรษฐีและคณะไปเกิดที่ภัททิยนคร หนาที่ 56
โทษของคนอื่นเห็นไดงาย หนาที่ 58
แกอรรถ หนาที่ 58
พระสุตตันตปฎกขุททกนิกายคาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนาที่ 47
๑๐. เรื่องเมณฑกเศรษฐี [๑๙๑]
ขอความเบื้องตน
พระศาสดา เมื่อทรงอาศัยภัททิยนครประทับอยูในชาติยาวัน (๑) ทรง ปรารภเมณฑกเศรษฐี ตรัสพระธรรมเทศนานี้วา "สุทสฺส วชฺชมฺเส" เปนตน
พระศาสดาเสด็จไปภัททิยนคร
ไดยินวา พระศาสดาเมื่อเสด็จเที่ยวจาริกไปในอังคุตตราปถชนบท ทั้งหลาย ทรงเห็นอุปนิสัยโสดาปตติผลของคนเหลานี้ คือ เมณฑกเศรษฐี ๑ ภรรยาของเศรษฐีนั้น ชื่อวานางจันทปทุมา ๑ บุตรชื่อธนัญชัยเศรษฐี ๑ หญิงสะใภชื่อนางสุมนเทวี ๑ หลานสาวชื่อวิสาขา ๑ ทาสชื่อปุณณะ ๑ จึงเสด็จไปสูภัททิยนคร ประทับอยูในชาติยาวัน เมณฑกเศรษฐีไดสดับ การเสด็จมาของพระศาสดาแลว
เหตุที่ไดนามวาเมณฑกเศรษฐี
ถามวา "ก็เพราะเหตุไร เศรษฐีนั่นจึงชื่อวา เมณฑกเศรษฐี" แกวา ไดยินวา แพะทองคําทั้งหลายประมาณเทาชาง มาและโคอุสภะ ชําแรกแผนดินเอาหลังดุนหลังกันผุดขึ้นในที่ประมาณ ๘ กรีส ที่ขางหลัง เรือนของเศรษฐีนั้น บุญกรรมใสกลุมดาย ๕ สีไวในปากของแพะเหลานั้น เมื่อมีความตองการดวยเภสัชมีเนยใส น้ํามัน น้ําผึ้ง และน้ําออยเปนตน หรือดวยวัตถุมีผาเครื่องปกปด เงินและทองเปนตน ชนทั้งหลานยอมนํา กลุมดายออกจากปากของแพะเหลานั้น เนยใส น้ํามัน น้ําผึ้ง น้ําออย
๑. ปาไมมะลิ ๒. ที่อื่นๆ วา สุมนาเทวี
พระสุตตันตปฎกขุททกนิกายคาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนาที่ 48
ผาเครื่องปกปด เงินและทอง ยอมไหลออกจากปากแพะแมตัวหนึ่ง ก็เปน ของเพียงพอแกชาวชมพูทวีป. จําเดิมแตนั้นมา เศรษฐีนั้นจึงปรากฏวา เมณฑกเศรษฐี.
บุรพกรรมของทานเศรษฐี
ถามวา ก็บุรพกรรมของเศรษฐีนั้นเปนอยางไร แกวา ไดยินวา ในกาลแหงพระพุทธเจาทรงพระนามวาวิปสสี เศรษฐีนั้นเปนหลานของ กุฎมพีชื่ออวโรชะ ไดมีชื่อวา อวโรชะ ซึ่งมีชื่อพองกับลุง. ครั้งนั้น ลุงของเขาปรารภเพื่อจะสรางพระคันธกุฎีเพื่อพระศาสดา. เขาไปสูสํานัก ของลุงแลว กลาววา " ลุง แมเราทั้งสองจงสรางรวมกันทีเดียว" ในเวลาที่ถูกลุงนั้นหามวา "เราคนเดียวเทานั้นจักสรางไมใหสาธารณะกับดวย ชนเหลาอื่น" จึงคิดวา "เมื่อลุงสรางคันธกุฎีในที่นี้แลว เราควรไดศาลา รายในที่นี้" จึงใหคนนําเครื่องไมมาจากปา ใหทําเสาอยางนั้น คือ "เสา ตนหนึ่งบุดวยทองคํา, ตนหนึ่งบุดวยเงิน, ตนหนึ่งบุดวยแกวมณี" ให ทําขื่อ พรึง บานประตู บานหนาตาง กลอน เครื่องมุงแลอิฐแมทั้งหมด บุดวยวัตถุมีทองคําเปนตนเทียวใหทําศาลารายสําเร็จดวยรัตนะ ๗ประการ แดพระตถาคตในที่ตรงหนาพระคันธกุฎี ในเบื้องบนแหงศาลารายนั้น ไดมีจอมยอด ๓ ยอด อันสําเร็จแลวดวยทองคําอันสุกเปนแทงแกวผลึก และแกวประพาฬ. ใหสรางมณฑปประดับดวยแกว ในที่ทามกลางแหง ศาลาราย. ใหตั้งธรรมาสนไว. เทาธรรมาสนนั้นไดสําเร็จดวยทองคําสีสุก เปนแทง แมแคร๔ อันก็เหมือนกัน. แตใหกระทําแพะทองคํา ๔ ตัว ตั้งไวในภายใตแหงเทาทั้ง ๔ แหงอาสนะ. ใหกระทําแพะทองคํา ๒ ตัว ตั้งไวภายใตตั่งสําหรับรองเทา. ใหกระทําแพะทองคํา ๖ ตัว ตั้งแวดลอม มณฑป: ใหถักธรรมาสนดวยเชือกเสนเล็กสําเร็จดวยดายกอนแลว จึงให
พระสุตตันตปฎกขุททกนิกายคาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนาที่ 49
ถักดวยเชือกอันสําเร็จดวยทองคําในทามกลาง แลวใหถักดวยเชือกสําเร็จ ดวยแกวมุกดาในเบื้องบน; พนักแหงธรรมาสนนั้น ไดสําเร็จดวยไม จันทน. ครั้นใหศาลารายสําเร็จอยางนั้นแลว เมื่อจะกระทําการฉลองศาลา จึงนิมนตพระศาสดาพรอมดวยภิกษุ ๖ ลาน ๘ แสน ไดถวายทานตลอด ๔ เดือน. ในวันสุดทายไดถวายไตรจีวร. บรรดาภิกษุเหลานั้น จีวรมี คาพันหนึ่งถึงแกภิกษุผูใหมในสงฆแลว.
เขาทําบุญกรรม ในกาลแหงพระวิปสสีพุทธเจาอยางนั้นแลว เคลื่อน จากอัตภาพนั้น ทองเที่ยวไปในเทวดาและในมนุษยทั้งหลาย ในภัทรกัปนี้ เกิดในสกุลเศรษฐีมีโภคะมากในกรุงพาราณสีไดมีนามวา พาราณสีเศรษฐี
เศรษฐีประสบฉาตกภัย
วันหนึ่ง เศรษฐีไปสูที่บํารุงพระราชา พบปุโรหิต จึงกลาววา "ทานอาจารย ทานตรวจดูฤกษยามหรือ"
ปุโรหิต. ขอรับ ผมตรวจดู, เราทั้งหลายจะมีการงานอะไรอื่น?
เศรษฐี. ถาอยางนั้น ความเปนไปในชนบทจักเปนเชนไร?
ปุโรหิต. ภัยอยางหนึ่ง จักมี.
เศรษฐี. ชื่อวาภัยอะไร?
ปุโรหิต. ฉาตกภัย (๑) ทานเศรษฐี.
เศรษฐี. จักมี เมื่อไร
ปุโรหิต. จักมี โดยลวงไป ๓ ป แตปนี้
เศรษฐี ฟงคํานั้นแลวใหบุคคลทํากสิกรรมเปนอันมากรับ (ซื้อ)
(๑) ภัยคือความอดอยากหรือความหิว
พระสุตตันตปฎกขุททกนิกายคาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนาที่ 50
จําเพาะขาวเปลือกแมดวยทรัพยที่มีอยูในเรือน ใหกระทําฉาง ๑,๒๕๐ ฉาง บรรจุฉางทั้งหมดใหเต็มดวยขาวเปลือก เมื่อฉางไมพอ ก็บรรจุภาชนะ มี ตุม เปนตน ใหเต็มแลว ขุดหลุมฝงขาวเปลือกที่เหลือในแผนดิน ใหขยําขาวเปลือกที่เหลือจากที่ฝงไวกับดวยดิน ฉาบทาฝาทั้งหลาย
โดยสมัยอื่นอีก เศรษฐีนั้น เมื่อภัยคือความอดอยากถึงเขาแลว ก็บริโภคขาวเปลือกตามที่เก็บไว เมื่อขาวเปลือกที่เก็บไวในฉางและในภาชนะมีตุมเปนตน หมดแลว จึงใหเรียกชนผูเปนบริวารมา แลว กลาววา "พอทั้งหลาย ทานทั้งหลายจงไป จงเขาไปสูภูเขาแลวเปนอยู ประสงคจะมาสูสํานักของเรา ก็จงมาในเวลาที่มีภิกษาอันหาไดงาย ถาไมอยากจะมา ก็จงเปนอยูในที่นั้นเถิด" ชนเหลานั้นไดกระทําเหมือนอยางนั้นแลว สวนทาสผูทําการรับใช ๑ คนหนึ่ง ชื่อวา ปุณณะ เหลืออยูในสํานักของเศรษฐีนั้น รวมเปนคน ๕ คนเทานั้น คือ เศรษฐี ภรรยาของเศรษฐี บุตรของเศรษฐี บุตรสะใภของเศรษฐี กับ นายปุณณะนั้น (ที่ยังคงเหลืออยู) .
ชนเหลานั้น แมเมื่อขาวเปลือกที่ฝงไวในหลุมในแผนดินหมดสิ้นแลว พังดินที่ฉาบไวที่ฝาแลวแชน้ํา ยังอัตภาพใหเปนไปดวยขาวเปลือก ที่ไดแลวจากฝานั้น
ครั้งนั้น ภรรยาของเศรษฐีนั้น เมื่อความหิวครอบงําอยู เมื่อดินสิ้นไปอยู พังดินที่เหลืออยูในสวนแหงฝาทั้งหลายลง แลวแชน้ํา ไดขาวเปลือกประมาณกึ่งอาฬหกะ (๒) ตํา แลวถือเอาขาวสารประมาณทะนานหนึ่งใสไวในหมอใบหนึ่ง เพราะความกลัว แตโจรวา "ในเวลาเกิดฉาตกภัย
๑. เวยฺยาวจฺจกโร โดยพยัญชนะแปลวา ผูกระทําซึ่งกรรมแหงบุคคลผูขวนขวาย. ๒. อาฬหกะ หนึ่งคือ ๔ ทะนาน กึ่งอาฬหกะ = ๒ ทะนาน
พระสุตตันตปฎกขุททกนิกายคาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนาที่ 51
พวกโจรมีมาก" ปดแลวฝงตั้งไวในแผนดิน ลําดับนั้น เศรษฐีมาจากที่บํารุงแหงพระราชาแลว กลาวกะนางวา "นางผูเจริญ ฉันหิว อะไรๆ มีไหม" นางนั้น ไมไดกลาวถึงสิ่งที่มีอยูวา "ไมมี" กลาววา "นาย ขาวสารมีอยูทะนานหนึ่ง"
เศรษฐี. ขาวสารทะนานหนึ่งนั้น อยูที่ไหน
ภรรยา. ฉันฝงตั้งไว เพราะกลัวแตโจร
เศรษฐี. ถากระนั้น หลอนจงขุดมันขึ้นมา แลวหุงตมอะไรๆ เถิด
ภรรยา. ถาเราจักตมขาวตม ก็จักเพียงพอกัน ๒ มื้อ ถาเราจัก หุงขาวสวย ก็จักเพียงพอเพียงมื้อเดียวเทานั้น ฉันจักหุงตมอะไรละ นาย
เศรษฐี. ปจจัยอยางอื่นของพวกเราไมมี พวกเราตอบริโภคขาวสวยแลวก็จักตาย หลอนจงหุงขาวสวยนั่นแหละ
ภรรยาแหงเศรษฐีนั้น หุงขาวสวยแลว แบงใหเปน ๕ สวน คดขาวสวยสวนหนึ่งวางไวขางหนาของเศรษฐี
เศรษฐีถวายภัตแกพระปจเจกพุทธเจา
ในขณะนั้น พระปจเจกพุทธเจาองคหนึ่งที่ภูเขาคันธมาทน ออกจากสมาบัติ ทราบวา ในภายในสมาบัติ ความหิวยอมไมเบียดเบียน เพราะผลแหงสมาบัติ แตวา เมื่อพระปจเจกพุทธเจาทั้งหลายออกจากสมาบัติแลว ความหิวมีกําลังยอมเกิดขึ้น เปนราวกะวาเผาพื้นทองอยู เพราะฉะนั้น พระปจเจกพุทธเจาเหลานั้น ตรวจดูฐานะที่จะได (อาหาร) แลว จึงไป
ก็ในวันนั้น ชนทั้งหลาย ถวายทานแกพระปจเจกพุทธเจาเหลานั้น แลว ยอมไดสมบัติ บรรดาสมบัติมีตําแหนงเสนาบดีเปนตนอยางใดอยาง
พระสุตตันตปฎกขุททกนิกายคาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนาที่ 52
หนึ่ง เพราะฉะนั้น พระปจเจกพุทธเจาแมนั้น ตรวจดูอยูดวยทิพยจักษุ ดําริวา ฉาตกภัย เกิดขึ้นแลวในชมพูทวีปทั้งสิ้น และในเรือนเศรษฐี เขาหุงขาวสุก (๑) อันสําเร็จดวยขาวสารทะนานหนึ่งเทานั้นเพื่อคน ๕ คน ชนเหลานั้นจักมีศรัทธา หรืออาจเพื่อจะทําการสงเคราะหแกเราหรือหนอ แล" เห็นความที่ชนเหลานั้นเปนผูมีศรัทธา ทั้งสามารถเพื่อจะทําการ สงเคราะห จึงถือเอาบาตรจีวรไปแสดงตนยืนอยูที่ประตู (เรือน) ขางหนาของเศรษฐี. เศรษฐีนั้น พอเห็นทานเขา ก็มีจิตเลื่อมใส คิดวา "เรา ประสบฉาตกภัยเห็นปานนี้ เพราะความที่เราไมใหทานแมในกาลกอน ก็แลภัตนี้พึงรักษาเราไวสิ้นวันเดียวเทานั้น สวนภัตที่เราถวายแลวแกพระผูเปนเจา จักนําประโยชนเกื้อกูลมาแกเราหลายโกฏิกัปป์" แลวนําถาดแหงภัตนั้นออกมา เขาไปหาพระปจเจกพุทธเจา ไหวดวยเบญจางคประดิษฐ นิมนตใหเขาไปสูเรือน เมื่อทานนั่งบนอาสนะแลว จึงลางเทา (ของทาน) วาง (ถาดภัต) ไวบนตั่งทอง แลวถือเอาถาดภัตนั้น มาตักลงในบาตรของพระปจเจกพุทธเจา เมื่อภัตเหลือกึ่งหนึ่ง พระปจเจกพุทธเจา เอามือปดบาตรเสีย
ทีนั้น เศรษฐีจึงกลาวกะพระปจเจกพุทธเจานั้นวา "ขาแตทาน ผูเจริญ นี้เปนสวนหนึ่งแหงขาวสุกที่เขาหุงไวเพื่อคน ๕ คน ดวยขาวสาร ทะนานหนึ่ง กระผมไมอาจเพื่อจะแบงภัตนี้ใหเปน ๒ สวน ขอทาน จงอยากระทําการสงเคราะหแกกระผมในโลกนี้เลย กระผมใครเพื่อจะถวายไมใหมีสวนเหลือ" แลวไดถวายภัตทั้งหมด ก็แลครั้นถวายแลว ไดตั้งความปรารถนาวา "ขาแตทานผูเจริญ ขาพเจาอยาไดประสบ
๑. แปลหักประโยคกรรมเปนประโยคกัตตุ
พระสุตตันตปฎกขุททกนิกายคาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนาที่ 53
ฉาตกภัยเห็นปานนี้ ในที่ขาพเจาเกิดอีกเลย ตั้งแตบัดนี้ไป ขาพเจาพึงสามารถเพื่อจะใหภัตอันเปนพืชแกชาวชมพูทวีปทั้งสิ้น ไมพึงทําการงาน เลี้ยงชีพดวยมือของตนเอง ในขณะที่ขาพเจาใชใหคนชําระฉาง ๑,๒๕๐ ฉางแลว สนานศีรษะนั่งอยูที่ประตูแหงฉางเหลานั้นแลว แลดูในเบื้องบน เทานั้น ธารแหงขาวสาลีแดง พึงตกลงมายังฉางทั้งหมดใหเต็มเพื่อ ขาพเจา และผูนี้นั่นแหละจงเปนภรรยา ผูนี้นั่นแหละจงเปนบุตร ผูนี้ นั่นแหละจงเปนหญิงสะใภ ผูนี้นั่นแหละจงเปนทาสของขาพเจา ใน สถานที่ขาพเจาเกิดแลวๆ "
ทั้ง ๕ คนปรารถนาใหไดอยูรวมกัน
ฝายภรรยาของเศรษฐีนั้น ก็คิดวา "เมื่อสามีของเราถูกความหิวเบียดเบียนอยู เราก็ไมอาจเพื่อจะบริโภคได" จึงถวายสวนของตนแก พระปจเจกพุทธเจา แลวตั้งความปรารถนาวา "ขาแตทานผูเจริญ จําเดิมแตนี้ ดิฉันไมพึงประสบฉาตกภัยเห็นปานนี้ ในสถานที่ดิฉันเกิดแลว อนึ่ง แมเมื่อดิฉันวางถาดภัตไวขางหนา ใหอยูซึ่งภัตแกชาวชมพูทวีปทั้งสิ้น ดิฉันยังไมลุกขึ้นเพียงใด ที่แหงภัตที่ดิฉันตักแลวๆ จงเปนของบริบูรณ อยูอยางเดิมเพียงนั้น ทานผูนี้แหละจงเปนสามี ผูนี้แหละจงเปนบุตร ผูนี้แหละจงเปนหญิงสะใภ ผูนี้แหละจงเปนทาส (ของดิฉัน) " แมบุตร ของเศรษฐีนั้น ก็ถวายสวนของตนแกพระปจเจกพุทธเจาแลว ตั้งความ ปรารถนาวา "จําเดิมแตนี้ไป ขาพเจาไมพึงประสบฉาตกภัยเห็นปานนี้ อนึ่ง เมื่อขาพเจาถือเอาถุงกหาปณะหนึ่งพัน แมใหกหาปณะ แกชาวชมพูทวีปทั้งสิ้นอยู ถุงนี้จงเต็มอยูอยางเดิม ทานทั้งสองนี้นั่นแหละจงเปนมารดาบิดา หญิงคนนี้จงเปนภรรยา ผูนี้จงเปนทาส ของขาพเจา"
พระสุตตันตปฎกขุททกนิกายคาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนาที่ 54
แมลูกสะใภของเศรษฐีนั้น ถวายสวนของตนแกพระปจเจกพุทธเจาแลว ก็ตั้งความปรารถนาวา "จําเดิมแตนี้ไป ดิฉันไมพึงพบเห็นฉาตกภัยเห็นปานนี้ อนึ่ง เมื่อดิฉันตั้งกระบุงขาวเปลือกกระบุงหนึ่งไวขางหนา แมใหอยูซึ่งภัตอันเปนพืชแกชาวชมพูทวีปทั้งสิ้น ความหมดสิ้นไปอยาปรากฏ ทานทั้งสองนี้นั่นแหละจงเปนแมผัวและพอผัว ผูนี้นั่นแหละจงเปนสามี ผูนี้นั่นแหละจงเปนทาส (ของดิฉัน) " แมทาสของเศรษฐีนั้น ก็ถวาย สวนของตนแกพระปจเจกพุทธเจาแลว ก็ตั้งความปรารถนาวา "จําเดิม แตนี้ไป ขาพเจาไมพึงพบเห็นฉาตกภัยเห็นปานนี้ คนเหลานี้ทั้งหมดจง เปนนาย และเมื่อขาพเจาไถนาอยู รอย ๗ รอย ประมาณเทาเรือโกลน คือ 'ขางนี้ ๓ รอย ขางโนน ๓ รอย ในทามกลาง ๑ รอย จงเปนไป" นายปุณณะนั้น ปรารถนาตําแหนงเสนาบดีก็สามารถจะไดในวันนั้นเทียว แตวา ดวยความรักในนายทั้งหลาย เขาจึงตั้งความปรารถนาวา "คนเหลานี้นั่นแหละจงเปนนายของขาพเจา" ในที่สุดแหงถอยคําของชนทั้งหมด พระปจเจกพุทธเจากลาววา "จงเปนอยางนั้นเถิด" แลวกระทําอนุโมทนาดวยคาถาของพระปจเจกพุทธเจา แลวคิดวา "เรายังจิตของชนทั้งหลายเหลานี้ใหเลื่อมใส ยอมควร" จึงอธิษฐานวา "ชนเหลานี้ จงเห็นเราจนถึงภูเขาคันธมาทน" ดังนี้ แลวก็หลีกไป แมชนเหลานั้น ไดยืนแลดูอยูเทียว พระปจเจกพุทธเจานั้นไปแลว แบงภัตนั้นกับดวยพระปจเจกพุทธเจา ๕๐๐ องค ดวยอานุภาพแหงพระปจเจกพุทธเจานั้น ภัตนั้นเพียงพอแลวแกพระปจเจกพุทธเจาทั้งหมด ชนแมเหลานั้นไดยืน แลดูอยูทีเดียว
พระสุตตันตปฎกขุททกนิกายคาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนาที่ 55
อานิสงสของการถวายทาน
ก็เมื่อเวลาเที่ยงลวงไปแลว ภรรยาเศรษฐีลางหมอขาวแลวปดตั้งไว ฝายเศรษฐีถูกความหิวบีบคั้น นอนแลวหลับไป เศรษฐีนั้นตื่นขึ้นใน เวลาเย็น กลาวกะภรรยาวา "นางผูเจริญ ฉันหิวเหลือเกิน ขาวตัง ๑ กนหมอมีอยูบางไหมหนอ" ภรรยานั้น แมทราบความที่ตนลางหมอตั้ง ไวแลว ก็ไมกลาววา "ไมมี" "คิดวาเราเปดหมอขาวแลวจึงจะบอก" ดังนี้แลว จึงลุกขึ้นไปสูที่ใกลหมอขาวแลวเปดหมอขาว
ในขณะนั้นเอง หมอขาวเต็มดวยภัต มีสีเชนกับดอกมะลิตูม ไดดุนฝาละมีตั้งอยูแลว ภรรยานั้นเห็นภัตนั้นแลว เปนผูมีสรีระอันปติถูกตองแลว กลาวกะเศรษฐีวา "จงลุกขึ้นเถิดนาย ดิฉันลางหมอขาวปดไว แตหมอขาวนั้นนั่นเต็มดวยภัต มีสีเชนกับดวยดอกมะลิตูม ชื่อวา บุญทั้งหลายควรที่จะกระทํา ชื่อวาทานควรจะให ขอทานจงลุกขึ้นเถิด นาย บริโภคเสียเถิด" ภรรยานั้นไดใหภัตแกบิดาและบุตรทั้งสองแลว เมื่อบิดาและบุตรนั้นบริโภคเสร็จแลว นางนั่งบริโภคกับดวยลูกสะใภแลว ไดใหภัตแกนายปุณณะ ที่แหงภัตอันชนเหลานั้นตักแลวๆ ยอมไมสิ้นไป ปรากฏเฉพาะตรงที่ตักดวยทัพพีคราวเดียวเทานั้น
ในวันนั้นนั่นแล ฉางเปนตน ก็กลับเต็มแลวโดยทํานองที่เต็มในกอนนั่นแล นางใหกระทําการโฆษณาในเมืองวา "ภัตเกิดขึ้นแลวในเรือนของเศรษฐี ผูมีความตองการดวยภัตอันเปนพืชจงมารับเอา" มนุษยทั้งหลาย ถือเอาภัตอันเปนพืชจากเรือนของเศรษฐีนั้นแลว แม ชาวชมพูทวีปทั้งสิ้น ก็อาศัยเศรษฐีนั้น ไดชีวิตแลวนั่นแล
๑. เมล็ดขาวอันไฟไหมทั้งหลาย.
พระสุตตันตปฎกขุททกนิกายคาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนาที่ 56
เศรษฐีและคณะไปเกิดที่ภัททิยนคร
เศรษฐีนั้นเคลื่อนจากอัตภาพนั้นแลว บังเกิดในเทวโลก ทองเที่ยว อยูในเทวโลกและมนุษยโลก ในพุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดในสกุลเศรษฐี ในภัททิยนคร แมภรรยาของเขาบังเกิดในสกุลมีโภคะมาก เจริญวัยแลว ก็ไดไปสูเรือนของทานเศรษฐีนั้นนั่นเอง แพะทั้งหลายมีประการดังกลาว แลว อาศัยกรรมในกาลกอนของเศรษฐีนั้นผุดขึ้นแลวที่ภายหลังเรือน แมบุตรก็ไดเปนบุตรของทานเหลานั้นแหละ หญิงสะใภก็ไดเปนหญิงสะใภเหมือนกัน ทาสก็ไดเปนทาสเทียว ตอมาวันหนึ่ง ทานเศรษฐีใครจะทดลองบุญของตน จึงใหคนชําระฉาง ๑,๒๕๐ ฉาง สนานศีรษะแลว นั่งที่ประตู แหงนดูเบื้องบน ฉางแมทั้งหมดเต็มแลวดวยขาวสาลีแดง มีประการดังกลาวแลว เศรษฐีนั้นใครจะทดลองบุญแมของชนที่เหลือ จึงกลาวกะภรรยาและบุตรเปนตนวา "เธอทั้งหลาย จงทดลองบุญแมของพวกเธอเถิด" ลําดับนั้น ภรรยาของเศรษฐีนั้น ประดับแลวดวยเครื่องอลังการทั้งปวง เมื่อมหาชนกําลังแลดูอยูนั้นแล ใชใหคนตวงขาวสารทั้งหลาย ใหหุงขาวสวยดวยขาวสารเหลานั้น นั่งบนอาสนะอันเขาปูลาดแลวที่ซุมประตู ถือทัพพีทองคํา แลวใหปาวรองวา "ผูมีความตองการดวยภัตจงมา แลวไดใหจนเดิมภาชนะที่ชนผูมาแลวๆ รับเอา เมื่อนางนั้นใหอยูแมจนหมดวัน ก็ปรากฏเฉพาะตรงที่ตักดวยทัพพีเทานั้น ก็ปทุมลักษณะเกิดเต็มฝามือขางซาย จันทรลักษณะเกิดเต็มฝามือขางขวา เพราะนางจับหมอขาวดวยมือซาย จับทัพพีดวยมือขวา แลวถวายภัตจนเต็มบาตรของภิกษุสงฆ แมของพระพุทธเจาในปางกอนทั้งหลาย ดวยประการดังนี้แล ก็เพราะเหตุที่นางถืออาธมกรกกรองน้ําถวายแกภิกษุสงฆ์
พระสุตตันตปฎกขุททกนิกายคาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนาที่ 57
เที่ยวไปๆ มาๆ ; ฉะนั้นจันทรลักษณะจึงเกิดเต็มฝาเทาเบื้องขวาของนาง, ปทุมลักษณะจึงเกิดจนเต็มฝาเทาเบื้องซายของนางนั้น. เพราะเหตุนี้ ญาติทั้งหลายจึงขนานนามของนางวา "จันทปทุมา" (๑)
แมบุตรของเศรษฐีนั้น สนานศีรษะแลว ถือเอาถุงกหาปณะพันหนึ่ง กลาววา "ผูมีความตองการดวยกหาปณะทั้งหลายจงมา" แลวไดใหจน เต็มภาชนะที่ชนผูมาแลวๆ รับเอา. กหาปณะพันหนึ่งก็คงมีอยูในถุงนั่น เอง. แมลูกสะใภของเศรษฐีนั้น ประดับดวยเครื่องอลังการทั้งปวง ถือ เอากระบุงขาวเปลือกแลว นั่งที่กลางแจง กลาววา "ผูมีความตองการ ดวยภัตอันเปนพืช จงมา" แลวไดใหจนเต็มภาชนะที่ชนผูมาแลวๆ รับเอา. กระบุง (ขาวเปลือก) ก็คงเต็มอยูตามเดิมนั่นเอง. แมทาสของ เศรษฐีนั้น ประดับแลวดวยเครื่องอลังการทั้งปวง เทียมโคทั้งหลายที่ แอกทองคําดวยเชือกทองคําถือเอาดามปฏักทองคํา ใหของหอมอันบุคคล พึงเจิมดวยนิ้วทั้ง ๕ แกโดยทั้งหลาย สวมปลอกทองคําที่เขาทั้งหลาย ไปสู นาแลวขับไป. รอย ๗ รอยคือ "ขางนี้ ๓ รอยขางโนน ๓ รอย ใน ทามกลาง ๑ รอย" ไดแตกแยกกันไปแลว. ชาวชมพูทวีปถือเอาสิ่งของ บรรดาภัต พืช เงินทองเปนตน ตามที่ตนชอบใจจากเรือนของเศรษฐี เทานั้น
เศรษฐีผูมีอานุภาพมากอยางนั้น สดับวา "ไดยินวา พระศาสดา เสด็จมาแลว" จึงคิดวา "เราจักกระทําการรับเสด็จพระศาสดา" ออก ไปอยู พบพวกเดียรถียในระหวางทาง, แมถูกพวกเดียรถียเหลานั้นหาม
(๑) หมายความวา มีลักษณะเหมือนพระจันทรและดอกปทุม
พระสุตตันตปฎกขุททกนิกายคาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนาที่ 58
อยูวา "คฤหบดีทานเปนผูกิริยวาทะ๑ จะไปสูสํานักของพระสมณโคดม ผูเปนอกิริยวาทะ๓ เพราะเหตุไร? ก็มิไดเชื่อถอยคําของพวกเดียรถียเหลานั้น เทียวไปแลว ถวายบังคมพระศาสดาแลว นั่ง ณ สวนสุดขางหนึ่ง.
โทษของคนอื่นเห็นไดงาย
ลําดับนั้น พระศาสดาตรัสอนุบุพพีกถาแกเศรษฐีนั้น. ในเวลาจบ เทศนา เศรษฐีนั้นบรรลุโสดาปตติผล แลวกราบทูลความที่ตนถูกพวก เดียรถียกลาวโทษแลวหามไวแดพระศาสดา. ครั้งนั้น พระศาสดาตรัสกะ ทานเศรษฐีนั้นวา "คฤหบดีขึ้นชื่อวาสัตวเหลานั้นยอมไมเห็นโทษของตน แมมาก, ยอมโปรยโทษของชนเหลาอื่นแมไมมีอยูกระทําใหมี ราวกะบุคคล โปรยแกลบขึ้นในที่นั้นๆ ฉะนั้น" ดังนี้แลว จึงตรัสพระคาถานี้วา:-
๑๐. สุทสฺส วชฺชมฺเส อตฺตโน ปน ทุทฺทส ปเรส หิ โส วชฺชานิ โอปุนาติ ยถาภุส อตฺตโน ปน ฉาเหติ กลึว กิตวา สโ
"โทษของบุคคลเหลาอื่นเห็นไดงาย ฝายโทษ ของตนเห็นไดยาก; เพราะวา บุคคลนั้น ยอมโปรย โทษของบุคคลเหลาอื่น เหมือนบุคคลโปรยแกลบ แตวายอมปกปด (โทษ) ของตน เหมือนพรานนก ปกปดอัตภาพดวยเครื่องปกปดฉะนั้น"
แกอรรถ
บรรดาบทเหลานั้น บทวา สุทสฺส ความวา โทษคือความพลั้ง
๑. ผูกลาววากรรมอันบุคคลทําแลว ชื่อวาเปนอันทํา. ๒. ผูกลาววา กรรมอันบุคคลทําแลว วา ไมเปนอันทํา
พระสุตตันตปฎกขุททกนิกายคาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนาที่ 59
พลาดของบุคคลอื่น แมมีประมาณนอย อันบุคคลเห็นไดงาย คืออาจเพื่อ จะเห็นไดโดยงายทีเดียว, สวนโทษของตน แมใหญยิ่งอันบุคคลเห็นไดยาก
บทวา ปเรส หิ ความวา เพราะเหตุนั้นนั่นแล บุคคลนั้นยอม โปรยโทษทั้งหลายของชนเหลาอื่นในทามกลางสงฆเปนตน เหมือนบุคคล ยืนบนที่สูงแลวโปรยแกลบลงอยูฉะนั้น
อัตภาพชื่อวา กลิ ดวยสามารถที่ประพฤติผิดในนกทั้งหลาย ในคํา วา กลึว กิตวา สโ (๑) นี้
เครื่องปกปด มีกิ่งไมที่พอหักไดเปนตน ชื่อวา กิตวา (ในคําวา "กิตวา" นี้) นายพรานชื่อวา สโ (ในคําวา "สโ" นี้) อธิบายวา
นายพรานนกประสงคจะจับนกฆา ยอมปกปดอัตภาพดวยเครื่องปกปด ฉันใด บุคคลยอมปกปดโทษของตนฉันนั้น
ในกาลจบเทศนา ชนเปนอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปตติผลเปนตน ดังนี้แล
เรื่องเมณฑกเศรษฐี จบ
(๑) แกอรรถตอนนี้ บางอาจารยเห็นวาใชวินิจฉัย