อรรถกถาพาหิยสูตร

 
chatchai.k
วันที่  21 มิ.ย. 2564
หมายเลข  34462
อ่าน  1,228

[เล่มที่ 44] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 129

อรรถกถาพาหิยสูตร


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 21 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 129

อรรถกถาพาหิยสูตร

พาหิยสูตรที่ ๑๐ มีวินิจฉัยดังตอไปนี้ :-

บทวา พาหิโย เปนชื่อของทาน. บทวา ทารุจีริโย ไดแก ผาคากรองที่ทําดวยไม. บทวา สุปฺปารเก ไดแก อยูที่ทาชื่ออยางนั้น. ก็พาหิยะนี้คือใคร และอยางไรจึงเปนผูทรงผาคากรองทําดวยไม อยางไร จึงอยูอาศัยที่ทาสุปปารกะ

ในขอนั้น มีอนุปุพพิกถาดังตอไปนี้

ไดยินวา ในกาลแหงพระสัมมาสัมพุทธเจาพระนามวา ปทุมุตตะ ในที่สุดแสนกัปแตภัทรกัปนี้ กุลบุตรคนหนึ่งกําลังฟงพระธรรมเทศนา ของพระทศพลที่หังสวดีนคร เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุรูปหนึ่งไวในตําแหนงเอตทัคคะแหงภิกษุผูเปนขิปปาภิญญา คิดวา ไฉนหนอ ในอนาคต เราจักบวชในพระศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจาเห็นปานนี้ แลวพึงเปนผูอันพระศาสดาสถาปนาไวในตําแหนงเอตทัคคะเชนนี้ เหมือนภิกษุรูปนี้ ไดปรารถนาตําแหนงนั้น จึงบําเพ็ญบุญญาธิการอันสมควรแกตําแหนงนั้น บําเพ็ญบุญอยูตลอดชีวิต มีสวรรคเปนที่ไปในเบื้องหนา ทองเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย บวชในพระศาสนาของพระกัสสปทศพล มีศีลบริบูรณบําเพ็ญสมณธรรม ถึงความสิ้นชีวิตแลวบังเกิดในเทวโลก. ทานอยูในเทวโลกสิ้นพุทธันดรหนึ่ง ในพุทธุปบาทกาลนี้ ถือปฏิสนธิในเรือนมีสกุลในพาหิยรัฐ ชนทั้งหลายจําเขาไดวา พาหิยะ เพราะเกิดในพาหิยรัฐ. เขาเจริญวัยแลวอยูครองเรือน เอาเรือบรรทุกสินคามากมาย แลนไปยังสมุทรกลับไปกลับมา สําเร็จความประสงค ๗ ครั้งจึงกลับนครของตน ครั้นครั้งที่ ๘ คิดจะไปสุวรรณภูมิ จึงขนสินคาแลนเรือไป เรือ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
chatchai.k
วันที่ 21 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 130

แลนเขามหาสมุทรยังไมทันถึงถิ่นที่ปรารถนา ก็อับปางในทามกลางสมุทร. มหาชนพากันเปนภักษาของปลาและเตา สวนทานพาหิยะเกาะกระดานแผนหนึ่ง กําลังขามอยูถูกกําลังคลื่นซัดไปทีละนอยๆ ในวันที่ ๗ ก็ถึงฝงใกลทาสุปปารกะ. ทานนอนที่ฝงสมุทร โดยรูปกายเหมือนตอนเกิด เพราะผาพลัดตกไปในสมุทร บรรเทาความกระวนกระวายไดแตเพียงลมหายใจ ลุกขึ้นเขาไประหวางพุมไมดวยความละอาย ไมเห็นอะไรๆ อยางอื่นที่จะเปนเครื่องปดความละอาย จึงหักกานไมรัก เอาเปลือกพัน (กาย) ทําเปนเครื่องนุงหมปกปดไว. แตอาจารยบางพวกกลาววา เจาะแผนกระดานเอาเปลือกไมรอยทําเปนเครื่องนุงหมปกปดไว. ทานปรากฏวา ทารุจีริยะ. เพราะทรงผาคากรองทําดวยไม และวา พาหิยะ ตามชื่อเดิมแมโดยประการทั้งปวง ดวยประการฉะนี้.

ทานถือกระเบื้องอันหนึ่ง เที่ยวขอกอนขาวที่ทาสุปปารกะ โดยทํานองดังกลาวแลว พวกมนุษยเห็นเขาจึงคิดวา ถาชื่อวาพระอรหันต ยังมีในโลกไซร ทานพึงเปนอยางนี้ พระผูเปนเจาองคนี้ จะถือเอาผาที่เขาใหหรือไมถือเอาเพราะความมักนอย ดังนี้ เมื่อจะทดลอง จึงนอมนําผาจากที่ตางๆ เขาไป. เขาคิดวา ถาเราจักไมมาโดยทํานองนี้ไซร เมื่อเปนเชนนี้ พวกเหลานี้พึงไมเลื่อมใสเรา ไฉนหนอ เราพึงหามผาเหลานี้เสีย อยูโดยทํานองนี้แหละ เมื่อเปนเชนนี้ ลาภสักการะก็จักเกิดขึ้นแกเรา. เขาคิดอยางนี้แลว จึงตั้งอยูในฐานะเปนผูหลอกลวงไมรับผา. พวกมนุษยคิดวา นาอัศจรรย พระผูเปนเจานี้มักนอยแท จึงมีจิตเลื่อมใส โดยประมาณยิ่ง กระทําสักการะและสัมมานะเปนอันมาก. ฝายทานรับประทานอาหารแลว ไดไปยังเทวสถานแหงหนึ่งในที่ไมไกล. มหาชนก

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
chatchai.k
วันที่ 21 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 131

ไปกับทานเหมือนกัน ไดซอมแซมเทวสถานนั้นให. ทานคิดวา คนเหลานี้ เลื่อมใสในฐานะเพียงที่เราทรงผาคากรอง จึงพากันทําสักการะและสัมมานะอยางนี้ เราควรจะมีความประพฤติอยางสูงสําหรับคนเหลานี้ จึงเปนผูมีบริขารเบาๆ เปนผูมักนอยอยู. ฝายทานเมื่อถูกคนเหลานั้นยกยองวา เปนพระอรหันต ก็สําคัญตนวาเปนพระอรหันต อนึ่ง การทําสักการะ และทําความเคารพ ก็เจริญยิ่งๆ ขึ้น และทานก็ไดมีปจจัยมากมาย. เพราะเหตุนั้น ทานจึงกลาวคํามีอาทิวา " ก็สมัยนั้นแล ทานพาหิยะ ทารุจีริยะ อาศัยอยูที่ทาสุปปารกะใกลฝงสมุทร เปนผูอันมหาชนสักการะ เคารพ.

บรรดาบทเหลานั้นบทวา สกฺกโต ความวา เปนผูอันมหาชน สักการะโดยการบํารุงดวยความเคารพ คือ เอื้อเฟอ. บทวา ครุกโต ความวา ผูอันมหาชนกระทําใหหนัก ดวยการกระทําใหหนักดุจฉัตรหิน โดยความประสงควา เปนผูประกอบดวยคุณวิเศษ. บทวา มานิโต ความวา ผูอันมหาชนนับถือดวยการยกยองดวยน้ําใจ. บทวา ปูชิโต ความวา ผูอันมหาชนบูชาแลวดวยการบูชา ดวยการสักการะ มีดอกไมและของหอมเปนตน . บทวา อปจิโต ไดแก ผูอันมหาชนยําเกรงแลวดวยการใหหนทาง และการนําอาสนะมาเปนตน ดวยจิตเลื่อมใสอยางยิ่ง. บทวา สาภี จีวร ฯ เป ฯ ปริกฺขาราน ความวา เปนผูไดดวยการไดปจจัย ๔ มี จีวรเปนตน อันแสนจะประณีตที่มหาชนนําเขาไปยิ่งๆ . อีกนัยหนึ่ง บทวา สกฺกโต ไดแก ไดรับสักการะ. บทวา ครุกโต ไดแก ไดรับความเคารพ. บทวา มานิโต ไดแก อันมหาชนนับถือมาก และมีใจรักมาก. บทวา ปูชิโต ไดแก อันมหาชนบูชาแลวดวยการบูชาอยางยิ่ง

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
chatchai.k
วันที่ 21 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 132

ดวยปจจัย ๔. บทวาอปจิโต ไดแก ไดรับความออนนอมถอมตน. จริงอยู ชนทั้งหลายยอมสักการะดวยปจจัย ๔ ตกแตงอยางดี ทําใหแสนจะประณีตมอบใหผูใด ผูนั้นชื่อวาอันเขาสักการะ. คนทั้งหลายทําความเคารพใหปรากฏแลวมอบใหในผูใด ผูนั้นชื่อวา อันเขากระทําเคารพ, ชนทั้งหลาย ยอมมีใจประพฤติรักใครและนับถือมากซึ่งผูใด ผูนั้น ชื่อวา อันเขานับถือ, คนทั้งหลายทําสิ่งนั้นทั้งหมดดวยการบูชาแกผูใด ผูนั้น ชื่อวาอันเขาบูชา, ชนทั้งหลาย ยอมกระทําการนบนอบอยางยิ่ง ดวยการอภิวาท การตอนรับและอัญชลีกรรมเปนตนแกผูใด ผูนั้นชื่อวา อันเขายําเกรง. ก็คนเหลานั้น ไดกระทําสิ่งนั้นทุกอยางแกพาหิยะ. ดวยเหตุนั้น ทานจึงกลาวคํามีอาทิวา ทานพาหิยทารุจีริยะ อันเขาสักการะแลว อาศัยอยูที่ทาสุปปารกะ. ก็ในที่นี้ทานพาหิยทารุจีริยะ แมเมื่อไมรับจีวร เขาก็กลาววา เปนผูไดแมจีวรเหมือนกัน ดวยการนอมเขาไปวา มาเถิดขอรับ จงรับผานี้.

บทวา รโหคตฺสฺส ไดแก อยูในที่ลับ. บทวา ปฏิสลฺลีนสฺส ไดแก เปนผูอยูโดดเดี่ยว. เมื่อถูกพวกมนุษยเปนอันมากกลาววา ทานเปนพระอรหันต ทานก็เกิดความปริวิตกแหงใจ คือเกิดความดําริผิดแหงจิต โดยอาการที่กลาวอยูในบัดนี้. เกิดความปริวิตกอยางไร? เกิดความ ปริวิตกขึ้นวา คนเหลาใดเหลาหนึ่ง จะเปนพระอรหันต หรือทานผูบรรลุอรหัตตมรรคในโลก เราเปนคนหนึ่งในจํานวนพระอรหันต หรือทานผูบรรลุอรหัตตมรรคนั้น ความขอนั้นมีอธิบายดังนี้ ชนเหลาใด ชื่อวาเปนพระอรหันต เพราะกําจัดขาศึกคือกิเลสในสัตวโลกนี้ และเพราะเปนผูควรแกบูชาและสักการะเปนตน หรือคนเหลาใด ชื่อวาบรรลุ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
chatchai.k
วันที่ 21 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 133

พระอรหัตตมรรค เพราะฆาขาศึกคือกิเลสเหลานั้น บรรดาคนเหลานั้น เปนคนหนึ่ง.

บทวา โปราณสาโลหิตาไดแก เทวดาผูบําเพ็ญสมณธรรมรวมกัน เสมือนพวกพองรวมสายโลหิตกันในภพกอน. แตอาจารยบางพวกกลาววา บทวา ปุราณสาโลหิตา ไดแกเทวดาองคหนึ่งผูเปนมารดารวมสายโลหิต ในกาลกอน คือในภพอื่น. ในอรรถกถาทานปฏิเสธคํานั้น ไดถือเอาความหมายแรกเทานั้น.

ไดยินวา เมื่อกอน ศาสนาของพระกัสสปทศพลจะเสื่อม ภิกษุ ๗ รูป เห็นประการอันแปลกของสหธรรมิกมีสามเณรเปนตน เกิดความสลดใจ คิดวาศาสนายังไมอันตรธานตราบใด เราจะทําที่พึ่งของตนตราบนั้น จึงเจดียทองแลวเขาปา เห็นภูเขาลูกหนึ่งจึงกลาววา ผูมีความอาลัยในชีวิตจงกลับไป ผูไมมีความอาลัยจงขึ้นภูเขาลูกนี้ แลวพากันผูกบันไดขึ้นภูเขานั้นทั้งหมด แลวผลักบันไดลง การทําสมณธรรม. บรรดาภิกษุ เหลานั้น พระสังฆเถระบรรลุพระอรหัตโดยลวงไปราตรีเดียวเทานั้น. ทาน นําบิณฑบาตมาจากอุตตรกุรุทวีปแลวกลาวกะภิกษุเหลานั้นวา ทานผูมีอายุทั้งหลาย โปรดฉันบิณฑบาตจากที่นี้เถิด. ภิกษุเหลานั้นกลาววา ทานผูเจริญ ทานไดทําอยางนี้ดวยอานุภาพของตน ถาแมพวกกระผมจักยังคุณวิเศษใหเกิดขึ้นไดเชนทานไซร จักนํามาฉันเสียเองทีเดียว จึงไมปรารถนาจะฉัน. ตั้งแตวันที่สองไป พระเถระที่ ๒ ก็บรรลุอนาคามิผล. แมทาน ก็ถือบิณฑบาตเหมือนอยางนั้นไปยังที่นั้น แลวนิมนตภิกษุนอกนี้ (ฉัน) . ฝายภิกษุเหลานั้นก็ไดปฏิเสธเหมือนอยางนั้นนั่นแหละ. บรรดาภิกษุเหลานั้น ภิกษุผูบรรลุพระอรหัตก็ปรินิพพานไป. พระอนาคามีก็ไป

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
chatchai.k
วันที่ 21 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 134

บังเกิดในชั้นสุทธาวาส. สวนพระ ๕ รูปนอกนี้ แมเพียรพยายามอยูก็ไมอาจทําคุณวิเศษใหเกิดขึ้นได. ภิกษุเหลานั้นเมื่อไมสามารถ (จะทําอะไร ได) ก็ซูบผอมตายลงในที่นั้นเอง แลวบังเกิดในเทวโลก ทองเที่ยวไปในเทวโลกนั่นแหละสิ้นพุทธันดรหนึ่ง ในพุทธุปบาทกาลนี้ ไดจุติจากเทวโลกบังเกิดในเรือนมีสกุลนั้นๆ . ก็บรรดาคนเหลานั้น คนหนึ่งไดเปพระราชาพระนามวา ปุกกุสะ, คนหนึ่งเปน กุมารกัสสปะ, คนหนึ่งเปน ทัพพมัลลบุตร, คนหนึ่งเปน สภิยปริพาชก, คนหนึ่งเปน พาหิยะ ทารุจีริยะ. บรรดาคนเหลานั้น พระอนาคามีผูที่บังเกิดในพรหมโลก ซึ่งทานหมายเอากลาวคํานี้ไววา ปุราณสาโลหิตาเทวตา เทวดาผูรวมสาโลหิต ดังนี้. จริงอยู แมเทวบุตรก็เรียกวา เทวดา เพราะอธิบายวา เทวดาก็คือเทพ เหมือนเทพธิดา ดุจในประโยคมีอาทิวา อถ โข อฺ ตรา เทวตา ครั้งนั้นแล เทวดาองคหนึ่ง. แตในที่นี้ พรหม ทานประสงคเอาวา เทวดา.

ก็เมื่อพรหมนั้นตรวจดูพรหมสมบัติแลวนึกถึงสถานที่ตนมา ในลําดับที่เกิดในพรหมโลกนั้นทีเดียว การที่พวกชนทั้ง ๗ คนขึ้นภูเขากระทําสมณธรรมก็ดี ความที่ตนบรรลุอนาคามิผล แลวบังเกิดในพรหมโลกก็ดี ปรากฏแลว. พรหมนั้นรําพึงวา ฝายชนทั้ง ๕ บังเกิดที่ไหนหนอ รูวา ชนเหลานั้นบังเกิดในเทวโลกชั้นกามาวจร ครั้นตอมา ตามเวลาอันสมควร ไดตรวจดูประวัติของชนเหลานั้นวาการทําอะไรกันหนอ. แตในเวลานี้ เมื่อรําพึงวา พวกเหลานั้นอยูที่ไหนหนอ จึงไดเห็นพาหิยะอาศัยทาสุปปารกะ นุงผาคากรองทําดวยเปลือกไม เลี้ยงชีพดวยการหลอกลวง คิดวา เมื่อกอน ผูนี้พรอมกับเราผูกบันไดขึ้นภูเขากระทําสมณธรรม ไม่

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
chatchai.k
วันที่ 21 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 135

อาลัยในชีวิต เพราะประพฤติกวดขันอยางยิ่ง แมพระอรหันตจะนําบิณฑบาตมาใหก็ไมฉัน บัดนี้ประสงคแตจะใหเขายกยอง ไมเปนพระอรหันตเลย ก็ยังเที่ยวปฏิญาณตนวาเปนพระอรหันต มีความปรารถนาลาภ สักการะและชื่อเสียง ทั้งไมรูวาพระทศพลอุบัติขึ้นแลว เอาเถอะ เราจักทําเขาใหสลดใจแลวใหรูวา พระพุทธเจาอุบัติขึ้นแลว ทันใดนั้นเอง จึงลงจากพรหมโลก ปรากฏตรงหนาทานทารุจีริยะ ที่ทาสุปปารกะ ตอนกลางคืน. ทานพาหิยะเห็นแสงสวางโชติชวงในที่อยูของตน จึงคิดวา นี้เหตุอะไรหนอ แลวไดออกไปขางนอกตรวจดูอยู เห็นมหาพรหมอยูในอากาศ จึงประคองอัญชลีถามวา ทานเปนใคร? ลําดับนั้น พรหมได กลาวแกทานวา เราเปนสหายเกาของทาน คราวนั้นเราบรรลุอนาคามิผล บังเกิดในพรหมโลก แตทานไมสามารถจะทําคุณวิเศษอะไรใหบังเกิดได คราวนั้นทานทํากาลกิริยาเยี่ยงปุถุชนทองเที่ยวไป บัดนี้ ทรงเพศเยี่ยงเดียรถีย ไมเปนพระอรหันตเลย ยังเที่ยวถือลัทธินี้วา เราเปนพระอรหันต (เรา) รูดังนี้จึงไดมา ดูกอนพาหิยะ ทานไมไดเปนพระอรหันตเลย จง สละทิฏฐิอันลามกเชนนั้นเสียเถิด ทานอยาไดเปนไปเพื่อฉิบหาย เพื่อทุกข ตลอดกาลนานเลย พระสัมมาสัมพุทธเจาอุบัติขึ้นแลวในโลก ความจริง พระผูมีพระภาคเจาพระองคนั้นเปนพระอรหันต จงเขาไปเฝาพระองคเถิด. ดวยเหตุนั้น ทานจึงกลาวคํามีอาทิวา ครั้งนั้นแล เทวดาผูเปนสาโลหิตของพาหิยะ ทารุจีริยะ ดังนี้.

บรรดาบทเหลานั้น บทวา อนุกมฺปกา ไดแกผูมีปกติอนุเคราะห. คือ ผูยิ่งดวยกรุณา. บทวาอตฺถกามา ไดแก ผูปรารถนาประโยชน คือ ผูยิ่งดวยเมตตา. ก็ในที่นี้ดวยบทแรก ทานแสดงถึงความที่เทวดานั้น

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
chatchai.k
วันที่ 21 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 136

ประสงคจะบําบัดทุกขของพาหิยะ, ดวยบทหลัง แสดงถึงการนําประโยชนเกื้อกูลเขาไป. บทวา เจตสา ไดแกดวยจิตของตน. ก็ในที่นี้ พึงทราบวา ทานถือเอาเจโตปริยญาณ โดยยกจิตขึ้นเปนประธาน. บทวา เจโตปริวิตกฺก ไดแก ความเปนไปแหงจิตของทาน. บทวา อฺาย แปลวา รูแลว. บทวา เตนุปสงฺกมิ ความวา บุรุษผูมีกําลังเหยียดแขนที่คูเขา หรือคูแขนที่เหยียดออก ชื่อแมฉันใด พรหมอันตรธานจากพรหมโลกเขาไปปรากฏตรงหนาพาหิยะ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน. บทวา เอตทโวจ ความวา พรหมไดกลาวคํานี้ คือคําที่จะกลาวในบัดนี้ มีอาทิวา พาหิยะ ทานมิใชพระอรหันตแล ดังนี้ ก็ทานพาหิยะผูมิจฉาปริวิตกที่เปนไป มีอาทิวา ผูใดผูหนึ่งจะเปนพระอรหันตหรือ ดังนี้ เหมือนจับโจรพรอมทั้งของกลาง. ดวยบทวา เนว โข ตฺว พาหิยะ อรหา นี้ พรหมปฏิเสธวาทานพาหิยะมิใชพระอเสขะในกาลนั้น. ดวยบทวา นาป อรหตฺตมคฺค วา สมาปนฺโน นี้ แสดงวาทานพาหิยะยังเปนเสขบุคคล. แมดวยบททั้งสอง นั้น แสดงวาทานพาหิยะไมใชพระอริยบุคคลเลย. ก็ดวยคําวา สาป เต ปฏิปทา นตฺถิ ยาย พาหิย ตฺว อรหา วา อสฺสสิ อรหตฺตมคฺค วา สมาปนฺโน นี้ พรหมปฏิเสธวา ทานพาหิยะเปนเพียงกัลยาณปุถุชน. บรรดาบทเหลานั้น บทวา ปฏิปทา ไดแก วิสุทธิ ๖ (ขางตน) มีสีลวิสุทธิเปนตน. ที่ชื่อวาปฏิปทา เพราะเปนเครื่องดําเนินไปในอริยมรรค. บทวาอสฺสสิ แปลวา พึงเปน

ถามวา ก็ความสําคัญตนวาเปนพระอรหันตนี้ เกิดขึ้นแกทาน เพราะ อาศัยอะไร? ตอบวา อาจารยบางพวกกลาววา ความสําคัญตนวาเปนพระอรหันตเกิดขึ้นแกทาน เพราะทานกําจัดกิเลสไดดวยตทังคปหาน เหตุได

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
chatchai.k
วันที่ 21 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 137

สรางบุญญาธิการไวตลอดกาลนาน โดยความที่ทานเปนผูมักนอย สันโดษ และเปนผูขัดเกลา. แตอาจารยอีกพวกหนึ่งกลาววา ทานพาหิยะไดฌาน ๔ มีปฐมฌานเปนตน เพราะฉะนั้น ความสําคัญตนวาเปนพระอรหันต จึงเกิดขึ้นแกทาน เพราะกิเลสไมฟุงขึ้นดวยวิกขัมภนปหาน. ทั้งสองอยางนั้น เปนเพียงมติของเกจิอาจารยเทานั้น เพราะมาในอรรถกถาวา ทานประสงคแตความยกยอง และวา ทานไมปรารถนาลาภสักการะและการสรรเสริญ. เพราะฉะนั้น พึงทราบความในขอนี้ โดยนัยดังกลาวแลวนั่นแล.

ลําดับนั้น ทานพาหิยะแลดูมหาพรหมผูยืนกลาวอยูในอากาศ จึงคิดวา โอ ขอที่เราเขาใจวาเปนพระอรหันต เปนกรรมหนักแท และพรหมนี้กลาววาแมปฏิปทาเปนเครื่องบรรลุพระอรหัตก็ไมมีแกทาน ใครๆ ผูเปนพระอรหันตในโลกมีอยูหรือหนอ. ลําดับนั้น จึงถามมหาพรหมนั้น ดวยเหตุนั้น ทานจึงกลาววา อถ เก จรหิ เทวเต โลเก อรหนฺโต วา อรหตฺตมคฺค วา สมาปนฺนา.

บรรดาบทเหลานั้น ศัพทวา อถ เปนนิบาตใชในอรรถเริ่มคําถาม. บทวา เก จรหิ แกเปน เก เอตรหิ. บทวา โลเก ไดแกในโอกาสโลก. ก็ในขอนี้ มีอธิบายดังตอไปนี้ ครั้งนั้น ในพื้นชมพูทวีปทั้งสิ้น อันเปนโลกเปนที่รองรับ บัดนี้ พระอรหันตหรือผูบรรลุอรหัตตมรรค มีอยูที่ไหนอันเปนที่ที่พวกเราเขาไปหาทานเหลานั้น ตั้งอยูในโอวาทของทานแลว จักพนจากวัฏทุกข.

บทวา อุตฺตเรสุ ทานกลาวหมายเอาดานทิศตะวันออกเฉียงเหนือ จากทาสุปปารกะ. บทวา อรห ไดแก ชื่อวาเปนพระอรหันต เพราะ เปนผูไกล (จากกิเลส) จริงอยู พระอรหันตนั้นชื่อวาเปนผูไกล คือ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
chatchai.k
วันที่ 21 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 138

ตั้งอยูในที่ไกลแสนไกลจากสรรพกิเลส. (และ) ชื่อวาพระอรหันต เพราะ กําจัดกิเลสพรอมทั้งวาสนาดวยมรรค หรือฆากิเลสดุจขาศึกเสียได. จริงอยู ขาศึกคือกิเลสทั้งหลาย อันพระผูมีพระภาคเจาฆา คือถอนแลวดวยอรหัตตมรรคโดยสิ้นเชิง. อนึ่ง ชื่อวาเปนพระอรหันต เพราะกําจัดกําคือกิเลสเสียได. จริงอยู พระผูมีพระภาคเจานั้นทรงยืนหยัดอยูบนปฐพีคือศีล ดวยพระยุคลบาทคือวิริยะ ทรงใชพระหัตถคือศรัทธา จับขวานคือญาณอันเปนเหตุกระทํากรรมใหสิ้น แลวทรงประหารคือกําจัดกําทั้งหมด แหงสังสารจักรอันมีดุมสําเร็จดวยอวิชชา ภพและตัณหา มีบุญญาภิสังขารเปนตนเปนกํา มีชราและมรณะเปนกง สอดใสเพลาอันสําเร็จดวยอาสวะ สมุทัยประกอบเขาในรถคือภพ ๓ เปนไปตลอดกาลไมมีเบื้องตน. อีกอยางหนึ่ง ชื่อวาพระอรหันต เพราะเปนผูควร. ความจริง พระผูมีพระภาคเจายอมควรแกปจจัยมีจีวรเปนตนอันยิ่ง และบูชาพิเศษ เพราะ พระองคเปนพระทักขิไณยบุคคลอันเลิศในโลกพรอมทั้งเทวโลก. อนึ่ง ชื่อวาพระอรหันต เพราะไมมีความลับ (ในการทําบาป) จริงอยู พระตถาคตทานเรียกวาพระอรหันต เพราะไมมีความลับในการทําบาป โดยกิเลสลามกไมมี เพราะพระองคถอนกิเลสมีราคะเปนตนไดโดยประการทั้งปวง.

ชื่อวา สัมมาสัมพุทธะ เพราะตรัสรูธรรมทั้งปวงโดยชอบและดวยพระองคเอง. จริงอยูพระผูมีพระภาคเจาทรงตรัสรูยิ่ง ซึ่งธรรมที่ควรรูยิ่ง ซึ่งธรรมที่ควรกําหนดรู โดยเปนธรรมที่ควรกําหนดรู ซึ่งธรรมที่ควรละโดยเปนธรรมที่ควรละ ซึ่งธรรมที่ควรทําใหแจง โดยเปนธรรมที่

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
chatchai.k
วันที่ 21 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 139

ควรทําใหแจง ซึ่งธรรมที่ควรเจริญโดยเปนธรรมที่ควรเจริญ. มีจริง ดังที่ตรัสไววา

อภิฺเยฺย อภิฺาต ภาเวตพฺพฺจ ภาวิต ปหาตพฺพ ปหีนมฺเม ตสฺมา พุทฺโธสฺมิ พฺราหฺมณ.

ธรรมที่ควรรูยิ่ง เรารูยิ่งแลว ธรรมที่ควรเจริญ เราเจริญแลว ธรรมที่ควรละ เราละไดแลว เพราะฉะนั้นแหละ พราหมณ เราจึงเปนพระพุทธเจา.

อีกอยางหนึ่ง พึงแนะนําอรรถนี้โดยธรรมหมวดสามและสองทั้งปวง เปนตน โดยนัยมีอาทิวา ธรรมชื่อวาเปนกุศลเพราะไมมีโทษ มีสุขเปนผล ธรรมชื่อวาเปนอกุศลเพราะมีโทษ มีทุกขเปนผล. ในขอนี้มีความสังเขปดังนี้วา ชื่อวาสัมมาสัมพุทธะ เพราะตรัสรูยิ่งซึ่งธรรมทั้งปวง โดยอาการทั้งปวง ดวยสยัมภูญาณอันไมวิปริตดวยประการดังนี้ . สวนความพิสดาร พึงทราบโดยนัยที่มาในวิสุทธิมรรคนั้นแล.

บทวา อรหตฺตตาย ไดแก เพื่อไดอรหัตตผล. บทวา ธมฺม เทเสติ ความวา ยอมอาง คือแสดงธรรมคือปฏิปทามีศีลเปนตน อันควรแกคุณพิเศษมีไพเราะในเบื้องตนเปนตน หรือธรรมคือสมถะและวิปสสนาอันเหมาะแกอัธยาศัยของเวไนยสัตวนั่นแล. บทวา ส เวชิโต ความวา ใหถึงความสลดใจวา ผูเจริญ นาติเตียนจริง ความเปนปุถุชน อันเปนเหตุใหเราผูไมเปนพระอรหันตเลย สําคัญวาเปนพระอรหันต และไมรูพระสัมมาสัมพุทธเจาผูเสด็จอุบัติขึ้นในโลกทรงแสดงธรรมอยู ก็ความเปนอยูรูไดยาก ความตายก็รูไดยาก. อธิบายวา มีใจสลดดวยอาการตามที่กลาวแลว ดวยคําพูดของเทวดา. บทวา ตาวเทว แปลวา ในขณะนั้นนั่นเอง.

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
chatchai.k
วันที่ 21 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 140

บทวา สุปฺปารกาปกฺกามิ ความวา ผูมีหทัยอันปติมีพระพุทธเจาเปนอารมณ อันเกิดขึ้นเพราะไดยินพระนามวา พุทฺโธ และถูกความสังเวชตักเตือนอยู จึงไดจากทาสุปปารกะหลีกไป มุงตรงกรุงสาวัตถี. บทวา สพฺพตฺถ เอกรตฺติปริวาเสน ความวา ไดไปโดยอยูพักแรมราตรีเดียวในหนทางทั้งปวง. จริงอยู เมืองสาวัตถีจากทาสุปปารกะ มีระยะทาง ๑๒๐ โยชน แตทานพาหิยะนี้ ไดไปยังกรุงสาวัตถีนั้นโดยพักแรมราตรีเดียว ตลอดระยะทางเทานี้. ทานถึงกรุงสาวัตถีในวันที่ออกจากทาสุปปารกะนั่นเอง ถามวา ก็อยางไร ทานพาหิยะนี้จึงไดไปอยางนั้น ตอบวา เพราะอานุภาพของเทวดา อาจารยบางพวกกลาววา เพราะพุทธานุภาพ ก็มี เปนอันทานแสดงอธิบายไวดังนี้วา ก็เพราะทานกลาววา โดยพักแรมราตรีเดียวในที่ทุกสถาน และเพราะหนทางมีระยะ ๑๒๐ โยชน ในระหวางทางทานไมใหอรุณที่ ๒ ตั้งขึ้นในที่ที่คนอยูตอนกลางคืนในคามนิคมและราชธานี จึงไปถึงกรุงสาวัตถีโดยพักแรมราตรีเดียวในที่ทุกแหง ขอนี้ ไมพึงเห็นอยางนี้วา ทานอยูในหนทางนั้นทั้งสิ้นเพียงราตรีเดียว เพราะประสงคเอาความนี้วา โดยพักแรมแหงละราตรีในหนทางทั้งหมด มีระยะทาง ๑๒๐ โยชน ในวันสุดทายเวลาเย็น จึงถึงกรุงสาวัตถี.

ฝายพระผูมีพระภาคเจาทรงทราบวา พาหิยะมาถึง ทรงพระดําริวา ชั้นแรก อินทรียของทานพาหิยะยังไมแกกลา แตในระหวางชั่วครูหนึ่งจักถึงความแกกลา ดังนี้แลว รอคอยใหทานมีอินทรียแกกลา จึงแวดลอมดวยภิกษุสงฆหมูใหญ เสด็จทรงบาตรยังกรุงสาวัตถีในขณะนั้น. และทานพาหิยะนั้นก็เขาไปยังพระเชตวัน เห็นภิกษุเปนอันมากฉันภัตตาหารเชาแลว จงกรมอยูในอัพโภกาสกลางแจง เพื่อปลดเปลื้องความเกียจครานกาย

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
chatchai.k
วันที่ 21 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 141

จึงถามวา บัดนี้พระผูมีพระภาคเจาประทับอยูที่ไหน. ภิกษุทั้งหลายกลาววา พระผูมีพระภาคเจาทรงบาตรยังกรุงสาวัตถี แลวถามวา ก็ทานเลามาแตไหน? ทานตอบวา มาจากทาสุปปารกะ. ภิกษุทั้งหลายกลาววา ทานมาไกล เชิญนั่งกอน จงลางเทา ทาน้ํามัน แลวพักสักหนอยหนึ่ง ในเวลาพระองคกลับมา ก็จักเห็นพระศาสดา. ทานพาหิยะกลาววา ทานขอรับ กระผมไมรูอันตรายแหงชีวิตของตน โดยวันเล็กนอย กระผมไมยืน ไมนั่งนานแมในที่ไหนๆ มาสิ้นระยะทาง ๑๒๐ โยชน พอเฝาพระศาสดาแลวจึงจักพักผอน จึงรีบดวนไปยังกรุงสาวัตถี เห็นพระผูมีพระภาคเจาผูรุงโรจนดวยพุทธสิริหาที่เปรียบปานมิได. ดวยเหตุนั้น ทานจึงกลาววา ก็สมัยนั้นแล ภิกษุเปนอันมากจงกรมอยูในโอกาสกลางแจง. ลําดับนั้นแล ทานพาหิยะ ทารุจีริยะไดเขาไปหาภิกษุเหลานั้นถึงที่อยู ดังนี้เปนตน.

บรรดาบทเหลานั้น บทวา กห เปน กตฺถ แปลวาที่ไหน. ศัพทวา นุ ใชในอรรถวาสงสัย. ศัพทวา โข ใชในอรรถวา ทําบทใหเต็ม. อธิบายวา ในประเทศไหนหนอแล. บทวา ทสฺสนกามา แปลวา เปนผูใครจะเห็น. ทานแสดงไววา ก็เราปรารถนาจะเฝาและเขาไปใกลพระผูมีพระภาคเจานั้น เหมือนคนบอดปรารถนาจักษุประสาท เหมือนคนหนวกปรารถนาโสตประสาท เหมือนคนใบปรารถนาการกลาวใหรูเรื่อง เหมือนคนมีมือเทาวิกลปรารถนามือเทา เหมือนคนขัดสนปรารถนาทรัพย์สมบัติ เหมือนคนเดินทางกันดารปรารถนาที่อันปลอดภัย เหมือนคนถูกโรคครอบงําปรารถนาความไมมีโรค เหมือนคนถูกเรืออับปางในมหา-

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
chatchai.k
วันที่ 21 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 142

สมุทรปรารถนาแพใหญ ฉะนั้น. บทวา ตรมานรูโป ไดแก เปนผูมีอาการรีบดวน หรือผูมีการสงเคราะหอันนาสรรเสริญ.

บทวา ปาสาทิก ความวา นํามาซึ่งความเลื่อมใสรอบดานแกชนผูขวนขวายในการเห็นพระรูปกาย เพราะความสมบูรณดวยความงามแหงสรีระของพระองค อันนําความเลื่อมใสมารอบดาน อันประดับดวยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ อนุพยัญชนะ ๘๐ พระรัศมีดานละวา และพระเกตุมาลารัศมีที่เปลงเหนือพระเศียร. บทวา ปสาทนีย ความวา เปนที่ตั้งแหงความเลื่อมใส เหมาะที่จะควรเลื่อมใส หรือควรแกความเลื่อมใสของคนผูมีปญญาเห็นประจักษ เพราะธรรมกายสมบัติอันประกอบดวยจํานวนพระคุณหาประมาณมิได มีทศพลญาณ ๑๐ เวสารัชชญาณ ๔ อสาธารณญาณ ๖ อาเวณิยพุทธธรรม ๑๘ เปนตน. บทวา สนฺตินฺทฺริย ไดแก อินทรีย ๕ ที่สงบระงับ เพราะปราศจากความหวั่นไหวในอินทรียหา มีจักขุนทรียเปนตน. บทวา สนฺตมานส ไดแก มีใจสงบระงับ เพราะเขาถึงภาวะที่มนินทรียที่หกหมดพยศ. บทวา อุตฺตมทมถสมถมนุปฺปตฺต ความวา ถึงโดยลําดับ คือบรรลุความฝกฝนและสงบอันสูงสุด กลาวคือ ปญญาวิมุตติและเจโตวิมุตติอันเปนโลกุตระตั้งอยู. บทวา ทนฺต ความวา ชื่อว่าฝึกกาย เพราะมีกายสมาจารบริสุทธิ์ดี และเพราะไมมีการเลน โดยไมมีการคะนองมือคะนองเทาเปนตน. บทวา คุตฺต ความวา ชื่อวา คุมครองวาจา เพราะมีวจีสมาจารบริสุทธิ์ดี และเพราะไมมีการเลน โดยไมมีวาจาไรประโยชนเปนตน. บทวา ยตินฺทฺริย ไดแกชื่อวา มีอินทรียสํารวมแลว ดวยการประกอบฤทธิ์อันเปนของพระอริยะ เพราะมีมโนสมาจารบริสุทธิ์ดวยดี และดวยอํานาจมนินทรีย เพราะมีความวางเฉยในการไม่

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
chatchai.k
วันที่ 21 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 143

ขวนขวายและการไมพิจารณา. บทวา นาค ความวา ชื่อวา ผูประเสริฐ เพราะเหตุเหลานี้ คือ การไมลุอํานาจฉันทาคติเปนตน กิเลสมีราคะ เปนตน ที่ละไดแลวไมกลับเกิดอีก คือไมหวนกลับมา บาปแมอะไรก็ไมทําแมโดยประการทั้งปวง และไมไปสูภพใหม.

ก็ดวยบทวา ปาสาทิก นี้ ในอธิการนี้ ทานแสดงถึงความสําคัญของพระผูมีพระภาคเจาโดยรูปกาย. ดวยบทวา ปสาทนีย นี้ แสดงถึงความสําคัญของพระผูมีพระภาคเจาโดยธรรมกาย. ดวยบทมีอาทิวา สนฺตินฺทฺริย นี้ แสดงถึงความสําคัญพระคุณที่เหลือ. เพราะเหตุนั้น พึงทราบวา ทานประกาศความสําคัญของพระผูมีพระภาคเจาแกเหลาสัตวโดยสิ้นเชิง ในโลกสันนิวาสที่เชื่อถือประมาณ ๔ พวก.

ก็ทานพาหิยะ ไดเห็นพระผูมีพระภาคเจาผูเปนอยางนั้นกําลังเสด็จไปในถนน ราเริงยินดีวา นานจริงหนอ เราจึงไดเห็นพระผูมีพระภาคเจา มีสรีระอันปติ ๕ ประการถูกตองตลอดเวลา ดวงตาก็นั่งเพราะปติซาบซาน นอมสรีระลงตั้งแตที่ๆ ไดเห็นแลว ก็หยั่งลงทามกลางรัศมีพระวรกายของพระผูมีพระภาคเจา จมลงในพระรัศมีนั้น เขาไปใกลพระผูมีพระภาคเจา ถวายบังคมดวยเบญจางคประดิษฐ นวดฟนพระยุคลบาทของพระผูมีพระภาคเจา จุมพิตอยู พลางกราบทูลวา ขาแตพระองคผูเจริญ ขอพระผูมีพระภาคเจาโปรดแสดงธรรมแกขาพระองคเถิด. เพราะเหตุนั้น จึงกลาววา ทานหมอบลงแทบพระยุคลบาทของพระผูมีพระภาคเจาดวยเศียรเกลา แลวกราบทูลพระผูมีพระภาคเจา ขาแตพระองคผูเจริญ ขอพระผูมี พระภาคเจาโปรดแสดงธรรมแกขาพระองค ขอพระสุคตโปรดแสดง

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
chatchai.k
วันที่ 21 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 144

ธรรมอันเปนไปเพื่อประโยชนเกื้อกูล เพื่อสุข แตขาพระองคสิ้นกาล นานเถิด.

บรรดาบทเหลานั้น บทวา สุคโต ความวา ชื่อวา สุคต เพราะ เสด็จไปงาม คือเสด็จไปสูที่อันงาม เสด็จไปโดยชอบ มีพระวาจาชอบ. จริงอยู การไปทานเรียกวา คต. ก็การไปนั้นของพระผูมีพระภาคเจา งามคือบริสุทธิ์ไมมีโทษ. ถามวา ก็การไปคืออะไร? ตอบวา คืออริยมรรค. จริงอยู พระผูมีพระภาคเจานั้นเสด็จไปสูทิศเกษมไมติดขัดดวยการไปนั้น. แมคนอื่นพระองคก็ใหดําเนินไปดวย เพราะฉะนั้น จึงชื่อวา สุคต เพราะเสด็จไปงาม. ก็พระองคเสด็จไปสูที่อันดี คืออมตนิพพาน เพราะฉะนั้น จึงชื่อวาสุคต เพราะเสด็จไปสูที่อันดี. พระองค ชื่อวา สุคต เพราะเสด็จไปชอบ เหตุไมหวนกลับมาสูกิเลสที่พระองคประหารดวยมรรคนั้นๆ . สมจริงดังพระดํารัสที่ตรัสวา ชื่อวา สุคต เพราะไมมาอีก ไมกลับมา ไมหวนกลับมาสูกิเลสที่พระองคประหารไดดวยโสดาปตติมรรค. ชื่อวา สุคต เพราะไมหวนกลับมาสูกิเลสที่พระองคประหารไดดวยสกทาคามิมรรค ฯลฯ ดวยอรหัตตมรรค. อีกอยางหนึ่ง บทวา สมฺมาคตตฺตา ความวา เพราะเสด็จไป คือดําเนินไปดวยดีดวยสัมมาปฏิบัติ แมในการกําหนดทั้ง ๓ อยาง. จริงอยู ชื่อวา สุคต เพราะเสด็จไปโดยชอบแมดวยอาการอยางนี้วา พระองคทรงบรรลุที่สุดญาตัตถจริยา โลกัตถจริยา พุทธัตถจริยา ดวยสัมมาปฏิบัติอันบริบูรณดวยพระบารมี ๓๐ ถวน จําเดิมแตบาทมูลพระพุทธเจาทีปงกร ตราบเทาถึงมหาโพธิมณฑล ทรงพอกพูนเฉพาะหิตสุขแกโลกทั้งปวง ตอแตนั้น จึงเสด็จไป คือดําเนินไป ดวยการเปนใหญในธรรมที่พระองคทรงบรรลุใน

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
chatchai.k
วันที่ 21 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 145

อริสัจ ๔ ดวยมัชฌิมาปฏิปทา กลาวคือโพชฌงคภาวนาอันยอดเยี่ยม ไมของแวะที่สุดเหลานี้ คือ สัสสตทิฏฐิ อุจเฉททิฏฐิ กามสุขัลลิกานุโยค อัตตกิลมถานุโยค และดวยสัมมาปฏิบัติอันไมใชวิสัยในสัตวทั้งปวง. ก็พระผูมีพระภาคเจานี้ตรัสโดยชอบ คือตรัสพระวาจาเฉพาะที่ควร ในฐานะอันควร เพราะเหตุนั้น ชื่อวา สุคต. สมจริงดังพระดํารัสที่ตรัสวา เราตถาคตเปนกาลวาที พูดตามกาล ภูตวาที พูดตามที่เปนจริง อัตถวาที พูดตามอรรถ ธัมมวาที พูดตามธรรม วินัยวาที พูดตามวินัย พูดวาจาที่มีหลักฐาน มีที่อางมีที่สุดประกอบดวยประโยชนตามกาลอันควร. ตรัสไวอีกอยางมีอาทิวา วาจาใดไมเปนจริงไมแท ไมประกอบดวยประโยชนและวาจานั้นไมเปนที่รักไมเปนที่พอใจของชนเหลาอื่น เราตถาคตไมพูดวาจานั้น. ชื่อวา สุคต แมเพราะตรัสชอบดวยประการฉะนี้. บทวา ย มมสฺส ทีฆรตฺต หิตาย สุขาย ความวา การแสดงอางถึงกรรมใด พึงเปนไปเพื่อประโยชนเกื้อกูลแกฌานและวิโมกขเปนตน และเพื่อสุข ที่จะพึงบรรลุฌานและวิโมกขเปนตนนั้น แกขาพระองคตลอดกาลนาน.

บทวา อกาโล โข ตาว ความวา ดูกอนพาหิยะ ไมใชกาลเพื่อแสดงธรรมแกทานกอน. อธิบายวา ก็เพราะเหตุอะไร พระผูมีพระภาคเจาจึงไมมีกาลในการปฏิบัติประโยชนเกื้อกูลแกสัตวเลา เพราะพระผูมีพระภาคเจาเปนกาลวาที. ก็ในคําวา กาโล นี้ ประสงคเอากาลที่เหลาเวไนยสัตวมีอินทรียแกกลา. ดวยวาเพราะเหตุที่ในขณะนั้น รูไดยากวา อินทรียทั้งหลายของทานพาหิยะแกกลาหรือไมแกกลา ฉะนั้น พระผูมีพระภาคเจาจึงไมตรัสเทศนานั้น เมื่อทรงอางถึงเหตุแกเขาวา

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
chatchai.k
วันที่ 21 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 146

พระองคประทับยืนอยูระหวางถนน จึงตรัสวา อนฺตฆร ปวิฏมฺหา ดังนี้.

บทวา ทุชฺชาน แปลวา พึงรูไดยาก. ดวยบทวา ชีวิตนฺตรายาน ทานพาหิยะประสงคจะกลาววา การเปนไปหรือไมเปนไปแหงธรรมอันทําอันตรายตอชีวิต จึงกลาววา ชีวิตนฺตรายาน ดังนี้ ดวยอํานาจการหมุนเวียน. จริงอยางนั้น ชีวิตคือความเปนไปเนื่องดวยปจจัยเปนอันมาก และอันตรายตอชีวิตนั้นก็มีมาก. สมจริงดังที่ตรัสวา

อชฺเชว กิจฺจมาตปฺป โก ชฺา มรณ สุเว น หิ โน สงฺครนฺเตน มหาเสเนน มจฺจุนา

พึงรีบทําความเพียรในวันนี้แหละ ใครเลาจะรูความตายในวันพรุง เพราะวาความผัดเพี้ยนดวยมฤตยูอันมีเสนาใหญ ยอมไมมีแกเราทั้งหลาย.

ก็เพราะเหตุไร ทานพาหิยะนี้จึงมุงแตอันตรายชีวิตเทานั้นเปนอันดับแรก. อาจารยบางพวกแกวา เพราะทานรูแตอารมณที่เปนนิมิต หรือฉลาดในสิ่งที่คนไมเห็น. อาจารยอีกพวกหนึ่งกลาววา เพราะทานไดยินอันตรายชีวิตในสํานักของเทวดา. ก็ทานถูกอุปนิสัยสมบัติตักเตือนจึงกลาวอยางนั้น เพราะเปนผูมีภพสุดทาย. จริงอยู ทานเหลานั้นยังไมบรรลุพระอรหัต จึงไมสิ้นชีวิต. ก็เพราะเหตุไร พระผูมีพระภาคเจา มีพระประสงคจะทรงแสดงธรรมแกทานนั่นแหละ จึงหามไวถึง ๒ ครั้ง ไดยินวาพระองคมีพระดําริอยางนี้วา ตั้งแตเวลาที่พาหิยะนี้เห็นเรา สรีระทั้งสิ้นอันปติถูกตองไมขาดระยะ กําลังปติมีความรุนแรง แมจักฟงธรรมแลวก็ไมสามารถแทงตลอดไดจึงหามไว ตราบเทาที่มัชฌัตตุเปกขาจะดํารงอยูกอน

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
chatchai.k
วันที่ 21 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 147

แมความกระวนกระวายในกายของทานก็มีกําลัง เพราะทานมาสูหนทาง สิ้นระยะทาง ๑๒๐ โยชน แมทานระงับความกระวนกระวายอยูกอน เพราะเหตุนั้น จึงทรงปฏิเสธถึง ๒ ครั้ง. แตอาจารยบางพวกกลาววา พระผูมีพระภาคเจาไดทรงทําอยางนั้น เพื่อใหเกิดความเอื้อเฟอในการฟงธรรม. แตพระองคถูกขอรองถึงครั้งที่ ๓ ทรงเห็นมัชฌัตตุเปกขาเปนเครื่องระงับความกระวนกระวายและอันตรายชีวิตที่ปรากฏแกทาน ทรงดําริวา บัดนี้ เปนกาลเพื่อแสดงธรรม จึงเริ่มแสดงธรรมโดยนัยมีอาทิวา ตสฺมาติห เต ดังนี้.

บรรดาบทเหลานั้น บทวา ตสฺมา ความวา เพราะทานเปนผูเกิดความขวนขวายออนวอนเราอยางยิ่ง หรือเพราะทานกลาววาอันตรายชีวิตรูไดยาก และอินทรียของทานแกกลาแลว. ศัพทวา ติห เปนเพียงนิบาต. บทวา เต แปลวา อันทาน. ดวยคําวา เอว นี้ ตรัสถึงอาการที่จะกลาวในบัดนี้. บทวา สิกฺขิตพฺพ ความวา พึงทําการศึกษาโดยสิกขาแมทั้ง ๓ มีอธิศีลสิกขาเปนตน.

แตเมื่อพระองคจะทรงแสดงอาการที่จะพึงศึกษา จึงตรัสคํามีอาทิวา ทิฏเ ทิฏมตฺต ภวิสฺสติเมื่อเห็นก็เปนเพียงแตเห็น.

บรรดาบทเหลานั้น บทวา ทิฏเ ทิฏมตฺต ไดแก สักวา การเห็นรูปายตนะ ดวยจักขุวิญญาณ. อธิบายวา เธอพึงศึกษาวา จักขุวิญญาณเห็นซึ่งรูปในรูปเทานั้น หาเห็นสภาพลักษณะมีอนิจจลักษณะเปนตนไม ฉันใด รูปที่เหลือจักเปนเพียงอันเราเห็นดวยวิญญาณที่เปนไปทางจักขุทวารนั้นเทานั้น. อีกอยางหนึ่ง อธิบายวา การรูแจงซึ่งรูปในรูปดวยจักขุวิญญาณ ชื่อวา เห็นรูปในรูปที่เห็น. บทวา มตฺตา แปลวา

 
  ความคิดเห็นที่ 20  
 
chatchai.k
วันที่ 21 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 148

ประมาณ. ประมาณแหงรูปนี้ที่เห็นแลว เพราะฉะนั้น จึงชื่อวา ทิฏฐมัตตะ. อธิบายวา จิตเปนเพียงจักขุวิญญาณเปนประมาณเทานั้น. ทานอธิบายไววาจักขุวิญญาณ ยอมไมกําหนัดขัดเคือง หลงในรูปที่มาปรากฏ ฉันใด เราจักตั้งชวนจิตไวโดยประมาณแหงจักขุวิญญาณอยางนี้วา ชวนจิตของเราจักเปนเพียงจักขุวิญญาณเทานั้น เพราะเวนจากราคะเปนตน. อีกอยางหนึ่งรูปที่จักขุวิญญาณเห็น ชื่อวา ทิฏฐะ. จิต ๓ ดวงคือสัมปฏิจฉนจิต สันติรณจิตและโวฏฐัพพนจิต ที่เกิดขึ้นเหมือนอยางนั้นนั่นแหละ ชื่อวา ทิฏฐมัตตะ. พึงทราบความในขอนี้อยางนี้วา จิต ๓ ดวงนี้ ยอมไมกําหนัด ขัดเคือง ลุมหลง ฉันใด เมื่อรูปมาปรากฏ เราก็จักใหชวนจิตเกิดขึ้นโดยประมาณสัมปฏิจฉนจิตเปนตนนั้นนั่นแหละ เราจะไมใหกาวลวงประมาณนั้นเกิดขึ้นดวยความกําหนัดเปนตน ฉันนั้น. ในสุตะและมุตะก็นัยนี้เหมือนกัน. ก็บทวา มุต พึงทราบคันธายตนะ รสายตนะ และ โผฏฐัพพายตนะกับดวยวิญญาณ ซึ่งมีคันธายตนะ รสายตนะ และโผฏฐัพพายตนะนั้นเปนอารมณ. ก็ในคําวา วิฺาเต วิฺาณมตฺต นี้ มีวินิจฉัยดังตอไปนี้ ชื่อวา วิญญาตะ ไดแก อารมณที่มโนทวาราวัชชนจิต แจงแลว. เมื่อรูแจงอารมณนั้นก็เปนอันชื่อวา มโนทวาราวัชชนจิตรูแจงแลว เหตุนั้น จึงชื่อวา มีอาวัชชนจิตเปนประมาณ. ในขอนี้มีอธิบาย ดังนี้วา อาวัชชนจิตยอมไมกําหนัด ขัดเคือง ลุมหลง ฉันใด เราจักพักจิตโดยประมาณแหงอาวัชชนจิตเทานั้น ไมยอมใหเกิดขึ้นดวยความกําหนัด เปนตน ฉันนั้น. บทวา เอวฺหิ เต พาหิย สิกฺขิตพฺพ ความวา พาหิยะ เธอพึงศึกษาโดยคลอยตามสิกขาทั้ง ๓ ดวยปฏิปทานี้อยางนี้.

 
  ความคิดเห็นที่ 21  
 
chatchai.k
วันที่ 21 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 149

ดังนี้นั้น พระผูมีพระภาคเจา จึงทรงจําแนกอารมณอันแตกตาง โดยประเภทอารมณ ๖ พรอมวิญญาณกาย ๖ อยางยอและตามความพอใจของพาหิยะ ดวยวิปสสนา โดยโกุฏฐาสะทั้ง ๔ มีรูปอันตนเห็นแลวเปนตน แลวจึงทรงแสดงญาตปริญญาและตีรณปริญญาในขอนั้นแกเธอ. อยางไร? เพราะวา ในขอนี้รูปารมณเปนอันชื่อวา ทิฏฐะ เพราะอรรถวาอันจักขุวิญญาณพึงเห็น. สวนจักขุวิญญาณพรอมวิญญาณที่เปนไปทางจักขุทวารนั้น ชื่อวา ทิฏฐะ เพราะอรรถวาเห็น. แมทั้งสองอยางนั้นเปนเพียงธรรมที่เปนไปตามปจจัยเทานั้น. ในขอนี้ ใครๆ จะทําเองหรือใหผูอื่นทําก็หาไดไม. จริงอยู ในขอนี้มีอธิบายดังนี้วา จักขุวิญาณนั้นชื่อวาไมเที่ยง เพราะมีแลวกลับไมมี ชื่อวา เปนทุกข เพราะถูกความเกิดขึ้นและดับไปบีบคั้น ชื่อวาเปนอนัตตา เพราะอรรถวาไมเปนไปในอํานาจ เหตุนั้น ในขอนั้น จะจัดเปนโอกาสของธรรมมีความกําหนัดเปนตนแหงบัณฑิตไดที่ไหน.

พึงทราบวินิจฉัยแมในสุตะเปนตน บัดนี้ เพื่อจะทรงแสดงปหานปริญญาพรอมมูลเหตุเบื้องสูง แกบัณฑิตผูตั้งอยูในญาตปริญญาและตีรณปริญญา จึงเริ่มคํามีอาทิวา ยโต โข เต พาหิย ดังนี้.

บรรดาบทเหลานั้น บทวา ยโต ไดแกในกาลใดหรือเพราะเหตุใด. บทวา เต ไดแก ตว แกเธอ. บทวา ตโต ไดแกในกาลนั้นหรือ เพราะเหตุนั้น. บทวา เตน ความวา ดวยรูปอันเธอเห็นแลวเปนตน หรือดวยกิเลสมีราคะเปนตน อันเนื่องกับรูปที่เธอเห็นแลวเปนตน. ตรัสคํานี้ไววา พาหิยะ ในกาลใดหรือเพราะเหตุใด เพียงรูปที่เธอเห็นแลวเปนตน จักมีแกเธอผูปฏิบัติตาม วิธีที่เรากลาวแลวในรูปที่เห็นแลว

 
  ความคิดเห็นที่ 22  
 
chatchai.k
วันที่ 21 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 150

เปนตน ดวยการหยั่งรูสภาพที่ไมวิปริต ในกาลนั้นหรือเพราะเหตุนั้น เธอจักไมมีพรอมดวยกิเลสมีราคะเปนตน ที่เนื่องดวยรูปที่เธอเห็นแลว เปนตน เธอจักเปนผูไมกําหนัด ขัดเคือง หรือลุมหลง หรือจักไมเปน ผูเนื่องกับรูปที่เธอเห็นแลวเปนตนนั้น เพราะละราคะเปนตนไดแลว. บทวา ตโต ตฺว พาหิย น ตตฺถ ความวา ในกาลใดหรือเพราะเหตุใด เธอจักเปนผูกําหนัดเพราะราคะนั้น ขัดเคืองเพราะโทสะ หรือลุมหลงเพราะโมหะ ในกาลนั้นหรือเพราะเหตุนั้น เธอจักไมมีในรูปที่เห็นแลว เปนตนนั้น หรือเมื่อรูปนั้นที่เห็นแลว หรือเสียงและอารมณที่ทราบแลว เธอจักไมเปนผูของ ตั้งอยูดวยตัณหามานะและทิฏฐิวา นั่นของเรา เราเปนนั่น นั่นเปนอัตตาของเรา. ดวยคําเพียงเทานี้ พระองคทรงใหปหานปริญญาถึงที่สุดแลวแสดงขีณาสวภูมิ. บทวา ตโต ตฺว พาหิย เนวิธ น หุร น อุภยมนฺตเรน ความวา พาหิยะ ในกาลใด เธอจักไมเปนผูเกี่ยวเนื่องในรูปที่เห็นแลวเปนตนนั้น ดวยกิเลสมีราคะเปนตนนั้น ในกาลนั้น เธอจักไมมีในโลกนี้ ในโลกหนาและในโลกทั้งสอง. บทวา เอเสวนฺโต ทุกฺขสฺส ความวา จริงอยู ในขอนี้ มีอธิบายเพียงเทานี้วา ก็ที่สุด เขตกําหนด และความหมุนเวียนแหงกิเลส ทุกขและวัฏทุกขเทานี้. ก็อาจารยเหลาใดถือบทวา อุภยมนฺตเรน แลวจึงปรารถนาชื่อระหวางภพ คําของอาจารยเหลานั้นผิด. จริงอยู ภาวะระหวางภพ ทานคัดคานแลวในพระอภิธรรมทีเดียว. ก็คําวา อนฺตเรน เปนการแสดงวิกัปอื่น. เพราะเหตุนั้น ในขอนี้ มีอธิบายดังนี้วา ก็วิกัปอื่น ไมมีในโลกนี้ โลกหนาหรือทั้งสอง. อีกอยางหนึ่ง คําวา อนฺตเรน เปนการแสดงความไมมีวิกัปอื่น. คํานั้น อธิบายดังนี้วา ก็ที่ตั้งอื่นไมมีโนโลกนี้ โลกหนา ถึงระหวางภพก็ไมมี

 
  ความคิดเห็นที่ 23  
 
chatchai.k
วันที่ 21 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 151

อนึ่ง อาจารยแมเหลาใดถือเอาโดยไมแยบคายซึ่งอรรถสุตตบทเหลานี้วา อันตราปรินิพพายี และวาสัมภเวสี แลวกลาววา ภพอื่นยังมีอยูเหมือนกัน อาจารยแมเหลานั้น เพราะถูกคัดคานวา อรรถสุตตบทตนวา ชื่อวา อันตราปรินิพพายี เพราะไมผานทามกลางอายุในภูมินั้นมีอวิหาพรหม เปนตน แลวปรินิพพานดวยกิเลสปรินิพพานสิ้นเชิง เพราะบรรลุอรหัตตมรรคในระหวาง หาไดมีในภพอื่นไม และถูกคัดคานอรรถสุตตบทหลัง วา สัตวเหลาใดจักไมเปนอยางนั้น สัตวเหลานั้น จักเปนผูสิ้นอาสวะมีในภพกอน อธิบายวา ชื่อวา สัมภเวสี เพราะแสวงหาภพใหมผิดตรงขามกับอันตราปรินิพพายีบุคคลนั้น และชื่อวา เสขปุถุชน เพราะยังละภวสังโยชนไมได อนึ่ง บรรดากําเนิด ๔ อัณฑชสัตวและชลาพุชสัตว ยังไมทํา ลายกระเปาะไขหรือกระเปาะหัวไสอยูตราบใด ก็ชื่อวา สัมภเวสีอยูตราบนั้น สัตวที่ออกไปจากกระเปาะไขและกระเปาะหัวไส ก็ชื่อวา สัมภเวสีอยูตราบนั้น และอุปปาติกสัตวชื่อวาสัมภเวสี ในขณะจิตดวงแรก ตั้งแตขณะจิตดวงที่ ๒ ไป ชื่อวา ภูต อนึ่ง สัตวทั้งหลายเกิดดวยอิริยาบถใด ยังไมถึงอิริยาบถอื่นจากนั้นตราบใด ก็ยังชื่อวา สัมภเวสี อยูตราบนั้น ตอจากนั้น จัดเปน ภูต เพราะเหตุนั้น จึงถูกคัดคานวาไมมีดังนี้. ก็เมื่อมีอรรถที่คลอยตาม บาลีตรงๆ จะเปนประโยชนอะไรดวยอรรถที่กําหนดดวยภพอื่นซึ่งไมสามารถจะขยายไดแล. ก็อาจารยเหลาใดกลาวขอยุติวา จะเห็นธรรมที่เปนไปดวยความสืบตอปรากฏในสวนอื่นไมขาดสาย ขอนั้นพึงปรากฏแมในความสืบตอแหงอวิญญาณกทรัพย มีขาวเปลือกเปนตน ฉันใด แมในความสืบตอแหงสวิญญาณกสังขาร ก็พึงปรากฏในสวนอื่นโดยไมขาดสาย ฉันนั้น อนึ่ง นัยนี้ยอมเหมาะในเมื่อมีภพอื่น หาใชโดยประการอื่นไม.

 
  ความคิดเห็นที่ 24  
 
chatchai.k
วันที่ 21 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 152

ก็เพราะเหตุนั้น ทานผูมีฤทธิ์บรรลุความเชี่ยวชาญทางใจ อธิษฐานกาย คลอยตามจิต พึงคัดคานขอยุติ โดยการจากพรหมโลกมายังโลกนี้ หรือจากโลกนี้ไปยังพรหมโลกขณะเดียวกัน ถาปรารถนาความเปนไปของธรรมในสวนที่ไมขาดสายในที่ทุกสถานไซร แมถาทานผูมีฤทธิ์ทั้งหลาย จะพึงมีอิทธิวิสัยเปนอจินไตยไซร คํานั้นจะพึงเสมอกันแมในที่นี้ เพราะ พระบาลีวา กมฺมวิปาโก อจินฺเตยฺโย ผลกรรมเปนอจินไตย เพราะเหตุนั้น คํานั้น เปนเพียงมติของอาจารยเหลานั้นเทานั้น. เพราะวา สภาวธรรม มีสภาพเปนอจินไตย สภาวธรรมเหลานั้นบางแหงจึงปรากฏในสวนที่ขาดสายดวยปจจัย บางแหงปรากฏในสวนที่ไมขาดสาย. จริงอยางนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นเพราะปจจัยมีรูปเปรียบและเสียงสะทอนเปนตน ยอมเกิดปรากฏในสวนหนึ่งมีสวนแหงกระจกและภูเขาเปนตน จากปจจัยมีเสียงกึกกองขางหนา เปนตน. เพราะเหตุนั้น จึงไมพึงนอมสิ่งทั้งหมดในที่ทุกอยางแล. ในขอนี้ มีความสังเขปเทานี้. สวนความพิสดารมีการวิจารณเรื่องของภพอื่นอันใหสําเร็จอุทาหรณเปนตนของรูปเปรียบ พึงคนดูในฎีกากถาวัตถุปกรณเถิด. สวนอาจารยอีกพวกหนึ่งกลาววา บทวา อิธ ทานกลาวหมายเอา กามภพ. บทวา หุร กลาวหมายเอาอรูปภพ. บทวา อุภยมนฺตเรน กลาวหมายเอารูปภพ. อาจารยพวกอื่นกลาววา บทวาอิธ ไดแกอายตนะภายใน. บทวา หุร ไดแกอายตนะภายนอก. บทวา อุภยมนฺตเรน ไดแก จิตและเจตสิก. อีกอยางหนึ่ง อาจารยอีกพวกหนึ่งกลาววา บทวา อิธ กลาววา ปจจยธรรม. บทวา หุร กลาววา ปจจยุปปนธรรม ธรรมเกิด แตปจจัย. บทวาอุภยมนฺตเรน กลาววา บัญญัติธรรม. คํานั้นทั้งหมด ไมมีในอรรถกถา. ธรรมอันเปนไปในภูมิ ๓ พึงสงเคราะหดวยอาการ ๔

 
  ความคิดเห็นที่ 25  
 
chatchai.k
วันที่ 21 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 153

โดยรูปที่จักขุวิญญาณเห็นแลวเปนตน ดวยคํามีอาทิวา ทิฏเ ทิฏมตฺต ภวิสฺสติ เมื่อจักขุวิญญาณเห็นรูป ก็เปนเพียงแตเห็น อยางนี้กอน ในธรรมเหลานั้น ทานแสดงถึงอสุภภาวนา ทุกขานุปสสนา อนิจจานุปสสนา และอนัตตานุปสสนา โดยมุขคือการเวนจากการยึดถือวางาม เปนสุข เปนของเที่ยง และเปนตัวตนแล. เมื่อวาโดยสังเขป ทานกลาววิปสสนากับวิสุทธิเบื้องต่ํา. ดวยคําวา ตโต ตฺว พาหิย น เตน นี้ ตรัสถึงมรรค เพราะประสงคเอาการตัดกิเลสมีราคะเปนตนไดเด็ดขาด. ดวยคําวา ตโต ตฺว พาหิย น ตตฺถ ตรัสถึงผลจิต. ดวยคําวา เนวิธา เปนตน พึงเห็นวา ตรัสถึงอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ. เพราะเหตุนั้น ทานจึงกลาววา อถ โข พาหิย ฯ เป ฯ อาสเวหิ จิตฺต วิมุจฺจติ ดังนี้.

จิตของทานพาหิยะหลุดพนจากอาสวะดวยการแสดงบทยอนี้. บทวา ตาวเทว ไดแก ในขณะนั้นนั่นเองไมใชกาลอื่น. บทวา อนุปาทาย แปลวา ไมยึดมั่น. บทวา อาสเวหิ ความวา จากกามราคะเปนตนที่มีชื่อวาอาสวะ เพราะไหลไปคือเปนไปจากภวัคคพรหมถึงโคตรภู และ เปนเหมือนเครื่องหมักดอง มีสุราเปนตน โดยอรรถวา หมักไวนาน. บทวา วิมุจฺจติ ความวา หลุดพนคือสลัดออก (กามราคะเปนตน) ดวยสมุจเฉทวิมุตติและปฏิปสสัทธิวิมุตติ.

ก็ทานพาหิยะนั้นพอฟงธรรมของพระศาสดาเทานั้น ชําระศีลใหหมดจด อาศัยสมาธิจิตตามที่ไดแลวเริ่มวิปสสนาเปนขิปปาภิญญาบุคคล ใหอาสวะทั้งปวงสิ้นไป บรรลุพระอรหัตพรอมปฏิสัมภิทาขณะนั้นนั่นเอง. ทานตัดกิเลสดุจกระแสน้ําในสงสาร ทําที่สุดแหงวัฏทุกข ทรงรางกายครั้งสุดทาย ถูกธรรมดาเปนไปดวยปจจเวกขณญาณ ๑๙ อยางตักเตือน จึงทูลขอบวช

 
  ความคิดเห็นที่ 26  
 
chatchai.k
วันที่ 21 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 154

กะพระผูมีพระภาคเจา ถูกตรัสถามวา เธอมีบาตรและจีวรบริบูรณแลวหรือ กราบทูลวา ยังไมบริบูรณ พระเจาขา ลําดับนั้น พระศาสดาตรัสกะเธอวา ถาเชนนั้น เธอจงแสวงหาบาตรและจีวร ดังนี้แลวเสด็จหลีกไป. เพราะเหตุนั้น จึงกลาววา อถ โข ภควา ฯ เป ฯ ปกฺกามิ ดังนี้.

ไดยินวา ทานพาหิยะนั้น เมื่อกระทําสมณธรรมสิ้น ๒๐,๐๐๐ ปในพระศาสนาของพระกัสสปทศพลคิดวา ธรรมดาวา ภิกษุเมื่อตนไดปจจัยแลวทําทานตามสมควรจึงฉันดวยตนจึงควร ดังนี้แลวไมไดทําการสงเคราะหดวยบาตรหรือจีวรแมแกภิกษุรูปหนึ่ง. เหตุนั้น ทานจึงไมมี อุปนิสัยเอหิภิกขุอุปสัมปทา. แตอาจารยบางพวกกลาววา ไดยินวา ทานเปนโจรคราววางพระพุทธเจา ผูกมัดธนูตั้งตัวเปนโจรในปา เห็นพระปจเจพุทธเจาองคหนึ่ง เพราะความโลภในบาตรและจีวร จึงใชธนูยิงทาน แลวถือเอาบาตรและจีวรไป ดวยเหตุนั้น บาตรและจีวรอันสําเร็จดวยฤทธิ์ จักไมเกิดแกทาน พระศาสดาทรงทราบดังนั้นแลว จึงมิไดทรงประทาน บรรพชาดวยเอหิภิกขุแล. แมทานกําลังเที่ยวแสวงหาบาตรและจีวรอยู แมโคตัวหนึ่งวิ่งมาโดยเร็ว ขวิดใหเธอถึงสิ้นชีวิต ซึ่งทานหมายกลาววา อถ โข อจิรปกฺกนฺตสฺส ภควโต พาหิย ทารุจีริย คาวี ตรุณวจฺฉา อธิปติตฺวา ชีวิตา โวโรเปสิ ครั้งนั้นแล เมื่อพระผูมีพระภาคเจาเสด็จหลีกไปไมนาน แมโคลูกออนขวิดทานพาหิยทารุจีริยะใหลมลงสิ้นชีวิต.

บรรดาบทเหลานั้น บทวา อจิรปกฺกนฺตสฺส แปลวา เมื่อพระผูมีพระภาคเจาเสด็จหลีกไปไมนาน. บทวา คาวี ตรุณวจฺฉา ไดแก นางยักษิณีแปลงเปนแมโคลูกออน. บทวา อธิปติตฺวา ไดแก กดขี่คือย่ํายี. บทวา ชีวิตา โวโรเปสิ ความวา แมโคนั้น ใหเกิดจิตกอเวรขึ้นดวย

 
  ความคิดเห็นที่ 27  
 
chatchai.k
วันที่ 21 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 155

เหตุเพียงไดเห็น เพราะไดความอาฆาตในอัตภาพกอนจึงเอาเขาขวิดใหสิ้นชีวิต

พระศาสดาทรงบาตรแลวเสวยพระกระยาหารเสร็จแลวพรอมภิกษุจํานวนมาก เสด็จออกจากนคร ทอดพระเนตรเห็นทานพาหิยะตกอยูที่กองหยากเยื่อ ทรงบัญชาภิกษุทั้งหลายวา ภิกษุทั้งหลาย เธอยืนอยูที่ประตูเรือนหลังหนึ่ง ชวยกันนําเตียงออกมา นํารางนี้ออกไปจากนครทําฌาปนกิจ กอสถูปไว. ภิกษุทั้งหลายไดทําอยางนั้น. ก็แลครั้นทําแลว ไปยังวิหารเฝาพระศาสดา กราบทูลกิจที่ตนทําแลว จึงทูลถามถึงอภิสัมปรายภพของทานพาหิยะ. ลําดับนั้น พระผูมีพระภาคเจา จึงตรัสบอกแกภิกษุเหลานั้นวา ทานพาหิยะปรินิพพานแลว. ภิกษุทั้งหลายทูลถามวา ขาแตพระองคผูเจริญ ขอพระองคจงตรัสบอกวาทานพาหิยทารุจีริยะบรรลุพระอรหัตแลวหรือ ทานบรรลุพระอรหัตที่ไหน. และเมื่อตรัสวา ในเวลาที่ฟงธรรมของเรา พวกภิกษุจึงทูลถามวา ก็พระองคแสดงธรรมแกทานในเวลาไหน. พระศาสดาตรัสวา เมื่อเรากําลังบิณฑบาตยืนอยูระหวางถนน วันนี้เอง. ภิกษุทั้งหลายทูลถามวา ขาแตพระองคผูเจริญ ธรรมที่พระองคยืนตรัสในระหวางถนนนั้นมีประมาณนอย ทานทําคุณวิเศษใหเกิดดวยเหตุเพียงเทานั้นไดอยางไร. พระศาสดาเมื่อทรงแสดงวา ภิกษุทั้งหลาย เธออยาประมาณธรรมของเราวามีนอยหรือมาก แมคาถาตั้งหลายพัน แตไมประกอบดวยประโยชนไมประเสริฐเลย สวนบทคาถาแมบทเดียว ซึ่งประกอบดวยประโยชนยังประเสริฐกวา จึงตรัสคาถานี้ในธรรมบทวา

สหสฺสมป เจ คาถา อนตฺถปทสฺหิตา เอก คาถาปท เสยฺโยย สุตฺวา อุปสมฺมติ

 
  ความคิดเห็นที่ 28  
 
chatchai.k
วันที่ 21 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 156

ถาคาถาแมตั้งพัน แตประกอบดวยบทอันไมเปนประโยชน บทคาถาบทเดียวซึ่งบุคคลฟงแลว ยอมสงบระงับไดยังประเสริฐกวา ดังนี้

เมื่อทรงแสดงวา เธอเปนผูควรแกการบูชาดวยเหตุเพียงปรินิพพานอยางเดียวก็หาไม โดยที่แทเธอเปนผูสมควรแกการบูชาแมดวยภาวะอันเลิศกวาภิกษุสาวกของเราผูเปนขิปปาภิญญา จึงทรงสถาปนาทานไวในเอตทัคคะวา ภิกษุทั้งหลาย บรรดาภิกษุสาวกผูเปนขิปปาภิญญา ทานพาหิยทารุจีริยะเปนเลิศ ซึ่งทานหมายกลาวไววา อถ โข ภควา สาวตฺถิย ปณฺฑาย จริตฺว ฯ เป ฯ ปริพิพฺพุโต ภิกฺขเว พาหิโย ทารุจีรโย ดังนี้.

บรรดาบทเหลานั้น บทวา ปจฺฉาภตฺต ไดแก หลังจากเสวยพระกระยาหารเสร็จแลว. บทวา ปณฺฑปาตปฏิกฺกนฺโต ไดแก เสด็จกลับจากทรงบิณฑบาต. แมทั้งสองบท ทานก็อธิบายวา เสวยพระกระยาหารเสร็จแลว. บทวา นีหริตฺวา ความวา ใหนําออกไปภายนอกพระนคร. บท วา ฌาเปถ แปลวา จงทําฌาปนกิจ. บทวา ถูปฺจสฺส กโรถ ความวา และจงนําสรีรธาตุของทานพาหิยะมากอพระเจดียไว. ในขอนั้น พระองคตรัสเหตุไวดังนี้วา ดูกอนภิกษุทั้งหลาย เพื่อนสพรหมจารีของพวกเธอปรินิพพานแลว. ขอนั้นมีอธิบายวา ทานพาหิยะนั้นไดประพฤติธรรม คือขอปฏิบัติมีอธิศีลเปนตน ที่พวกเธอประพฤติแลวและกําลังประพฤติอยู ที่ชื่อวาพรหม เพราะอรรถวาประเสริฐ ไดประเสริฐเสมอกับพวกเธอ เพราะเหตุนั้น จึงชื่อวา สพรหมจารีไดทํากาละแลวตามปกติแหงมรณกาล เพราะเหตุนั้น พระผูมีพระภาคเจาจึงตรัสวา พวกเธอจงเอาเตียงหามสรีระ

 
  ความคิดเห็นที่ 29  
 
chatchai.k
วันที่ 21 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 157

ของทานไปทําฌาปนกิจและกอสถูปของทานไว. บทวา ตสฺส กา คติ ความวา บรรดาคติทั้ง ๕ ทานมีคติอุปบัติภพเปนอยางไร. อนึ่ง บทวา คติแปลวาบังเกิด อธิบายวา คติของทานตกลงอยางไรวาเปนพระอริยะหรือปุถุชน. บทวา อภิสมฺปราโย ไดแก ทานละไปแลวเกิดในภพหรือดับในภพ. วาโดยอรรถ เปนอันทรงประกาศวาทานปรินิพพานดวยการตรัสสั่งสรางสถูปไวก็จริง แตถึงกระนั้น เหลาภิกษุผูไมรูดวยเหตุเพียงเทานั้นก็จะทูลถามวา คติของทานเปนอยางไร หรือผูประสงคจะใหทําใหปรากฏชัด จึงทูลถามพระผูมีพระภาคเจาอยางนั้น.

บทวา ปณฺฑิโต โดยความวา ชื่อวาบัณฑิต เพราะไป คือดําเนินไป ไดแก เปนไปดวยปญญา ชื่อวาปณฑะ เพราะบรรลุดวยปญญาอันสัมปยุตดวยอรหัตตมรรค. บทวา ปจฺจปาที แปลวา ดําเนินไปแลว. บทวา ธมฺมสฺส ไดแก โลกุตรธรรม. บทวา อนุธมฺม ไดแก ธรรม คือ ปฏิปทามีสีลวิสุทธิเปนตน. อีกอยางหนึ่ง บทวา ธมฺมสฺส ไดแกนิพพานธรรม. บทวา อนุธมฺม ไดแก ธรรมคืออริยมรรคและอริยผล. บทวา น จ ม ธมฺมาธิกรณ ความวา ก็เหตุแหงการแสดงธรรมไมทําเราใหลําบาก เพราะปฏิบัติตามที่ทรงพร่ําสอน. จริงอยู ทานฟงธรรมหรือเรียน กรรมฐานในสํานักของพระศาสดา ไมปฏิบัติธรรมตามที่ทรงพร่ําสอน ชื่อวา ทําพระศาสดาใหทรงลําบาก ซึ่งทานหมายกลาวไววา

วิหึสสฺี ปคุณ น ภาสึ ธมฺม ปณีตมนุเชสุ พฺรหฺเม

เรามีความสําคัญในความลําบาก จึงไมกลาวธรรมใหคลองแคลว ใหประณีต ในหมูชน ในหมูพรหม

 
  ความคิดเห็นที่ 30  
 
chatchai.k
วันที่ 21 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 158

อีกอยางหนึ่ง บทวา น จ ม ธมฺมาธิกรณ ความวา จะเปนเหตุแหงธรรมนี้ก็หามิได. ทานอธิบายคํานี้ไววา ชื่อวา ไมทําเราใหลําบาก เพราะปฏิบัติศาสนธรรมของเรานี้ดวยดี อันเปนเหตุนําสรรพสัตวออกจากวัฏทุกข. ก็ผูปฏิบัติชั่ว ทําลายศาสนธรรม ชื่อวาใหการประหารสรีระ คือธรรมของพระศาสดา. แตทานพาหิยะนี้ทําสัมมาปฏิบัติใหถึงที่สุดแลว ปรินิพพานดวยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ. ดวยเหตุนั้น พระองคจึงตรัสวา ปรินิพฺพุโตภิกฺขเว พาหิโย ทารุจีริโย.

บทวา เอตมตฺถ วิทิตฺวา ความวา ทรงทราบวาพระพาหิยเถระ ปรินิพพานดวยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ และวาคติของพระขีณาสพทั้งหลายผูปรินิพพานแลวเชนนั้นอันคนจํานวนมากรูไดยาก โดยอาการทั้งปวง. บทวา อิม อุทาน ไดแก ทรงเปลงอุทานอันแสดงอานุภาพแหง ปรินิพพานอันไมประดิษฐานอยูแลวนี้.

บรรดาบทเหลานั้น บทวา ยตฺถ ความวา อาโปธาตุ ปฐวีธาตุ เตโชธาตุ และวาโธธาตุ ไมหยั่งลงคือไมประดิษฐานอยูในนิพพานธาตุใด. เพราะเหตุไร? เพราะพระนิพพานมีสภาวะเปนอสังขตรรม. จริงอยู แมสิ่งเล็กนอยแหงสังขตธรรมก็ไมมีในพระนิพพานนั้น. บทวา สุกฺกา ความวา ดาวพระเคราะหและดาวนักษัตรอันไดชื่อวา สุกกะ เพราะมีรัศมีขาว ไมโชติชวงคือไมสวางไสว. บทวา อาทิจฺโจ นปฺปกาสติ ความวา แมพระอาทิตยอันสามารถแผแสงสวางไปขณะเดียว ๓ ทวีป ก็ไมแผดแสงดวยอํานาจรัศมี. บทวา น ตตฺถ จนฺทิมา ภาติ ความวา แมเมื่อพระอาทิตยมีรัศมีแรงกลา ฝายพระจันทรมีรัศมีเยือกเย็นนาใคร ก็ไมรุง-

 
  ความคิดเห็นที่ 31  
 
chatchai.k
วันที่ 21 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 159

โรจน เพราะกําจัดรัศมีอันสวางของตน เหตุที่ไมมีในพระนิพพานนั้น. พระองคตรัสวา ตโม ตตฺถ น วิชฺชติ ความมืดไมมีในพระนิพพานนั้น ดังนี้ ทรงหมายเอาความสงสัยวา ถาพระจันทรและพระอาทิตยไมมีในพระนิพพานนั้นไซร พระนิพพานนั้นก็จะพึงมืดมิดทีเดียวดุจโลกันตนรก. จริงอยู เมื่อรูปมี ความมืดก็มี. บทวา ยทา จ อตฺตนา เวทิ มุนิ โมเนน พฺราหฺมโณ ความวา พราหมณผูเปนพระอริยสาวก ซึ่งไดนามวามุนี เพราะประกอบดวยมรรคญาณอันไดชื่อวาโมนะ เพราะรูสัจจะ ๔ และประกอบดวยโมเนยยปฏิปทาทางกายเปนตน ละอาการมีการฟงตามๆ กันมาเปนตนดวยตนคือตนเอง ในขณะอรหัตตมรรค ในกาลใด คือในเวลาใดดวยปฏิเวธญาณ กลาวคือโมนะนั้นนั่นเองแหละรู คือรูแจงพระนิพพาน กระทําใหประจักษแกตน. ปาฐะวา อเวทิ ดังนี้ก็มี. อธิบายวา ไดรูทั่วถึง. ศัพทวา อถ ในคําวา อถ รูปา อรูปา จ สุขทุกฺขา ปมุจฺจติ แปลวา ภายหลังแตการตรัสรูพระนิพพานนั้น. บทวา รูปา ไดแก รูปธรรม. ดวยบทวารูปานั้น เปนอันทานถือเอาปญจโวการภพและเอกโวการภพ. บทวา อรูปาไดแกอรูปธรรม. ดวยบทวา อรูปานั้น เปนอันทานถือเอาอรูปภพ เพราะไมเจือปนกับรูปที่เรียกวา จตุโวการภพก็มี. บทวา สุขทุกฺขา ความวา จากวัฏฏะแมที่มีทั้งสุขทั้งทุกขอันเกิดขึ้นในที่ทุกแหง. อีกอยางหนึ่ง บทวา รูปา ไดแก เพราะปฏิสนธิในรูปโลก. บทวา อรูปา ไดแก เพราะปฏิสนธิในอรูปโลก. บทวา สุขทุกฺขา ไดแกเพราะปฏิสนธิ ในกามาวจรภูมิ. จริงอยู กามภพมีทั้งสุขและทุกขเจือปนกัน. พราหมณนั้น ยอมพนจากวัฏฏะแมทั้งสิ้นนั้นโดยสิ้นเชิงทีเดียว ดวยประการฉะนี้แล.

 
  ความคิดเห็นที่ 32  
 
chatchai.k
วันที่ 21 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อุทาน เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 160

แมดวยคาถา ๒ คาถา พระผูมีพระภาคเจาทรงแสดงวา พระนิพพานเห็นปานนี้ เปนคติแหงพาหิยะผูเปนบุตรของเราแล

จบอรรถกถาพาหิยสูตรที่ ๑๐

จบโพธิวรรควรรณนาที่ ๑


รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ

๑. ปฐมโพธิสูตร ๒. ทุติยโพธิสูตร ๓. ตติยโพธิสูตร ๔. อชปาลนิโครธสูตร ๕. เถรสูตร ๖. มหากัสสปสูตร ๗. ปาวาสูตร ๘. สังคามชิสูตร ๙. ชฏิลสูตร ๑๐. พาหิยสูตร และอรรถกถา

 
  ความคิดเห็นที่ 33  
 
chatchai.k
วันที่ 21 มิ.ย. 2564

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

 
  ความคิดเห็นที่ 34  
  ความคิดเห็นที่ 35  
 
Jarunee.A
วันที่ 29 มี.ค. 2567

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 36  
 
Jarunee.A
วันที่ 29 มี.ค. 2567

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ