อรรถกถาพาหิยสูตร
[เล่มที่ 44] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 129
อรรถกถาพาหิยสูตร
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 129
อรรถกถาพาหิยสูตร
พาหิยสูตรที่ ๑๐ มีวินิจฉัยดังตอไปนี้ :-
บทวา พาหิโย เปนชื่อของทาน. บทวา ทารุจีริโย ไดแก ผาคากรองที่ทําดวยไม. บทวา สุปฺปารเก ไดแก อยูที่ทาชื่ออยางนั้น. ก็พาหิยะนี้คือใคร และอยางไรจึงเปนผูทรงผาคากรองทําดวยไม อยางไร จึงอยูอาศัยที่ทาสุปปารกะ
ในขอนั้น มีอนุปุพพิกถาดังตอไปนี้
ไดยินวา ในกาลแหงพระสัมมาสัมพุทธเจาพระนามวา ปทุมุตตะ ในที่สุดแสนกัปแตภัทรกัปนี้ กุลบุตรคนหนึ่งกําลังฟงพระธรรมเทศนา ของพระทศพลที่หังสวดีนคร เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุรูปหนึ่งไวในตําแหนงเอตทัคคะแหงภิกษุผูเปนขิปปาภิญญา คิดวา ไฉนหนอ ในอนาคต เราจักบวชในพระศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจาเห็นปานนี้ แลวพึงเปนผูอันพระศาสดาสถาปนาไวในตําแหนงเอตทัคคะเชนนี้ เหมือนภิกษุรูปนี้ ไดปรารถนาตําแหนงนั้น จึงบําเพ็ญบุญญาธิการอันสมควรแกตําแหนงนั้น บําเพ็ญบุญอยูตลอดชีวิต มีสวรรคเปนที่ไปในเบื้องหนา ทองเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย บวชในพระศาสนาของพระกัสสปทศพล มีศีลบริบูรณบําเพ็ญสมณธรรม ถึงความสิ้นชีวิตแลวบังเกิดในเทวโลก. ทานอยูในเทวโลกสิ้นพุทธันดรหนึ่ง ในพุทธุปบาทกาลนี้ ถือปฏิสนธิในเรือนมีสกุลในพาหิยรัฐ ชนทั้งหลายจําเขาไดวา พาหิยะ เพราะเกิดในพาหิยรัฐ. เขาเจริญวัยแลวอยูครองเรือน เอาเรือบรรทุกสินคามากมาย แลนไปยังสมุทรกลับไปกลับมา สําเร็จความประสงค ๗ ครั้งจึงกลับนครของตน ครั้นครั้งที่ ๘ คิดจะไปสุวรรณภูมิ จึงขนสินคาแลนเรือไป เรือ
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 130
แลนเขามหาสมุทรยังไมทันถึงถิ่นที่ปรารถนา ก็อับปางในทามกลางสมุทร. มหาชนพากันเปนภักษาของปลาและเตา สวนทานพาหิยะเกาะกระดานแผนหนึ่ง กําลังขามอยูถูกกําลังคลื่นซัดไปทีละนอยๆ ในวันที่ ๗ ก็ถึงฝงใกลทาสุปปารกะ. ทานนอนที่ฝงสมุทร โดยรูปกายเหมือนตอนเกิด เพราะผาพลัดตกไปในสมุทร บรรเทาความกระวนกระวายไดแตเพียงลมหายใจ ลุกขึ้นเขาไประหวางพุมไมดวยความละอาย ไมเห็นอะไรๆ อยางอื่นที่จะเปนเครื่องปดความละอาย จึงหักกานไมรัก เอาเปลือกพัน (กาย) ทําเปนเครื่องนุงหมปกปดไว. แตอาจารยบางพวกกลาววา เจาะแผนกระดานเอาเปลือกไมรอยทําเปนเครื่องนุงหมปกปดไว. ทานปรากฏวา ทารุจีริยะ. เพราะทรงผาคากรองทําดวยไม และวา พาหิยะ ตามชื่อเดิมแมโดยประการทั้งปวง ดวยประการฉะนี้.
ทานถือกระเบื้องอันหนึ่ง เที่ยวขอกอนขาวที่ทาสุปปารกะ โดยทํานองดังกลาวแลว พวกมนุษยเห็นเขาจึงคิดวา ถาชื่อวาพระอรหันต ยังมีในโลกไซร ทานพึงเปนอยางนี้ พระผูเปนเจาองคนี้ จะถือเอาผาที่เขาใหหรือไมถือเอาเพราะความมักนอย ดังนี้ เมื่อจะทดลอง จึงนอมนําผาจากที่ตางๆ เขาไป. เขาคิดวา ถาเราจักไมมาโดยทํานองนี้ไซร เมื่อเปนเชนนี้ พวกเหลานี้พึงไมเลื่อมใสเรา ไฉนหนอ เราพึงหามผาเหลานี้เสีย อยูโดยทํานองนี้แหละ เมื่อเปนเชนนี้ ลาภสักการะก็จักเกิดขึ้นแกเรา. เขาคิดอยางนี้แลว จึงตั้งอยูในฐานะเปนผูหลอกลวงไมรับผา. พวกมนุษยคิดวา นาอัศจรรย พระผูเปนเจานี้มักนอยแท จึงมีจิตเลื่อมใส โดยประมาณยิ่ง กระทําสักการะและสัมมานะเปนอันมาก. ฝายทานรับประทานอาหารแลว ไดไปยังเทวสถานแหงหนึ่งในที่ไมไกล. มหาชนก
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 131
ไปกับทานเหมือนกัน ไดซอมแซมเทวสถานนั้นให. ทานคิดวา คนเหลานี้ เลื่อมใสในฐานะเพียงที่เราทรงผาคากรอง จึงพากันทําสักการะและสัมมานะอยางนี้ เราควรจะมีความประพฤติอยางสูงสําหรับคนเหลานี้ จึงเปนผูมีบริขารเบาๆ เปนผูมักนอยอยู. ฝายทานเมื่อถูกคนเหลานั้นยกยองวา เปนพระอรหันต ก็สําคัญตนวาเปนพระอรหันต อนึ่ง การทําสักการะ และทําความเคารพ ก็เจริญยิ่งๆ ขึ้น และทานก็ไดมีปจจัยมากมาย. เพราะเหตุนั้น ทานจึงกลาวคํามีอาทิวา " ก็สมัยนั้นแล ทานพาหิยะ ทารุจีริยะ อาศัยอยูที่ทาสุปปารกะใกลฝงสมุทร เปนผูอันมหาชนสักการะ เคารพ.
บรรดาบทเหลานั้นบทวา สกฺกโต ความวา เปนผูอันมหาชน สักการะโดยการบํารุงดวยความเคารพ คือ เอื้อเฟอ. บทวา ครุกโต ความวา ผูอันมหาชนกระทําใหหนัก ดวยการกระทําใหหนักดุจฉัตรหิน โดยความประสงควา เปนผูประกอบดวยคุณวิเศษ. บทวา มานิโต ความวา ผูอันมหาชนนับถือดวยการยกยองดวยน้ําใจ. บทวา ปูชิโต ความวา ผูอันมหาชนบูชาแลวดวยการบูชา ดวยการสักการะ มีดอกไมและของหอมเปนตน . บทวา อปจิโต ไดแก ผูอันมหาชนยําเกรงแลวดวยการใหหนทาง และการนําอาสนะมาเปนตน ดวยจิตเลื่อมใสอยางยิ่ง. บทวา สาภี จีวร ฯ เป ฯ ปริกฺขาราน ความวา เปนผูไดดวยการไดปจจัย ๔ มี จีวรเปนตน อันแสนจะประณีตที่มหาชนนําเขาไปยิ่งๆ . อีกนัยหนึ่ง บทวา สกฺกโต ไดแก ไดรับสักการะ. บทวา ครุกโต ไดแก ไดรับความเคารพ. บทวา มานิโต ไดแก อันมหาชนนับถือมาก และมีใจรักมาก. บทวา ปูชิโต ไดแก อันมหาชนบูชาแลวดวยการบูชาอยางยิ่ง
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 132
ดวยปจจัย ๔. บทวาอปจิโต ไดแก ไดรับความออนนอมถอมตน. จริงอยู ชนทั้งหลายยอมสักการะดวยปจจัย ๔ ตกแตงอยางดี ทําใหแสนจะประณีตมอบใหผูใด ผูนั้นชื่อวาอันเขาสักการะ. คนทั้งหลายทําความเคารพใหปรากฏแลวมอบใหในผูใด ผูนั้นชื่อวา อันเขากระทําเคารพ, ชนทั้งหลาย ยอมมีใจประพฤติรักใครและนับถือมากซึ่งผูใด ผูนั้น ชื่อวา อันเขานับถือ, คนทั้งหลายทําสิ่งนั้นทั้งหมดดวยการบูชาแกผูใด ผูนั้น ชื่อวาอันเขาบูชา, ชนทั้งหลาย ยอมกระทําการนบนอบอยางยิ่ง ดวยการอภิวาท การตอนรับและอัญชลีกรรมเปนตนแกผูใด ผูนั้นชื่อวา อันเขายําเกรง. ก็คนเหลานั้น ไดกระทําสิ่งนั้นทุกอยางแกพาหิยะ. ดวยเหตุนั้น ทานจึงกลาวคํามีอาทิวา ทานพาหิยทารุจีริยะ อันเขาสักการะแลว อาศัยอยูที่ทาสุปปารกะ. ก็ในที่นี้ทานพาหิยทารุจีริยะ แมเมื่อไมรับจีวร เขาก็กลาววา เปนผูไดแมจีวรเหมือนกัน ดวยการนอมเขาไปวา มาเถิดขอรับ จงรับผานี้.
บทวา รโหคตฺสฺส ไดแก อยูในที่ลับ. บทวา ปฏิสลฺลีนสฺส ไดแก เปนผูอยูโดดเดี่ยว. เมื่อถูกพวกมนุษยเปนอันมากกลาววา ทานเปนพระอรหันต ทานก็เกิดความปริวิตกแหงใจ คือเกิดความดําริผิดแหงจิต โดยอาการที่กลาวอยูในบัดนี้. เกิดความปริวิตกอยางไร? เกิดความ ปริวิตกขึ้นวา คนเหลาใดเหลาหนึ่ง จะเปนพระอรหันต หรือทานผูบรรลุอรหัตตมรรคในโลก เราเปนคนหนึ่งในจํานวนพระอรหันต หรือทานผูบรรลุอรหัตตมรรคนั้น ความขอนั้นมีอธิบายดังนี้ ชนเหลาใด ชื่อวาเปนพระอรหันต เพราะกําจัดขาศึกคือกิเลสในสัตวโลกนี้ และเพราะเปนผูควรแกบูชาและสักการะเปนตน หรือคนเหลาใด ชื่อวาบรรลุ
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 133
พระอรหัตตมรรค เพราะฆาขาศึกคือกิเลสเหลานั้น บรรดาคนเหลานั้น เปนคนหนึ่ง.
บทวา โปราณสาโลหิตาไดแก เทวดาผูบําเพ็ญสมณธรรมรวมกัน เสมือนพวกพองรวมสายโลหิตกันในภพกอน. แตอาจารยบางพวกกลาววา บทวา ปุราณสาโลหิตา ไดแกเทวดาองคหนึ่งผูเปนมารดารวมสายโลหิต ในกาลกอน คือในภพอื่น. ในอรรถกถาทานปฏิเสธคํานั้น ไดถือเอาความหมายแรกเทานั้น.
ไดยินวา เมื่อกอน ศาสนาของพระกัสสปทศพลจะเสื่อม ภิกษุ ๗ รูป เห็นประการอันแปลกของสหธรรมิกมีสามเณรเปนตน เกิดความสลดใจ คิดวาศาสนายังไมอันตรธานตราบใด เราจะทําที่พึ่งของตนตราบนั้น จึงเจดียทองแลวเขาปา เห็นภูเขาลูกหนึ่งจึงกลาววา ผูมีความอาลัยในชีวิตจงกลับไป ผูไมมีความอาลัยจงขึ้นภูเขาลูกนี้ แลวพากันผูกบันไดขึ้นภูเขานั้นทั้งหมด แลวผลักบันไดลง การทําสมณธรรม. บรรดาภิกษุ เหลานั้น พระสังฆเถระบรรลุพระอรหัตโดยลวงไปราตรีเดียวเทานั้น. ทาน นําบิณฑบาตมาจากอุตตรกุรุทวีปแลวกลาวกะภิกษุเหลานั้นวา ทานผูมีอายุทั้งหลาย โปรดฉันบิณฑบาตจากที่นี้เถิด. ภิกษุเหลานั้นกลาววา ทานผูเจริญ ทานไดทําอยางนี้ดวยอานุภาพของตน ถาแมพวกกระผมจักยังคุณวิเศษใหเกิดขึ้นไดเชนทานไซร จักนํามาฉันเสียเองทีเดียว จึงไมปรารถนาจะฉัน. ตั้งแตวันที่สองไป พระเถระที่ ๒ ก็บรรลุอนาคามิผล. แมทาน ก็ถือบิณฑบาตเหมือนอยางนั้นไปยังที่นั้น แลวนิมนตภิกษุนอกนี้ (ฉัน) . ฝายภิกษุเหลานั้นก็ไดปฏิเสธเหมือนอยางนั้นนั่นแหละ. บรรดาภิกษุเหลานั้น ภิกษุผูบรรลุพระอรหัตก็ปรินิพพานไป. พระอนาคามีก็ไป
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 134
บังเกิดในชั้นสุทธาวาส. สวนพระ ๕ รูปนอกนี้ แมเพียรพยายามอยูก็ไมอาจทําคุณวิเศษใหเกิดขึ้นได. ภิกษุเหลานั้นเมื่อไมสามารถ (จะทําอะไร ได) ก็ซูบผอมตายลงในที่นั้นเอง แลวบังเกิดในเทวโลก ทองเที่ยวไปในเทวโลกนั่นแหละสิ้นพุทธันดรหนึ่ง ในพุทธุปบาทกาลนี้ ไดจุติจากเทวโลกบังเกิดในเรือนมีสกุลนั้นๆ . ก็บรรดาคนเหลานั้น คนหนึ่งไดเปพระราชาพระนามวา ปุกกุสะ, คนหนึ่งเปน กุมารกัสสปะ, คนหนึ่งเปน ทัพพมัลลบุตร, คนหนึ่งเปน สภิยปริพาชก, คนหนึ่งเปน พาหิยะ ทารุจีริยะ. บรรดาคนเหลานั้น พระอนาคามีผูที่บังเกิดในพรหมโลก ซึ่งทานหมายเอากลาวคํานี้ไววา ปุราณสาโลหิตาเทวตา เทวดาผูรวมสาโลหิต ดังนี้. จริงอยู แมเทวบุตรก็เรียกวา เทวดา เพราะอธิบายวา เทวดาก็คือเทพ เหมือนเทพธิดา ดุจในประโยคมีอาทิวา อถ โข อฺ ตรา เทวตา ครั้งนั้นแล เทวดาองคหนึ่ง. แตในที่นี้ พรหม ทานประสงคเอาวา เทวดา.
ก็เมื่อพรหมนั้นตรวจดูพรหมสมบัติแลวนึกถึงสถานที่ตนมา ในลําดับที่เกิดในพรหมโลกนั้นทีเดียว การที่พวกชนทั้ง ๗ คนขึ้นภูเขากระทําสมณธรรมก็ดี ความที่ตนบรรลุอนาคามิผล แลวบังเกิดในพรหมโลกก็ดี ปรากฏแลว. พรหมนั้นรําพึงวา ฝายชนทั้ง ๕ บังเกิดที่ไหนหนอ รูวา ชนเหลานั้นบังเกิดในเทวโลกชั้นกามาวจร ครั้นตอมา ตามเวลาอันสมควร ไดตรวจดูประวัติของชนเหลานั้นวาการทําอะไรกันหนอ. แตในเวลานี้ เมื่อรําพึงวา พวกเหลานั้นอยูที่ไหนหนอ จึงไดเห็นพาหิยะอาศัยทาสุปปารกะ นุงผาคากรองทําดวยเปลือกไม เลี้ยงชีพดวยการหลอกลวง คิดวา เมื่อกอน ผูนี้พรอมกับเราผูกบันไดขึ้นภูเขากระทําสมณธรรม ไม่
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 135
อาลัยในชีวิต เพราะประพฤติกวดขันอยางยิ่ง แมพระอรหันตจะนําบิณฑบาตมาใหก็ไมฉัน บัดนี้ประสงคแตจะใหเขายกยอง ไมเปนพระอรหันตเลย ก็ยังเที่ยวปฏิญาณตนวาเปนพระอรหันต มีความปรารถนาลาภ สักการะและชื่อเสียง ทั้งไมรูวาพระทศพลอุบัติขึ้นแลว เอาเถอะ เราจักทําเขาใหสลดใจแลวใหรูวา พระพุทธเจาอุบัติขึ้นแลว ทันใดนั้นเอง จึงลงจากพรหมโลก ปรากฏตรงหนาทานทารุจีริยะ ที่ทาสุปปารกะ ตอนกลางคืน. ทานพาหิยะเห็นแสงสวางโชติชวงในที่อยูของตน จึงคิดวา นี้เหตุอะไรหนอ แลวไดออกไปขางนอกตรวจดูอยู เห็นมหาพรหมอยูในอากาศ จึงประคองอัญชลีถามวา ทานเปนใคร? ลําดับนั้น พรหมได กลาวแกทานวา เราเปนสหายเกาของทาน คราวนั้นเราบรรลุอนาคามิผล บังเกิดในพรหมโลก แตทานไมสามารถจะทําคุณวิเศษอะไรใหบังเกิดได คราวนั้นทานทํากาลกิริยาเยี่ยงปุถุชนทองเที่ยวไป บัดนี้ ทรงเพศเยี่ยงเดียรถีย ไมเปนพระอรหันตเลย ยังเที่ยวถือลัทธินี้วา เราเปนพระอรหันต (เรา) รูดังนี้จึงไดมา ดูกอนพาหิยะ ทานไมไดเปนพระอรหันตเลย จง สละทิฏฐิอันลามกเชนนั้นเสียเถิด ทานอยาไดเปนไปเพื่อฉิบหาย เพื่อทุกข ตลอดกาลนานเลย พระสัมมาสัมพุทธเจาอุบัติขึ้นแลวในโลก ความจริง พระผูมีพระภาคเจาพระองคนั้นเปนพระอรหันต จงเขาไปเฝาพระองคเถิด. ดวยเหตุนั้น ทานจึงกลาวคํามีอาทิวา ครั้งนั้นแล เทวดาผูเปนสาโลหิตของพาหิยะ ทารุจีริยะ ดังนี้.
บรรดาบทเหลานั้น บทวา อนุกมฺปกา ไดแกผูมีปกติอนุเคราะห. คือ ผูยิ่งดวยกรุณา. บทวาอตฺถกามา ไดแก ผูปรารถนาประโยชน คือ ผูยิ่งดวยเมตตา. ก็ในที่นี้ดวยบทแรก ทานแสดงถึงความที่เทวดานั้น
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 136
ประสงคจะบําบัดทุกขของพาหิยะ, ดวยบทหลัง แสดงถึงการนําประโยชนเกื้อกูลเขาไป. บทวา เจตสา ไดแกดวยจิตของตน. ก็ในที่นี้ พึงทราบวา ทานถือเอาเจโตปริยญาณ โดยยกจิตขึ้นเปนประธาน. บทวา เจโตปริวิตกฺก ไดแก ความเปนไปแหงจิตของทาน. บทวา อฺาย แปลวา รูแลว. บทวา เตนุปสงฺกมิ ความวา บุรุษผูมีกําลังเหยียดแขนที่คูเขา หรือคูแขนที่เหยียดออก ชื่อแมฉันใด พรหมอันตรธานจากพรหมโลกเขาไปปรากฏตรงหนาพาหิยะ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน. บทวา เอตทโวจ ความวา พรหมไดกลาวคํานี้ คือคําที่จะกลาวในบัดนี้ มีอาทิวา พาหิยะ ทานมิใชพระอรหันตแล ดังนี้ ก็ทานพาหิยะผูมิจฉาปริวิตกที่เปนไป มีอาทิวา ผูใดผูหนึ่งจะเปนพระอรหันตหรือ ดังนี้ เหมือนจับโจรพรอมทั้งของกลาง. ดวยบทวา เนว โข ตฺว พาหิยะ อรหา นี้ พรหมปฏิเสธวาทานพาหิยะมิใชพระอเสขะในกาลนั้น. ดวยบทวา นาป อรหตฺตมคฺค วา สมาปนฺโน นี้ แสดงวาทานพาหิยะยังเปนเสขบุคคล. แมดวยบททั้งสอง นั้น แสดงวาทานพาหิยะไมใชพระอริยบุคคลเลย. ก็ดวยคําวา สาป เต ปฏิปทา นตฺถิ ยาย พาหิย ตฺว อรหา วา อสฺสสิ อรหตฺตมคฺค วา สมาปนฺโน นี้ พรหมปฏิเสธวา ทานพาหิยะเปนเพียงกัลยาณปุถุชน. บรรดาบทเหลานั้น บทวา ปฏิปทา ไดแก วิสุทธิ ๖ (ขางตน) มีสีลวิสุทธิเปนตน. ที่ชื่อวาปฏิปทา เพราะเปนเครื่องดําเนินไปในอริยมรรค. บทวาอสฺสสิ แปลวา พึงเปน
ถามวา ก็ความสําคัญตนวาเปนพระอรหันตนี้ เกิดขึ้นแกทาน เพราะ อาศัยอะไร? ตอบวา อาจารยบางพวกกลาววา ความสําคัญตนวาเปนพระอรหันตเกิดขึ้นแกทาน เพราะทานกําจัดกิเลสไดดวยตทังคปหาน เหตุได
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 137
สรางบุญญาธิการไวตลอดกาลนาน โดยความที่ทานเปนผูมักนอย สันโดษ และเปนผูขัดเกลา. แตอาจารยอีกพวกหนึ่งกลาววา ทานพาหิยะไดฌาน ๔ มีปฐมฌานเปนตน เพราะฉะนั้น ความสําคัญตนวาเปนพระอรหันต จึงเกิดขึ้นแกทาน เพราะกิเลสไมฟุงขึ้นดวยวิกขัมภนปหาน. ทั้งสองอยางนั้น เปนเพียงมติของเกจิอาจารยเทานั้น เพราะมาในอรรถกถาวา ทานประสงคแตความยกยอง และวา ทานไมปรารถนาลาภสักการะและการสรรเสริญ. เพราะฉะนั้น พึงทราบความในขอนี้ โดยนัยดังกลาวแลวนั่นแล.
ลําดับนั้น ทานพาหิยะแลดูมหาพรหมผูยืนกลาวอยูในอากาศ จึงคิดวา โอ ขอที่เราเขาใจวาเปนพระอรหันต เปนกรรมหนักแท และพรหมนี้กลาววาแมปฏิปทาเปนเครื่องบรรลุพระอรหัตก็ไมมีแกทาน ใครๆ ผูเปนพระอรหันตในโลกมีอยูหรือหนอ. ลําดับนั้น จึงถามมหาพรหมนั้น ดวยเหตุนั้น ทานจึงกลาววา อถ เก จรหิ เทวเต โลเก อรหนฺโต วา อรหตฺตมคฺค วา สมาปนฺนา.
บรรดาบทเหลานั้น ศัพทวา อถ เปนนิบาตใชในอรรถเริ่มคําถาม. บทวา เก จรหิ แกเปน เก เอตรหิ. บทวา โลเก ไดแกในโอกาสโลก. ก็ในขอนี้ มีอธิบายดังตอไปนี้ ครั้งนั้น ในพื้นชมพูทวีปทั้งสิ้น อันเปนโลกเปนที่รองรับ บัดนี้ พระอรหันตหรือผูบรรลุอรหัตตมรรค มีอยูที่ไหนอันเปนที่ที่พวกเราเขาไปหาทานเหลานั้น ตั้งอยูในโอวาทของทานแลว จักพนจากวัฏทุกข.
บทวา อุตฺตเรสุ ทานกลาวหมายเอาดานทิศตะวันออกเฉียงเหนือ จากทาสุปปารกะ. บทวา อรห ไดแก ชื่อวาเปนพระอรหันต เพราะ เปนผูไกล (จากกิเลส) จริงอยู พระอรหันตนั้นชื่อวาเปนผูไกล คือ
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 138
ตั้งอยูในที่ไกลแสนไกลจากสรรพกิเลส. (และ) ชื่อวาพระอรหันต เพราะ กําจัดกิเลสพรอมทั้งวาสนาดวยมรรค หรือฆากิเลสดุจขาศึกเสียได. จริงอยู ขาศึกคือกิเลสทั้งหลาย อันพระผูมีพระภาคเจาฆา คือถอนแลวดวยอรหัตตมรรคโดยสิ้นเชิง. อนึ่ง ชื่อวาเปนพระอรหันต เพราะกําจัดกําคือกิเลสเสียได. จริงอยู พระผูมีพระภาคเจานั้นทรงยืนหยัดอยูบนปฐพีคือศีล ดวยพระยุคลบาทคือวิริยะ ทรงใชพระหัตถคือศรัทธา จับขวานคือญาณอันเปนเหตุกระทํากรรมใหสิ้น แลวทรงประหารคือกําจัดกําทั้งหมด แหงสังสารจักรอันมีดุมสําเร็จดวยอวิชชา ภพและตัณหา มีบุญญาภิสังขารเปนตนเปนกํา มีชราและมรณะเปนกง สอดใสเพลาอันสําเร็จดวยอาสวะ สมุทัยประกอบเขาในรถคือภพ ๓ เปนไปตลอดกาลไมมีเบื้องตน. อีกอยางหนึ่ง ชื่อวาพระอรหันต เพราะเปนผูควร. ความจริง พระผูมีพระภาคเจายอมควรแกปจจัยมีจีวรเปนตนอันยิ่ง และบูชาพิเศษ เพราะ พระองคเปนพระทักขิไณยบุคคลอันเลิศในโลกพรอมทั้งเทวโลก. อนึ่ง ชื่อวาพระอรหันต เพราะไมมีความลับ (ในการทําบาป) จริงอยู พระตถาคตทานเรียกวาพระอรหันต เพราะไมมีความลับในการทําบาป โดยกิเลสลามกไมมี เพราะพระองคถอนกิเลสมีราคะเปนตนไดโดยประการทั้งปวง.
ชื่อวา สัมมาสัมพุทธะ เพราะตรัสรูธรรมทั้งปวงโดยชอบและดวยพระองคเอง. จริงอยูพระผูมีพระภาคเจาทรงตรัสรูยิ่ง ซึ่งธรรมที่ควรรูยิ่ง ซึ่งธรรมที่ควรกําหนดรู โดยเปนธรรมที่ควรกําหนดรู ซึ่งธรรมที่ควรละโดยเปนธรรมที่ควรละ ซึ่งธรรมที่ควรทําใหแจง โดยเปนธรรมที่
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 139
ควรทําใหแจง ซึ่งธรรมที่ควรเจริญโดยเปนธรรมที่ควรเจริญ. มีจริง ดังที่ตรัสไววา
อภิฺเยฺย อภิฺาต ภาเวตพฺพฺจ ภาวิต ปหาตพฺพ ปหีนมฺเม ตสฺมา พุทฺโธสฺมิ พฺราหฺมณ.
ธรรมที่ควรรูยิ่ง เรารูยิ่งแลว ธรรมที่ควรเจริญ เราเจริญแลว ธรรมที่ควรละ เราละไดแลว เพราะฉะนั้นแหละ พราหมณ เราจึงเปนพระพุทธเจา.
อีกอยางหนึ่ง พึงแนะนําอรรถนี้โดยธรรมหมวดสามและสองทั้งปวง เปนตน โดยนัยมีอาทิวา ธรรมชื่อวาเปนกุศลเพราะไมมีโทษ มีสุขเปนผล ธรรมชื่อวาเปนอกุศลเพราะมีโทษ มีทุกขเปนผล. ในขอนี้มีความสังเขปดังนี้วา ชื่อวาสัมมาสัมพุทธะ เพราะตรัสรูยิ่งซึ่งธรรมทั้งปวง โดยอาการทั้งปวง ดวยสยัมภูญาณอันไมวิปริตดวยประการดังนี้ . สวนความพิสดาร พึงทราบโดยนัยที่มาในวิสุทธิมรรคนั้นแล.
บทวา อรหตฺตตาย ไดแก เพื่อไดอรหัตตผล. บทวา ธมฺม เทเสติ ความวา ยอมอาง คือแสดงธรรมคือปฏิปทามีศีลเปนตน อันควรแกคุณพิเศษมีไพเราะในเบื้องตนเปนตน หรือธรรมคือสมถะและวิปสสนาอันเหมาะแกอัธยาศัยของเวไนยสัตวนั่นแล. บทวา ส เวชิโต ความวา ใหถึงความสลดใจวา ผูเจริญ นาติเตียนจริง ความเปนปุถุชน อันเปนเหตุใหเราผูไมเปนพระอรหันตเลย สําคัญวาเปนพระอรหันต และไมรูพระสัมมาสัมพุทธเจาผูเสด็จอุบัติขึ้นในโลกทรงแสดงธรรมอยู ก็ความเปนอยูรูไดยาก ความตายก็รูไดยาก. อธิบายวา มีใจสลดดวยอาการตามที่กลาวแลว ดวยคําพูดของเทวดา. บทวา ตาวเทว แปลวา ในขณะนั้นนั่นเอง.
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 140
บทวา สุปฺปารกาปกฺกามิ ความวา ผูมีหทัยอันปติมีพระพุทธเจาเปนอารมณ อันเกิดขึ้นเพราะไดยินพระนามวา พุทฺโธ และถูกความสังเวชตักเตือนอยู จึงไดจากทาสุปปารกะหลีกไป มุงตรงกรุงสาวัตถี. บทวา สพฺพตฺถ เอกรตฺติปริวาเสน ความวา ไดไปโดยอยูพักแรมราตรีเดียวในหนทางทั้งปวง. จริงอยู เมืองสาวัตถีจากทาสุปปารกะ มีระยะทาง ๑๒๐ โยชน แตทานพาหิยะนี้ ไดไปยังกรุงสาวัตถีนั้นโดยพักแรมราตรีเดียว ตลอดระยะทางเทานี้. ทานถึงกรุงสาวัตถีในวันที่ออกจากทาสุปปารกะนั่นเอง ถามวา ก็อยางไร ทานพาหิยะนี้จึงไดไปอยางนั้น ตอบวา เพราะอานุภาพของเทวดา อาจารยบางพวกกลาววา เพราะพุทธานุภาพ ก็มี เปนอันทานแสดงอธิบายไวดังนี้วา ก็เพราะทานกลาววา โดยพักแรมราตรีเดียวในที่ทุกสถาน และเพราะหนทางมีระยะ ๑๒๐ โยชน ในระหวางทางทานไมใหอรุณที่ ๒ ตั้งขึ้นในที่ที่คนอยูตอนกลางคืนในคามนิคมและราชธานี จึงไปถึงกรุงสาวัตถีโดยพักแรมราตรีเดียวในที่ทุกแหง ขอนี้ ไมพึงเห็นอยางนี้วา ทานอยูในหนทางนั้นทั้งสิ้นเพียงราตรีเดียว เพราะประสงคเอาความนี้วา โดยพักแรมแหงละราตรีในหนทางทั้งหมด มีระยะทาง ๑๒๐ โยชน ในวันสุดทายเวลาเย็น จึงถึงกรุงสาวัตถี.
ฝายพระผูมีพระภาคเจาทรงทราบวา พาหิยะมาถึง ทรงพระดําริวา ชั้นแรก อินทรียของทานพาหิยะยังไมแกกลา แตในระหวางชั่วครูหนึ่งจักถึงความแกกลา ดังนี้แลว รอคอยใหทานมีอินทรียแกกลา จึงแวดลอมดวยภิกษุสงฆหมูใหญ เสด็จทรงบาตรยังกรุงสาวัตถีในขณะนั้น. และทานพาหิยะนั้นก็เขาไปยังพระเชตวัน เห็นภิกษุเปนอันมากฉันภัตตาหารเชาแลว จงกรมอยูในอัพโภกาสกลางแจง เพื่อปลดเปลื้องความเกียจครานกาย
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 141
จึงถามวา บัดนี้พระผูมีพระภาคเจาประทับอยูที่ไหน. ภิกษุทั้งหลายกลาววา พระผูมีพระภาคเจาทรงบาตรยังกรุงสาวัตถี แลวถามวา ก็ทานเลามาแตไหน? ทานตอบวา มาจากทาสุปปารกะ. ภิกษุทั้งหลายกลาววา ทานมาไกล เชิญนั่งกอน จงลางเทา ทาน้ํามัน แลวพักสักหนอยหนึ่ง ในเวลาพระองคกลับมา ก็จักเห็นพระศาสดา. ทานพาหิยะกลาววา ทานขอรับ กระผมไมรูอันตรายแหงชีวิตของตน โดยวันเล็กนอย กระผมไมยืน ไมนั่งนานแมในที่ไหนๆ มาสิ้นระยะทาง ๑๒๐ โยชน พอเฝาพระศาสดาแลวจึงจักพักผอน จึงรีบดวนไปยังกรุงสาวัตถี เห็นพระผูมีพระภาคเจาผูรุงโรจนดวยพุทธสิริหาที่เปรียบปานมิได. ดวยเหตุนั้น ทานจึงกลาววา ก็สมัยนั้นแล ภิกษุเปนอันมากจงกรมอยูในโอกาสกลางแจง. ลําดับนั้นแล ทานพาหิยะ ทารุจีริยะไดเขาไปหาภิกษุเหลานั้นถึงที่อยู ดังนี้เปนตน.
บรรดาบทเหลานั้น บทวา กห เปน กตฺถ แปลวาที่ไหน. ศัพทวา นุ ใชในอรรถวาสงสัย. ศัพทวา โข ใชในอรรถวา ทําบทใหเต็ม. อธิบายวา ในประเทศไหนหนอแล. บทวา ทสฺสนกามา แปลวา เปนผูใครจะเห็น. ทานแสดงไววา ก็เราปรารถนาจะเฝาและเขาไปใกลพระผูมีพระภาคเจานั้น เหมือนคนบอดปรารถนาจักษุประสาท เหมือนคนหนวกปรารถนาโสตประสาท เหมือนคนใบปรารถนาการกลาวใหรูเรื่อง เหมือนคนมีมือเทาวิกลปรารถนามือเทา เหมือนคนขัดสนปรารถนาทรัพย์สมบัติ เหมือนคนเดินทางกันดารปรารถนาที่อันปลอดภัย เหมือนคนถูกโรคครอบงําปรารถนาความไมมีโรค เหมือนคนถูกเรืออับปางในมหา-
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 142
สมุทรปรารถนาแพใหญ ฉะนั้น. บทวา ตรมานรูโป ไดแก เปนผูมีอาการรีบดวน หรือผูมีการสงเคราะหอันนาสรรเสริญ.
บทวา ปาสาทิก ความวา นํามาซึ่งความเลื่อมใสรอบดานแกชนผูขวนขวายในการเห็นพระรูปกาย เพราะความสมบูรณดวยความงามแหงสรีระของพระองค อันนําความเลื่อมใสมารอบดาน อันประดับดวยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ อนุพยัญชนะ ๘๐ พระรัศมีดานละวา และพระเกตุมาลารัศมีที่เปลงเหนือพระเศียร. บทวา ปสาทนีย ความวา เปนที่ตั้งแหงความเลื่อมใส เหมาะที่จะควรเลื่อมใส หรือควรแกความเลื่อมใสของคนผูมีปญญาเห็นประจักษ เพราะธรรมกายสมบัติอันประกอบดวยจํานวนพระคุณหาประมาณมิได มีทศพลญาณ ๑๐ เวสารัชชญาณ ๔ อสาธารณญาณ ๖ อาเวณิยพุทธธรรม ๑๘ เปนตน. บทวา สนฺตินฺทฺริย ไดแก อินทรีย ๕ ที่สงบระงับ เพราะปราศจากความหวั่นไหวในอินทรียหา มีจักขุนทรียเปนตน. บทวา สนฺตมานส ไดแก มีใจสงบระงับ เพราะเขาถึงภาวะที่มนินทรียที่หกหมดพยศ. บทวา อุตฺตมทมถสมถมนุปฺปตฺต ความวา ถึงโดยลําดับ คือบรรลุความฝกฝนและสงบอันสูงสุด กลาวคือ ปญญาวิมุตติและเจโตวิมุตติอันเปนโลกุตระตั้งอยู. บทวา ทนฺต ความวา ชื่อว่าฝึกกาย เพราะมีกายสมาจารบริสุทธิ์ดี และเพราะไมมีการเลน โดยไมมีการคะนองมือคะนองเทาเปนตน. บทวา คุตฺต ความวา ชื่อวา คุมครองวาจา เพราะมีวจีสมาจารบริสุทธิ์ดี และเพราะไมมีการเลน โดยไมมีวาจาไรประโยชนเปนตน. บทวา ยตินฺทฺริย ไดแกชื่อวา มีอินทรียสํารวมแลว ดวยการประกอบฤทธิ์อันเปนของพระอริยะ เพราะมีมโนสมาจารบริสุทธิ์ดวยดี และดวยอํานาจมนินทรีย เพราะมีความวางเฉยในการไม่
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 143
ขวนขวายและการไมพิจารณา. บทวา นาค ความวา ชื่อวา ผูประเสริฐ เพราะเหตุเหลานี้ คือ การไมลุอํานาจฉันทาคติเปนตน กิเลสมีราคะ เปนตน ที่ละไดแลวไมกลับเกิดอีก คือไมหวนกลับมา บาปแมอะไรก็ไมทําแมโดยประการทั้งปวง และไมไปสูภพใหม.
ก็ดวยบทวา ปาสาทิก นี้ ในอธิการนี้ ทานแสดงถึงความสําคัญของพระผูมีพระภาคเจาโดยรูปกาย. ดวยบทวา ปสาทนีย นี้ แสดงถึงความสําคัญของพระผูมีพระภาคเจาโดยธรรมกาย. ดวยบทมีอาทิวา สนฺตินฺทฺริย นี้ แสดงถึงความสําคัญพระคุณที่เหลือ. เพราะเหตุนั้น พึงทราบวา ทานประกาศความสําคัญของพระผูมีพระภาคเจาแกเหลาสัตวโดยสิ้นเชิง ในโลกสันนิวาสที่เชื่อถือประมาณ ๔ พวก.
ก็ทานพาหิยะ ไดเห็นพระผูมีพระภาคเจาผูเปนอยางนั้นกําลังเสด็จไปในถนน ราเริงยินดีวา นานจริงหนอ เราจึงไดเห็นพระผูมีพระภาคเจา มีสรีระอันปติ ๕ ประการถูกตองตลอดเวลา ดวงตาก็นั่งเพราะปติซาบซาน นอมสรีระลงตั้งแตที่ๆ ไดเห็นแลว ก็หยั่งลงทามกลางรัศมีพระวรกายของพระผูมีพระภาคเจา จมลงในพระรัศมีนั้น เขาไปใกลพระผูมีพระภาคเจา ถวายบังคมดวยเบญจางคประดิษฐ นวดฟนพระยุคลบาทของพระผูมีพระภาคเจา จุมพิตอยู พลางกราบทูลวา ขาแตพระองคผูเจริญ ขอพระผูมีพระภาคเจาโปรดแสดงธรรมแกขาพระองคเถิด. เพราะเหตุนั้น จึงกลาววา ทานหมอบลงแทบพระยุคลบาทของพระผูมีพระภาคเจาดวยเศียรเกลา แลวกราบทูลพระผูมีพระภาคเจา ขาแตพระองคผูเจริญ ขอพระผูมี พระภาคเจาโปรดแสดงธรรมแกขาพระองค ขอพระสุคตโปรดแสดง
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 144
ธรรมอันเปนไปเพื่อประโยชนเกื้อกูล เพื่อสุข แตขาพระองคสิ้นกาล นานเถิด.
บรรดาบทเหลานั้น บทวา สุคโต ความวา ชื่อวา สุคต เพราะ เสด็จไปงาม คือเสด็จไปสูที่อันงาม เสด็จไปโดยชอบ มีพระวาจาชอบ. จริงอยู การไปทานเรียกวา คต. ก็การไปนั้นของพระผูมีพระภาคเจา งามคือบริสุทธิ์ไมมีโทษ. ถามวา ก็การไปคืออะไร? ตอบวา คืออริยมรรค. จริงอยู พระผูมีพระภาคเจานั้นเสด็จไปสูทิศเกษมไมติดขัดดวยการไปนั้น. แมคนอื่นพระองคก็ใหดําเนินไปดวย เพราะฉะนั้น จึงชื่อวา สุคต เพราะเสด็จไปงาม. ก็พระองคเสด็จไปสูที่อันดี คืออมตนิพพาน เพราะฉะนั้น จึงชื่อวาสุคต เพราะเสด็จไปสูที่อันดี. พระองค ชื่อวา สุคต เพราะเสด็จไปชอบ เหตุไมหวนกลับมาสูกิเลสที่พระองคประหารดวยมรรคนั้นๆ . สมจริงดังพระดํารัสที่ตรัสวา ชื่อวา สุคต เพราะไมมาอีก ไมกลับมา ไมหวนกลับมาสูกิเลสที่พระองคประหารไดดวยโสดาปตติมรรค. ชื่อวา สุคต เพราะไมหวนกลับมาสูกิเลสที่พระองคประหารไดดวยสกทาคามิมรรค ฯลฯ ดวยอรหัตตมรรค. อีกอยางหนึ่ง บทวา สมฺมาคตตฺตา ความวา เพราะเสด็จไป คือดําเนินไปดวยดีดวยสัมมาปฏิบัติ แมในการกําหนดทั้ง ๓ อยาง. จริงอยู ชื่อวา สุคต เพราะเสด็จไปโดยชอบแมดวยอาการอยางนี้วา พระองคทรงบรรลุที่สุดญาตัตถจริยา โลกัตถจริยา พุทธัตถจริยา ดวยสัมมาปฏิบัติอันบริบูรณดวยพระบารมี ๓๐ ถวน จําเดิมแตบาทมูลพระพุทธเจาทีปงกร ตราบเทาถึงมหาโพธิมณฑล ทรงพอกพูนเฉพาะหิตสุขแกโลกทั้งปวง ตอแตนั้น จึงเสด็จไป คือดําเนินไป ดวยการเปนใหญในธรรมที่พระองคทรงบรรลุใน
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 145
อริสัจ ๔ ดวยมัชฌิมาปฏิปทา กลาวคือโพชฌงคภาวนาอันยอดเยี่ยม ไมของแวะที่สุดเหลานี้ คือ สัสสตทิฏฐิ อุจเฉททิฏฐิ กามสุขัลลิกานุโยค อัตตกิลมถานุโยค และดวยสัมมาปฏิบัติอันไมใชวิสัยในสัตวทั้งปวง. ก็พระผูมีพระภาคเจานี้ตรัสโดยชอบ คือตรัสพระวาจาเฉพาะที่ควร ในฐานะอันควร เพราะเหตุนั้น ชื่อวา สุคต. สมจริงดังพระดํารัสที่ตรัสวา เราตถาคตเปนกาลวาที พูดตามกาล ภูตวาที พูดตามที่เปนจริง อัตถวาที พูดตามอรรถ ธัมมวาที พูดตามธรรม วินัยวาที พูดตามวินัย พูดวาจาที่มีหลักฐาน มีที่อางมีที่สุดประกอบดวยประโยชนตามกาลอันควร. ตรัสไวอีกอยางมีอาทิวา วาจาใดไมเปนจริงไมแท ไมประกอบดวยประโยชนและวาจานั้นไมเปนที่รักไมเปนที่พอใจของชนเหลาอื่น เราตถาคตไมพูดวาจานั้น. ชื่อวา สุคต แมเพราะตรัสชอบดวยประการฉะนี้. บทวา ย มมสฺส ทีฆรตฺต หิตาย สุขาย ความวา การแสดงอางถึงกรรมใด พึงเปนไปเพื่อประโยชนเกื้อกูลแกฌานและวิโมกขเปนตน และเพื่อสุข ที่จะพึงบรรลุฌานและวิโมกขเปนตนนั้น แกขาพระองคตลอดกาลนาน.
บทวา อกาโล โข ตาว ความวา ดูกอนพาหิยะ ไมใชกาลเพื่อแสดงธรรมแกทานกอน. อธิบายวา ก็เพราะเหตุอะไร พระผูมีพระภาคเจาจึงไมมีกาลในการปฏิบัติประโยชนเกื้อกูลแกสัตวเลา เพราะพระผูมีพระภาคเจาเปนกาลวาที. ก็ในคําวา กาโล นี้ ประสงคเอากาลที่เหลาเวไนยสัตวมีอินทรียแกกลา. ดวยวาเพราะเหตุที่ในขณะนั้น รูไดยากวา อินทรียทั้งหลายของทานพาหิยะแกกลาหรือไมแกกลา ฉะนั้น พระผูมีพระภาคเจาจึงไมตรัสเทศนานั้น เมื่อทรงอางถึงเหตุแกเขาวา
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 146
พระองคประทับยืนอยูระหวางถนน จึงตรัสวา อนฺตฆร ปวิฏมฺหา ดังนี้.
บทวา ทุชฺชาน แปลวา พึงรูไดยาก. ดวยบทวา ชีวิตนฺตรายาน ทานพาหิยะประสงคจะกลาววา การเปนไปหรือไมเปนไปแหงธรรมอันทําอันตรายตอชีวิต จึงกลาววา ชีวิตนฺตรายาน ดังนี้ ดวยอํานาจการหมุนเวียน. จริงอยางนั้น ชีวิตคือความเปนไปเนื่องดวยปจจัยเปนอันมาก และอันตรายตอชีวิตนั้นก็มีมาก. สมจริงดังที่ตรัสวา
อชฺเชว กิจฺจมาตปฺป โก ชฺา มรณ สุเว น หิ โน สงฺครนฺเตน มหาเสเนน มจฺจุนา
พึงรีบทําความเพียรในวันนี้แหละ ใครเลาจะรูความตายในวันพรุง เพราะวาความผัดเพี้ยนดวยมฤตยูอันมีเสนาใหญ ยอมไมมีแกเราทั้งหลาย.
ก็เพราะเหตุไร ทานพาหิยะนี้จึงมุงแตอันตรายชีวิตเทานั้นเปนอันดับแรก. อาจารยบางพวกแกวา เพราะทานรูแตอารมณที่เปนนิมิต หรือฉลาดในสิ่งที่คนไมเห็น. อาจารยอีกพวกหนึ่งกลาววา เพราะทานไดยินอันตรายชีวิตในสํานักของเทวดา. ก็ทานถูกอุปนิสัยสมบัติตักเตือนจึงกลาวอยางนั้น เพราะเปนผูมีภพสุดทาย. จริงอยู ทานเหลานั้นยังไมบรรลุพระอรหัต จึงไมสิ้นชีวิต. ก็เพราะเหตุไร พระผูมีพระภาคเจา มีพระประสงคจะทรงแสดงธรรมแกทานนั่นแหละ จึงหามไวถึง ๒ ครั้ง ไดยินวาพระองคมีพระดําริอยางนี้วา ตั้งแตเวลาที่พาหิยะนี้เห็นเรา สรีระทั้งสิ้นอันปติถูกตองไมขาดระยะ กําลังปติมีความรุนแรง แมจักฟงธรรมแลวก็ไมสามารถแทงตลอดไดจึงหามไว ตราบเทาที่มัชฌัตตุเปกขาจะดํารงอยูกอน
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 147
แมความกระวนกระวายในกายของทานก็มีกําลัง เพราะทานมาสูหนทาง สิ้นระยะทาง ๑๒๐ โยชน แมทานระงับความกระวนกระวายอยูกอน เพราะเหตุนั้น จึงทรงปฏิเสธถึง ๒ ครั้ง. แตอาจารยบางพวกกลาววา พระผูมีพระภาคเจาไดทรงทําอยางนั้น เพื่อใหเกิดความเอื้อเฟอในการฟงธรรม. แตพระองคถูกขอรองถึงครั้งที่ ๓ ทรงเห็นมัชฌัตตุเปกขาเปนเครื่องระงับความกระวนกระวายและอันตรายชีวิตที่ปรากฏแกทาน ทรงดําริวา บัดนี้ เปนกาลเพื่อแสดงธรรม จึงเริ่มแสดงธรรมโดยนัยมีอาทิวา ตสฺมาติห เต ดังนี้.
บรรดาบทเหลานั้น บทวา ตสฺมา ความวา เพราะทานเปนผูเกิดความขวนขวายออนวอนเราอยางยิ่ง หรือเพราะทานกลาววาอันตรายชีวิตรูไดยาก และอินทรียของทานแกกลาแลว. ศัพทวา ติห เปนเพียงนิบาต. บทวา เต แปลวา อันทาน. ดวยคําวา เอว นี้ ตรัสถึงอาการที่จะกลาวในบัดนี้. บทวา สิกฺขิตพฺพ ความวา พึงทําการศึกษาโดยสิกขาแมทั้ง ๓ มีอธิศีลสิกขาเปนตน.
แตเมื่อพระองคจะทรงแสดงอาการที่จะพึงศึกษา จึงตรัสคํามีอาทิวา ทิฏเ ทิฏมตฺต ภวิสฺสติเมื่อเห็นก็เปนเพียงแตเห็น.
บรรดาบทเหลานั้น บทวา ทิฏเ ทิฏมตฺต ไดแก สักวา การเห็นรูปายตนะ ดวยจักขุวิญญาณ. อธิบายวา เธอพึงศึกษาวา จักขุวิญญาณเห็นซึ่งรูปในรูปเทานั้น หาเห็นสภาพลักษณะมีอนิจจลักษณะเปนตนไม ฉันใด รูปที่เหลือจักเปนเพียงอันเราเห็นดวยวิญญาณที่เปนไปทางจักขุทวารนั้นเทานั้น. อีกอยางหนึ่ง อธิบายวา การรูแจงซึ่งรูปในรูปดวยจักขุวิญญาณ ชื่อวา เห็นรูปในรูปที่เห็น. บทวา มตฺตา แปลวา
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 148
ประมาณ. ประมาณแหงรูปนี้ที่เห็นแลว เพราะฉะนั้น จึงชื่อวา ทิฏฐมัตตะ. อธิบายวา จิตเปนเพียงจักขุวิญญาณเปนประมาณเทานั้น. ทานอธิบายไววาจักขุวิญญาณ ยอมไมกําหนัดขัดเคือง หลงในรูปที่มาปรากฏ ฉันใด เราจักตั้งชวนจิตไวโดยประมาณแหงจักขุวิญญาณอยางนี้วา ชวนจิตของเราจักเปนเพียงจักขุวิญญาณเทานั้น เพราะเวนจากราคะเปนตน. อีกอยางหนึ่งรูปที่จักขุวิญญาณเห็น ชื่อวา ทิฏฐะ. จิต ๓ ดวงคือสัมปฏิจฉนจิต สันติรณจิตและโวฏฐัพพนจิต ที่เกิดขึ้นเหมือนอยางนั้นนั่นแหละ ชื่อวา ทิฏฐมัตตะ. พึงทราบความในขอนี้อยางนี้วา จิต ๓ ดวงนี้ ยอมไมกําหนัด ขัดเคือง ลุมหลง ฉันใด เมื่อรูปมาปรากฏ เราก็จักใหชวนจิตเกิดขึ้นโดยประมาณสัมปฏิจฉนจิตเปนตนนั้นนั่นแหละ เราจะไมใหกาวลวงประมาณนั้นเกิดขึ้นดวยความกําหนัดเปนตน ฉันนั้น. ในสุตะและมุตะก็นัยนี้เหมือนกัน. ก็บทวา มุต พึงทราบคันธายตนะ รสายตนะ และ โผฏฐัพพายตนะกับดวยวิญญาณ ซึ่งมีคันธายตนะ รสายตนะ และโผฏฐัพพายตนะนั้นเปนอารมณ. ก็ในคําวา วิฺาเต วิฺาณมตฺต นี้ มีวินิจฉัยดังตอไปนี้ ชื่อวา วิญญาตะ ไดแก อารมณที่มโนทวาราวัชชนจิต แจงแลว. เมื่อรูแจงอารมณนั้นก็เปนอันชื่อวา มโนทวาราวัชชนจิตรูแจงแลว เหตุนั้น จึงชื่อวา มีอาวัชชนจิตเปนประมาณ. ในขอนี้มีอธิบาย ดังนี้วา อาวัชชนจิตยอมไมกําหนัด ขัดเคือง ลุมหลง ฉันใด เราจักพักจิตโดยประมาณแหงอาวัชชนจิตเทานั้น ไมยอมใหเกิดขึ้นดวยความกําหนัด เปนตน ฉันนั้น. บทวา เอวฺหิ เต พาหิย สิกฺขิตพฺพ ความวา พาหิยะ เธอพึงศึกษาโดยคลอยตามสิกขาทั้ง ๓ ดวยปฏิปทานี้อยางนี้.
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 149
ดังนี้นั้น พระผูมีพระภาคเจา จึงทรงจําแนกอารมณอันแตกตาง โดยประเภทอารมณ ๖ พรอมวิญญาณกาย ๖ อยางยอและตามความพอใจของพาหิยะ ดวยวิปสสนา โดยโกุฏฐาสะทั้ง ๔ มีรูปอันตนเห็นแลวเปนตน แลวจึงทรงแสดงญาตปริญญาและตีรณปริญญาในขอนั้นแกเธอ. อยางไร? เพราะวา ในขอนี้รูปารมณเปนอันชื่อวา ทิฏฐะ เพราะอรรถวาอันจักขุวิญญาณพึงเห็น. สวนจักขุวิญญาณพรอมวิญญาณที่เปนไปทางจักขุทวารนั้น ชื่อวา ทิฏฐะ เพราะอรรถวาเห็น. แมทั้งสองอยางนั้นเปนเพียงธรรมที่เปนไปตามปจจัยเทานั้น. ในขอนี้ ใครๆ จะทําเองหรือใหผูอื่นทําก็หาไดไม. จริงอยู ในขอนี้มีอธิบายดังนี้วา จักขุวิญาณนั้นชื่อวาไมเที่ยง เพราะมีแลวกลับไมมี ชื่อวา เปนทุกข เพราะถูกความเกิดขึ้นและดับไปบีบคั้น ชื่อวาเปนอนัตตา เพราะอรรถวาไมเปนไปในอํานาจ เหตุนั้น ในขอนั้น จะจัดเปนโอกาสของธรรมมีความกําหนัดเปนตนแหงบัณฑิตไดที่ไหน.
พึงทราบวินิจฉัยแมในสุตะเปนตน บัดนี้ เพื่อจะทรงแสดงปหานปริญญาพรอมมูลเหตุเบื้องสูง แกบัณฑิตผูตั้งอยูในญาตปริญญาและตีรณปริญญา จึงเริ่มคํามีอาทิวา ยโต โข เต พาหิย ดังนี้.
บรรดาบทเหลานั้น บทวา ยโต ไดแกในกาลใดหรือเพราะเหตุใด. บทวา เต ไดแก ตว แกเธอ. บทวา ตโต ไดแกในกาลนั้นหรือ เพราะเหตุนั้น. บทวา เตน ความวา ดวยรูปอันเธอเห็นแลวเปนตน หรือดวยกิเลสมีราคะเปนตน อันเนื่องกับรูปที่เธอเห็นแลวเปนตน. ตรัสคํานี้ไววา พาหิยะ ในกาลใดหรือเพราะเหตุใด เพียงรูปที่เธอเห็นแลวเปนตน จักมีแกเธอผูปฏิบัติตาม วิธีที่เรากลาวแลวในรูปที่เห็นแลว
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 150
เปนตน ดวยการหยั่งรูสภาพที่ไมวิปริต ในกาลนั้นหรือเพราะเหตุนั้น เธอจักไมมีพรอมดวยกิเลสมีราคะเปนตน ที่เนื่องดวยรูปที่เธอเห็นแลว เปนตน เธอจักเปนผูไมกําหนัด ขัดเคือง หรือลุมหลง หรือจักไมเปน ผูเนื่องกับรูปที่เธอเห็นแลวเปนตนนั้น เพราะละราคะเปนตนไดแลว. บทวา ตโต ตฺว พาหิย น ตตฺถ ความวา ในกาลใดหรือเพราะเหตุใด เธอจักเปนผูกําหนัดเพราะราคะนั้น ขัดเคืองเพราะโทสะ หรือลุมหลงเพราะโมหะ ในกาลนั้นหรือเพราะเหตุนั้น เธอจักไมมีในรูปที่เห็นแลว เปนตนนั้น หรือเมื่อรูปนั้นที่เห็นแลว หรือเสียงและอารมณที่ทราบแลว เธอจักไมเปนผูของ ตั้งอยูดวยตัณหามานะและทิฏฐิวา นั่นของเรา เราเปนนั่น นั่นเปนอัตตาของเรา. ดวยคําเพียงเทานี้ พระองคทรงใหปหานปริญญาถึงที่สุดแลวแสดงขีณาสวภูมิ. บทวา ตโต ตฺว พาหิย เนวิธ น หุร น อุภยมนฺตเรน ความวา พาหิยะ ในกาลใด เธอจักไมเปนผูเกี่ยวเนื่องในรูปที่เห็นแลวเปนตนนั้น ดวยกิเลสมีราคะเปนตนนั้น ในกาลนั้น เธอจักไมมีในโลกนี้ ในโลกหนาและในโลกทั้งสอง. บทวา เอเสวนฺโต ทุกฺขสฺส ความวา จริงอยู ในขอนี้ มีอธิบายเพียงเทานี้วา ก็ที่สุด เขตกําหนด และความหมุนเวียนแหงกิเลส ทุกขและวัฏทุกขเทานี้. ก็อาจารยเหลาใดถือบทวา อุภยมนฺตเรน แลวจึงปรารถนาชื่อระหวางภพ คําของอาจารยเหลานั้นผิด. จริงอยู ภาวะระหวางภพ ทานคัดคานแลวในพระอภิธรรมทีเดียว. ก็คําวา อนฺตเรน เปนการแสดงวิกัปอื่น. เพราะเหตุนั้น ในขอนี้ มีอธิบายดังนี้วา ก็วิกัปอื่น ไมมีในโลกนี้ โลกหนาหรือทั้งสอง. อีกอยางหนึ่ง คําวา อนฺตเรน เปนการแสดงความไมมีวิกัปอื่น. คํานั้น อธิบายดังนี้วา ก็ที่ตั้งอื่นไมมีโนโลกนี้ โลกหนา ถึงระหวางภพก็ไมมี
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 151
อนึ่ง อาจารยแมเหลาใดถือเอาโดยไมแยบคายซึ่งอรรถสุตตบทเหลานี้วา อันตราปรินิพพายี และวาสัมภเวสี แลวกลาววา ภพอื่นยังมีอยูเหมือนกัน อาจารยแมเหลานั้น เพราะถูกคัดคานวา อรรถสุตตบทตนวา ชื่อวา อันตราปรินิพพายี เพราะไมผานทามกลางอายุในภูมินั้นมีอวิหาพรหม เปนตน แลวปรินิพพานดวยกิเลสปรินิพพานสิ้นเชิง เพราะบรรลุอรหัตตมรรคในระหวาง หาไดมีในภพอื่นไม และถูกคัดคานอรรถสุตตบทหลัง วา สัตวเหลาใดจักไมเปนอยางนั้น สัตวเหลานั้น จักเปนผูสิ้นอาสวะมีในภพกอน อธิบายวา ชื่อวา สัมภเวสี เพราะแสวงหาภพใหมผิดตรงขามกับอันตราปรินิพพายีบุคคลนั้น และชื่อวา เสขปุถุชน เพราะยังละภวสังโยชนไมได อนึ่ง บรรดากําเนิด ๔ อัณฑชสัตวและชลาพุชสัตว ยังไมทํา ลายกระเปาะไขหรือกระเปาะหัวไสอยูตราบใด ก็ชื่อวา สัมภเวสีอยูตราบนั้น สัตวที่ออกไปจากกระเปาะไขและกระเปาะหัวไส ก็ชื่อวา สัมภเวสีอยูตราบนั้น และอุปปาติกสัตวชื่อวาสัมภเวสี ในขณะจิตดวงแรก ตั้งแตขณะจิตดวงที่ ๒ ไป ชื่อวา ภูต อนึ่ง สัตวทั้งหลายเกิดดวยอิริยาบถใด ยังไมถึงอิริยาบถอื่นจากนั้นตราบใด ก็ยังชื่อวา สัมภเวสี อยูตราบนั้น ตอจากนั้น จัดเปน ภูต เพราะเหตุนั้น จึงถูกคัดคานวาไมมีดังนี้. ก็เมื่อมีอรรถที่คลอยตาม บาลีตรงๆ จะเปนประโยชนอะไรดวยอรรถที่กําหนดดวยภพอื่นซึ่งไมสามารถจะขยายไดแล. ก็อาจารยเหลาใดกลาวขอยุติวา จะเห็นธรรมที่เปนไปดวยความสืบตอปรากฏในสวนอื่นไมขาดสาย ขอนั้นพึงปรากฏแมในความสืบตอแหงอวิญญาณกทรัพย มีขาวเปลือกเปนตน ฉันใด แมในความสืบตอแหงสวิญญาณกสังขาร ก็พึงปรากฏในสวนอื่นโดยไมขาดสาย ฉันนั้น อนึ่ง นัยนี้ยอมเหมาะในเมื่อมีภพอื่น หาใชโดยประการอื่นไม.
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 152
ก็เพราะเหตุนั้น ทานผูมีฤทธิ์บรรลุความเชี่ยวชาญทางใจ อธิษฐานกาย คลอยตามจิต พึงคัดคานขอยุติ โดยการจากพรหมโลกมายังโลกนี้ หรือจากโลกนี้ไปยังพรหมโลกขณะเดียวกัน ถาปรารถนาความเปนไปของธรรมในสวนที่ไมขาดสายในที่ทุกสถานไซร แมถาทานผูมีฤทธิ์ทั้งหลาย จะพึงมีอิทธิวิสัยเปนอจินไตยไซร คํานั้นจะพึงเสมอกันแมในที่นี้ เพราะ พระบาลีวา กมฺมวิปาโก อจินฺเตยฺโย ผลกรรมเปนอจินไตย เพราะเหตุนั้น คํานั้น เปนเพียงมติของอาจารยเหลานั้นเทานั้น. เพราะวา สภาวธรรม มีสภาพเปนอจินไตย สภาวธรรมเหลานั้นบางแหงจึงปรากฏในสวนที่ขาดสายดวยปจจัย บางแหงปรากฏในสวนที่ไมขาดสาย. จริงอยางนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นเพราะปจจัยมีรูปเปรียบและเสียงสะทอนเปนตน ยอมเกิดปรากฏในสวนหนึ่งมีสวนแหงกระจกและภูเขาเปนตน จากปจจัยมีเสียงกึกกองขางหนา เปนตน. เพราะเหตุนั้น จึงไมพึงนอมสิ่งทั้งหมดในที่ทุกอยางแล. ในขอนี้ มีความสังเขปเทานี้. สวนความพิสดารมีการวิจารณเรื่องของภพอื่นอันใหสําเร็จอุทาหรณเปนตนของรูปเปรียบ พึงคนดูในฎีกากถาวัตถุปกรณเถิด. สวนอาจารยอีกพวกหนึ่งกลาววา บทวา อิธ ทานกลาวหมายเอา กามภพ. บทวา หุร กลาวหมายเอาอรูปภพ. บทวา อุภยมนฺตเรน กลาวหมายเอารูปภพ. อาจารยพวกอื่นกลาววา บทวาอิธ ไดแกอายตนะภายใน. บทวา หุร ไดแกอายตนะภายนอก. บทวา อุภยมนฺตเรน ไดแก จิตและเจตสิก. อีกอยางหนึ่ง อาจารยอีกพวกหนึ่งกลาววา บทวา อิธ กลาววา ปจจยธรรม. บทวา หุร กลาววา ปจจยุปปนธรรม ธรรมเกิด แตปจจัย. บทวาอุภยมนฺตเรน กลาววา บัญญัติธรรม. คํานั้นทั้งหมด ไมมีในอรรถกถา. ธรรมอันเปนไปในภูมิ ๓ พึงสงเคราะหดวยอาการ ๔
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 153
โดยรูปที่จักขุวิญญาณเห็นแลวเปนตน ดวยคํามีอาทิวา ทิฏเ ทิฏมตฺต ภวิสฺสติ เมื่อจักขุวิญญาณเห็นรูป ก็เปนเพียงแตเห็น อยางนี้กอน ในธรรมเหลานั้น ทานแสดงถึงอสุภภาวนา ทุกขานุปสสนา อนิจจานุปสสนา และอนัตตานุปสสนา โดยมุขคือการเวนจากการยึดถือวางาม เปนสุข เปนของเที่ยง และเปนตัวตนแล. เมื่อวาโดยสังเขป ทานกลาววิปสสนากับวิสุทธิเบื้องต่ํา. ดวยคําวา ตโต ตฺว พาหิย น เตน นี้ ตรัสถึงมรรค เพราะประสงคเอาการตัดกิเลสมีราคะเปนตนไดเด็ดขาด. ดวยคําวา ตโต ตฺว พาหิย น ตตฺถ ตรัสถึงผลจิต. ดวยคําวา เนวิธา เปนตน พึงเห็นวา ตรัสถึงอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ. เพราะเหตุนั้น ทานจึงกลาววา อถ โข พาหิย ฯ เป ฯ อาสเวหิ จิตฺต วิมุจฺจติ ดังนี้.
จิตของทานพาหิยะหลุดพนจากอาสวะดวยการแสดงบทยอนี้. บทวา ตาวเทว ไดแก ในขณะนั้นนั่นเองไมใชกาลอื่น. บทวา อนุปาทาย แปลวา ไมยึดมั่น. บทวา อาสเวหิ ความวา จากกามราคะเปนตนที่มีชื่อวาอาสวะ เพราะไหลไปคือเปนไปจากภวัคคพรหมถึงโคตรภู และ เปนเหมือนเครื่องหมักดอง มีสุราเปนตน โดยอรรถวา หมักไวนาน. บทวา วิมุจฺจติ ความวา หลุดพนคือสลัดออก (กามราคะเปนตน) ดวยสมุจเฉทวิมุตติและปฏิปสสัทธิวิมุตติ.
ก็ทานพาหิยะนั้นพอฟงธรรมของพระศาสดาเทานั้น ชําระศีลใหหมดจด อาศัยสมาธิจิตตามที่ไดแลวเริ่มวิปสสนาเปนขิปปาภิญญาบุคคล ใหอาสวะทั้งปวงสิ้นไป บรรลุพระอรหัตพรอมปฏิสัมภิทาขณะนั้นนั่นเอง. ทานตัดกิเลสดุจกระแสน้ําในสงสาร ทําที่สุดแหงวัฏทุกข ทรงรางกายครั้งสุดทาย ถูกธรรมดาเปนไปดวยปจจเวกขณญาณ ๑๙ อยางตักเตือน จึงทูลขอบวช
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 154
กะพระผูมีพระภาคเจา ถูกตรัสถามวา เธอมีบาตรและจีวรบริบูรณแลวหรือ กราบทูลวา ยังไมบริบูรณ พระเจาขา ลําดับนั้น พระศาสดาตรัสกะเธอวา ถาเชนนั้น เธอจงแสวงหาบาตรและจีวร ดังนี้แลวเสด็จหลีกไป. เพราะเหตุนั้น จึงกลาววา อถ โข ภควา ฯ เป ฯ ปกฺกามิ ดังนี้.
ไดยินวา ทานพาหิยะนั้น เมื่อกระทําสมณธรรมสิ้น ๒๐,๐๐๐ ปในพระศาสนาของพระกัสสปทศพลคิดวา ธรรมดาวา ภิกษุเมื่อตนไดปจจัยแลวทําทานตามสมควรจึงฉันดวยตนจึงควร ดังนี้แลวไมไดทําการสงเคราะหดวยบาตรหรือจีวรแมแกภิกษุรูปหนึ่ง. เหตุนั้น ทานจึงไมมี อุปนิสัยเอหิภิกขุอุปสัมปทา. แตอาจารยบางพวกกลาววา ไดยินวา ทานเปนโจรคราววางพระพุทธเจา ผูกมัดธนูตั้งตัวเปนโจรในปา เห็นพระปจเจพุทธเจาองคหนึ่ง เพราะความโลภในบาตรและจีวร จึงใชธนูยิงทาน แลวถือเอาบาตรและจีวรไป ดวยเหตุนั้น บาตรและจีวรอันสําเร็จดวยฤทธิ์ จักไมเกิดแกทาน พระศาสดาทรงทราบดังนั้นแลว จึงมิไดทรงประทาน บรรพชาดวยเอหิภิกขุแล. แมทานกําลังเที่ยวแสวงหาบาตรและจีวรอยู แมโคตัวหนึ่งวิ่งมาโดยเร็ว ขวิดใหเธอถึงสิ้นชีวิต ซึ่งทานหมายกลาววา อถ โข อจิรปกฺกนฺตสฺส ภควโต พาหิย ทารุจีริย คาวี ตรุณวจฺฉา อธิปติตฺวา ชีวิตา โวโรเปสิ ครั้งนั้นแล เมื่อพระผูมีพระภาคเจาเสด็จหลีกไปไมนาน แมโคลูกออนขวิดทานพาหิยทารุจีริยะใหลมลงสิ้นชีวิต.
บรรดาบทเหลานั้น บทวา อจิรปกฺกนฺตสฺส แปลวา เมื่อพระผูมีพระภาคเจาเสด็จหลีกไปไมนาน. บทวา คาวี ตรุณวจฺฉา ไดแก นางยักษิณีแปลงเปนแมโคลูกออน. บทวา อธิปติตฺวา ไดแก กดขี่คือย่ํายี. บทวา ชีวิตา โวโรเปสิ ความวา แมโคนั้น ใหเกิดจิตกอเวรขึ้นดวย
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 155
เหตุเพียงไดเห็น เพราะไดความอาฆาตในอัตภาพกอนจึงเอาเขาขวิดใหสิ้นชีวิต
พระศาสดาทรงบาตรแลวเสวยพระกระยาหารเสร็จแลวพรอมภิกษุจํานวนมาก เสด็จออกจากนคร ทอดพระเนตรเห็นทานพาหิยะตกอยูที่กองหยากเยื่อ ทรงบัญชาภิกษุทั้งหลายวา ภิกษุทั้งหลาย เธอยืนอยูที่ประตูเรือนหลังหนึ่ง ชวยกันนําเตียงออกมา นํารางนี้ออกไปจากนครทําฌาปนกิจ กอสถูปไว. ภิกษุทั้งหลายไดทําอยางนั้น. ก็แลครั้นทําแลว ไปยังวิหารเฝาพระศาสดา กราบทูลกิจที่ตนทําแลว จึงทูลถามถึงอภิสัมปรายภพของทานพาหิยะ. ลําดับนั้น พระผูมีพระภาคเจา จึงตรัสบอกแกภิกษุเหลานั้นวา ทานพาหิยะปรินิพพานแลว. ภิกษุทั้งหลายทูลถามวา ขาแตพระองคผูเจริญ ขอพระองคจงตรัสบอกวาทานพาหิยทารุจีริยะบรรลุพระอรหัตแลวหรือ ทานบรรลุพระอรหัตที่ไหน. และเมื่อตรัสวา ในเวลาที่ฟงธรรมของเรา พวกภิกษุจึงทูลถามวา ก็พระองคแสดงธรรมแกทานในเวลาไหน. พระศาสดาตรัสวา เมื่อเรากําลังบิณฑบาตยืนอยูระหวางถนน วันนี้เอง. ภิกษุทั้งหลายทูลถามวา ขาแตพระองคผูเจริญ ธรรมที่พระองคยืนตรัสในระหวางถนนนั้นมีประมาณนอย ทานทําคุณวิเศษใหเกิดดวยเหตุเพียงเทานั้นไดอยางไร. พระศาสดาเมื่อทรงแสดงวา ภิกษุทั้งหลาย เธออยาประมาณธรรมของเราวามีนอยหรือมาก แมคาถาตั้งหลายพัน แตไมประกอบดวยประโยชนไมประเสริฐเลย สวนบทคาถาแมบทเดียว ซึ่งประกอบดวยประโยชนยังประเสริฐกวา จึงตรัสคาถานี้ในธรรมบทวา
สหสฺสมป เจ คาถา อนตฺถปทสฺหิตา เอก คาถาปท เสยฺโยย สุตฺวา อุปสมฺมติ
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 156
ถาคาถาแมตั้งพัน แตประกอบดวยบทอันไมเปนประโยชน บทคาถาบทเดียวซึ่งบุคคลฟงแลว ยอมสงบระงับไดยังประเสริฐกวา ดังนี้
เมื่อทรงแสดงวา เธอเปนผูควรแกการบูชาดวยเหตุเพียงปรินิพพานอยางเดียวก็หาไม โดยที่แทเธอเปนผูสมควรแกการบูชาแมดวยภาวะอันเลิศกวาภิกษุสาวกของเราผูเปนขิปปาภิญญา จึงทรงสถาปนาทานไวในเอตทัคคะวา ภิกษุทั้งหลาย บรรดาภิกษุสาวกผูเปนขิปปาภิญญา ทานพาหิยทารุจีริยะเปนเลิศ ซึ่งทานหมายกลาวไววา อถ โข ภควา สาวตฺถิย ปณฺฑาย จริตฺว ฯ เป ฯ ปริพิพฺพุโต ภิกฺขเว พาหิโย ทารุจีรโย ดังนี้.
บรรดาบทเหลานั้น บทวา ปจฺฉาภตฺต ไดแก หลังจากเสวยพระกระยาหารเสร็จแลว. บทวา ปณฺฑปาตปฏิกฺกนฺโต ไดแก เสด็จกลับจากทรงบิณฑบาต. แมทั้งสองบท ทานก็อธิบายวา เสวยพระกระยาหารเสร็จแลว. บทวา นีหริตฺวา ความวา ใหนําออกไปภายนอกพระนคร. บท วา ฌาเปถ แปลวา จงทําฌาปนกิจ. บทวา ถูปฺจสฺส กโรถ ความวา และจงนําสรีรธาตุของทานพาหิยะมากอพระเจดียไว. ในขอนั้น พระองคตรัสเหตุไวดังนี้วา ดูกอนภิกษุทั้งหลาย เพื่อนสพรหมจารีของพวกเธอปรินิพพานแลว. ขอนั้นมีอธิบายวา ทานพาหิยะนั้นไดประพฤติธรรม คือขอปฏิบัติมีอธิศีลเปนตน ที่พวกเธอประพฤติแลวและกําลังประพฤติอยู ที่ชื่อวาพรหม เพราะอรรถวาประเสริฐ ไดประเสริฐเสมอกับพวกเธอ เพราะเหตุนั้น จึงชื่อวา สพรหมจารีไดทํากาละแลวตามปกติแหงมรณกาล เพราะเหตุนั้น พระผูมีพระภาคเจาจึงตรัสวา พวกเธอจงเอาเตียงหามสรีระ
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 157
ของทานไปทําฌาปนกิจและกอสถูปของทานไว. บทวา ตสฺส กา คติ ความวา บรรดาคติทั้ง ๕ ทานมีคติอุปบัติภพเปนอยางไร. อนึ่ง บทวา คติแปลวาบังเกิด อธิบายวา คติของทานตกลงอยางไรวาเปนพระอริยะหรือปุถุชน. บทวา อภิสมฺปราโย ไดแก ทานละไปแลวเกิดในภพหรือดับในภพ. วาโดยอรรถ เปนอันทรงประกาศวาทานปรินิพพานดวยการตรัสสั่งสรางสถูปไวก็จริง แตถึงกระนั้น เหลาภิกษุผูไมรูดวยเหตุเพียงเทานั้นก็จะทูลถามวา คติของทานเปนอยางไร หรือผูประสงคจะใหทําใหปรากฏชัด จึงทูลถามพระผูมีพระภาคเจาอยางนั้น.
บทวา ปณฺฑิโต โดยความวา ชื่อวาบัณฑิต เพราะไป คือดําเนินไป ไดแก เปนไปดวยปญญา ชื่อวาปณฑะ เพราะบรรลุดวยปญญาอันสัมปยุตดวยอรหัตตมรรค. บทวา ปจฺจปาที แปลวา ดําเนินไปแลว. บทวา ธมฺมสฺส ไดแก โลกุตรธรรม. บทวา อนุธมฺม ไดแก ธรรม คือ ปฏิปทามีสีลวิสุทธิเปนตน. อีกอยางหนึ่ง บทวา ธมฺมสฺส ไดแกนิพพานธรรม. บทวา อนุธมฺม ไดแก ธรรมคืออริยมรรคและอริยผล. บทวา น จ ม ธมฺมาธิกรณ ความวา ก็เหตุแหงการแสดงธรรมไมทําเราใหลําบาก เพราะปฏิบัติตามที่ทรงพร่ําสอน. จริงอยู ทานฟงธรรมหรือเรียน กรรมฐานในสํานักของพระศาสดา ไมปฏิบัติธรรมตามที่ทรงพร่ําสอน ชื่อวา ทําพระศาสดาใหทรงลําบาก ซึ่งทานหมายกลาวไววา
วิหึสสฺี ปคุณ น ภาสึ ธมฺม ปณีตมนุเชสุ พฺรหฺเม
เรามีความสําคัญในความลําบาก จึงไมกลาวธรรมใหคลองแคลว ใหประณีต ในหมูชน ในหมูพรหม
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 158
อีกอยางหนึ่ง บทวา น จ ม ธมฺมาธิกรณ ความวา จะเปนเหตุแหงธรรมนี้ก็หามิได. ทานอธิบายคํานี้ไววา ชื่อวา ไมทําเราใหลําบาก เพราะปฏิบัติศาสนธรรมของเรานี้ดวยดี อันเปนเหตุนําสรรพสัตวออกจากวัฏทุกข. ก็ผูปฏิบัติชั่ว ทําลายศาสนธรรม ชื่อวาใหการประหารสรีระ คือธรรมของพระศาสดา. แตทานพาหิยะนี้ทําสัมมาปฏิบัติใหถึงที่สุดแลว ปรินิพพานดวยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ. ดวยเหตุนั้น พระองคจึงตรัสวา ปรินิพฺพุโตภิกฺขเว พาหิโย ทารุจีริโย.
บทวา เอตมตฺถ วิทิตฺวา ความวา ทรงทราบวาพระพาหิยเถระ ปรินิพพานดวยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ และวาคติของพระขีณาสพทั้งหลายผูปรินิพพานแลวเชนนั้นอันคนจํานวนมากรูไดยาก โดยอาการทั้งปวง. บทวา อิม อุทาน ไดแก ทรงเปลงอุทานอันแสดงอานุภาพแหง ปรินิพพานอันไมประดิษฐานอยูแลวนี้.
บรรดาบทเหลานั้น บทวา ยตฺถ ความวา อาโปธาตุ ปฐวีธาตุ เตโชธาตุ และวาโธธาตุ ไมหยั่งลงคือไมประดิษฐานอยูในนิพพานธาตุใด. เพราะเหตุไร? เพราะพระนิพพานมีสภาวะเปนอสังขตรรม. จริงอยู แมสิ่งเล็กนอยแหงสังขตธรรมก็ไมมีในพระนิพพานนั้น. บทวา สุกฺกา ความวา ดาวพระเคราะหและดาวนักษัตรอันไดชื่อวา สุกกะ เพราะมีรัศมีขาว ไมโชติชวงคือไมสวางไสว. บทวา อาทิจฺโจ นปฺปกาสติ ความวา แมพระอาทิตยอันสามารถแผแสงสวางไปขณะเดียว ๓ ทวีป ก็ไมแผดแสงดวยอํานาจรัศมี. บทวา น ตตฺถ จนฺทิมา ภาติ ความวา แมเมื่อพระอาทิตยมีรัศมีแรงกลา ฝายพระจันทรมีรัศมีเยือกเย็นนาใคร ก็ไมรุง-
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 159
โรจน เพราะกําจัดรัศมีอันสวางของตน เหตุที่ไมมีในพระนิพพานนั้น. พระองคตรัสวา ตโม ตตฺถ น วิชฺชติ ความมืดไมมีในพระนิพพานนั้น ดังนี้ ทรงหมายเอาความสงสัยวา ถาพระจันทรและพระอาทิตยไมมีในพระนิพพานนั้นไซร พระนิพพานนั้นก็จะพึงมืดมิดทีเดียวดุจโลกันตนรก. จริงอยู เมื่อรูปมี ความมืดก็มี. บทวา ยทา จ อตฺตนา เวทิ มุนิ โมเนน พฺราหฺมโณ ความวา พราหมณผูเปนพระอริยสาวก ซึ่งไดนามวามุนี เพราะประกอบดวยมรรคญาณอันไดชื่อวาโมนะ เพราะรูสัจจะ ๔ และประกอบดวยโมเนยยปฏิปทาทางกายเปนตน ละอาการมีการฟงตามๆ กันมาเปนตนดวยตนคือตนเอง ในขณะอรหัตตมรรค ในกาลใด คือในเวลาใดดวยปฏิเวธญาณ กลาวคือโมนะนั้นนั่นเองแหละรู คือรูแจงพระนิพพาน กระทําใหประจักษแกตน. ปาฐะวา อเวทิ ดังนี้ก็มี. อธิบายวา ไดรูทั่วถึง. ศัพทวา อถ ในคําวา อถ รูปา อรูปา จ สุขทุกฺขา ปมุจฺจติ แปลวา ภายหลังแตการตรัสรูพระนิพพานนั้น. บทวา รูปา ไดแก รูปธรรม. ดวยบทวารูปานั้น เปนอันทานถือเอาปญจโวการภพและเอกโวการภพ. บทวา อรูปาไดแกอรูปธรรม. ดวยบทวา อรูปานั้น เปนอันทานถือเอาอรูปภพ เพราะไมเจือปนกับรูปที่เรียกวา จตุโวการภพก็มี. บทวา สุขทุกฺขา ความวา จากวัฏฏะแมที่มีทั้งสุขทั้งทุกขอันเกิดขึ้นในที่ทุกแหง. อีกอยางหนึ่ง บทวา รูปา ไดแก เพราะปฏิสนธิในรูปโลก. บทวา อรูปา ไดแก เพราะปฏิสนธิในอรูปโลก. บทวา สุขทุกฺขา ไดแกเพราะปฏิสนธิ ในกามาวจรภูมิ. จริงอยู กามภพมีทั้งสุขและทุกขเจือปนกัน. พราหมณนั้น ยอมพนจากวัฏฏะแมทั้งสิ้นนั้นโดยสิ้นเชิงทีเดียว ดวยประการฉะนี้แล.
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 160
แมดวยคาถา ๒ คาถา พระผูมีพระภาคเจาทรงแสดงวา พระนิพพานเห็นปานนี้ เปนคติแหงพาหิยะผูเปนบุตรของเราแล
จบอรรถกถาพาหิยสูตรที่ ๑๐
จบโพธิวรรควรรณนาที่ ๑
รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. ปฐมโพธิสูตร ๒. ทุติยโพธิสูตร ๓. ตติยโพธิสูตร ๔. อชปาลนิโครธสูตร ๕. เถรสูตร ๖. มหากัสสปสูตร ๗. ปาวาสูตร ๘. สังคามชิสูตร ๙. ชฏิลสูตร ๑๐. พาหิยสูตร และอรรถกถา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น