อามคันธสูตร ว่าด้วยมีกลิ่นดิบ ไม่มีกลิ่นดิบ และ อรรถกถา
[เล่มที่ 47] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หนาที่ 80
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๖ - หนาที่ 80
อามคันธสูตรที่ ๒
วาดวยมีกลิ่นดิบไมมีกลิ่นดิบ
ติสสดาบสทูลถามพระผูมีพระภาคเจาพระนามวากัสสปะ ดวยคาถาความวา
[๓๑๕] สัตบุรุษทั้งหลายบริโภค ขาวฟาง ลูกเดือย ถั่วเขียว ใบไม เหงามัน และผลไมที่ไดแลวโดยธรรม หาปรารถนากาม กลาวคําเหลาะแหละไม.
ขาแตพระผูมีพระภาคเจาพระนามวากัสสปะ พระองคเมื่อเสวยเนื้อชนิดใด ที่ผูอื่นทําสําเร็จดีแลว ตบแตงไวถวายอยางประณีต เมื่อเสวยขาวสุกแหงขาวสาลี ก็ชื่อวายอมเสวยกลิ่นดิบ.
ข้าแตพระองคผูเปนเผาพันธุแหงพรหม พระองคตรัสอยางนี้วา กลิ่นดิบยอมไมควรแกเราแตยังเสวยขาวสุกแหงขาวสาลี กับเนื้อนกที่บุคคลปรุงดีแลว.
ขาแตพระผูมีพระภาคเจาพระนามวากัสสปะ ขาพระองคขอทูลถามความขอนี้กะ
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๖ - หนาที่ 81
พระองควา กลิ่นดิบของพระองคมีประการ อยางไร.
พระผูมีพระภาคเจาพระนามวากัสสปะตรัสตอบดวยพระคาถาวา
การฆาสัตว การทุบตี การตัด การ จองจํา การลัก การพูดเท็จ การกระทําดวยความหวัง การหลอกลวง การเรียนคัมภีรที่ไรประโยชน และการคบหาภรรยาผูอื่น นี้ชื่อวากลิ่นดิบ เนื้อและโภชนะไมชื่อวากลิ่นดิบเลย,
ชนเหลาใดในโลกนี้ ไมสํารวมในกามทั้งหลาย ยินดีในรสทั้งหลาย เจือปนดวยของไมสะอาด มีความเห็นวาทานที่บุคคลใหแลวไมมีผล มีการงานไมเสมอ บุคคลพึงแนะนําไดโดยยาก นี้ชื่อวากลิ่นดิบของชนเหลานั้น เนื้อและโภชนะไมชื่อวากลิ่นดิบเลย.
ชนเหลาใดผูเศราหมอง หยาบชา หนาไหวหลังหลอก ประทุษรายมิตร ไมมีความกรุณา มีมานะจัด มีปกติไมให และไมใหอะไรๆ แกใครๆ นี้ชื่อวากลิ่นดิบ
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๖ - หนาที่ 82
ของชนเหลานี้ เนื้อและโภชนะไมชื่อวา กลิ่นดิบเลย.
ความโกรธ ความมัวเมา ความเปนคนหัวดื้อ ความตั้งอยูผิด มายา ริษยา ความยกตน ความถือตัว ความดูหมิ่น และความสนิทสนมดวยอสัตบุรุษทั้งหลาย นี้ชื่อวากลิ่นดิบ เนื้อและโภชนะไมชื่อวากลิ่นดิบเลย.
ชนเหลาใดในโลกนี้ มีปกติประพฤติลามก กูหนี้มาแลวไมใช พูดเสียดสี พูดโกง เปนคนเทียม เปนคนต่ําทราม กระทํากรรมหยาบชา นี้ชื่อวากลิ่นดิบของชนเหลานั้น เนื้อและโภชนะไมชื่อวากลิ่นดิบเลย.
ชนเหลาใดในโลกนี้ ไม่สำรวมในสัตวทั้งหลาย ชักชวนผูอื่นประกอบการเบียดเบียน ทุศีล รายกาจ หยาบคาย ไมเอื้อเฟอ นี้ชื่อวากลิ่นดิบของชนเหลานั้น เนื้อและโภชนะไมชื่อวากลิ่นดิบเลย.
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๖ - หนาที่ 83
สัตวเหลาใดกําหนัดแลวในสัตวเหลานี้ โกรธเคือง ฆาสัตว ขวนขวายในอกุศลเปนนิตย ตายไปแลวยอมถึงที่มืด มีหัวลง ตกไปสูนรก นี้ชื่อวากลิ่นดิบของชนเหลานั้น เนื้อและโภชนะไมชื่อวากลิ่นดิบเลย.
การไมกินปลาและเนื้อ ความเปนคนประพฤติเปลือย ความเปนคนโลน การเกลาชฎา ความเปนผูหมักหมมดวยธุลี การครองหนังเสือพรอมทั้งเล็บ การบําเรอไฟ หรือแมวาความเศราหมองในกายที่เปนไปดวยความปรารถนา ความเปนเทวดา การยางกิเลสเปนอันมากในโลก มนตและการเซนสรวง ยัญและการซองเสพฤดู ยอมไมยังสัตวผูไมขามพนความสงสัยใหหมดจดได. ผูใด คุมครองแลวในอินทรียทั้งหกเหลานั้น รูแจงอินทรียแลว ตั้งอยูในธรรม ยินดีในความเปนคนตรงและออนโยน ลวงธรรมเปนเครื่องของเสียได ละทุกขไดทั้งหมด ผูนั้นเปนนักปราชญ ไมติดอยูในธรรมที่เห็นแลว และฟงแลว.
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๖ - หนาที่ 84
พระผูมีพระภาคเจาไดตรัสบอกความขอนี้บอยๆ ดวยประการฉะนี้ ติสสดาบสผูถึงฝงแหงมนตไดทราบความขอนั้นแลว พระผูมีพระภาคเจาผูเปนมุนี ทรงประกาศดวยพระคาถาทั้งหลาย อันวิจิตรวา บุคคลผูที่ไมมีกลิ่นดิบ ผูอันตัณหาและทิฏฐิไมอาศัยแลว ตามรูไดยาก.
ติสสดาบสฟงบทสุภาษิตซึ่งไมมีกลิ่นดิบ อันเปนเครื่องบรรเทาเสียซึ่งทุกขทั้งปวงของพระพุทธเจาแลว เปนผูมีใจนอบนอมถวายบังคมพระบาทของตถาคต ไดทูลขอบรรพชา ณ ที่นั่งนั่นแล.
จบอามคันธสูตรที่ ๒
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๖ - หนาที่ 85
อรรถกถาอามคันธสูตรที่ ๒
อามคันธสูตร มีคําเริ่มตนวา สามากจิงฺคูลกจีนกานิ จ เปนตน
ถามวา พระสูตรนี้มีการเกิดขึ้นอยางไร?
ตอบวา พระสูตรนี้มีการเกิดขึ้นดังตอไปนี้ :-
เมื่อพระผูมีพระภาคเจายังไมเสด็จอุบัติขึ้น พราหมณชื่อวา อามคันธะ บรรพชาเปนดาบสพรอมกับมาณพ ๕๐๐ คน ใหสรางอาศรมอยูในระหวางภูเขา (หุบเขา) มีเผือกมันและผลไมในปาเปนอาหาร อยูที่หุบเขาแหงนั้น ดาบสไมบริโภคปลาและเนื้อเลย. ครั้งนั้น โรคผอมเหลืองก็เกิดขึ้นแกดาบสเหลานั้น ผูไมบริโภคของเค็ม ของเปรี้ยวเปนตน. ตอแตนั้น ดาบสเหลานั้นก็พูดกันวา เราจะไปยังถิ่นมนุษย เพื่อเสพของเค็มและของเปรี้ยว ดังนี้แลว จึงไดเดินทางไปถึงปจจันตคาม. ในปจจันตคามนั้นมนุษยทั้งหลายเห็นดาบสเหลานั้นแลว ก็เลื่อมใสในดาบสเหลานั้น นิมนตใหฉันอาหาร มนุษยทั้งหลายไดนอมเตียง ตั่ง ภาชนะสําหรับบริโภคและน้ํามันทาเทาเปนตน แกดาบสเหลานั้นผูทําภัตกิจเสร็จแลว แสดงที่เปนที่อยูดวยกลาววา ขาแตทานผูเจริญทั้งหลาย ขอทานทั้งหลายจงอยูในที่นี้. ขอพวกทานอยาไดกระสันต ดังนี้แลวก็พากันหลีกไป แมในวันที่สอง พวกมนุษยไดถวายทานแกดาบสเหลานั้น แลวไดถวายทานวันละ ๑ บานตามลําดับเรือนอีก ดาบสทั้งหลายอยูในที่นั้นสิ้น ๔ เดือนมีรางกายแข็งแรงขึ้น เพราะไดเสพรสเค็มและรสเปรี้ยว จึงไดบอกแกมนุษยทั้งหลายวา ทานทั้งหลาย (อาวุโสทั้งหลาย) พวกเราจะไปละ. มนุษยทั้งหลาย
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๖ - หนาที่ 86
ไดถวายน้ํามันและขาวสารเปนตน แกดาบสเหลานั้น. ดาบสเหลานั้นถือเอาน้ํามันและขาวสารเปนตนเหลานั้น ไดไปยังอาศรมของตนนั้นเอง (ตามเดิม) ก็ดาบสเหลานั้นไดมาสูบานนั้นทุกๆ ปเหมือนอยางเคยปฏิบัติมา แมพวกมนุษยทราบวาดาบสเหลานั้นพากันมา จึงไดตระเตรียมขาวสารเปนตน ตองการเพื่อจะถวายทาน และไดถวายทานแกดาบสเหลานั้นผูมาแลว เหมือนเชนทุกครั้ง.
ครั้งนั้น พระผูมีพระภาคเจาทรงอุบัติขึ้นแลวในโลก ทรงแสดงธรรมจักรอันบวรแลว เสด็จไปยังเมืองสาวัตถีโดยลําดับ ประทับอยูที่เมืองสาวัตถีนั้น ทรงเห็นอุปนิสสัยสมบัติของดาบสเหลานั้น เสด็จออกจากเมืองสาวัตถีนั้น มีหมูภิกษุแวดลอม เสด็จจาริกไปอยู เสด็จถึงบานนั้นตามลําดับ มนุษยทั้งหลายเห็นพระผูมีพระภาคเจาแลว ไดถวายมหาทาน. พระผูมีพระภาคเจาทรงแสดงธรรมแกมนุษยเหลานั้น ดวยพระธรรมเทศนานั้น มนุษยเหลานั้นบางพวก สําเร็จเปนพระโสดาบัน บางพวกสําเร็จเปนพระสกทาคามี และพระอนาคามี บางพวกบรรพชาแลวบรรลุพระอรหัต. พระผูมีพระภาคเจาไดเสด็จกลับมายังกรุงสาวัตถีเชนเดิมอีก. ครั้งนั้น ดาบสเหลานั้นไดมาสูบานนั้น มนุษยทั้งหลายเห็นพวกดาบสแลว ก็ไมไดทําการโกลาหลเชนกับในคราวกอน ดาบสทั้งหลายถามพวกมนุษยเหลานั้นวา ทานทั้งหลาย เพราะเหตุไรมนุษยเหลานี้จึงไมเปนเชนกับคราวกอน หมูบานแหงนี้ ถูกลงราชอาชญาหรือหนอแล หรือวาถูกประทุษรายดวยทุพภิกขภัย หรือวามีบรรพชิตบางรูปซึ่งสมบูรณดวยคุณมีศีลเปนตนมากกวาพวกเรา ไดมาถึงหมูบานแหงนี้.
มนุษยเหลานั้นเรียนวา ทานผูเจริญทั้งหลาย บานนี้จะถูกลงราชอาชญาก็หาไม ทั้งจะถูกประทุษรายดวยทุพภิกขภัยก็หาไม ก็แตวาพระพุทธเจาทรง
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๖ - หนาที่ 87
อุบัติขึ้นแลวในโลก พระผูมีพระภาคเจาพระองคนั้น ทรงแสดงธรรมเพื่อประโยชนแกชนเปนอันมาก ไดเสด็จมา ณ หมูบานแหงนี้. อามคันธดาบสฟงคํานั้นแลวจึงพูดวา คหบดีทั้งหลาย พวกทานพูดวา พุทฺโธ ดังนี้หรือ?
มนุษยทั้งหลายกลาวขึ้นสิ้น ๓ ครั้งวา ขาแตทานผูเจริญ พวกขาพเจายอมกลาววา พุทฺโธ ดังนี้. อามคันธดาบสยินดีแลวเปลงวาจาแสดงความยินดีวา แมเสียงวา พุทฺโธ นี้แล เปนเสียงที่หาไดยากในโลก ดังนี้ จึงไดถามวา พระพุทธเจาพระองคนั้นเสวยกลิ่นดิบหรือหนอแล หรือวาไมเสวยกลิ่นดิบ.
พวกมนุษยถามวา ขาแตทานผูเจริญ อะไรคือกลิ่นดิบ อามคันธดาบสกลาววา ดูกอนคหบดีทั้งหลาย ปลาและเนื้อชื่อวากลิ่นดิบ. มนุษยทั้งหลายกลาววา ขาแตทานผูเจริญ พระผูมีพระภาคเจาเสวยปลาและเนื้อ. ดาบสฟงคํานั้นแลวก็เกิดวิปฏิสาร (เดือดรอนใจ) วา บุคคลผูนั้นจะพึงเปนพระพุทธเจาหรือ หรือวาไมพึงเปนพระพุทธเจา. ดาบสนั้นคิดอีกวา ชื่อวาการปรากฏขึ้นของพระผูมีพระภาคเจาทั้งหลาย บุคคลไดโดยยาก เราไปเฝาพระองคแลวถาม จักทราบได.
ตอจากนั้น ดาบสนั้นจึงไดไปยังที่พระพุทธเจาประทับอยู ถามหนทางนั้นกะมนุษยทั้งหลาย เปนผูรีบรอนประดุจแมโคที่หวงลูก ไดไปถึงกรุงสาวัตถีโดยการพักคืนหนึ่งในที่ทุกแหง เขาไปยังพระเชตวันนั้นแล พรอมกับบริษัทของตน. แมพระผูมีพระภาคเขาทรงประทับนั่งบนอาสนะเพื่อแสดงธรรมในสมัยนั้น ดาบสทั้งหลายเขาไปเฝาพระผูมีพระภาคเจา เปนผูนิ่งไมถวายบังคม
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๖ - หนาที่ 88
ไดนั่งอยู ณ สวนขางหนึ่ง พระผูมีพระภาคเจาตรัสปราศรัยแสดงความชื่นชมกับดาบสเหลานั้น โดยนัยวา ทานฤาษีทั้งหลาย ทานทั้งหลายพออดทนไดละหรือ ดังนี้เปนตน. แมดาบสเหลานั้นก็ไดกราบทูลวา ขาแตพระโคดมผูเจริญ ขาพระองคทั้งหลายพออดทนได ดังนี้เปนตน. ลําดับนั้น อามคันธฤาษี ไดทูลถามพระผูมีพระภาคเจาวา ขาแตพระโคดมผูเจริญ พระองคเสวยกลิ่นดิบหรือไมเสวย. พระผูมีพระภาคเจาตรัสถามวา พราหมณ ชื่อวากลิ่นดิบนั้นคืออะไร? ดาบสนั้นทูลวา ขาแตพระโคดมผูเจริญ ปลาและเนื้อชื่อวากลิ่นดิบ. พระผูมีพระภาคเจาตรัสวา ดูกอนพราหมณ ปลาและเนื้อไมใชกลิ่นดิบ ก็แล กิเลสทั้งปวงที่เปนบาป เปนอกุศลธรรม ชื่อวากลิ่นดิบ แลวตรัสวา ดูกอนพราหมณ ตัวทานเองไดถามถึงกลิ่นดิบในกาลบัดนี้ก็หามิได แมในอดีต พราหมณชื่อวาติสสะก็ไดถามถึงกลิ่นดิบกะพระผูมีพระภาคเจาพระนามวากัสสปะแลว ก็ติสสพราหมณไดทูลถามแลวอยางนี้ พระผูมีพระภาคเจาไดทรงพยากรณแลวอยางนี้ ดังนี้ แลวไดทรงนํามาซึ่งพระคาถาที่ติสสพราหมณ และพระผูมีพระภาคเจากัสสปะตรัสแลวนั้นแล เมื่อจะใหอามคันธพราหรมณทราบดวยคาถาเหลานี้ จะตรัสวา สามากจิงฺคูลกจีนกานิ จ ดังนี้เปนตน. นี่คือเหตุเกิดขึ้นแหงพระสูตรนี้ ในที่นี้เพียงเทานี้กอน แตในอดีตกาลมีเหตุเกิดขึ้นดังตอไปนี้.
ไดยินวา พระโพธิสัตวพระนามวากัสสปะ บําเพ็ญบารมี ๘ อสงไขยกับแสนกัป ไดถือปฏิสนธิในครรภของนางพราหมณีชื่อวา ธนวดี ปชาบดีของพรหมทัตตพราหมณในเมืองพาราณสี แมอัครสาวกก็เคลื่อนจากเทวโลกในวันนั้นเหมือนกัน อุบัติในครรภของปชาบดีของพราหมณผูเปนอนุปุโรหิต การถือ
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๖ - หนาที่ 89
ปฏิสนธิและการคลอดจากครรภของพระโพธิสัตว และอัครสาวกทั้งสองนั้น ไดมีแลวในวันเดียวกันนั่นเอง ดวยประการฉะนี้ ญาติทั้งหลายไดตั้งชื่อบุตรของพราหมณคนหนึ่งวากัสสปะ บุตรของพราหมณคนหนึ่งวา ติสสะ ในวันเดียวกันนั้นเอง. เด็กทั้งสองเหลานั้นเปนสหายเลนฝุนกันมา ไดถึงความเจริญวัยโดยลําดับ. บิดาของติสสะไดสั่งลูกชายวา ดูกอนพอ สหายกัสสปะนี้ออกบวชแลว จะเปนพระพุทธเจา แมเจาเองบวชในสํานักของพระพุทธเจา พระนามวากัสสปะนั้นแลว ก็จะพึงทําการสลัดออกจากภพเสียได. ติสสะนั้นรับวา ดีละ แลวก็ไปยังสํานักของพระโพธิสัตวกลาววา ดูกอนสหาย แมเราทั้งสอง จักบรรพชาดวยกัน. พระโพธิสัตวรับวา ดีละ. ตอจากนั้น ในกาลที่สหายทั้งสองเจริญวัยโดยลําดับ ติสสะพูดกับพระโพธิสัตววา สหาย มาเถิดเราจะบรรพชาดวยกัน. พระโพธิสัตวมิไดออกบรรพชา. ติสสะคิดวา ญาณของสหายนั้น ยังไมถึงกาลแกรอบกอน ดังนี้แลว ตนเองจึงไดออกบวชเปนฤาษี ใหสรางอาศรมอยูที่เชิงภูเขาในปา. ในสมัยตอมา แมพระโพธิสัตว ทั้งๆ ที่ดํารงอยูในเรือนนั้นเอง ก็กําหนดอานาปานสติ ทําฌาน ๔ และอภิญญาใหบังเกิดขึ้นแลวเสด็จไปที่ใกลโคนตนโพธิดวยปราสาท (ดวยฤทธิ์) แลวอธิษฐานอีกวา ขอปราสาทจงดํารงอยูในที่ตามเดิมนั้นแล. ปราสาทนั้นก็ไปประดิษฐานอยูในที่ของตนตามเดิม. ไดยินวา พระโพธิสัตวที่มิใชบรรพชิต ไมอาจจะเขาถึงโคนตนโพธิได เพราะฉะนั้น พระโพธิสัตวบรรพชาแลวจึงไปถึงโคนตนโพธิ นั่งทําความเพียรอยู่ ๗ วัน ทําใหแจงแลวซึ่งสัมโพธิญาณโดยใชเวลา ๗ วัน.
ณ กาลครั้งนั้น ที่ปาอิสิปตนะมีบรรพชิตอยูถึง ๒ หมื่นรูป ครั้งนั้น พระผูมีพระาคเจาทรงพระนามวากัสสปะ ตรัสเรียกบรรพชิตเหลานั้นมาแลว
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๖ - หนาที่ 90
ทรงแสดงธรรมจักร ในเวลาจบพระสูตรนั้นเอง บรรพชิตทุกรูปก็เปนพระอรหันต ไดยินวา พระผูมีพระภาคเจาพระองคนั้น มีภิกษุ ๒ หมื่นรูปเปนบริวาร ประทับอยูที่ปาอิสิปตนะนั้นนั่นเอง และพระเจากาสีพระนามวา กิกี ทรงอุปฏฐากพระองคดวยปจจัย ๔.
ตอมาวันหนึ่ง บุรุษชาวเมืองพาราณสีคนหนึ่ง แสวงหาวัตถุทั้งหลาย มีแกนจันทนเปนตนที่ภูเขา ลุถึงอาศรมของติสสดาบส อภิวาทดาบสนั้นแลว ไดยืนอยู ณ ขางหนึ่ง. ดาบสเห็นบุรุษนั้นแลวถามวา ทานมาจากที่ไหน. บุรุษนั้นตอบวา ผมมาจากเมืองพาราณสี ขอรับ. ดาบสถามวา ความเปนไปที่เมืองพาราณสีนั้นเปนอยางไรบาง. บุรุษนั้นตอบวา ทานผูเจริญ พระสัมมาสัมพุทธเจาทรงพระนามวากัสสปะ. บังเกิดขึ้นแลวที่เมืองพาราณสีนั้น. ดาบสไดสดับคําที่ฟงไดโดยยากก็เกิดปติโสมนัส แลวถามวา พระพุทธเจาพระองคนั้นเสวยกลิ่นดิบหรือไมเสวย. บุรุษนั้นถามวา กลิ่นดิบคืออะไร ขอรับ.
ดาบสตอบวา กลิ่นดิบคือปลาและเนื้อสิคุณ.
บุรุษนั้นตอบวา ขาแตทานผูเจริญ พระผูมีพระภาคเจาเสวยปลาและเนื้อ. ดาบสฟงคํานั้น แลวก็เกิดวิปฏิสาร ดําริอีกวา เราจะไปทูลถามพระผูมีพระภาคเจาพระองคนั้น ถาหากวาพระองคจักตรัสวา เราบริโภคกลิ่นดิบ ตอแตนั้น เราก็จะหามพระองควา ขาแตพระองคผูเจริญ ขอนั้นไมเหมาะสมแกชาติและสกุลของพระองค ดังนี้แลวคิดวา เราบวชในสํานักของพระพุทธเจาพระองคนั้น จักกระทําการสลัดออกจากภพได ดังนี้แลว จึงไดถือเอาอุปกรณ (บริขาร) ที่เบาๆ ไปถึงเมืองพาราณสีในเวลาเย็น โดยการพักราตรีเดียวในที่
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๖ - หนาที่ 91
ทั้งปวง เขาไปแลวสูปาอิสิปตนะนั้นเอง แมพระผูมีพระภาคเจาประทับนั่งบนอาสนะ เพื่อแสดงพระธรรมเทศนาอยูในสมัยนั้นนั่นเอง. ดาบสเขาไปเฝาพระผูมีพระภาคเจาแลว ไมถวายบังคม เปนผูนิ่งไดยืนอยู ณ สวนขางหนึ่ง. พระผูมีพระภาคเจาทรงเห็นดาบสนั้นแลว ตรัสปฏิสันถารโดยนัยที่ขาพเจากลาวแลว ในตอนตนนั้นแล. แมดาบสนั้นกลาวคําทั้งหลายเปนตนวา ขาแตพระผูมีพระภาคเจาพระนามวากัสสปะผูเจริญ พระองคทรงพออดทนไดอยูหรือ. ดังนี้เปนตน แลวนั่ง ณ สวนขางหนึ่ง ทูลถามพระผูมีพระภาคเจาวา ขาแตพระกัสสปะผูเจริญ พระองคเสวยกลิ่นดิบหรือไม. พระผูมีพระภาคเจาตรัสวา พราหมณ เราหาไดเสวยกลิ่นดิบไม. ดาบสทูลวา ขาแตพระกัสสปะผูเจริญ สาธุ สาธุ พระองคเมื่อไมเสวยซากศพของสัตวอื่น ไดทรงกระทํากรรมดีแลว ขอนั้นสมควรแลวแกชาติ สกุล และโคตรของพระกัสสปะผูเจริญ. ตอแตนั้น พระผูมีพระภาคเจาจึงทรงดําริวา เราพูดวาเราไมบริโภคกลิ่นดิบ ดังนี้หมายถึง (กลิ่นดิบ) คือกิเลสทั้งหลาย พราหมณเจาะจงเอาปลาและเนื้อ ทําอยางไรหนอ เราจะไมเขาไปสูบานเพื่อบิณฑบาตพรุงนี้ จะพึงบริโภคบิณฑบาตที่เขานํามาจากวังของพระเจากิกิ คาถาปรารภกลิ่นดิบจักเปนไปอยางนี้ ตอแตนั้นเราจะใหพราหมณเขาใจได ดวยพระธรรมเทศนา ดงนี้แลว ทรงทําบริกรรมสรีระแตเชาตรูในวันที่สอง เสด็จเขาไปยังพระคันธกุฎี ภิกษุทั้งหลายเห็นพระคันธกุฎีปด จึงรูไดวาวันนี้พระผูมีพระภาคเจาไมประสงคจะเสด็จเขาไปพรอมกับภิกษุทั้งหลาย จึงไดกระทําปทักษิณพระคันธกุฎี แลวเขาไปเพื่อบิณฑบาต แมพระผูมีพระภาคเจาออกจากพระคันธกุฎี
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๖ - หนาที่ 92
แลวประทับนั่งบนอาสนะที่ปูลาดไว ฝายดาบสแลตมกิ่งใบไม แลวเคี้ยวกินแลวนั่งอยูในสํานักของพระผูมีพระภาคเจา พระเจากาสิกราชพระนามวา กิกิ เห็นภิกษุทั้งหลายเที่ยวบิณฑบาตจึงตรัสถามวา ทานผูเจริญ พระผูมีพระภาคเจาเสด็จไปไหน และไดทรงสดับวาพระผูมีพระภาคเจาประทับอยูในวิหาร มหาบพิตร. แลวจึงไดทรงสั่งโภชนะที่ถึงพรอมดวยกับและรสตางๆ สมบูรณดวยชนิดของเนื้อแดพระผูมีพระภาคเจา.
อํามาตยทั้งหลายไปสูวิหาร กราบทูลแดพระผูมีพระภาคเจา ถวายน้ําทักษิโณทก เมื่อจะอังคาสก็ไดถวายขาวยาคู อันถึงพรอมดวยเนื้อนานาชนิดเปนครั้งแรก ดาบสเห็นแลวจึงไดยืนคิดอยูวา พระผูมีพระภาคเจาจะเสวยหรือไมหนอ พระผูมีพระภาคเจาเมื่อดาบสนั้นดูอยูนั้นแล จึงทรงดื่มขาวยาคู ทรงใสชิ้นเนื้อเขาไปในพระโอษฐ ดาบสเห็นแลวก็โกรธ เมื่อพระผูมีพระภาคเจาทรงดื่มขาวยาคูเสร็จแลว อํามาตยทั้งหลายก็ไดถวายโภชนะอันประกอบดวยกับขาว อันมีรสตางๆ อีก ดาบสเห็นพระผูมีพระภาคเจาทรงรับโภชนะแมนั้นเสวยอยู ก็โกรธยิ่งขึ้น กลาววา ขาพเจาไมฉันปลาและเนื้อ.
ครั้งนั้น ดาบสไดเขาไปหาพระผูมีพระภาคเจา ผูทรงทําภัตกิจเสร็จแลว ทรงลางมือและเทาประทับนั่งอยู ทูลวา ขาแตทานกัสสปะผูเจริญ ทานตรัสคําเท็จ ขอนั้นไมใชกิจของบัณฑิต ดวยวาพระผูมีพระภาคเจาทั้งหลายทรงติเตียนมุสาวาทไวแลว แมพวกฤาษีเหลานั้นเหลาใดยังอัตภาพใหเปนไปดวยมูลผลาผลในปา อยู ณ เชิงเขา ฤาษีแมเหลานั้นก็ไมยอมพูดเท็จ เมื่อจะพรรณนาคุณทั้งหลายของฤาษีทั้งหลายดวยพระคาถา จึงกลาววา สามากจิงฺคูลกจีนกานิ จ เปนตน.
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๖ - หนาที่ 93
ติญชาติและธัญชาติที่เขาถึงซึ่งความเปนสิ่งอันบุคคลขจัด (เปลือกออกเสียแลว) หรือวาเลือกเอาแตรวงทั้งหลายแลวถือเอา ชื่อวา ขาวฟาง ในคาถานั้น อนึ่ง ลูกเดือย (จิงฺคูลกา) มีรวงซึ่งมีสัณฐานเหมือนดอกกณวีระ.
ถั่วเขียว (จีนกานิ) ซึ่งเขาปลูกแลว เกิดขึ้นที่เชิงเขาในดง ชื่อวา จีนกานิ.
ใบไม (สีเขียว) อยางใดอยางหนึ่ง ชื่อวา ปตฺตปฺผล.
เผือกมันอยางใดอยางหนึ่ง ชื่อวา มูลปฺผล.
ผลไมและผลเถาวัลยอยางใดอยางหนึ่ง ชื่อวา ควิปฺผล.
อีกประการหนึ่ง เผือกมัน ทานถือเอาดวยศัพทวา มูล.
ผลไมและผลแหงเถาวัลย ทานถือเอาดวยศัพทวา ผล.
ผลแหงกระจับและแหวเปนตน ซึ่งเกิดในน้ํา ทานถือเอาดวยศัพทวา ควิปฺผล.
สองบทวา ธมฺเมน ลทฺธ ความวา ละมิจฉาชีพ มีการเปนทูตรับใช และการไปสื่อขาว แลวไดมาดวยการทองเที่ยวขอเขาเลี้ยงชีพ.
พระอริยเจาทั้งหลายผูสงบ ชื่อวา สต.
บทวา อสมานา ได้แก่ บริโภคอยู.
ดวยบาทพระคาถาวา น กามกามา อลิก ภณนฺติ ฤๅษียอมแสดงถึงการติเตียนตอพระผูมีพระภาคเจา ดวยการสรรเสริญฤๅษีทั้งหลายวา ฤๅษีทั้งหลายเหลานั้น ไมยึดถือของของตน บริโภคอยูซึ่งขาวฟางเปนตนเหลานั้นอยูอยางนี้ ยอมไมพูดคําเหลาะแหละเพราะปรารถนากาม คือวาปรารถนากาม
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๖ - หนาที่ 94
อยูก็ไมพูดคําเท็จ อยางที่พระองคปรารถนากามทั้งหลายอันมีรสอรอยเปนตน เสวยกลิ่นดิบอยูนั้นแล ก็ยังตรัสวา พราหมณ เราหาบริโภคกลิ่นดิบไม ชื่อวาตรัสคําไมจริง (เหลาะแหละ) ดังนี้. พราหมณครั้นติเตียนพระผูมีพระภาคเจาดวยการอางคําสรรเสริญฤๅษีทั้งหลายอยางนี้แลว บัดนี้ เมื่อจะแสดงเรื่องการติเตียนตามที่ตนประสงค จะติเตียนพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยนิปปริยาย จึงไดกลาววา ยทสมาโน เปนตน.
ท อักษรในคาถานั้นเปนการเชื่อมบท แตเนื้อความมีดังตอไปนี้ :-
เนื้อนกมูลไถหรือเนื้อนกกระทาอยางใดอยางหนึ่ง ซึ่งกระทําดีแลวดวยการบริกรรมในเบื้องตน มีการลางและการหั่นเปนตน สําเร็จดีแลวดวยการบริกรรม ในภายหลัง มีการปรุงและการยางเปนตน อันชนเหลาอื่นผูใครธรรมซึ่งสําคัญอยูวา ทานผูนี้ไมใชมารดา ไมใชบิดา (ของเรา) แตอีกอยางหนึ่งแล ทานผูนี้เปนทักขิเณยยบุคคล ดังนี้ ไดถวายไป ชื่อวา ตกแตงดีแลวในการการทําสักการะ.
ชื่อวา ประณีต คือตกแตงเรียบรอย คือวาประณีต เพราะเปนโภชนะมีรสเลิศ เพราะเปนโภชนะมีโอชะ เพราะเปนโภชนะที่สามารถจะนํามาซึ่งกําลังและไขมัน พระองคเสวยอยู คือใหนํามาอยู คือวาพระองคเสวยเนื้ออยางใดอยางหนึ่งอยางเดียวก็หามิได โดยที่แทแล พระองคเสวยขาวสาลีแมนี้ ไดแก ขาวสุกแหงขาวสาลีซึ่งไดเลือกกากออกแลว ดาบสเรียกพระผูมีพระภาคเจาดวยอางพระโคตรวา ขาแตทานกัสสปะ พระองคนั้นเสวยกลิ่นดิบ. พระองคเสวยอยูซึ่งเนื้อชนิดใดชนิดหนึ่ง และเสวยอยูซึ่งขาวสาลีนี้ ขาแตทานกัสสปะ พระองคชื่อวาเสวยกลิ่นดิบ ดังนี้.
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๖ - หนาที่ 95
ดาบสครั้นติเตียนพระผูมีพระภาคเจา เพราะอาหารอยางนี้แลว บัดนี้ เมื่อจะยกเรื่องมุสาวาทขึ้นติเตียน จึงกลาววา น อามคนฺโธ ฯเปฯ สุสงฺขเตหิ
เนื้อความแหงพระคาถานั้นวา ดาบสเมื่อกลาวบริภาษอยูวา ขาแตพระผูมีพระภาคเจาผูเปนเผาพันธุแหงพรหม ผูเวนจากคุณของพราหมณ ขาแตทานผูเปนพราหมณผูสมมติแตเพียงชาติ พระองคเปนผูที่ขาพระองคทูลถามในกาลกอนแลว พระองคก็ตรัสอยางนี้วา คือวาพระองคตรัสโดยสวนเดียว อยางนี้วา กลิ่นดิบไมสมควรแกขาพเจา ดังนี้.
บทวา สาลีนมนฺน ไดแก ขาวสุกแหงขาวสาลี.
บทวา ปริภฺุชมาโน ไดแก บริโภคอยู.
บาทคาถาวา สกุนฺตม เสหิ สุสงฺขเตหิ ความวา ดาบสกลาวถึงเนื้อนกซึ่งพระราชานํามาถวายแกพระผูมีพระภาคเจาในครั้งนั้น ก็ดาบสเมื่อจะกลาวอยางนี้นั้นเอง จึงไดแหงนมองดูพระวรกายของพระผูมีพระภาคเจา ในเบื้องลางตั้งแตฝาพระบาทจนถึงปลายพระเกศาในเบื้องบน จึงไดเห็นความสมบูรณ์แหงพระลักษณะอันประเสริฐ ๓๒ ประการและอนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ รวมทั้งไดเห็นการแวดลอมแหงพระรัศมีที่ขยายออกไปวาหนึ่ง จึงคิดวา ผูที่มีกายประดับดวยมหาปุริสลักษณะเปนตนเห็นปานนี้ ไมควรที่จะพูดเท็จ ก็พระอุณาโลมนี้ ซึ่งเกิดขึ้นในระหวางคิ้ว สีขาวออนนุมคลายนุน และขนที่ขุมขนทั้งหลาย เปนอเนกเกิดขึ้นแกทานผูนี้. เพราะผลอันไหลออกแหงสัจวาจา แมในระหวางภพนั่นเอง ก็บุคคลเชนนี้นั้นจะพูดเท็จในบัดนี้ไดอยางไร กลิ่นดิบของพระผูมีพระภาคเจาจะตองเปนอยางอื่นแนแท พระองคตรัสคํานี้หมายถึง
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๖ - หนาที่ 96
กลิ่นอันใดวา พราหมณเราหาไดบริโภคกลิ่นดิบไม ดังนี้ ไฉนหนอเราจะพึงถามถึงกลิ่นนั้น เปนผูมีมานะมากบังเกิดขึ้นแลว เมื่อจะเจรจาดวยอํานาจโคตรนั้นเอง จึงกลาวคาถาที่เหลือนี้วา :-
ขาแตทานกัสสปะ ขาพระองคขอถามเนื้อความนี้กะพระองควา กลิ่นดิบของพระองคมีประการเปนอยางไร ดังนี้.
ครั้งนั้น พระผูมีพระภาคเจาเมื่อจะทรงแกถึงกลิ่นดิบแกพราหมณนั้น จึงตรัสพระดํารัสเปนตนวา ปาณาติปาโต ดังนี้.
การฆาสัตว ชื่อวา ปาณาติบาต ในคาถานั้น. ในคําวา วธจฺเฉทพนฺธน นี้ มีอธิบายวา การทุบตีทํารายสัตวทั้งหลายดวยทอนไมเปนตน ชื่อวา วธะ การทุบตี การตัดมือและเทาเปนตน ชื่อวา เฉทะ การตัด การจองจําดวยเชือกเปนตน. ชื่อวา พันธนะ การจองจํา.
การลักและการพูดเท็จ ชื่อวา เถยยะและมุสาวาท.
การใหความหวังเกิดขึ้นโดยนัยเปนตนวา เราจักให เราจักกระทํา แลวก็ทําใหหมดหวังเสีย ชื่อวา นิกติ การกระทําใหมีความหวัง.
การใหผูอื่นถือเอาสิ่งที่ไมใชทองวาเปนทองเปนตน ชื่อวา วัญจนา การหลอกลวง.
การเลาเรียนคัมภีรเปนอเนกที่ไมมีประโยชน ชื่อวา อัชเฌนกุตติ การเรียนคัมภีรที่ไรประโยชน.
ความพระพฤติผิดในภรรยาที่ผูอื่นหวงแหน ชื่อวา ปรทารเสวนา การคบหาภรรยาผูอื่น.
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๖ - หนาที่ 97
บาทพระคาถาวา เอสามคนฺโธ น หิ ม สโภชน ความวา ความประพฤติดวยอํานาจอกุศลธรรม มีปาณาติบาตเปนตนนี้ ชื่อวา อามคันธะ กลิ่นดิบ คือ เปนกลิ่นที่มีพิษ เปนกลิ่นดุจซากศพ. ถามวา เพราะเหตุไร?
ตอบวา เพราะไมเปนที่พอใจ เพราะคลุกเคลาดวยของไมสะอาดคือกิเลส เพราะเปนของที่สัปบุรุษทั้งหลายเกลียด และเพราะนํามาซึ่งความเปนกลิ่นที่เหม็นอยางยิ่ง.
สัตวทั้งหลายเหลาใด ซึ่งมีกิเลสอันบังเกิดขึ้นแลว ดวยกลิ่นดิบทั้งหลายเหลาใด สัตวทั้งหลายเหลานั้น ชื่อวาเปนผูมีกลิ่นเหม็นอยางยิ่งกวากลิ่นดิบทั้งหลายเหลานั้น แมรางที่ตายแลวของคนที่หมดกิเลสทั้งหลาย ก็ยังไมจัดวามีกลิ่นเหม็น เพราะฉะนั้น กลิ่นนี้ (คือการฆาสัตวเปนตน) จึงเปนกลิ่นดิบ. สวนเนื้อและโภชนะที่ผูบริโภคไมไดเห็น ไมไดยิน และไมไดรังเกียจ (คือไมสงสัยวาเขาฆาเพื่อตน) จัดเปนสิ่งหาโทษมิได เพราะฉะนั้น เนื้อและโภชนะจึงไมใชกลิ่นดิบเลย.
พระผูมีพระภาคเจา ครั้นทรงวิสัชนากลิ่นดิบโดยนัยหนึ่ง ดวยเทศนาที่เปนธรรมาธิษฐานอยางนี้แลว บัดนี้ เพราะเหตุที่สัตวเหลานั้นๆ ประกอบดวยกลิ่นดิบทั้งหลายเหลานั้นๆ สัตวผูหนึ่งเทานั้น จะประกอบดวยกลิ่นดิบทุกอยางก็หามิได และกลิ่นดิบทุกอยาง จะประกอบกับสัตวผูเดียวเทานั้น ก็หามิได ฉะนั้น เมื่อจะทรงประกาศกลิ่นดิบเหลานั้นๆ แกสัตวเหลานั้น เมื่อจะทรงวิสัชนากลิ่นดิบดวยเทศนาที่เปนบุคคลธิษฐานกอนโดยนัยวา ชนทั้งหลายเหลาใดในโลกนี้ ไมสํารวมแลวในกามทั้งหลาย ดังนี้เปนตน จึงไดทรงภาษิตพระคาถา ๒ พระคาถา.
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๖ - หนาที่ 98
ในบาทพระคาถานั้น คาถาวา เย อิธ กาเมสุ อสฺตา ชนา ความวา ปุถุชนจําพวกใดจําพวกหนึ่งในโลกนี้ ไมสํารวม เพราะทําลายความสํารวมเสียแลว ในกามทั้งหลายกลาวคือการเสพกาม โดยการเวนเขตแดนในชนทั้งหลายมีมารดาและนาสาวเปนตน.
สองบทวา รเสสุ คิทฺธา ความวา เกิดแลว คือเยื่อใยแลว สยบแลว คือไดประสบแลว ในรสทั้งหลายที่จะพึงรูไดดวยชิวหาวิญญาณเปนผูมีปกติเห็นวาไมมีโทษ ไมมีปญญาเปนเครื่องสลัดออก บริโภครสทั้งหลายอยู่.
บทวา อสุจีกมิสฺสิตา ความวา คลุกเคลาดวยของไมสะอาด กลาวคือมิจฉาทิฏฐิมีประการตางๆ เพื่อประโยชนแกการไดรส เพราะความติดในรสนั้น.
บทวา นตฺถีกทิฏิ ความวา ประกอบดวยมิจฉาทิฏฐิ ๑๐ อยาง เชน มิจฉาทิฏฐิขอที่วา ทานที่ใหแลวไมมีผลเปนตน.
บทวา วิสมา ความวา ประกอบดวยกายกรรมเปนตน ที่ไมสม่ําเสมอ.
บทวา ทุรนฺนยา ความวา เปนผูอันบุคคลอื่นแนะนําไดโดยยาก ไดแก ผูที่ประกอบดวยการไมสละคืน การยึดมั่นถือมั่นในทิฏฐิที่ผิดๆ .
บทวา เอสามคนฺโธ ความวา พึงทราบกลิ่นดิบที่พระผูมีพระภาคเจาแสดงเฉพาะในบุคคล ดวยคาถานี้วามี ๖ ชนิด ดวยอรรถที่พระองคตรัสไวในตอนตน แมอื่นอีกวา ความไมสํารวมในกาม ๑ การติดในรส ๑ อาชีววิบัติ ๑ นัตถิกทิฏฐิ ๑ ความเปนผูไมสม่ําเสมอในทุจริตมีกาย ทุจริตเปนตน ๑ ความเปนผูแนะนําไดยาก ๑.
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๖ - หนาที่ 99
คําวา น หิ ม สโภชน ความวา ก็เนื้อและโภชนะหาใชกลิ่นดิบไม ดวยอรรถตามที่ขาพเจากลาวไวนั้นแล.
พึงทราบวินิจฉัยแมในคาถาที่ ๒ ดังตอไปนี้.
สองบทวา เย ลูขสา ความวา ชนเหลาใด เศราหมอง ไมมีรส. อธิบายวา ประกอบตนไวในอัตตกิลมถานุโยค.
บทว่า ทารุณา ได้แก่ หยาบชา กักขฬะ คือประกอบดวยความเปนผูวายาก.
บทวา (ปร) ปฏิม สิกา ความวา ตอหนา ก็พูดไพเราะ แลวก็พูดติเตียนในที่ลับหลัง. จริงอยู่ ชนทั้งหลายเหลานี้ ไมอาจจะแลดูซึ่งหนาได เปนราวกะวาแทะเนื้อหลังของชนทั้งหลายลับหลัง เพราะเหตุนั้น ทานจึงเรียกวา หนาไวหลังหลอก.
บทวา มิตฺตทุพฺภิโน คือ ผูประทุษรายมิตร มีคําอธิบายวา ปฏิบัติผิดตอมิตรทั้งหลายผูใหความคุนเคย ในเรื่องภรรยา ทรัพย และชีวิต ในที่นั้นๆ .
บทวา นิกฺกรุณา ความวา ปราศจากความเอ็นดู คือตองการใหสัตวทั้งหลายพินาศ.
บทวา อติมาโน ไดแก ประกอบดวยการถือตัวจัด ดังที่พระผูมีพระภาคเจาตรัสไววา คนบางคนในโลกนี้ ดูหมิ่นผูอื่นดวยกระทบถึงชาติกําเนิด ฯลฯ หรือดวยอางถึงวัตถุอยางใดอยางหนึ่ง ความถือตัวเห็นปานนี้ใด ฯลฯ ความเปนผูมีจิตเหมือนกับธง.
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๖ - หนาที่ 100
บทวา อทานสีลา คือ มีปกติไมให ไดแก มีจิตใจนอมไปเพื่อไมให อธิบายวา ไมยินดีในการจายแจก.
หลายบทวา น จ เทนฺติ กสฺสจิ ความวา ก็เพราะเหตุที่มีปกติไมใหนั้น แมจะเปนผูถูกขอก็ไมยอมใหอะไรแกใครๆ คือวาเปนเชนกับดวยมนุษยในสกุลอทินนปุพพกะพราหมณ ยอมจะเกิดเปนนิชฌามตัณหิกเปรตในสัมปรายภพ.
แตอาจารยบางพวกกลาววา อาทานสีลา ดังนี้ก็มี ความวา เปนผูมีปกติรับอยางเดียว แตก็ไมยอมใหอะไรๆ แกใครๆ .
บาทคาถาวา เอสามคนฺโธ น หิ ม สโภชน ความวา ผูศึกษาพึงทราบวา กลิ่นดิบที่พระผูมีพระภาคเจาทรงแสดงเจาะจงบุคคลทั้งหลายดวยคาถานี้มี ๘ ชนิด ดวยอรรถตามที่พระผูมีพระภาคเจาตรัสไวแลวในตอนตนอื่นอีก คือ ความเปนผูมีรสที่เศราหมอง ๑ ความทารุณ ๑ หนาไหวหลังหลอก ๑ ความเปนผูคบมิตรชั่ว ๑ การไรความเอ็นดู ๑ การถือตัวจัดหนึ่ง ๑ การมีปกติไมให ๑ และการไมสละ ๑ เนื้อและโภชนะใหใชกลิ่นดิบเลย.
พระผูมีพระภาคเจาครั้นตรัส ๒ พระคาถาดวยเทศนาเปนบุคลาธิษฐานอยางนี้แลว ก็ไดทรงทราบถึงการอนุวัตรตามอัธยาศัยของดาบสนั้นอีก จึงไดตรัสพระคาถา ๑ (คาถา) ดวยเทศนาที่เปนธรรมาธิษฐาน.
ความโกรธในพระคาถานั้น ผูศึกษาพึงทราบโดยนัยที่ขาพเจากลาวไวแลวในอุรคสูตร ความมัวเมาแหงจิต มีประเภทดังที่พระผูมีพระภาคเจาตรัสไวในวิภังคโดยนัยวา ความเมาในคติ ความเมาในโคตร ความเมาในความไมมีโรค เปนตน ชื่อวา มโท ความเมา.
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๖ - หนาที่ 101
ความเปนผูแข็งกระดาง ชื่อวา ถมฺโภ ความเปนคนหัวดื้อ.
การตั้งตนไวในทางที่ผิด ได้แก่การตั้งตนไว้ผิดจากพระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ โดยนัยอันชอบธรรม ชื่อวา ปจฺจุปฺปฏานา การตั้งตนไวผิด.
การปกปดบาปที่ตนกระทําไว ซึ่งพระผูมีพระภาคเจาจําแนกไวในคัมภีรวิภังค โดยนัยเปนตนวา คนบางคนในโลกนี้ประพฤติกายทุจริต ชื่อวา มายา หลอกลวง.
การริษยาในลาภสักการะของบุคคลอื่นเปนตน ชื่อวา อุสฺสุยา ริษยา.
คําที่บุคคลยกขึ้น มีการอธิบายวา การยกตนขึ้น ชื่อวา ภสฺสสมุสฺ โสโย การยกตน.
ความถือตัวที่พระผูมีพระภาคเจาทรงจําแนกไวในคัมภีรวิภังควา คนบางคนในโลกนี้ถือตัววาเสมอกับผูอื่นในกาลกอน ดวยชาติกําเนิดเปนตน ฯลฯ หรือดวยวัตถุอยางใดอยางหนึ่ง แตมาภายหลังยกตนวาเสมอ ไมยอมรับวาตนเองเลวกวาคนอื่น มานะเห็นปานนี้ใด ฯลฯ ความเปนผูมีจิตดุจธง ชื่อวา มานาติมาโน การถือตัว.
การสมาคมกับอสัปบุรุษทั้งหลาย ชื่อวา อสพฺภิสนฺถโว การสมาคมกับอสัตบุรุษ.
บาทพระคาถาวา เอสามคนฺโธ น หิ ม สโภชน ความวา อกุศลราศี ๙ อยางมีความโกรธเปนตนนี้ พึงทราบวา เปนกลิ่นดิบ โดยอรรถตามที่ขาพเจากลาวไวในตอนตนนั้นแล เนื้อและโภชนะไมชื่อวากลิ่นดิบเลย.
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๖ - หนาที่ 102
พระผูมีพระภาคเจา ครั้นทรงแสดงกลิ่นดิบ ๙ อยาง ดวยเทศนาที่เปนธรรมาธิษฐานอยางนี้แลว เมื่อจะทรงวิสัชนากลิ่นดิบดวยเทศนาที่เปนบุคลาธิษฐานที่นัยตามที่ขาพเจากลาวแลวในตอนตนนั้นแลแมอีก จึงไดทรงภาษิต ๓ พระคาถา.
บรรดาบทเหลานั้น สองบทวา เย ปาปสีลา ความวา ชนเหลาใดปรากฏในโลกวามีปกติประพฤติชั่ว เพราะเปนผูมีความประพฤติชั่ว.
การยืมหนี้แลวฆาเจาหนี้เสียเพราะไมใชหนี้นั้น และการพูดเสียดแทง เพราะคําสอเสียด ตามนัยที่กลาวไวในวสลสูตร ชื่อวา อิณฆาตสูจกา ผูฆาเจาหนี้และพูดเสียดแทงเจาหนี้.
บาทคาถาวา โวหารกูฏา อิธ ปาฏิรูปกา ความวา ชนทั้งหลายดํารงอยูแลว ในฐานะที่ตั้งอยูในธรรม (เปนผูตัดสินความ) รับคาจางแลว ทําเจาของใหพายแพ ชื่อวาผูพูดโกง เพราะประกอบดวยโวหารที่โกง ชื่อวา ปาฏิรูปกา คนผูหลอกลวง เพราะเอาเปรียบผูตั้งอยูในธรรม.
อีกประการหนึ่ง บทวา อิธ ไดแก ในศาสนา.
บทวา ปาฏิรูปกา ไดแก พวกคนทุศีล.
จริงอยู เพราะเหตุคนทุศีลเหลานั้น มีการสํารวมอิริยาบถใหงดงามเรียบรอย เปนตน ซึ่งจะเปรียบไดกับทานผูมีศีล ฉะนั้น จึงชื่อวาเปน คนผูหลอกลวง.
บาทคาถาวา นราธมา เยธ กโรนฺติ กิพฺพิส ความวา ชนเหลาใด เปนคนต่ําทรามในโลกนี้ ยอมกระทํากรรมหยาบชา กลาวคือการปฏิบัติผิดในมารดาและบิดาทั้งหลาย และในพระพุทธเจาและพระปจเจกพุทธเจาเปนตน.
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๖ - หนาที่ 103
บาทคาถาวา เอสามคนฺโธ น หิ ม สโภชน ความวา กลิ่นชนิดนี้ซึ่งพระผูมีพระภาคเจาทรงแสดงไวดวยคาถานี้ อันตั้งอยูแลวในบุคคล เปนบุคลาธิษฐาน ผูศึกษาพึงทราบกลิ่นแมอื่นอีก ๖ ชนิด โดยอรรถที่ขาพเจากลาวไวแลวในกาลกอนวา ความเปนผูมีปกติประพฤติชั่ว ๑ การกูหนี้มาแลวไมใช ๑ การพูดเสียดสี ๑ การเปนผูพิพากษาโกง ๑ การเปนคนหลอกลวง ๑ การกระทําที่หยาบชา ๑ เนื้อและโภชนะไมใชกลิ่นดิบเลย ดังนี้.
บาทคาถาวา เย อิธ ปาเณสุ อส ยตา ชนา ความวา ชนเหลาใดในโลกนี้ ฆาสัตวรอยหนึ่งบาง พันหนึ่งบาง เพราะประพฤติตามความอยาก ชื่อวาไมสํารวมแลว เพราะไมกระทําแมสักวาความเอ็นดูในสัตว.
บาทคาถาวา ปเร สมาทาย วิเหสมุยฺยุตา ความวา ถือเอาทรัพยหรือชีวิตอันเปนของที่มีอยูของบุคคลอื่น ตอแตนั้นก็ประกอบการเบียดเบียน โดยการใชฝามือ กอนดิน และทอนไมตอชนทั้งหลายผูออนวอนหรือหามอยูวา "ทานทั้งหลายอยาทําอยางนี้" ดังนี้.
อีกอยางหนึ่ง จับสัตวทั้งหลายเหลาอื่นไดแลว ก็ยึดถือไวอยางนี้วา เราจะฆาสัตว ๑๐ ตัวในวันนี้ จะฆา ๒๐ ตัวในวันนี้ ดังนี้ แลวก็ทําการเบียดเบียนสัตวเหลานั้น ดวยการฆาและการจองจําเปนตน.
บทวา ทุสฺสีลลุทฺทา ความวา ผูทุศีล เพราะประพฤติชั่ว และชื่อวาผูดุราย เปนผูมีการงานหยาบชา เพราะเปนผูมีฝามือเปอนเลือด ชนทั้งหลายผูมีกรรมอันเปนบาป มีชาวประมง นายพรานเนื้อและนายพรานนก เปนตน พระผูมีพระภาคเจาทรงประสงคในพระคาถานี้.
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๖ - หนาที่ 104
บทวา ผรุสา ไดแก มีวาจาหยาบคาย.
บทวา อนาทรา ไดแก่ ผูเวนจากความเอื้อเฟออยางนี้วา พวกเราจักไมกระทําในบัดนี้ พวกเราเห็นบาปนี้ จักงดเวน ดังนี้.
บาทคาถาวา เอสามคนฺโธ น หิ ม สโภชน ความวา กลิ่นนี้ที่พระผูมีพระภาคเจาทรงแสดงดวยคาถานี้ ซึ่งตั้งอยูแลวในบุคคลทั้งที่ขาพเจากลาวไวแลว และยังไมไดกลาวโดยกาลกอน เปนตนวา การฆา การตัด และการจองจํา ชื่อวา ปาณาติบาต ดังนี้.
บัณฑิตพึงทราบ กลิ่นดิบ ๖ ชนิด คือ ความไมสํารวมในสัตวทั้งหลาย ๑ การเบียดเบียนสัตวเหลาอื่น ๑ ความเปนผูทุศีล ๑ ความเปนผูรายกาจ ๑ ความเปนผูหยาบคาย ๑ ความเปนผูไมเอื้อเฟอ ๑ เนื้อและโภชนะไมชื่อวากลิ่นดิบเลย สมจริงดังคําที่ทานกลาวไวในตอนตนวา ขอนั้น ทานหาไดกลาวไวอีกดวยเหตุทั้งหลาย มีอาทิอยางนี้วา เพื่อปรารถนาจะฟง เพื่อการกําหนด เพื่อกระทําใหมั่นคงไม.
ก็เพราะเหตุนั้นแล พระผูมีพระภาคเจาจึงไดตรัสถึงเนื้อความนี้ไวขางหนา พระผูมีพระภาคเจาผูถึงฝงแหงมนต ไดตรัสบอกเนื้อความนี้อยางนี้บอยๆ ชื่อวา ใหผูอื่นทราบเนื้อความนั้น.
บาทคาถาวา เอเตสุ คิทฺธา วิรุทฺธาติปาติโน ความวา กําหนัดแลว ดวยความกําหนัดในสัตวเหลานั้น โกรธแลวดวยโทสะ ไมเห็นโทษดวยโมหะ และฆาสัตวดวยการประพฤติผิดในสัตวทั้งหลายบอยๆ .
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๖ - หนาที่ 105
อีกอยางหนึ่ง ราคะ โทสะ และโมหะ กลาวคือ ความกําหนัด ความโกรธ และการฆาสัตวเหลาใด ชนทั้งหลายกําหนัด โกรธ และฆาสัตวดวย ราคะ โทสะ และโมหะเหลานั้น ตามที่มันเกิดขึ้นในบาปกรรมทั้งหลาย ซึ่งทานกลาวแลวโดยนัยวา การฆา การตัด และการจองจําในสัตวเหลานี้ ชื่อวา ปาณาติบาต.
บทวา นิจฺจุยฺยุตา ความวา ประกอบในอกุศลกรรมอยูเปนนิตย คือบางคราวพิจารณาแลวก็ไมงดเวน.
บทวา เปจฺจ ไดแก ไปจากโลกนี้สูโลกอื่น.
บาทคาถาวา ตม วชนฺติ เย ปตนฺคติ สตฺตา นิรย อว สิรา ความวา ชนเหลาใดไปสูที่มืด กลาวคือ โลกันตริกนรกอันมืดมนอนธกาล หรืออันตางดวยสกุล มีสกุลต่ําเปนตน และสัตวเหลาใดผูมีหัวตกลง ไดแก มีศีรษะตกลงไปเบื้องลาง เพราะยอมตกลงไปยังนรก อันตางดวยอเวจีนรก เปนตน.
บทวา เอสามคนฺโธ ความวา กลิ่นดิบ ๓ ประเภทโดยอรรถตามที่ขาพเจากลาวแลว อันเปนเคามูลแหงกลิ่นดิบทั้งปวง อันตางโดยความกําหนัด ความโกรธ และการฆาสัตว เพราะเปนเหตุใหสัตวเหลานั้นไปสูที่มืดและตกนรก นี้ ชื่อวา กลิ่นดิบ.
บทวา น หิ ม สโภชน ความวา แตเนื้อและโภชนะ ไมชื่อวากลิ่นดิบเลย.
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๖ - หนาที่ 106
พระผูมีพระภาคเจาครั้นทรงวิสัชนากลิ่นดิบโดยปรมัตถ และทรงประกาศความที่กลิ่นดิบเปนทางแหงทุคติอยางนี้แลว บัดนี้ ดาบสมีความสําคัญในปลาเนื้อและโภชนะใดวาเปนกลิ่นดิบ และมีความสําคัญวาเปนทางแหงทุคติ เปนผูปรารถนาความบริสุทธิ์ ดวยการไมบริโภคปลาและเนื้อนั้น จึงไมยอมบริโภคโภชนะ คือปลาและเนื้อนั้น เมื่อจะทรงแสดงซึ่งความที่เนื้อและโภชนะนั้นและโภชนะอื่นๆ เห็นปานนั้น ไมสามารถจะชําระตนใหบริสุทธิ์ได จึงตรัสคาถาที่ ๖ นี้วา น มจฺฉม ส เปนตน.
ในคาถานั้น พึงเชื่อมบททั้งปวง (คือ บทวา โสเธติ มจฺจ อวิติณฺณกงฺข ยอมไมยังสัตวผูขามความสงสัยไมไดใหบริสุทธิ์ได) ดวยบทสุดทายอยางนี้วา การไมกินปลาและเนื้อ มิไดทําสัตวผูขามความสงสัยไมไดใหบริสุทธิ์ได การบวงสรวง การบูชายัญ และการซองเสพฤดู หาไดยังสัตวผูยังขามความสงสัยไมไดใหบริสุทธิ์ได. ก็ในขอนี้ พระโบราณาจารยทั้งหลายกลาวอยางนี้วา คําวา น มจฺฉม ส ไดแก ปลาและเนื้อ มิไดทําบุคคลผูไมบริโภคใหบริสุทธิ์ได การไมบริโภคปลาและเนื้อก็ไมอาจจะทำสัตวใหบริสุทธิ์ไดเหมือนกัน ดังนี้เปนตน. ดวยวาการกลาว อยางนี้จะพึงดีกวา (คือเขาใจไดงายกวา) แมพระบาลีก็มีอยูวา การไมกินปลากินเนื้อ ยอมไมทําสัตวใหบริสุทธิ์ คือวา ความเปนผูไมบริโภคตางๆ ซึ่งปลาและเนื้อยอมไมทําสัตวใหบริสุทธิ์ ไดแก ความเปนผูไมบริโภคปลาและเนื้อ ยอมไมทําสัตวใหบริสุทธิ์ได.
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๖ - หนาที่ 107
ถามวา เมื่อเปนเชนนั้น ทานก็ทิ้งความเปนผูไมบริโภคเสีย?
ตอบวา ขอนี้หาเปนเชนนั้นไม เพราะวาการทรมานตน ที่เหลือที่ขาพเจากลาวไวแลวแมทั้งหมด ยอมถึงการสงเคราะหในคํานี้วา เย วาป โลเก อมรา พหู ตปา เพราะเหตุที่ทานสงเคราะหเขาดวยการยางกิเลส เพื่อปรารถนาความเปนเทวดา.
ความเปนคนเปลือยกาย ชื่อวา นคฺคิย.
ความเปนคนโลน ชื่อวา มุณฺฑิย.
การเกลาชฎาและการเปนผูหมักหมมดวยธุลี ชื่อวา ชฎาชลฺล.
เล็บและหนังเสือ ชื่อวา ขราชินานิ.
การบําเรอไฟ ชื่อวา อคฺคิโหตสฺสุปเสวนา.
ความเศราหมองทางกายอันเปนไปแลว เพื่อปรารถนาความเปนเทวดา ชื่อวา อมรา.
บทวา พหู ไดแก เปนอเนก โดยตางดวยการนั่งกระโหยง เปนตน
การยางกิเลสทางกาย ชื่อวา ตปา.
เวททั้งหลาย ชื่อวา มนฺตา.
กรรม คือการบูชาไฟ ชื่อวา อาหุติ.
ยัญ ที่ชื่อวา อัสวเมธ เปนตน และการซองเสพฤดู ชื่อวา ยฺมุตูปเสวนา.
การซองเสพสถานที่รอน ในฤดูรอน การซองเสพรุกขมูล ในฤดูฝน การซองเสพคือการเขาไปสูชลาลัย ในฤดูหนาว ชื่อวา การซองเสพฤดู.
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๖ - หนาที่ 108
บาทพระคาถาวา น โสเธติ มจฺจ อวิติณฺณกงฺข ไดแก ยอมไมทําสัตวผูยังขามความสงสัยไมได ใหบริสุทธิ์ ดวยความบริสุทธิ์จากกิเลส หรือดวยความบริสุทธิ์จากภพ เพราะเมื่อยังมีมลทิน คือความสงสัย สัตวก็เปนผูบริสุทธิ์ไมได และตัวทานเองก็ชื่อวา ยังมีความสงสัยอยูนั่นเอง.
ก็ในคาถานี้ มีอธิบายวา คําวา อวิติณฺณกงฺข นี้ พึงเปนคําที่พระผูมีพระภาคเจาตรัสไว ในเมื่อเกิดความสงสัยขึ้นแกดาบสวา ทางแหงความบริสุทธิ์จะไมพึงมี ดวยเหตุมีการไมบริโภคปลาและเนื้อเปนตน หรือหนอแล ดังนี้ เพราะไดฟง ซึ่งคําทั้งหลายมีคําเปนตนวา นมจฺฉม ส ดังนี้ ก็ความสงสัย ในพระผูมีพระภาคเจา อันใด เกิดขึ้นแกดาบสนั้น เพราะฟงวาพระผูมีพระภาคเจานั้น เสวยปลาและเนื้อดังนี้ คํานี้บัณฑิตพึงทราบวา พระผูมีพระภาคเจาตรัสหมายถึงความสงสัยนั้น.
พระผูมีพระภาคเจา ตรัสบทแสดงความที่บุคคลไมสามารถจะทําตนใหบริสุทธิ์ดวยการไมบริโภคปลาเนื้อเปนตนอยางนี้แลว บัดนี้เมื่อจะทรงแสดงพระธรรมที่สามารถจะทําสัตวใหบริสุทธิ์ได จึงตรัสพระคาถานี้วา โสเตสุ คุตฺโต เปนตน.
บรรดาบทเหลานั้น บทวา โสเตสุ ไดแก ในอินทรีย ๖.
บทวา คุตฺโต ไดแก ประกอบดวยการคุมครองคือการสํารวมอินทรีย. พระผูมีพระภาคเจา ทรงแสดงศีล ซึ่งมีอินทรียสังวรเปนบริวาร ดวยคํามีประมาณเทานี้.
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๖ - หนาที่ 109
สองบทวา วิทิตินฺทฺริโย จเร ความวา ทราบอินทรียทั้ง ๖ ดวยญาตปริญญา พึงประพฤติใหปรากฏ. อธิบายวา พึงมี พระผูมีพระภาคเจาทรงแสดงการกําหนดนามรูปแหงบุคคลผูมีศีลอันบริสุทธิ์แลว ดวยเหตุมีประมาณเทานี้.
สองบทวา ธมฺเม ิโต ไดแก ดํารงอยูในธรรมคืออริยสัจ ๔ อันจะพึงบรรลุไดดวยอริยมรรค.
ดวยคําวา ธมฺเม ิโต นี้ พระผูมีพระภาคเจาทรงแสดงถึงภูมิแหงพระโสดาบัน.
สองบทวา อชฺชวมทฺทเว รโต ไดแก ยินดีแลวในความเปนคนตรง และในความเปนคนออนโยน. ดวยคําวา อชฺชวมทฺทเว รโต นี้ พระผูมีพระภาคเจา ทรงแสดงถึงภูมิของพระสกทาคามี ดวยวาพระสกทาคามียินดีแลวในความซื่อตรงและในความออนโยน เพราะความที่ทานทําใหเบาบางซึ่งกิเลสทั้งหลาย มีอันกระทําความคดกายเปนตน และทําราคะและโทสะอันกระทําความแข็งกระดางแหงจิต ใหเบาบางลง.
บทวา สงฺคาติโค ไดแก ขามพนเครื่องของ คือ ราคะและโทสะเสียได. ดวยบทวา สงฺคาติโค นี้ พระผูมีพระภาคเจา ทรงแสดงภูมิแหงพระอนาคามี.
บทวา สพฺพทุกฺขปฺปหีโน ความวา ชื่อวาละทุกขทั้งปวงเสียได เพราะละเหตุแหงทุกขในวัฏฏะทั้งสิ้นเสียได. ดวยคําวา สพฺพทุกฺขปฺปหีโน นี้ พระผูมีพระภาคเจา ทรงแสดงอรหัตภูมิ.
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๖ - หนาที่ 110
บาทพระคาถาวา น ลิมฺปติ ทิฏสุเตสุ ธีโร ความวา ผูนั้นบรรลุแลวซึ่งพระอรหัต โดยลําดับอยางนี้ ชื่อวาเปนนักปราชญ เพราะถึงพรอมดวยความเพียร ยอมไมติดอยูในธรรมทั้งหลาย ที่ตนเห็นแลวและฟงแลวดวยการติดอยางใดอยางหนึ่ง.
พระผูมีพระภาคเจา ใหเทศนาจบลงดวยธรรมเทศนาที่เปนบุคลาธิษฐานอยางเดียวก็หามิได แตใหจบลงดวยยอดคือพระอรหัตทีเดียววา บุคคลนั้นยอมไมติดในธรรมทั้งหลาย ทั้งที่เห็น ทั้งที่ไดฟง และในธรรมทั้งหลาย ทั้งที่ตนทราบและไดรู จึงเปนผูถึงแลวซึ่งความบริสุทธิ์อยางยิ่งโดยแท.
ตอจากนี้ไป พระธรรมสังคีติกาจารย ไดกลาว ๒ พระคาถาวา อิจฺเจตมตฺถ ดังนี้เปนตน.
ผูศึกษาพึงทราบเนื้อความแหงพระคาถานั้น ดังตอไปนี้ :-
พระผูมีพระภาคเจา ทรงพระนามวากัสสปะ ไดตรัสบอก คือตรัสเนื้อความนี้ใหพิสดาร ดวยเทศนาที่เปนธรรมาธิษฐาน และที่เปนบุคลาธิษฐานดวยคาถาเปนอเนกบอยๆ จนกระทั่งดาบสนั้นไดทราบชัดดังพรรณนามาฉะนี้.
สามบทวา น เวทยิ มนฺตปารคู ความวา ก็ติสสพราหมณแมนั้น ผูถึงซึ่งฝงแหงมนต คือผูถึงฝงแหงเวท ไดทราบคือไดรู ซึ่งเนื้อความนั้น.
ถามวา เพราะเหตุไร?
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๖ - หนาที่ 111
ตอบวา เพราะพระมุนี ทรงประกาศดวยคาถาทั้งหลายที่ไพเราะทั้งโดยอรรถ ทั้งโดยบท ทั้งโดยกระแสแหงเทศนา.
ถามวา เปนเชนไร?
ตอบวา บุคคลที่ไมมีกลิ่นดิบ ผูอันตัณหาและทิฏฐิไมอาศัยแลว ตามรูไดยาก ที่ชื่อวาผูไมมีกลิ่นดิบ ก็เพราะไมมีกิเลสอันเปนกลิ่นดิ ที่ชื่อวาอสิตะ ก็เพราะไมมีตัณหาและทิฏฐิเขาไปอาศัย. ชื่อวาเปนผูตามรูไดยาก ก็เพราะใครๆ ไมอาจเพื่อจะแนะนําไดดวยสามารถแหงทิฎฐิในภายนอกวา สิ่งนี้ประเสริฐกวา สิ่งนี้ประเสริฐ ดังนี้เปนตน.
ก็ติสสพราหมณฟงบทสุภาษิต ไดแกฟงพระธรรมเทศนา ที่ตรัสดีแลวของพระผูมีพระภาคเจาพระองคนั้น ผูทรงประกาศแลวอยางนี้ เปนผูมีใจนอบนอม ไดแกเปนผูมีจิตนอบนอม ถวายบังคมพระผูพระภาคเจาผูไมมีกลิ่นดิบ คือผูไมมีเครื่องของคือกิเลส ผูบรรเทาความทุกขทั้งปวงเสียได ไดแกผูบรรเทาความทุกขในวัฏฏะทั้งปวงเสียได แลวถวายบังคมพระบาทของพระตถาคตเจาดวยเบญจางคประดิษฐ.
บาทคาถาวา ตเถว ปพฺพชฺชมโรจยิตฺถ มีคําอธิบายวา ติสสดาบสไดทูลขอ คือไดทูลออนวอนขอ ซึ่งบรรพชา กะพระผูมีพระภาคเจาทรงพระนามวากัสสปะพระองคนั้น ผูประทับนั่งบนอาสนะนั้นนั่นเอง.
พระผูมีพระภาคเจา ไดตรัสกะติสสดาบสนั้นวา "เธอจงเปนภิกษุมาเถิด" ดังนี้ ดาบสนั้นเปนผูประกอบดวยบริขาร ๘ ในทันใดนั้นเอง เปนดุจพระเถระมีพรรษาตั้งรอยมาทางอากาศ ถวายบังคมพระผูมีพระภาคเจา
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๖ - หนาที่ 112
โดยการลวงไป เพียง ๒-๓ วันเทานั้น ก็ไดบรรลุสาวกบารมีญาณ ไดเปนอัครสาวก ชื่อวา ติสสะ. (สาวกที่สองของพระผูมีพระภาคเจาพระองคนั้น) ชื่อวา ภารทวาชะ. พระผูมีพระภาคเจา (กัสสปะ) พระองคนั้น จึงมีคูแหงพระสาวก มีชื่อวา ติสสะ และ ภารทราชะ ดวยประการฉะนี้.
สวนพระผูมีพระภาคเจา แหงเราทั้งหลาย ทรงนําพระคาถา ๑๔ พระคาถาแมทั้งสิ้น ที่ติสสพราหมณกลาว ในตอนตน ๓ คาถา ที่พระผูมีพระภาคเจาทรงพระนามวา กัสสปะ ตรัส ในทามกลาง ๙ คาถา และที่พระสังคีติกาจารยทั้งหลาย กลาวในที่สุด ๒ คาถา ในกาลครั้งนั้น (พระองค) ทรงกระทําใหบริบูรณแลว ทรงพยากรณกลิ่นดิบแกดาบส ๕๐๐ มีอาจารยเปนประธาน อันชื่อวา อามคันธสูตร นี้.
พราหมณอามคันธะนั้น ครั้นสดับพระธรรมเทศนานั้นแลว ก็มีใจออนนอมเหมือนอยางที่กลาวแลวนั้นแหละ ถวายบังคมที่พระบาทของพระผูมีพระภาคเจา (โคตมะ) ทูลขอบวชพรอมกับดวยบริษัท (ของตน) พระผูมีพระภาคเจาไดตรัสวา ทานทั้งหลายจงเปนภิกษุมาเถิด. ดาบสเหลานั้นถึงความเปน เอหิภิกขุ เหมือนอยางนั้นนั่นแหละ เปนดุจพระเถระมีพรรษาตั้งรอย มาทางอากาศถวายบังคมพระผูมีพระภาคเจา โดยเวลา ๒-๓ วัน เทานั้น ทุกทานก็ไดประดิษฐานอยูในพระอรหัต อันเปนผูที่เลิศ ดังนี้แล.
การพรรณนาอามคันธสูตร
แหงอรรถถาขุททกนิกาย
ชื่อปรมัตถโชติกา จบ