พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๒. วงศ์พระทีปังกรพุทธเจ้าที่ ๑

 
บ้านธัมมะ
วันที่  1 ส.ค. 2564
หมายเลข  35142
อ่าน  577
  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 255

๑. วงศ์พระทีปังกรพุทธเจ้าที่ ๑

ว่าด้วยพระประวัติของพระทีปังกรพุทธเจ้า

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเล่าเรื่องอดีตแก่พระสารีบุตรว่า

[๒] เมื่อสี่อสงไขยแสนกัป มีนครชื่อ อมรนคร น่าชมชื่นรื่นรมย์.

ไม่ว่างเว้นจากเสียง ๑๐ เสียง พรั่งพร้อมด้วย ข้าวน้ำ มีเสียงข้าง เสียงม้า เสียงกลอง เสียงสังข์ เสียงรถ.

เสียงอึกทึกด้วยเสียงร้องเชิญบริโภคอาหารว่าเชิญ กินข้าว เชิญดื่มน้ำ เป็นนครเพียบพร้อมด้วยองค์ ประกอบทุกอย่าง ประกอบด้วยการงานทุกอย่าง.

สมบูรณ์ด้วยรัตนะ ๗ คลาคล่ำ ด้วยชนต่างๆ มั่งคั่ง เป็นที่อยู่ของคนมีบุญ เหมือนเทพนคร.

ในนครอมรวดี มีพราหมณ์ชื่อสุเมธมีกองทรัพย์ หลายโกฏิ มีทรัพย์และข้าวเปลือกเป็นอันมาก.

เป็นผู้คงแก่เรียน ทรงมนต์ จบไตรเพทถึงฝั่ง [สำเร็จ] ในลักขณศาสตร์ อิติหาสศาสตร์ ในศาสนา ของตน.

ครั้งนั้น เรานั่งอยู่ในที่ลับ จึงคิดอย่างนี้ว่า ขึ้น ชื่อว่าการเกิดอีก ความแตกสลายแห่งสรีระ เป็น ทุกข์ ถูกชราย่ำยีหลงตายก็เป็นทุกข์.

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 256

ครั้งนั้น เรามีชาติชราพยาธิเป็นสภาพ จำเราจัก แสวงหาพระนิพพานที่ไม่แก่ ไม่ตาย แต่เกษม.

ถ้ากระไร เราเมื่อไม่ไยดี ไม่ต้องการ ก็ควร ละทิ้งกายอันเน่านี้ ที่เต็มด้วยซากศพต่างๆ ไปเสีย.

ทางนั้น คงมีแน่ ทางนั้น จักไม่มีไม่ได้ จำเรา จักแสวงหาทางนั้น เพื่อหลุดพ้นจากภพ.

เมื่อทุกข์มี แม้ชื่อว่าสุข ก็ย่อมมีฉันใด เมื่อภพ มี สภาวะที่ไม่ใช่ภพ ก็พึงปรารถนาฉันนั้น.

เมื่อความร้อนมี ความเย็นก็ย่อมมีฉันใด เมื่อ ไฟ ๓ กองมี ความดับไฟ ก็พึงปรารถนาฉันนั้น เหมือนกัน.

เมื่อความชั่วมี แม้ความดี ก็ย่อมมีฉันใด เมื่อ ความเกิดมี ความไม่เกิด ก็พึงปรารถนาฉันนั้นเหมือน กัน.

บุรุษตกบ่ออุจจาระ เห็นหนองน้ำ มีน้ำเต็ม ไม่ แสวงหาหนองน้ำ ฉันใด.

เมื่อหนองน้ำคืออมตะ สำหรับชำระล้างมลทิน คือกิเลส มีอยู่ แต่คนไม่แสวงหนองน้ำ ก็ไม่ใช่ความ ผู้ต้องหนองน้ำคืออมตะก็ฉันนั้น.

บุรุษถูกศัตรูทั้งหลายล้อมรอบ เมื่อทางไปมีอยู่ บุรุษนั้นไม่หนีไป นั่นก็ไม่ใช่ความผิดของทาง ฉันใด.

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 257

บุรุษถูกกิเลสรุมล้อม เมื่อทางอันรุ่งเรืองมีอยู่ เขาไม่แสวงหาทางนั้น ก็ไม่ใช่ความผิดของทางอันรุ่ง- เรื่อง ก็ฉันนั้น.

บุรุษเจ็บป่วย เมื่อหมอมีอยู่ ไม่ยอมให้หมอ เยียวยาความเจ็บป่วย นั่นก็ไม่ใช่ความผิดของหมอ ฉันใด.

บุรุษถูกความเจ็บป่วยคือกิเลสบีบคั้นประสบทุกข์ ยังไม่แสวงหาอาจารย์ นั่นก็ไม่ใช่ความผิดของอาจารย์ ฉันนั้น.

[ถ้ากระไร เราฟังละทิ้งกายอันเน่านี้ ที่เต็มด้วย ซากศพไปเสีย ไม่ไยดี ไม่ต้องการ]

บุรุษ ปลดซากศพอันน่าเกลียดที่ผูกคอไปเสีย มีความสบาย มีเสรี มีอำนาจในตัวเอง แม้ฉันใด.

เราก็พึงละทั้งกายอันเน่านี้ เป็นที่สะสมซากศพ ต่างๆ ไปเสีย ไม่ไยดี ไม่ต้องการฉันนั้น.

บุรุษสตรี ละทิ้งอุจจาระไว้ในส้วมไปไม่ไยดีไม่ ต้องการ ฉันใด.

เราละทิ้งกายอันเน่านี้ ที่เต็มด้วยซากศพไปเสีย เหมือนทิ้งส้วม ฉันนั้นเหมือนกัน.

เจ้าของเรือ ละทิ้งเรือรั่วน้ำลำเก่าที่ชำรุดไปไม่ ไยดี ไม่ต้องการ ฉันใด.

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 258

เราละทิ้งกายอันเน่านี้ ที่มี ๙ ช่อง มีของไม่ สะอาดไหลออกอยู่เป็นนิตย์ไปเสีย เหมือนเจ้าของเรือ ทิ้งเรือลำเก่าฉันนั้น.

บุรุษเดินทางไปกับพวกโจร นำสินค้าไปด้วย เห็นภัยคือความเสียหายแห่งสินค้า จึงละทิ้งพวกโจร ไปเสีย ฉันใด.

กายอันนี้ ก็เปรียบเสมอด้วยมหาโจร จำเราจัก ละกายนี้ไป เพราะกลัวเสียหายแห่งกุศล ฉันนั้นเหมือน กัน.

เราครั้นคิดอย่างนี้แล้ว ก็ให้ทรัพย์หลายร้อยโกฏิ แก่คนมีที่พึ่งและคนไม่มีที่พึ่ง เข้าไปหิมวันตประเทศ.

ในที่ไม่ไกลหิมวันตประเทศ มีภูเขา ชื่อธัมมิกะ เราก็ทำอาศรม สร้างบรรณศาลา.

ในอาศรมนั้น เราสร้างที่จงกรมอันเว้นจากโทษ ๕ ประการ ประกอบด้วยคุณ ๘ ประการ นำมาซึ่งกำลัง แห่งอภิญญา.

ในอาศรมนั้น เราทิ้งผ้าอันประกอบด้วยโทษ ๙ ประการ นุ่งผ้าเปลือกไม้ ที่ประกอบด้วยคุณ ๑๒ ประการ.

เราละบรรณศาลา อันเกลื่อนด้วยโทษ ๘ ประการ เข้าไปอาศัยโคนไม้ อันประกอบด้วยคุณ ๑๐ ประการ.

เราละธัญชาติ ที่หว่าน ที่ปลูกไว้ ไม่เหลือ เลย บริโภคแต่ผลไม้ที่มีอยู่ตามธรรมดา อันประกอบ ด้วยคุณเป็นอันมาก.

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 259

เราตั้งความเพียร ณ โคนไม้นั้น ได้แก่ นั่ง ยืน และเดิน ภายใน ๗ วัน ก็บรรลุกำลังแห่งอภิญญา.

เมื่อเราประสบความสำเร็จ ชำนาญในพระศาสนาอย่างนี้ พระชินเจ้าผู้นำโลก พระนามว่า ทีปังกรก็เสด็จอุบัติ.

เรามัวเปี่ยมด้วยความยินดีในฌาน จึงไม่เห็นนิมิต ๔ คือ ในการเสด็จอุบัติ ในการประสูติ ในการตรัสรู้ และในการแสดงธรรม.

ในถิ่นแถบปัจจันตประเทศ ชาวรัมมนคร มีใจ ยินดีแล้ว นิมนต์พระตถาคต ช่วยกันแผ้วถางหนทาง เสด็จมาของพระองค์.

สมัยนั้น เราออกจากอาศรมของตนสะบัดผ้า เปลือกไม้ เหาะไปในอัมพร ขณะนั้น.

เราเห็นชนที่เกิดโสมนัส ยินดีร่าเริงบันเทิงใจ แล้ว ก็ลงจากท้องฟ้า ถามคนทั้งหลายในทันที.

มหาชนเกิดโสมนัส ยินดีร่าเริงบันเทิงใจกัน พวกท่านแผ้วถางหนทาง เพื่อใครกัน.

คนเหล่านั้นถูกเราตามแล้วจึงตอบว่า พระพุทธ- เจ้าผู้ยอดเยี่ยมพระนามว่าทีปังกร ผู้ชนะผู้นำโลก เกิด ขึ้นแล้วในโลก เราแผ้วถางหนทางเพื่อพระพุทธเจ้า พระองค์นั้น.

เพราะได้ยินว่า พุทโธ ปีติก็เกิดแก่เราในทันที เราเมื่อกล่าวว่า พุทโธ พุทโธ ก็ซาบซึ้งโสมนัส.

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 260

เรายินดีประหลาดใจแล้ว ก็ยืนคิด ณ ที่ตรงนั้น ว่า จำเราจักปลูกพืชในพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ ขณะ อย่าได้ล่วงไปเปล่าเลย.

จึงกล่าวว่า ผิว่า พวกท่านแผ้วถางเพื่อพระพุทธ- เจ้า ก็ขอพวกท่านจงให้โอกาสแห่งหนึ่งแก่เรา ถึงเรา ก็จักแผ้วถางหนทาง.

คนเหล่านั้น ได้ให้โอกาสทั้งหลายแก่เรา เพื่อ แผ้วถางทางในขณะนั้น.

เมื่อโอกาสของเรายังไม่เสร็จ พระชินเจ้าทีปังกร มหามุนี ก็เสด็จพุทธดำเนินทาง พร้อมด้วยภิกษุสี่แสน รูป ผู้มีอภิญญา ผู้คงที่ เป็นขีณาสพ ไร้มลทิน.

การรับเสด็จก็ดำเนินไป กลองเป็นอันมากก็ ประโคมขึ้นเอง มนุษย์และเทวดาทั้งหลาย ก็ปลื้มปราโมช แซ่ซ้องสาธุการ.

พวกเทวดาก็เห็นพวกมนุษย์ พวกมนุษย์ก็เห็น พวกเทวดา แม้ทั้งสองพวกก็ประคองอัญชลีตามเสด็จ พระตถาคต.

พวกเทวดาก็บรรเลงด้วยดนตรีของทิพย์ พวก มนุษย์ก็บรรเลงด้วยดนตรีของมนุษย์ แม้ทั้งสองพวก ก็บรรเลงตามเสด็จพระตถาคต.

ในอากาศ พวกเทวดาเหล่าเดินหน ก็โปรยดอก มณฑารพ ดอกปทุม ดอกปาริฉัตตกะของทิพย์ ตลอด ทิศานุทิศ.

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 261

ในอากาศ พวกเทวดาเหล่าเดินหน ก็โปรยจุรณ จันทน์ ของหอมอย่างดี ของทิพย์ สิ้นทั้งทิศานุทิศ.

พวกมนุษย์ที่ไปตามพื้นดิน ก็ชูดอกจำปา ดอก ช้างน้าว ดอกกระทุ่ม ดอกกะถินพิมาน ดอกบุนนาค และดอกเกด ทั้วทิศานุทิศ.

ในที่นั้น เราเปลื้องผม ผ้าเปลือกไม้และแผ่น หนังปูลาดลงที่ตมแล้วก็นอนคว่ำด้วยความปรารถนาว่า

ขอพระพุทธเจ้ากับศิษย์สาวกทั้งหลาย จงเหยียบ เราเสด็จไป อย่าทรงเหยียบตมเลย การอันนี้จักเป็น ประโยชน์เกื้อกูลแก่เรา.

เรานอนเหนือแผ่นดิน ก็คิดอย่างนี้ว่า เรา ปรารถนา ก็จะพึงเผากิเลสทั้งหลายของเราได้ในวันนี้.

ประโยชน์อะไรของเรา ด้วยเพศที่ไม่มีใครรู้จัก ด้วยการกระทำให้แจ้งธรรม ในพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ เราบรรลุพระสัพพัญญุตญาณแล้วก็จะเป็นผู้พ้นเอง จะ ยังโลกพร้อมทั้งเทวโลกให้พ้นด้วย.

ประโยชน์อะไรของเรา ด้วยบุรุษผู้แสดงกำลัง จะข้ามไปแต่ผู้เดียว เราบรรลุพระสัพพัญญุตญาณแล้ว ก็จักยังโลกพร้อมทั้งเทวโลกให้ข้ามด้วย.

ด้วยอธิการบารมีนี้ ที่เราทำในพระพุทธเจ้าผู้เป็น บุรุษสูงสุด เราบรรลุพระสัพพัญญุตญาณก็จะยังหมู่ชน เป็นอันมากให้ข้ามโอฆสงสาร.

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 262

เราจักตัดกระแสสังสารวัฏฏ์ กำจัดภพ ๓ แล้วขึ้น สู่ธรรมนาวา ยังโลกพร้อมทั้งเทวโลกให้ข้ามโอฆ- สงสาร

พระทีปังกรพุทธเจ้าผู้ทรงรู้แจ้งโลก ผู้รับของบูชา ประทับยืนใกล้ศีรษะเรา ได้ตรัสดังนี้ว่า

ท่านทั้งหลายจงดูชฏิลดาบส ผู้มีตบะสูงผู้นี้ ใน กัปที่นับไม่ได้แต่กัปนี้ไป เขาจักเป็นพระพุทธเจ้าใน โลก.

ตถาคตออกอภิเนษกรมณ์จากนครอันน่ารื่นรมย์ ชื่อว่ากบิลพัศดุ์ ตั้งความเพียรทำทุกกรกิริยา.

ตถาคต ประทับนั่ง ณ โคนต้นอชปาลนิโครธ ประคองรับมธุปายาส ณ ที่นั้นแล้วจักเข้าไปยังแม่น้ำ เนรัญชรา.

พระชินเจ้านั้น เสวยมธุปายาส ที่ริมฝั่งแม่น้ำ เนรัญชราแล้วจักเข้าไปที่โคนโพธิพฤกษ์ ตามทางอัน ดีที่เขาจัดตบแต่งไว้แล้ว.

แต่นั้น พระผู้มียศใหญ่ก็กระทำประทักษิณโพธิ- มัณฑสถาน จักแทงตลอดพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิ- ญาณ ที่โคนอัสสัตถพฤกษ์ต้นโพธิใบ.

พระชนนีของท่านดาบสผู้นี้ จักมีพระนามว่า มายา พระชนกพระนามว่าสุทโธทนะ ดาบสผู้นี้จักมี พระนามว่า โคตมะ.

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 263

พระโกลิตะ และพระอุปติสสะ จักเป็นอัครสาวก ผู้ไม่มีอาสวะ ปราศจากราคะ มีจิตสงบตั้งมั่นอุปัฏฐาก ชื่ออานนทะ จักบำรุงท่านชินะผู้นี้.

พระเขมาและพระอุบลวรรณา จักเป็นอัครสาวิกา ผู้ไม่มีอาสวะ ปราศจากราคะ มีจิตสงบ ตั้งมั่น.

โพธิต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้ ของพระผู้มีพระภาคเจ้า นั้น เรียกกันว่าอัสสัตถพฤกษ์ โพธิใบ ท่านจิตตะ และท่านหัตถอาฬวกะ จักเป็นอัครอุบาสก.

นันทมาตา และ อุตตรา จักเป็นอัครอุบาสิกา พระชนมายุของพระโคดมนั้นประมาณ ๑๐๐ ปี.

มนุษย์และเทวดา ฟังพระดำรัสนี้ ของพระผู้ แสวงคุณยิ่งใหญ่ ผู้ไม่มีผู้เสมอแล้ว ก็ดีใจว่าท่านผู้นี้ เป็นหน่อพืชพระพุทธเจ้า.

หมื่นโลกธาตุพร้อมทั้งเทวดา พากันส่งเสียงโห่ ร้อง ปรบมือ หัวเราะ ประคองอัญชลีนมัสการกล่าว ว่า

ผิว่า พวกเราจักพลาดคำสอนของพระโลกนาถ พระองค์นี้ ในอนาคตกาล พวกเราก็จักอยู่ต่อหน้า ของท่านผู้นี้.

เปรียบเหมือนมนุษย์ทั้งหลาย เมื่อข้ามแม่น้ำ พลาดท่าน้ำท่าตรงหน้า ก็ยังยึดท่าน้ำท่าหลังข้ามแม่น้ำ ใหญ่ได้ ฉันใด.

 
  ข้อความที่ 10  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 264

พวกเราทั้งหมด ผิว่า พ้นพระชินเจ้าพระองค์นี้ ไป ในอนาคตกาล ก็จักอยู่ต่อหน้าท่านผู้นี้ ฉันนั้น.

พระทีปังกร ผู้รู้โลก ผู้ทรงรับของบูชา ทรง ประกาศกรรมของเราแล้ว ก็ทรงยกพระบาทเบื้องขวา.

พระพุทธชิโนรสทุกองค์ซึ่งอยู่ ณ ที่นั้น ก็ได้ทำ ประทักษิณเรา พวกเทวดา มนุษย์ อสูร ยักษ์ก็ไหว้ แล้ว ต่างหลีกไป.

เมื่อพระผู้นำโลกพร้อมทั้งพระสงฆ์ลับสายตาเรา ไปแล้ว เราก็ลุกจากที่นอน นั่งขัดสมาธิในทันที.

เราประสบสุขโดยสุข บันเทิงใจโดยความปราโมช ผ่องใสยิ่งโดยปีติ นั่งขัดสมาธิในขณะนั้น.

เรานั่งขัดสมาธิแล้ว ก็คิดอย่างนี้ในขณะนั้นว่า เราชำนาญในฌาน ถึงฝั่งอภิญญา ฤาษีทั้งหลายในหมื่น โลกธาตุ ที่เสมอเราไม่มี ไม่มีผู้เสมอในอิทธิธรรม ทั้งหลาย เราก็ได้ความสุขเช่นนี้.

ในการนั่งขัดสมาธิของเรา เทวดาที่สถิตอยู่ใน หมื่นโลกธาตุ ก็ส่งเสียงเอิกเกริกอึงมี่ว่า เราเป็นพระพุทธเจ้าแน่.

นิมิตเหล่าใดปรากฏแก่พระโพธิสัตว์ทั้งหลายแต่ ก่อนในการนั่งขัดสมาธิ นิมิตเหล่านั้นก็ปรากฏแล้วใน วันนี้.

 
  ข้อความที่ 11  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 265

ความเย็นก็ปราศไป ความร้อนก็ระงับไป นิมิต เหล่านั้น ปรากฏแล้วในวันนี้ ท่านจักเป็นพระพุทธ- เจ้าแน่.

หมื่นโลกธาตุ ก็ปราศจากเสียง ปราศจากความ วุ่นวาย บุพนิมิตเหล่านั้น ก็เห็นกันแล้วในวันนี้ ท่าน จักเป็นพระพุทธเจ้าแน่.

มหาวาตะก็ไม่พัด แม่น้ำก็ไม่ไหล นิมิตเหล่านั้น ปรากฏแล้วในวันนี้ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่.

ดอกไม้บนบก ดอกไม้ในน้ำทั้งหมดก็บานใน ขณะนั้น ดอกไม้เหล่านั้นก็บานหมดในวันนี้ ท่าน จักเป็นพระพุทธเจ้าแน่.

ไม้เถาหรือต้นไม้ ก็ติดผลในขณะนั้น ต้นไม้ เหล่านั้น ก็ออกผลหมดในวันนี้ ท่านจักเป็นพระ พุทธเจ้าแน่.

รัตนะทั้งหลายที่อยู่ในอากาศและอยู่ในพื้นดิน ก็ เรืองแสงในขณะนั้น รัตนะเหล่านั้นก็เรืองแสงแล้วใน วันนี้ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่.

ดนตรีมนุษย์และดนตรีทิพย์ บรรเลงขึ้นในขณะ นั้น ดนตรีแม่ทั้งสองนั้นก็ส่งเสียงแล้วในวันนี้ ท่าน จักเป็นพระพุทธเจ้าแน่.

มหาสมุทร ก็คะนอง หมื่นโลกธาตุก็ไหว แม้ ทั้งสองนั้น ก็ส่งเสียงร้องแล้วในวันนี้ ท่านจักเป็น พระพุทธเจ้าแน่.

 
  ข้อความที่ 12  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 266

ไฟหลายหมื่นในนรกทั้งหลาย ก็ดับในขณะนั้น ไฟนรกแม้เหล่านั้นก็ดับแล้วในวันนี้ ท่านจักเป็นพระ พุทธเจ้าแน่.

ดวงอาทิตย์จ้าไร้มลทิน ดาวทุกดวงก็เห็นได้ชัด ดาวแม้เหล่านั้น ก็เห็นกันแล้วในวันนี้ ท่านจักเป็น พระพุทธเจ้าแน่.

เมื่อฝนไม่ตก น้ำก็พุขึ้นจากแผ่นดินในขณะนั้น น้ำแม้นั้น ก็พุจากแผ่นดินแล้วในวันนี้ ท่านจักเป็น พระพุทธเจ้าแน่.

หมู่ดาวและดาวนักษัตรทั้งหลาย ก็แจ่มกระจ่าง ตลอดมณฑลท้องฟ้า ดวงจันทร์ก็ประกอบด้วยดาวฤกษ์ วิสาขะ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่.

สัตว์ทั้งหลาย ที่อยู่ในโพรง ที่อยู่ในร่องน้ำก็ ออกจากที่อยู่ของตน สัตว์แม้เหล่านั้น ก็ออกจากที่อยู่ แล้วในวันนี้ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่.

ความไม่ยินดีไม่มีแก่สัตว์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย ย่อมเป็นผู้สันโดษในขณะนั้น สัตว์แม้เหล่านั้น ก็เป็น. ผู้สันโดษแล้วในวันนี้ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่

ในขณะนั้น โรคทั้งหลายก็สงบไป ความหิวก็ หายไป บุพนิมิตแม้เหล่านั้น ก็เห็นกันแล้วในวันนี้ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่.

 
  ข้อความที่ 13  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 267

ในขณะนั้น ภัยก็ไม่มี ความไม่มีภัยนั้น ก็เห็น กันแล้วในวันนี้ พวกเรารู้กันด้วยเหตุนั้น ท่านจักเป็น พระพุทธเจ้าแน่.

กิเลสดุจธุลีไม่ฟุ้งขึ้นเบื้องบน ความไม่ฟุ้งแห่ง กิเลสดุจธุลีนั้น ก็เห็นกันแล้วในวันนี้ พวกเรารู้กัน ด้วยเหตุนั้น ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่.

กลิ่นที่ไม่น่าปรารถนาก็จางหายไป กลิ่นทิพย์ก็ โชยมา กลิ่นหอมแม้นั้น ก็โชยมาแล้วในวันนี้ ท่าน จักเป็นพระพุทธเจ้าแน่.

เทวดาทั้งหมด เว้นอรูปภพก็ปรากฏ เทวดาแม้ เหล่านั้น ก็เห็นกันหมดในวันนี้ ท่านจักเป็นพระพุทธ- เจ้าแน่.

ขึ้นชื่อว่า นรกมีประมาณเท่าใด ก็เห็นกันได้ หมดในขณะนั้น นรกแม้เหล่านั้น ก็เห็นกันแล้วใน วันนี้ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่.

กำแพง บานประตู และภูเขาหิน ไม่เป็นที่กีด ขวางในขณะนั้น กำแพงบานประตูและภูเขาหิน แม้ เหล่านั้น ก็กลายเป็นอากาศไปในวันนี้ ท่านจักเป็น พระพุทธเจ้าแน่.

การจุติและปฏิสนธิ ย่อมไม่มีในขณะนั้น บุพ- นิมิตแม้เหล่านั้น ก็เห็นกันได้ในวันนี้ ท่านจักเป็น พระพุทธเจ้าแน่.

 
  ข้อความที่ 14  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 268

[นิมิตเหล่านี้ ย่อมปรากฏเพื่อความตรัสรู้ของ สัตว์ทั้งหลาย]

ขอท่านโปรดประคับประคองความเพียรไว้ให้มั่น อย่าถอยกลับ โปรดก้าวไปข้างหน้าต่อไปเถิด แม้ พวกเราก็รู้เหตุข้อนั้น ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่.

เราสดับพระดำรัสของพระพุทธเจ้า และคำของ เทวดาในหมื่นโลกธาตุทั้งสองแล้ว ก็ยินดีร่าเริงบันเทิง ใจ ในขณะนั้น จึงคิดอย่างนี้ว่า

พระชินพุทธเจ้าทั้งหลาย มีพระดำรัสไม่เป็น สอง มีพระดำรัสไม่เป็นโมฆะ คำเท็จของพระพุทธเจ้า ทั้งหลายไม่มี เราจะเป็นพระพุทธเจ้าแน่.

ก้อนดินถูกเหวี่ยงไปในอากาศ ย่อมตกลงที่พื้น ดินแน่นอน ฉันใด พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ ประเสริฐสุดทั้งหลาย ก็เที่ยงแท้แน่นอนฉันนั้น.

[คำเท็จของพระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่มี เราจะเป็น พระพุทธเจ้าแน่]

ความตายของสรรพสัตว์ เที่ยงแท้แน่นอน แม้ ฉันใด พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุดทั้ง หลาย ก็เที่ยงแท้แน่นอนฉันนั้น.

เมื่อถึงเวลาสิ้นราตรี ดวงอาทิตย์ก็ขึ้นแน่นอน ฉันใด พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด ทั้งหลาย ก็เที่ยงแท้แน่นอน ฉันนั้นเหมือนกัน.

 
  ข้อความที่ 15  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 269

ราชสีห์ออกจากที่นอน ก็บันลือสีหนาท แน่นอน ฉันใด พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุดทั้ง หลาย ก็เที่ยงแท้แน่นอนฉันนั้นเหมือนกัน.

สัตว์มีครรภ์หนัก ก็ปลงภาระ [คลอดลูก] แน่ นอน ฉันใด พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ สุดทั้งหลาย ก็เที่ยงแท้แน่นอนฉันนั้น เหมือนกัน.

เอาเถิด เราเลือกเฟ้นพุทธการกธรรม ทางโน้น ทางนี้ ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง ทั้งสิบทิศ ตราบเท่าที่ ธรรมธาตุเป็นไป.

ครั้งนั้น เราเมื่อเลือกเฟ้น ก็เห็นทานบารมีเป็น อันดับแรก เป็นทางใหญ่ ที่พระผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ ทั้งหลายพระองค์ก่อนๆ ประพฤติตามกันมาแล้ว.

ท่านจงสมาทาน ทานบารมี นี้ไว้นั่นเป็นอันดับ แรกก่อน จงบำเพ็ญทานบารมี ผิว่าท่านต้องการบรรลุ โพธิญาณ.

หม้อที่เต็มด้วยน้ำอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่วางคว่ำ ปากลง ก็สำรอกน้ำออกไม่เหลือเลย ไม่รักษาน้ำไว้ ในหม้อนั้น แม้ฉันใด.

ท่านเห็นยาจกทั้งหลาย ทั้งชั้นต่ำ ชั้นกลาง และ ชั้นสูงแล้ว จงให้ทานไม่เหลือเลย เหมือนหม้อที่คว่ำ ปาก ฉันนั้นเหมือนกัน.

พุทธธรรมเหล่านั้น มิใช่จักมีแต่เพียงเท่านี้เท่า นั้น เราจึงเลือกเฟ้นพุทธธรรมแม้อื่นๆ ที่ช่วยอบรม บ่มโพธิญาณ.

 
  ข้อความที่ 16  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 270

ครั้งนั้น เราเมื่อเลือกเฟ้น ก็เห็นศีลบารมีอันดับ สอง ซึ่งพระผู้แสวงคุณทั้งหลายพระองค์ก่อนๆ พา กันซ่องเสพอยู่เป็นประจำ.

ท่านจงสมาทานศีลบารมีอันดับสองนี้ไว้มั่นก่อน จงบำเพ็ญศีลบารมี ผิว่า ท่านต้องการบรรลุพระโพธิ- ญาณ.

เนื้อจามรี รักษาขนทางที่ติดอยู่ ในที่บางแห่ง ยอมตายอยู่ในที่นั้น ไม่ยอมให้ขนหางกระจุย ฉันใด

ท่านจงทำศีลทั้งหลายให้บริบูรณ์ในภพ ๔ จง บริรักษ์ศีลทุกเมื่อ เหมือนจามรีรักษาขนหาง ฉันนั้น เหมือนกัน.

พุทธธรรมเหล่านั้น มิใช่จักมีแต่เพียงเท่านี้เท่า นั้น เราจึงเลือกเฟ้นพุทธธรรมอื่นๆ ซึ่งจะช่วยอบรม บ่มพระโพธิญาณ.

ครั้งนั้น เมื่อเราเลือกเฟ้น ก็เห็นเนกขัมมบารมี อันดับสาม ซึ่งพระผู้แสวงคุณทั้งหลายพระองค์ก่อนๆ ซ่องเสพอยู่เป็นประจำ.

ท่านจงสมาทานเนกขัมมบารมีอันดับสามนี้ไว้ให้ มั่นก่อน จงบำเพ็ญเนกขัมมบารมี ผิว่า ท่านต้องการ บรรลุพระโพธิญาณ.

บุรุษอยู่ในเรือนจำมานาน ระทมทุกข์ย่อมไม่เกิด ความรักในเรือนจำนั้น แสวงทาทางหลุดพ้นอย่างเดียว ฉันใด.

 
  ข้อความที่ 17  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 271

ท่านจงเห็นภพทั้งปวงเหมือนเรือนจำ มุ่งหน้า ต่อเนกขัมมะ เพื่อหลุดพ้นจากภพฉันนั้นเหมือนกัน.

พุทธธรรมเหล่านั้น มิใช่จักมีแต่เพียงเท่านี้เท่า นั้น จำเราจักเลือกเฟ้นพุทธธรรมอื่นๆ ซึ่งจะช่วย อบรมบ่มพระโพธิญาณ.

ครั้งนั้น เราเมื่อเลือกเฟ้น ก็เห็นปัญญาบารมีอัน ดับสี่ ซึ่งพระผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ทั้งหลาย พระองค์ ก่อนๆ ซ่องเสพอยู่เป็นประจำ.

ท่านจงสมาทาน บูชาบารมีอันดับสี่นี่ไว้ให้มั่น ก่อน จงบำเพ็ญปัญญาบารมี ผิว่า ท่านต้องการบรรลุ พระโพธิญาณ.

เหมือนอย่างว่า ภิกษุเมื่อขอ ก็ขอทั้งตระกูล ชั้นต่ำ ชั้นกลาง ชั้นสูง ไม่เว้นตระกูลทั้งหลายเลย ดังนั้น จึงได้อาหารพอยังอัตภาพให้เป็นไปได้ ฉันใด

ท่านสอบถามท่านผู้รู้ทุกเวลา ถึงฝั่งแห่งปัญญา บารมีแล้ว ก็จักบรรลุพระสัมโพธิญาณได้ ฉันนั้น เหมือนกัน.

พุทธธรรมเหล่านั้น มิใช่จักมีแต่เพียงเท่านี้เท่า นั้น จำเราจักเลือกพุทธธรรมอื่นๆ ซึ่งจะช่วยอบรม บ่มพระโพธิญาณ.

ครั้งนั้น เราเมื่อเลือกเฟ้น ก็เห็นวิริยบารมีอัน ดับห้า ซึ่งพระผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ทั้งหลายพระองค์ ก่อนๆ ซ่องเสพกันเป็นประจำ.

 
  ข้อความที่ 18  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 272

ท่านจงสมาทานวิริยบารมี อันดับห้า นี้ไว้ให้มั่น ก่อน จงบำเพ็ญวิริยบารมี ผิว่า ท่านต้องการบรรลุ พระโพธิญาณ.

ราชสีห์พระยามฤค มีความเพียรไม่ท้อถอยใน อิริยาบถนอน ยืน เดิน ประคองใจอยู่ทุกเมื่อ ฉันใด.

ท่านจงประคองความเพียรไว้ให้มั่นในภพทั้งปวง ถึงฝั่งแห่งวิริยบารมีแล้ว ก็จักบรรลุพระสัมโพธิญาณ ฉันนั้นเหมือนกัน.

พุทธธรรมเหล่านั้น มิใช่มีแต่เพียงเท่านี้เท่านั้น จำเราจักเลือกเฟ้นพุทธธรรมอื่นๆ ซึ่งจะช่วยอบรมบ่ม พระโพธิญาณ.

ครั้งนั้น เราเมื่อเลือกเฟ้นก็เห็นขันติบารมีอันดับ หก ซึ่งพระผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ทั้งหลายพระองค์ก่อนๆ ซ่องเสพกันมาเป็นประจำ.

ท่านจงสมาทานขันติบารมีอันดับหกนี้ ไว้ให้มั่น ก่อน จงมีใจไม่เป็นสองในขันติบารมีนั้น ก็จักบรรลุ พระสัมโพธิญาณ.

ขึ้นชื่อว่าแผ่นดิน ย่อมทนสิ่งของที่เขาทิ้งลงมา สะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง ทุกอย่าง ไม่ทำความยินดี ยินร้ายฉันใด.

แม้ตัวท่าน ก็ต้องเป็นผู้อดทนต่อการยกย่องและ การดูหมิ่น ของชนทั้งปวง ฉันนั้นเหมือนกัน ถึงฝั่ง แห่งขันติบารมีแล้ว ก็จักบรรลุพระสัมโพธิญาณได้.

 
  ข้อความที่ 19  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 273

พุทธธรรมเหล่านั้น มิใช่จักมีแต่เพียงเท่านี้เท่า นั้น จำเราจักเลือกเฟ้นพุทธธรรมอื่นๆ ซึ่งจะช่วย อบรมบ่มพระโพธิญาณ.

ครั้งนั้น เราเมื่อเลือกเฟ้นก็เห็นสัจจบารมีอันดับ เจ็ด ซึ่งพระผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ทั้งหลาย ซ่องเสพกัน มาเป็นประจำ.

ท่านจงสมาทานสัจจบารมี อันดับเจ็ดนี้ไว้ให้มั่น ก่อน มีวาจาไม่เป็นสองในสัจจบารมีนั้น ก็จักบรรลุ พระสัมโพธิญาณได้.

ธรรมดาดาวประกายพรึก เป็นดังตาชั่งของโลก พร้อมทั้งเทวโลก ไม่ว่าฤดูฝน ฤดูหนาว ดูร้อนไม่ โคจรออกนอกวิถีโคจรเลย ฉันใด.

ถึงตัวท่าน ก็อย่าเดินออกนอกวิถีทางในสัจจะ ทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน ถึงฝั่งแห่งสัจจบารมีแล้ว ก็จักบรรลุพระสัมโพธิญาณได้.

พุทธธรรมเหล่านั้น มิใช่จักมีแต่เพียงเท่านี้เท่า นั้น จำเราจักเลือกเฟ้นพุทธธรรมอื่นๆ ซึ่งจะช่วย อบรมบ่มพระโพธิญาณ.

ครั้งนั้น เราเมื่อเลือกเฟ้นก็เห็นอธิษฐานบารมี อันดับแปด ซึ่งพระผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ทั้งหลาย พระองค์ก่อนๆ ซ่องเสพกันมาเป็นประจำ.

 
  ข้อความที่ 20  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 274

ท่านจงสมาทานอธิษฐานบารมีอันดับแปดนี้ไว้ให้ มั่นก่อน เป็นผู้ไม่หวั่นไหวในอธิษฐานบารมีนั้นแล้ว จักบรรลุพระสัมโพธิญาณได้.

ภูเขาหิน ไม่หวั่นไหว ตั้งมั่นดีแล้ว ย่อมไม่ ไหวด้วยล้มแรงกล้า ย่อมตั้งอยู่ในฐานของตนนั่นเอง ฉันใด

ถึงตัวท่าน ก็จงไม่หวั่นไหว ในอธิษฐานบารมี ทุกเมื่อ ฉันนั้นเหมือนกัน ถึงฝั่งแห่งอธิษฐานบารมี แล้ว ก็จักบรรลุพระสัมโพธิญาณได้.

พุทธธรรมเหล่านั้น มิใช่จักมีแต่เพียงเท่านี้เท่า นั้น จำเราจักเลือกเฟ้นพุทธธรรมก่อนๆ ซึ่งจะช่วย อบรมบ่มพระโพธิญาณ.

ครั้งนั้น เราเมื่อเลือกเฟ้นก็เห็นเมตตาบารมีอัน ดับเก้า ซึ่งพระผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ทั้งหลาย พระองค์ ก่อนๆ ซ่องเสพกันมาเป็นประจำ.

ท่านจงสมาทานเมตตาบารมีอันดับเก้านี้ไว้ให้มั่น ก่อน จงเป็นผู้ไม่มีผู้เสมอด้วยเมตตา ผิว่า ท่านต้อง การบรรลุพระโพธิญาณ.

ธรรมดาน้ำ ย่อมแผ่ความเย็นไปเสมอกัน ทั้ง ในคนดีคนชั่ว ย่อมชำระล้างมลทินคือธุลีไป ฉันใด.

ท่านจงแผ่เมตตาไปสม่ำเสมอ ในคนที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลและคนที่ไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล ฉันนั้น เหมือนกัน ถึงฝั่งแห่งเมตตาบารมีแล้ว ก็จักบรรลุ พระสัมโพธิญาณได้.

 
  ข้อความที่ 21  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 275

พุทธธรรมเหล่านั้น มิใช่จักมีแต่เพียงเท่านี้เท่า นั้น จำเราจักเลือกเฟ้นพุทธธรรมอื่นๆ ซึ่งจะช่วย อบรมบ่มพระโพธิญาณ.

ครั้งนั้น เราเมื่อเลือกเฟ้นก็เห็นอุเบกขาบารมีอัน ดับสิบ ซึ่งพระผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ทั้งหลายพระองค์ ก่อนๆ ซ่องเสพกันมาเป็นประจำ.

ท่านจงสมาทานอุเบกขาบารมี อันดับสิบนี้ไว้ให้ มั่นก่อน ท่านจงเป็นผู้มั่นคงดั่งตาชั่ง ก็จักบรรลุพระ สัมโพธิญาณได้.

ธรรมดาแผ่นดิน ย่อมวางเฉยต่อสิ่งที่เขาทิ้งลง ไม่ว่าสะอาด ไม่สะอาด แม้ทั้งสองอย่าง เว้นความ ยินดียินร้าย แม้ฉันใด.

ถึงตัวท่านก็จงเป็นดั่งตาชั่งในสุขและทุกข์ทุกเมื่อ ฉันนั้นเหมือนกัน ถึงฝั่งแห่งอุเบกขาบารมีแล้ว ก็จัก บรรลุพระสัมโพธิญาณได้.

ธรรมซึ่งช่วยอบรมบ่มพระโพธิญาณในโลก มี เพียงเท่านี้เท่านั้น ที่สูงนอกไปจากนั้น ไม่มี ท่านจง ตั้งอยู่ในธรรมเหล่านั้นอย่างมั่นคง.

เมื่อเรากำลังพิจารณาธรรมเหล่านั้น โดยลักษณะ แห่งกิจคือสภาวะ แผ่นพสุธาในหมื่นโลกธาตุก็หวาด ไหว เพราะเดชแห่งธรรม.

แผ่นดินไหว ส่งเสียงร้อง เหมือนยนตร์หีบอ้อย บีบอ้อย แผ่นดินไหวเหมือนลูกล้อในยนตร์ คั้นน้ำมัน งาฉะนั้น.

 
  ข้อความที่ 22  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 276

บริษัทที่อยู่ในที่เฝ้าพระพุทธเจ้า ก็สั่นงกอยู่ใน ที่นั้น พากันนอนสลบไสลอยู่เหนือพื้นดิน.

หม้อเป็นอันมากหลายร้อยหลายพัน ก็กระทบ กันและกัน แหลกเป็นจุรณอยู่ในที่นั้น.

มหาชนทั้งหลาย หวาด สะดุ้ง กลัว กลัวลาน กลัวยิ่ง ก็พากันมาประชุมเข้าเฝ้าพระทีปังกรพุทธเจ้า ทูลถามว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้มีพระจักษุ เหตุดี เหตุร้ายจักมี แกโลกหรือ โลกถูกเหตุนั้นรบกวนทั้งโลก ขอพระองค์ทรงบรรเทาความกลัวนั้นด้วยเถิด.

ครั้งนั้น พระมหามุนีทีปังกร ทรงยังมหาชน เหล่านั้นให้เข้าใจแล้วตรัสว่า พวกท่านจงวางใจ อย่า กลัวในการที่แผ่นดินไหวทั้งนี้เลย.

วันนี้ เราพยากรณ์ท่านผู้ใดว่าจักเป็นพระพุทธ- เจ้า ท่านผู้นั้นกำลังพิจารณาธรรมก่อนๆ ที่พระชินเจ้า ทรงเสพแล้ว.

เมื่อท่านผู้นั้น กำลังพิจารณาธรรมคือ พุทธภูมิ โดยไม่เหลือเลย ด้วยเหตุนั้น แผ่นปฐพีนี้ ในหมื่น โลกธาตุพร้อมทั้งเทวโลกจึงไหว.

เพราะฟังพระพุทธดำรัส ใจของมหาชนก็ดับร้อน เย็นใจทันที ทุกคนจึงเข้ามาหาเรา พากันกราบไหว้ เราอีก.

ครั้งนั้น เรายึดถือพระพุทธคุณทำใจไว้มั่น น้อม นมัสการพระทีปังกรพุทธเจ้าแล้วจึงลุกขึ้นจากอาสนะ.

 
  ข้อความที่ 23  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 277

พวกเทวดาถือดอกไม้ทิพย์ พวกมนุษย์ก็ถือ ดอกไม้มนุษย์ ทั้งสองพวกก็เอาดอกไม้ทั้งหลายโปรย ปรายเราผู้กำลังลุกขึ้นจากอาสนะ.

เทวดาและมนุษย์ทั้งสองพวกนั้นก็พากันแซ่ซ้อง สวัสดีว่า ความปรารถนาของท่านยิ่งใหญ่ ขอท่านจง ได้ความปรารถนานั้นสมปรารถนาเถิด.

ขอเสนียดจัญไรจงปราศไป ความโศก โรคจง พินาศไป อันตรายทั้งหลายจงอย่ามีแก่ท่าน ขอท่าน จงสัมผัสพระโพธิญาณโดยเร็วเถิด.

ต้นไม้ดอก ย่อมออกดอกบาน เมื่อถึงฤดูกาล ฉันใด ข้าแต่ท่านมหาวีระ ขอท่านจงบานด้วยพุทธ- ญาณ ฉันนั้นเหมือนกันเถิด.

พระสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงบำเพ็ญบารมี ๑๐ ฉันใด ข้าแต่ท่านมหาวีระ ขอท่านจงบำเพ็ญบารมี ๑๐ ฉันนั้นเถิด.

พระสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ ตรัสรู้ที่โพธิมัณฑ สถานฉันใด ข้าแต่มหาวีระ ขอท่านจงตรัสรู้ที่โพธิ- มัณฑสถานของพระชินเจ้า ฉันนั้นเถิด.

พระสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ ทรงประกาศพระธรรมจักรฉันใด ข้าแต่ท่านมหาวีระ ขอท่านจงประกาศ พระธรรมจักร ฉันนั้นเถิด.

ดวงจันทร์ในราตรีเพ็ญ เต็มดวงรุ่งโรจน์ ฉันใด ท่านมีมโนรถเต็มแล้ว จงรุ่งโรจน์ในหมื่นโลกธาตุ ฉันนั้นเถิด.

 
  ข้อความที่ 24  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 278

ดวงอาทิตย์พ้นจากราหูแล้ว ย่อมรุ่งโรจน์ด้วย แสง ฉันใด ท่านพ้นจากโลกแล้ว ก็จงรุ่งโรจน์ด้วย สิริ ฉันนั้นเหมือนกันเถิด.

แม่น้ำทุกสาย ย่อมชุมนุมไหลสู่มหาสมุทร ฉัน ใด โลกพร้อมทั้งเทวโลกขอจงชุมนุมกันยังสำนักของ ท่าน ฉันนั้นเถิด.

ครั้งนั้น อุบาสกชาวรัมมนครเหล่านั้นให้พระ โลกนาถพร้อมทั้งพระสงฆ์เสวยแล้ว ก็ถึงพระทีปังกร ศาสดาพระองค์นั้นเป็นสรณะ.

พระตถาคตทรงยังบางคนให้ตั้งอยู่ ในสรณคมน์ บางคนตั้งอยู่ในศีล ๕ บางคนตั้งอยู่ในศีล ๑๐.

พระองค์ประทานสามัญผลอันสูงสุด แก่บางคน ประทานปฏิสัมภิทา ในธรรมที่ไม่มีธรรมอื่นเสมอแก่ บางคน.

พระนราสภ ประทานสมาบัติ ๘ อันประเสริฐแก่ บางคน ทรงประทานวิชชา ๓ อภิญญา ๖ แก่บางคน.

พระมหามุนี ทรงสั่งสอนหมู่ชน โดยนัยนั้น เพราะพระโอวาทนั้น ศาสนาของพระโลกนาถจึงได้ แผ่ไปอย่างกว้างขวาง.

พระพุทธเจ้ามีพระนามว่าทีปังกร ผู้มีพระหนุ ใหญ่ มีพระวรกายงาม ทรงยังชนเป็นอันมากให้ข้าม โอฆสงสาร ทรงเปลื้องมหาชนเสียจากทุคติ.

พระมหามุนี ทรงเห็นชนผู้ควรจะตรัสรู้ได้ไกล ถึงแสนโยชน์ ในทันใด ก็เสด็จเข้าไปหา ทรงยังเขา ให้ตรัสรู้.

 
  ข้อความที่ 25  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 279

ในอภิสมัยครั้งแรก พระพุทธเจ้าทรงยังเทวดา และมนุษย์ให้ตรัสรู้ร้อยโกฏิ ในอภิสมัยครั้งที่สอง พระโลกนาถ ทรงยังเทวดาและมนุษย์ให้ตรัสรู้เก้าสิบ โกฏิ.

ในสมัยใด พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมในภพ เทวดา โปรดเทวดาเก้าหมื่นโกฏิ สมัยนั้น เป็นอภิสมัยครั้งที่สาม.

สาวกสันนิบาตของพระทีปังกรศาสดา มี ๓ ครั้ง ครั้งที่ ๑ ประชุมสาวกแสนโกฏิ.

เมื่อพระชินเจ้า ประทับสงัด ณ ภูเขานารทกูฏ อีกภิกษุร้อยโกฏิเป็นพระขีณาสพปราศจากมลทิน ก็ ประชุมกัน

สมัยใด พระมหาวีระมหามุนีทรงปวารณาพรรษา พร้อมด้วยภิกษุเก้าหมื่นโกฏิ ณ ภูเขาสุทัสสนะ.

สมัยนั้น เราเป็นชฎิลมีตบะสูง จงฝั่งอภิญญา ๕ จาริกไปในอากาศ.

ธรรมาภิสมัยการตรัสรู้ธรรม ได้มีแก่เทวดาและ มนุษย์หนึ่งหมื่น สองหมื่น ไม่นับการตรัสรู้โดยจำนวน หนึ่งคน สองคน.

ศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าทีปังกร อันบริสุทธิ์ดีแล้ว แผ่ไปกว้างขวาง คนเป็นอันมากรูสำเร็จ แล้ว เจริญแล้วในครั้งนั้น.

ภิกษุสี่แสนรูป มีอภิญญา ๖ มีฤทธิ์มากแวดล้อม พระทศพลทีปังกร ผู้รู้แจ้งโลก ทุกเมื่อ.

 
  ข้อความที่ 26  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 280

สมัยนั้น ภิกษุเหล่าใดเหล่าหนึ่งเป็นเสขะยังไม่ บรรลุพระอรหัต ละภพมนุษย์ไป ภิกษุเหล่านั้น ย่อม ถูกครหา.

ปาพจน์คือพระศาสนา อันพระอรหันต์ผู้คงที่ ผู้เป็นขีณาสพ ไร้มลทิน ทำให้บานเต็มที่แล้ว ย่อม งดงามทุกเมื่อ.

พระทีปังกรศาสดา ทรงมีพระนครชื่อว่ารัมมวดี พระชนกเป็นกษัตริย์พระนามว่า พระเจ้าสุเทวะ พระชนนีพระนามว่า พระนางสุเมธา.

พระชินเจ้า ทรงครอบครองอคารสถานอยู่หมื่น ปี ทรงมีปราสาท ๓ หลัง คือ หังสา โกญจา และมยุรา

ทรงมีพระสนมนารี สามแสน ล้วนประดับกาย สวยงามพระมเหสีนั้นพระนามว่าปทุมา พระราชโอรส พระนามว่า อุสภขันธกุมาร.

พระองค์ทอดพระเนตรเห็นนิมิต ๔ ประการแล้ว เสด็จออกทรงผนวชด้วยพระยานคือ พระยาช้างต้น ทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ ๑๐ เดือนเต็ม จึงทรงเป็นพระชินเจ้า.

ครั้นทรงประพฤติปธานจริยา ได้ตรัสรู้พระสัมโพธิญาณเป็นพระมหามุนีทีปังกรพุทธเจ้าสมพระทัย แล้ว ผู้อันพระพรหมทรงอาราธนาแล้ว.

พระมหาวีระ ชินพุทธเจ้า ทรงประกาศพระธรรมจักรแล้ว ประทับอยู่ ณ นันทาราม ประทับนั่ง ที่ควงไม้ซึก ทรงการทำการทรมานเดียรถีย์แล้ว.

 
  ข้อความที่ 27  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 281

พระทีปังกรศาสดา ทรงมีพระอัครสาวชื่อว่า สุมังคละ และติสสะ มีพุทธอุปัฏฐากชื่อว่าสาคตะ.

พระอัครสาวิกา ชื่อว่านันทาและสุนันทา ต้นไม้ เป็นที่ตรัสรู้ ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เรียก กันว่า ต้นเลียบ.

พระทีปังกรศาสดา มีอัครอุปัฏฐากชื่อว่า ตปุสสะ และภัลลิกะ มีอัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่าสิริมาและโสณา.

พระทีปังกรมหามุนี สูง ๘๐ ศอก สง่างาม เหมือนต้นไม้ประจำทวีป เหมือนต้นพระยาสาละ ดอก บานเต็มต้นฉะนั้น.

พระองค์มีพระรัศมี แผ่ไป ๘๐ โยชน์ โดยรอบ พระผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่พระองค์นั้น ทรงมีพระชนมายุ แสนปี.

พระองค์ทรงพระชนนีอยู่ถึงเพียงนั้น ทรงยัง สัทธรรมให้รุ่งโรจน์ ยังมหาชนให้ข้ามโอฆสงสาร ชื่อว่าทรงยังหมู่ชนเป็นอันมากให้ข้ามโอฆสงสาร.

พระองค์ทั้งพระสาวก รุ่งโรจน์แล้ว ก็เสด็จดับ ขันธปรินิพพาน เหมือนกองไฟโพลงแล้วก็ดับไป.

พระวรฤทธิ์ด้วย พระยศด้วย จักรรัตนะที่พระ ยุคลบาทด้วย ทั้งนั้นก็อันตรธานไปสิ้น สังขารทุก อย่างก็ว่างเปล่า แน่แท้.

พระชินศาสดาทีปังกร ดับขันธปรินิพพาน ณ พระวิหารนันทาราม.

 
  ข้อความที่ 28  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 282

พระชินสถูปของพระองค์ ณ นันทารามนั้นนั่น แล สูง ๓๖ โยชน์.

พระสถูปบรรจุ บาตร จีวร บริขาร และเครื่อง บริโภคของพระศาสดา ตั้งอยู่ ณ โคนโพธิพฤกษ์ใน ครั้งนั้น สูง ๓ โยชน์.

จบวงศ์พระทีปังกรพุทธเจ้าที่ ๑

พรรณนาวงศ์พระทีปังกรพุทธเจ้าที่ ๑

อุบาสกชาวรัมมนครเหล่านั้น ถวายมหาทานแด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธ- เจ้าเป็นประธานแล้ว ก็บูชาพระผู้มีพระภาคเจ้า ซึ่งเสวยเสร็จชักพระหัตถ์ ออกจากบาตรแล้ว ด้วยดอกไม้และของหอมเป็นต้นอีก ถวายบังคมแล้วอยาก จะฟังอนุโมทนาทาน จึงเข้าไปนั่งใกล้ๆ ลำดับนั้น พระศาสดาได้ทรงทำ อนุโมทนาทานไพเราะอย่างยิ่ง จับใจของอุบาสกเหล่านั้นว่า

ธรรมดาทาน ท่านกล่าวว่าเป็นต้นเหตุสำคัญของ สุขเป็นต้น ยังกล่าวว่าเป็นที่ตั้งแห่งบันไดทั้งหลายที่ ไปสู่พระนิพพาน.

ทานเป็นเครื่องป้องกันของมนุษย์ ทานเป็นเผ่า พันธุ์เป็นเครื่องนำหน้า ทานเป็นคติสำคัญของสัตว์ที่ ถึงความทุกข์.

 
  ข้อความที่ 29  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 283

ทาน ท่านแสดงว่าเป็นนาวา เพราะอรรถว่าเป็น เครื่องช่วยข้ามทุกข์ และทานท่านสรรเสริญว่าเป็น นคร เพราะป้องกันภัย.

ทาน ท่านกล่าวว่าเป็นอสรพิษ เพราะอรรถว่า เข้าใกล้ได้ยาก ทานเป็นดังดอกปทุม เพราะมลทินคือ โลภะเป็นต้นฉาบไม่ได้.

ที่พึ่งพาอาศัยของบุรุษ เสมอด้วยทานไม่มีในโลก เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลาย จงบำเพ็ญทาน ด้วยการ ทำตามอัธยาศัย.

นรชนคนไรเล่า ผู้มีปัญญาในโลกนี้ ผู้ยินดีใน ประโยชน์เกื้อกูล จะไม่พึงให้ทานทั้งหลาย ที่เป็นเหตุ แห่งโลกสวรรค์.

นรชนคนไรเล่า ได้ยินว่าทานเป็นแดนเกิดสมบัติ ในเทวดาทั้งหลาย จะไม่พึงให้ทานอันให้ถึงซึ่งความ สุข ทานเป็นเครื่องยังจิตให้ร่าเริง.

นรชนบำเพ็ญทานแล้ว ก็เป็นผู้อันเทพอัปสร ห้อมล้อม อภิรมย์ในนันทนวัน แหล่งสำเริงสำราญ. ของเทวดาตลอดกาลนาน.

ผู้ให้ย่อมได้ปีติอันโอฬาร ย่อมประสบความ เคารพในโลกนี้ ผู้ให้ย่อมประสบเกียรติเป็นอันมาก ผู้ให้ย่อมเป็นผู้อันมหาชนไว้วางใจ.

 
  ข้อความที่ 30  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 284

นรชนนั้นให้ทานแล้ว ย่อมถึงความมั่งคั่งแห่ง โภคะ และมีอายุยืน ย่อมได้ความมีเสียงไพเราะและ รูปสวยอยู่ในวิมานทั้งหลายที่นกยูงอันน่าชื่นชมนานา ชนิดร้องระงม เล่นกับเทวดาทั้งหลายในสวรรค์.

ทานเป็นทรัพย์ไม่ทั่วไปแก่ภัยทั้งหลายคือโจรภัย อริภัย ราชภัย อุทกภัย และอัคคีภัย ทานนั้น ย่อม ให้สาวกญาณภูมิ ปัจเจกพุทธภูมิ ตลอดถึงพุทธภูมิ.

ครั้น ทรงทำอนุโมทนาทาน ประกาศอานิสงส์แห่งทาน โดยนัยดัง กล่าวมาอย่างนี้เป็นต้นแล้ว ก็ตรัสศีลกถา ในลำดับต่อจากทานนั้น ธรรมดา ศีลนั้นเป็นมูลแห่งสมบัติในโลกนี้และโลกหน้า

ศีลเป็นต้นเหตุสำคัญของสุขทั้งหลาย ผู้มีศีล ย่อมไปไตรทิพย์สวรรค์ด้วยศีล ศีลเป็นเครื่องป้องกัน เครื่องเร้น เครื่องนำหน้าของผู้เข้าถึงสังสารวัฏฏ์.

ก็ที่พึ่งพาอาศัยของชนทั้งหลายในโลกนี้ หรือใน โลกหน้าอย่างอื่น ที่เสมอด้วยศีลจะมีแต่ไหน ศีลเป็น ที่ตั้งสำคัญของคุณทั้งหลาย เหมือนแผ่นดิน เป็นที่ตั้ง แห่งสิ่งที่อยู่กับที่และสิ่งที่เคลื่อนที่ได้ ฉะนั้น.

เขาว่า ศีลเท่านั้นเป็นกรรมดี ศีลยอดเยี่ยมใน โลก ผู้ประพฤติชอบในธรรมจริยาของพระอริยะท่าน เรียกว่า ผู้มีศีล.

เครื่องประดับเสมอด้วยเครื่องประดับคือศีลไม่มี, กลิ่นเสมอด้วยกลิ่นคือ ศีลไม่มี, เครื่องชำระมลทินคือกิเลสเสมอด้วยศีลไม่มี เครื่องระงับความเร่าร้อน

 
  ข้อความที่ 31  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 285

เสมอด้วยศีลไม่มี. เครื่องให้เกิดเกียรติ เสมอด้วยศีลไม่มี, บันใดขึ้นสู่สวรรค์ เสมอด้วยศีลไม่มี, ประตูในการเข้าไปยังนครคือพระนิพพาน เสมอด้วยศีลไม่มี เหมือนอย่างที่ตรัสไว้ว่า

พระราชาทั้งหลาย ทรงประดับด้วยแก้วมุกดา และแก้วมณี ยังงามไม่เหมือนนักพรตทั้งหลาย ผู้ ประดับด้วยเครื่องประดับคือศีล ย่อมงามสง่า.

กลิ่นที่หอมไปทั้งตามลมทั้งทวนลมเสมอ ที่เสมอ ด้วยกลิ่นคือศีล จักมีแต่ไหนเล่า.

กลิ่นดอกไม้ไม่หอมทวนลม หรือกลิ่นจันทน์ กฤษณามะลิ ก็ไม่หอมทวนลม ส่วนกลิ่นของสัตบุรุษ ย่อมหอมทวนลม สัตบุรุษย่อมหอมไปทุกทิศ.

กลิ่นคือศีล เป็นยอดของคันธชาติเหล่านี้ คือ จันทน์ กฤษณา อุบล มะลิ.

มหานที คือ คงคา ยมุนา สรภู สรัสวดี นินนคา อจิรวดี มหี ไม่สามารถชำระมลทินของสัตว์ ทั้งหลายในโลกนี้ แต่น้ำคือศีล ชำระมลทินของสัตว์ ทั้งหลายได้.

อริยศีลนี้ ที่รักษาดีแล้ว เยือกเย็นอย่างยิ่งระงับ ความเร่าร้อนอันใดได้ ส่วนจันทน์เหลือง สร้อยคอ แก้วมณีและช่อรัศมีจันทร์ ระงับความเร่าร้อนไม่ได้.

ศีลของผู้มีศีล ย่อมกำจัดภัยมีการติตนเองเป็นต้น ได้ทุกเมื่อ และให้เกิดเกียรติและความร่าเริงทุกเมื่อ.

 
  ข้อความที่ 32  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 286

สิ่งอื่นซึ่งเป็นบันไดขึ้นสวรรค์ที่เสมอด้วยศีลจะมี แต่ไหน ก็หรือว่าศีลเป็นประตูเข้าไปยังนครคือพระนิพพาน,

ท่านทั้งหลาย จงรู้อานิสงส์อันยอดเยี่ยมของศีล ซึ่งเป็นมูลแห่งคุณทั้งหลาย กำจัดกำลังแห่งโทษทั้ง หลาย ดังกล่าวมาฉะนี้.

พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงอานิสงส์แห่งศีลอย่างนี้แล้ว เพื่อ ทรงแสดงว่า อาศัยศีลนี้ย่อมได้สวรรค์นี้ จึงตรัสสัคคกถาในลำดับต่อจาก ศีลนั้น ธรรมดาสวรรค์นี้ น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าชอบใจ มีแต่สุขส่วนเดียว เทวดาทั้งหลายย่อมได้การเล่นในสวรรค์นั้นเป็นนิตย์ ได้สมบัติทั้งหลายเป็น นิตย์ เหล่าเทวดาชั้นจาตุมหาราช ย่อมได้สุขทิพย์ สมบัติทิพย์ตลอดเก้าล้าน ปี เทวดาชั้นดาวดึงส์ได้สามโกฏิหกล้านปี ตรัสกถาประกอบด้วยคุณแห่งสวรรค์ ดังกล่าวมานี้เป็นต้น ครั้นทรงประเล้าประโลมด้วยสัคคกถาอย่างนี้แล้ว ก็ทรง ประกาศโทษต่ำทราม ความเศร้าหมองแห่งกามทั้งหลาย และอานิสงส์ในเนกขัมมะว่า สวรรค์แม้นี้ก็ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่ควรทำความยินดีด้วยอำนาจ ความพอใจในสวรรค์นั้น แล้วตรัสธรรมกถาที่จบลงด้วยอมตธรรม ครั้นทรง แสดงธรรมแก่มหาชนนั้นอย่างนี้แล้ว ให้บางพวกตั้งอยู่ในสรณะ บางพวกใน ศีล ๕ บางพวกในโสดาปัตติผล บางพวกในสกทาคามิผล บางพวกในอนาคามิผล บางพวกในผลแม้ทั้ง ๔ บางพวกในวิชชา ๓ บางพวกในอภิญญา ๖ บางพวกในสมาบัติ ๘ ลุกจากอาสนะแล้ว เสด็จออกจากรัมมนคร เข้าไปยัง สุทัสสนะมหาวิหารนั่นแล ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

 
  ข้อความที่ 33  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 287

ครั้งนั้น อุบาสกชาวรัมมนครเหล่านั้น ให้พระ โลกนาถพร้อมทั้งพระสงฆ์เสวยแล้ว ก็ถึงพระทีปังกร ศาสดาพระองค์นั้นเป็นสรณะ.

พระตถาคตทรงยังบางคนให้ตั้งอยู่ในสรณคมน์ บางคนในศีล ๕ บางคนในศีล ๑๐.

พระองค์ประทานสามัญผล ๔ อันสูงสุดแก่บาง คน ประทานปฏิสัมภิทา ในธรรมที่ไม่มีธรรมอื่นเสมอ แก่บางคน.

พระนราสภประทานสมาบัติ ๘ อันประเสริฐแก่ บางคน ทรงประทานวิชชา ๓ อภิญญา ๖ แก่บางคน.

พระมหามุนี ทรงสั่งสอนหมู่ชน ด้วยนัยนั้น เพราะพระโอวาทนั้น ศาสนาของพระโลกนาถจึงได้ แผ่ไปอย่างกว้างขวาง.

พระพุทธเจ้ามีพระนามว่าทีปังกร ผู้มีพระหนุ ใหญ่ มีพระวรกายงาม ทรงยังชนเป็นอันมากให้ข้าม โอฆสงสาร ทรงเปลื้องมหาชนเสียจากทุคติ.

พระมหามุนี ทรงเห็นชนผู้ควรตรัสรู้ได้ไกลถึง แสนโยชน์ ก็เสด็จเข้าไปหาในทันใด ทำเขาให้ตรัสรู้.

แก้อรรถ

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เต ได้แก่ อุบาสกชาวรัมมนครเหล่า นั้น. พึงทราบสรณะ สรณคมน์ และผู้ถึงสรณะในคำว่า สรณํ นี้ คุณชาตใด ระลึก เบียดเบียนกำจัด เหตุนั้นคุณชาตนั้น จึงชื่อว่า สรณะ. สรณะนั้นคืออะไร

 
  ข้อความที่ 34  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 288

คือพระรัตนตรัย ก็พระรัตนตรัยนั้น ท่านกล่าวว่าสรณะ เพราะ ตัด เบียดเบียน กำจัด ภัย ความหวาดกลัว ทุกข์ ทุคติ ความเศร้าหมอง ด้วยสรณคมน์ นั้นนั่นแหละของเหล่าผู้ถึงสรณะ สมจริงดังที่ตรัสไว้ว่า

ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ ชนเหล่านั้น จักไม่ไปอบายภูมิ ละกายมนุษย์ไปแล้ว จักยังกายเทพให้บริบูรณ์.

ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ถึงพระธรรมเป็นสรณะ ชนเหล่านั้น จักไม่ไปอบายภูมิ ละกายมนุษย์ไปแล้ว จักยังกายเทพให้บริบูรณ์.

ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ถึงพระสงฆ์เป็นสรณะ ชนเหล่านั้น จักไม่ไปอบายภูมิ ละกายมนุษย์ไปแล้ว จักยังกายเทพให้บริบูรณ์.

จิตตุปบาท ที่เป็นไปโดยอาการมีพระรัตนตรัยเป็นเบื้องหน้า ชื่อว่า สรณคมน์. บุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยสรณคมน์นั้น ชื่อว่า ผู้ถึงสรณะ. ๓ หมวด นี้ คือ สรณะ สรณคมน์ ผู้ถึงสรณะ พึงทราบดังกล่าวมานี้ก่อน. บทว่า ตสฺส ได้แก่ พระทีปังกรนั้น. พึงทราบว่าฉัฏฐีวิภัตติลงในอรรถทุติยวิภัตติ. ปาฐะว่า อุปคจฺฉุํ สรณํ ตตฺถ ดังนี้ก็มี. บทว่า สตฺถุโน ได้แก่ ซึ่งพระศาสดา. บทว่า สรณาคมเน กญฺจิ ความว่า ยังบุคคลบางคนให้ตั้งอยู่ ในสรณคมน์. ตรัสเป็นปัจจุบันกาลก็จริง ถึงอย่างนั้นก็พึงถือเอาความเป็นอดีต กาล แม้ในบทที่เหลือ ก็นัยนี้ ปาฐะว่า กสฺสจิ สรณาคมเน ดังนี้ก็มี. แม้ปาฐะนั้น ความก็อย่างนั้นเหมือนกัน. บทว่า กญฺจิ ปญฺจสุ สีเลสุ

 
  ข้อความที่ 35  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 289

ความว่า ยังบุคคลบางคนให้ตั้งอยู่ในวิรติศีล ๕. ปาฐะว่า กสฺสจิ ปญฺจสุ สีเลสุ ความก็อย่างนั้นแหละ. บทว่า สีเล ทสวิเธ ปรํ ความว่า ยัง บุคคลอื่นอีกให้ตั้งอยู่ในศีล ๑๐ ข้อ. ปาฐะว่า กสฺสจิ กุสเล ทส ดังนี้ก็ มี ปาฐะนั้นความว่า ยังบุคคลบางคนให้สมาทานกุศลธรรม ๑๐ โดยปรมัตถ์ มรรคท่านเรียกว่าสามัญญะ ในคำนี้ว่า กสฺสจิ เทติ สามญฺํ เหมือน อย่างที่ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สามัญญะคืออะไร อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้คือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายนี้เรียกว่า สามัญญะ.

บทว่า จตุโร ผลมุตฺตเม ความว่า ผลสูงสุด ๔. ม อักษร ทำบทสนธิ ท่านกล่าวเป็นลิงควิปลาส ความว่า ได้ประทานมรรค ๔ และ สามัญญผล ๔ แก่บางคน ตามอุปนิสัย. บทว่า กสฺสจิ อสเม ธมฺเม ความว่า ได้ประทานธรรมคือปฏิสัมภิทา ๔ ที่ไม่มีธรรมอื่นเหมือน แก่บางคน.

บทว่า กสฺสจี วรสมาปตฺติโย ความว่า อนึ่งได้ประทานสมาบัติ ๘ ที่เป็นประธาน เพราะปราศจากนีวรณ์แก่บางคน. บทว่า ติสฺโส กสฺสจิ วิชฺชาโย ความว่า วิชชา ๓ คือ ทิพยจักษุญาณ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ และอาสวักขยญาณ โดยเป็นอุปนิสัยแก่บุคคลบางคน. บทว่า ฉฬภิญฺา ปเวจฺฉติ ความว่า ได้ประทานอภิญญา ๖ แก่บางคน.

บทว่า เตน โยเคน ได้แก่ โดยนัยนั้นและโดยลำดับนั้น. บทว่า ชนกายํ ได้แก่ ประชุมชน. บทว่า โอวทติ แปลว่า สั่งสอนแล้ว พึงเห็นว่า ท่านกล่าวเป็นกาลวิปลาส ในคำเช่นนี้ต่อแต่นี้ไป ก็พึงถือความเป็นอดีตกาล ทั้งนั้น. บทว่า เตน วิตฺถาริกํ อาสิ ความว่า เพราะโอวาทคำพร่ำสอน ของพระผู้มีพระภาคเจ้าทีปังกรพระองค์นั้น พระศาสนาก็แผ่ไป แพร่ไปกว้าง ขวาง.

 
  ข้อความที่ 36  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 290

บทว่า มหาหนุ ความว่า เล่ากันว่า พระมหาบุรุษทั้งหลายมีพระ หนุ [คาง] ๒ บริบูรณ์ มีอาการเสมือนดวงจันทร์ขึ้น ๑๒ ค่ำ เหตุนั้นมหาบุรุษพระองค์ใดมีพระหนุใหญ่ มหาบุรุษพระองค์นั้น ชื่อว่ามีพระหนุใหญ่ ท่านอธิบายว่า มีพระหนุดังราชสีห์. บทว่า อุสภกฺขนฺโธ ความว่า มหา บุรุษพระองค์ใดมีลำพระศอเหมือนโคอุสภ อธิบายว่า มีลำพระศองามเสมือน แท่งทองกลมเกลา มีลำพระศองามกลมเสมอกัน. บทว่า ทีปงฺกรสนามโก ได้แก่ พระนามว่าทีปังกร. บทว่า พหู ชเน ตารยติ ความว่า ยัง ชนที่เป็นพุทธเวไนยเป็นอันมากให้ข้ามโอฆสงสาร. บทว่า ปริโมจติ ได้แก่ เปลื้องแล้ว. บทว่า ทุคฺคตึ แปลว่า จากทุคติ ทุติยาวิภัตติ ลงในอรรถ ปัญจมีวิภัตติ.

บัดนี้ เพื่อแสดงอาการคือทรงทำให้สัตว์ ข้ามโอฆสงสารและเปลื้อง จากทุคติ จึงตรัสคาถาว่า โพธเนยฺยํ ชนํ. ในคาถานั้น บทว่า โพธเนยฺยํ ชนํ ได้แก่ หมู่สัตว์ที่ควรตรัสรู้ หรือปาฐะก็อย่างนี้เหมือนกัน. บทว่า ทิสฺวา ได้แก่ เห็นด้วยพุทธจักษุหรือสมันตจักษุ. บทว่า สตสหสฺเสปิ โยชเน ได้แก่ ซึ่งอยู่ไกลหลายแสนโยชน์. ก็คำนี้ พึงทราบว่า ท่านกล่าวหมายถึงหมื่น โลกธาตุนั่นเอง.

ได้ยินว่า พระศาสดาทีปังกรทรงบรรลุความเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ทรงยับยั้งอยู่ ๗ สัปดาห์ ณ โคนโพธิพฤกษ์ ในสัปดาห์ที่ ๘ ก็ทรงประกาศ พระธรรมจักร ณ สุนันทาราม ตามปฏิญญาที่ทรงรับอาราธนาแสดงธรรมของ ท้าวมหาพรหม ทรงยังเทวดาและมนุษย์ร้อยโกฏิให้ดื่มอมฤตธรรม นี้เป็น อภิสมัย คือการตรัสรู้ธรรมครั้งแรก.

 
  ข้อความที่ 37  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 291

ต่อมา พระศาสดาทรงทราบว่า พระโอรส ผู้มีลำพระองค์กลมเสมอ กัน พระนามว่าอุสภักขันธะ มีญาณแก่กล้าจึงทรงทำพระโอรสนั้นให้เป็นหัวหน้า ทรงแสดงธรรมเช่นเดียวกับราหุโลวาทสูตร ทรงยังเทวดาและมนุษย์ถึงเก้าสิบ โกฏิให้ดื่มอมฤตธรรม นี้เป็นอภิสมัย คือการตรัสรู้ธรรมครั้งที่สอง.

ต่อมา พระศาสดาทรงทำยมกปาฏิหาริย์ ณ โคนต้นซึกใหญ่ใกล้ประตู พระนครอมรวดี ทรงทำการเปลื้องมหาชนจากเครื่องผูกพัน อันหมู่เทพห้อม ล้อมแล้ว ประทับนั่งเหนือพื้นบัณฑุกัมพลศิลา ซึ่งเย็นอย่างยิ่ง ใกล้โคนต้น ปาริฉัตตกะ ในภพดาวดึงส์ อันเป็นภพแผ่ซ่านแห่งความโชติช่วงเหลือเกินดัง ดวงอาทิตย์ ทรงทำพระนางสุเมธาเทวีพระชนนีของพระองค์ ผู้ให้เกิดปีติแก่ หมู่เทพทั้งปวงเป็นหัวหน้า ทรงเป็นวิสุทธิเทพที่ทรงรู้โลกทั้งปวง เป็นเทพ ยิ่งกว่าเทพ ทรงทำดวงประทีป ทรงจำแนกธรรม ทรงแสดงพระอภิธรรมปิฏก ๗ ปกรณ์ อันทำความบริสุทธิ์แห่งความรู้ อันสุขุมลุ่มลึกอย่างยิ่ง กระทำ ประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งปวง ยังเทวดาเก้าหมื่นโกฏิให้ดื่มอมฤตธรรม นี้ เป็นอภิสมัยคือการตรัสรู้ธรรมครั้งที่สาม ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

ในอภิสมัยครั้งแรก พระพุทธเจ้าทรงยังเทวดา และมนุษย์ให้ตรัสรู้ร้อยโกฏิ ในอภิสมัยครั้งที่สอง พระ โลกนาถทรงยังเทวดาและมนุษย์ให้ตรัสรู้เก้าสิบโกฏิ.

ในสมัยใด พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมในภพ เทวดา แก่เทวดาเก้าหมื่นโกฏิ สมัยนั้นเป็นอภิสมัย ครั้งที่สาม.

การประชุมสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าทีปังกรมี ๓ ครั้ง ใน ๓ ครั้งนั้น ครั้งแรกประชุมเทวดาและมนุษย์แสนโกฏิ ณ สุนันทาราม ด้วยเหตุ นั้นจึงตรัสว่า

 
  ข้อความที่ 38  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 292

สาวกสันนิบาตของพระทีปังกรศาสดามี ๓ ครั้ง ครั้งที่หนึ่งประชุมสัตว์แสนโกฏิ.

สมัยต่อๆ มา พระทศพล อันภิกษุสี่แสนรูปแวดล้อม ทรงทำ การอนุเคราะห์มหาชน ตามลำดับ ตามนิคมและนคร เสด็จจาริก มาโดย ลำดับ ก็ลุถึงภูเขาลูกที่น่ารื่นรมย์อย่างยิ่ง ชื่อนารทกูฏ มียอดสูงจรดเมฆ มียอดอบอวลด้วยไม้ต้นไม้ดอกส่งกลิ่นหอมนานาชนิด มียอดที่ฝูงมฤค นานาพันธุ์ท่องเที่ยวกันอันอมนุษย์หวงแหน น่ากลัวอย่างยิ่ง เลื่องลือไปในโลก ทั้งปวง ที่มหาชนเช่นสักการะในประเทศแห่งหนึ่ง เขาว่าภูเขาลูกนั้น ยักษ์มี ชื่อนารทะหวงแหน ณ ที่นั้นมหาชนนำมนุษย์มาทำพลีสังเวยแก่ยักษ์ตนนั้น ทุกๆ ปี.

ได้ยินว่า ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทีปังกรทรงเห็นอุปนิสัยสมบัติ ของมหาชน แต่นั้นก็ทรงส่งภิกษุไปสี่ทิศ ไม่มีเพื่อน ไม่มีสหาย มีพระหฤทัย อันมหากรุณามีกำลังเข้ากำกับแล้ว เสด็จขึ้นภูเขานารทะลูกนั้น เพื่อทรงแนะ นำยักษ์ตนนั้น. ลำดับนั้น ยักษ์ที่มีมนุษย์เป็นภักษา ไม่เล็งประโยชน์เกื้อกูล แก่ตน ขยันแต่ฆ่าผู้อื่นตนนั้น ทนการลบหลู่ไม่ได้ มีใจอันความโกรธครอบงำ แล้ว ประสงค์จะให้พระทศพลกลัวแล้วหนีไปเสีย จึงเขย่าภูเขาลูกนั้น เล่า กันว่า ภูเขาลูกนั้น ถูกยักษ์ตนนั้นเขย่า ก็มีอาการเหมือนจะหล่นทับบนกระหม่อมยักษ์ตนนั้นนั่นแหละ เพราะอานุภาพของพระผู้มีพระภาคเจ้า.

แต่นั้น ยักษ์คนนั้นก็กลัว คิดว่า เอาเถิด เราจะใช้ไฟเผาสมณะนั้น แล้วก็บันดาลกองไฟที่ดูน่ากลัวยิ่งกองใหญ่ ไฟกองนั้นกลับทวนลมก่อทุกข์ แก่ตนเอง แต่ไม่สามารถจะไหม้แม้เพียงชายจีวรของพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ ฝ่ายยักษ์ตรวจดูว่า ไฟไหม้สมณะหรือไม่ไหม้ ก็เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า

 
  ข้อความที่ 39  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 293

ทศพล เหมือนประทับนั่งเหนือกลีบบัว ที่อยู่บนผิวน้ำเย็นดุจดวงจันทร์ ส่อง แสงนวลในฤดูสารททำความยินดีแก่ชนทั้งปวง จึงคิดได้ว่า โอ! พระสมณะ ท่านนี้มีอานุภาพมาก เราทำความพินาศใดๆ แก่พระสมณะท่านนี้ ความพินาศ นั้นๆ กลับตกลงเหนือเราผู้เดียว แต่ปล่อยพระสมณะท่านนี้ไปเสีย เราก็ไม่มี ที่พึ่งที่ชักนำอย่างอื่น คนทั้งหลายที่พลั้งพลาดบนแผ่นดิน ยังต้องยันแผ่นดิน เท่านั้นจึงลุกขึ้นได้ เอาเถิด จำเราจักถึงพระสมณะท่านนี้แหละเป็นสรณะ.

ดังนั้น ยักษ์ตนนั้นครั้นคิดอย่างนี้แล้ว จึงหมอบศีรษะลงแทบเบื้อง ยุคลบาท ที่ฝ่าพระบาทประดับด้วยจักรของพระผู้มีพระภาคเจ้า กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์สำนึกผิดในความล่วงเกิน ขอลุกะโทษพระเจ้าข้า แล้วได้ถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นสรณะ. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ตรัสอนุบุพพิกถาโปรดยักษ์ตนนั้น จบเทศนา ยักษ์ตนนั้นก็ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล พร้อมด้วยยักษ์หนึ่งหมื่น. ได้ยินว่าในวันนั้น มนุษย์สิ้นทั้งชมพูทวีป ทำบุรุษแต่ละหมู่บ้านๆ ละคนมาเพื่อพลีสังเวยยักษ์ตนนั้น และนำสิ่งอื่นๆ มี งา ข้าวสาร ถั่วพู ถั่วเขียว และถั่วเหลืองเป็นต้นเป็นอันมาก และมีเนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้งและน้ำอ้อย เป็นต้น. ขณะนั้น ยักษ์ตนนั้นก็ให้ของทั้ง หมดที่นำมาวันนั้นคืนแก่ชนเหล่านั้น แล้วมอบมนุษย์ที่เขานำมาเพื่อพลีสังเวย เหล่านั้นถวายพระทศพล.

ครั้งนั้น พระศาสดาทรงให้มนุษย์เหล่านั้นบวชด้วยเอหิภิกษุอุป- สัมปทา ภายใน ๗ วันเท่านั้น ก็ทรงให้เขาตั้งอยู่ในพระอรหัตทั้งหมด ประทับ ท่ามกลางภิกษุร้อยโกฏิ ทรงยกโอวาทปาติโมกข์ขึ้นแสดงในที่ประชุมอันประกอบด้วยองค์ ๔ วันเพ็ญมาฆบูรณมี องค์ ๔ เหล่านั้นคือ ทุกรูปเป็นเอหิ-

 
  ข้อความที่ 40  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 294

ภิกขุ, ทุกรูปได้อภิญญา ๖, ทุกรูปมิได้นัดหมายกัน มาเอง, และเป็นวัน อุโบสถขึ้น ๑๕ ค่ำ ชื่อว่ามีองค์ ๔. นี้เป็นสันนิบาต การประชุมครั้งที่ ๒. ด้วย เหตุนั้น จึงตรัสว่า

เมื่อพระชินเจ้า ประทับสงัด ณ ภูเขานารทกูฏ อีก ภิกษุร้อยโกฏิเป็นพระขีณาสพ ปราศจากมลทิน ก็ประชุมกัน.

แก้อรรถ

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปวิเวกคเต ได้แก่ ละหมู่ไป. บทว่า สมึสุ แปลว่า ประชุมกันแล้ว.

ก็ครั้งใด พระทีปังกรผู้นำโลก เสด็จจำพรรษา ณ ภูเขาชื่อสุทัสสนะ ได้ยินว่า ครั้งนั้น มนุษย์ชาวชมพูทวีปจัดงานมหรสพกัน ณ ยอดเขา ทุกๆ ปี เล่ากันว่า มนุษย์ที่ประชุมในงานมหรสพนั้น พบพระทศพลแล้วก็ฟังธรรมกถา เลื่อมใสในธรรมกถานั้น ก็พากันบวช ในวันมหาปวารณา พระศาสดา ตรัสวิปัสสนากถา ที่อนุกูลแก่อัธยาศัยของภิกษุเหล่านั้น ภิกษุเหล่านั้นฟังวิปัส- สนากถานั้นแล้ว พิจารณาสังขารแล้วบรรลุพระอรหัต โดยลำดับวิปัสสนาและ โดยลำดับมรรคทุกรูป. ครั้งนั้น พระศาสดาทรงปวารณาพร้อมด้วยภิกษุเก้า หมื่นโกฏิ. นี้เป็นการประชุม ครั้งที่ ๓. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

สมัยใด พระมหาวีระผู้เป็นมหามุนี ทรงปวารณา พร้อมด้วยภิกษุเก้าหมื่นโกฏิ ณ ภูเขาสุทัสสนะ.

สมัยนั้น เราเป็นชฎิล มีตบะสูง ถึงฝั่งใน อภิญญา ๕ จาริกไปในอากาศ.

 
  ข้อความที่ 41  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 295

คาถานี้ ท่านเขียนไว้ในทีปังกรพุทธวงศ์ กถาพรรณานิทานของ อรรถกถาธรรมสังคหะชื่ออัฏฐสาลินี แต่ในพุทธวงศ์นี้ไม่มี ก็การที่คาถานั้นไม่ มีนั่นแหละเหมาะกว่า ถ้าถามว่า เพราะเหตุไร ก็ตอบได้ว่า เพราะกล่าว มาแล้วในสุเมธกถาแต่หนหลัง.

ได้ยินว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทีปังกรทรงแสดงธรรม ธรรมาภิสมัย การตรัสรู้ธรรมก็ได้มีแก่สัตว์หนึ่งหมื่นและสองหมื่น แต่ที่สุดแห่งการตรัสรู้ มิได้มีโดยจำนวนหนึ่งคน สองคน สาม และสี่คนเป็นต้น เพราะฉะนั้น ศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าทีปังกร จึงแผ่ไปกว้างขวาง มีคนรู้กันมาก ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

ธรรมาภิสมัย ได้มีแก่สัตว์หนึ่งหมื่น สองหมื่น ไม่นับการตรัสรู้ของสัตว์ โดยจำนวนหนึ่งคน สองคน.

แก้อรรถ

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทสวีสสหสฺสานํ ได้แก่ หนึ่งหมื่นและ สองหมื่น. บทว่า ธมฺมาภิสมโย ได้แก่ แทงตลอดธรรม คือสัจจะ ๔. บทว่า เอกทฺวินฺนํ ความว่า ไม่นับโดยนัยเป็นต้นว่า หนึ่งคนและสองคน สามคน สี่คน ฯลฯ สิบคน. ศาสนาชื่อว่าแผ่ไปกว้างขวาง ถึงความเป็นจำนวนมาก เพราะการตรัสรู้นับไม่ถ้วนอย่างนี้ อันเทวดาและมนุษย์ผู้เป็นบัณฑิตเป็นอันมาก รู้ พึงรู้ว่าเป็นนิยยานิกธรรม อันเป็นความสำเร็จแล้วด้วยอธิศีลสิกขาเป็นต้น และเจริญแล้วด้วยสมาธิเป็นต้น ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

ศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าทีปังกร อันพระองค์ทรงชำระบริสุทธิ์ดีแล้ว แผ่ไปกว้างขวาง คนเป็นอันมากรู้กัน สำเร็จแล้ว เจริญแล้วในครั้งนั้น.

 
  ข้อความที่ 42  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 296

แก้อรรถ

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุวิโสธิตํ ได้แก่ อันพระผู้มีพระภาค เจ้าทรงชำระแล้ว ทำให้หมดจดด้วยดี ได้ยินว่า ภิกษุผู้มีอภิญญา ๖ มีฤทธิ์ มาก สี่แสนรูป แวดล้อมพระทีปังกรศาสดาอยู่ทุกเวลา อธิบายว่า สมัยนั้น ภิกษุเหล่าใดเป็นเสกขะ ทำกาลกิริยา [มรณภาพ] ภิกษุเหล่านั้นย่อมถูกครหา ภิกษุทั้งหมดจึงเป็นพระขีณาสพ ปรินิพพาน เพราะฉะนั้นแล ศาสนาของ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น จึงบานเต็มที่ สำเร็จด้วยดี งดงามเหลือเกิน ด้วยภิกษุขีณาสพทั้งหลาย ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

ภิกษุสี่แสนรูป มีอภิญญา ๖ มีฤทธิ์มากย่อม แวดล้อม พระทศพลทีปังกร ผู้รู้แจ้งโลกทุกเมื่อ.

สมัยนั้น ภิกษุเหล่าใดเหล่าหนึ่ง เป็นเสขะยังไม่ บรรลุพระอรหัต ละภพมนุษย์ไป ภิกษุเหล่านั้นย่อม ถูกครหา.

ปาพจน์คือพระศาสนา อันพระอรหันต์ผู้คงที่ เป็นขีณาสพ ไร้มลทิน ทำให้บานเต็มที่แล้ว ย่อม งดงามทุกเมื่อ.

แก้อรรถ

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า จตฺตาริ สตสหสฺสานิ พึงถือความ อย่างนี้ว่า ท่านกล่าวว่า ฉฬภิญฺา มหิทฺธิกา ดังนี้ก็เพื่อแสดงว่า ภิกษุ เหล่านี้ ที่ท่านแสดงด้วยการนับแล้วมีจำนวนที่แสดงได้อย่างนี้. อีกนัยหนึ่ง คำว่า ฉฬภิญฺา มหิทฺธิกา พึงทราบว่าเป็นปฐมาวิภัตติ ลงในอรรถ ฉัฏฐีวิภัตติว่า ฉฬภิญฺานํ มหิทฺธิกานํ. บทว่า ปริวาเรนฺติ สพฺพทา

 
  ข้อความที่ 43  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 297

ได้แก่ แวดล้อมพระทศพลตลอดกาลเป็นนิตย์ อธิบายว่า ไม่ละพระผู้มีพระภาคเจ้าไปเสียในที่ไหนๆ. บทว่า เตน สมเยน แปลว่า ในสมัยนั้น ก็ สมยศัพท์นี้ ใช้กันในอรรถ ๙ อรรถ มีอรรถว่า สมวายะ เป็นต้น เหมือน อย่างที่ท่านกล่าวไว้ว่า

สมยศัพท์ ใช้ในอรรถว่า สมวายะ ขณะ กาล สมูหะ เหตุ ทิฏฐิ ปฏิลาภะ ปหานะ และปฏิเวธะ.

แต่ในที่นี้ สมยศัพท์นั้น พึงเห็นว่าใช้ในอรรถว่า กาล ความว่า ในกาลนั้น. บทว่า มานุสํ ภวํ ได้แก่ ภาวะมนุษย์. บทว่า อปฺปตฺตมานสา ความว่า พระ อรหัต อันพระเสขะเหล่าใด ยังไม่ถึงแล้วไม่บรรลุแล้ว. คำว่า มานสํ เป็นชื่อ ของราคะ ของจิต และของพระอรหัต. ก็ราคะท่านเรียกว่า มานสะ ได้ในบาลีนี้ว่า อนฺตลิกฺขจโร ปาโส ยฺวายํ จรติ มานโส ราคะนั้นใด เป็นบ่วง เที่ยว อยู่กลางหาว ย่อมเที่ยวไป. จิตท่านก็เรียกว่า มานสะ ได้ในบาลีนี้ว่า จิตฺตํ มโน มานสํ หทยํ ปณฺฑรํ แปลว่า จิต ทั้งหมด. พระอรหัต ท่านเรียกว่า มานสะ ได้ในบาลีนี้ว่า อปฺปตฺตมานโส เสโข กาลํ กยิรา ชเนสุต พระเสขะมีพระอรหัตอันยังไม่บรรลุแล้วจะพึงทำกาละเสีย พระชเนสุตะเจ้าข้า. แม้ในที่นี้ก็ประสงค์เอาพระอรหัต เพราะฉะนั้น จึงมีความว่า ผู้มีพระอรหัตตผลอันยังไม่บรรลุแล้ว. บทว่า เสขา ได้แก่ ชื่อว่าเสขะ เพราะอรรถว่าอะไร. ชื่อว่าเสขะ เพราะอรรถว่าได้เสขธรรม. สมจริงดังที่ตรัสไว้ว่า ภิกษุทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุเป็นเสขะด้วยเหตุเพียงเท่าไร พระเจ้าข้า. ตรัส ตอบว่า ดูก่อนภิกษุ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ประกอบด้วยสัมมาทิฏฐิที่เป็นเสขะ ฯลฯ ประกอบด้วยสัมมาสมาธิที่เป็นเสขะ ภิกษุเป็นเสขะ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้. อีกอย่างหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายยังศึกษาอยู่ เหตุนั้นจึงชื่อว่าเสขะ. สมจริงดัง

 
  ข้อความที่ 44  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 298

ที่ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุ ภิกษุยังศึกษาอยู่ ภิกษุยังศึกษาอยู่ ดังนี้แล เพราะ ฉะนั้น จึงเรียกว่าเสขะ ภิกษุศึกษาอะไรเล่า ภิกษุศึกษาอธิศีลบ้าง ศึกษา อธิจิตบ้าง ศึกษาอธิปัญญาบ้าง ดังนี้แล ภิกษุ เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่า เสขะ. บทว่า สุปุปฺผิตํ ได้แก่ แย้มด้วยดีแล้ว. บทว่า ปาวจนํ ได้แก่ คำอันบัณฑิตสรรเสริญแล้ว หรือคำที่ถึงความเจริญแล้ว ชื่อว่าปาวจนะ. คำ เป็นประธานนั้นแล ชื่อว่า ปาวจนะ อธิบายว่า พระศาสนา. บทว่า อุปโสภติ ได้แก่ เรื่องรองยิ่ง รุ่งโรจน์ยิ่ง. บทว่า สพฺพทา ได้แก่ ทุก กาล. ปาฐะว่า อุปโสภติ สเทวเก ดังนี้ก็มี.

พระผู้มีพระภาคเจ้าทีปังกรพระองค์นั้น ทรงมีพระนคร ชื่อว่ารัมมวดี มีพระชนกเป็นกษัตริย์ พระนามว่าพระเจ้าสุเทวะ พระชนนีเป็นพระเทวีพระนามว่า พระนางสุเมธา มีพระอัครสาวกคู่ ชื่อสุมังคละ และ ติสสะ มีพระ อุปัฏฐากชื่อสาคตะ มีพระอัครสาวิกาคู่ ชื่อนันทา และสุนันทา ต้นไม้เป็นที่ ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น คือ ต้นเลียบ. พระองค์สูง ๘๐ ศอก พระชนมายุแสนปี.

ถ้าจะถามว่า ในการแสดงนครเกิดเป็นต้นเหล่านี้มีประโยชน์อะไร. ขอ ชี้แจงดังนี้ ผิว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ใด ไม่พึงปรากฏพระนครเกิดไม่พึงปรากฏพระชนก ไม่พึงปรากฏพระชนนีไซร้ พระพุทธเจ้าพระองค์นี้ ก็ย่อมไม่ ปรากฏพระนครเกิด พระชนก พระชนนี. ชนทั้งหลาย เมื่อสำคัญว่าผู้นี้เห็น จะเป็นเทพ สักกะ ยักษ์ มาร หรือพรหม ปาฏิหาริย์เช่นนี้แม้ของเทวดาทั้ง หลายไม่อัศจรรย์ ก็จะไม่พึงสำคัญพระดำรัสว่าควรฟังควรเชื่อถือ แต่นั้น การ ตรัสรู้ก็ไม่มี ความเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าก็ไร้ประโยชน์ พระศาสนาก็จะ ไม่นำสัตว์ออกจากทุกข์ เพราะฉะนั้น จึงควรแสดงปริจเฉทขั้นตอน มีนครเกิด เป็นต้นของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

 
  ข้อความที่ 45  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 299

พระทีปังกรศาสดา ทรงมีพระนครชื่อว่ารัมมวดี พระชนกพระนามพระเจ้าสุเทวะ พระชนนีพระนาม พระนางสุเมธา.

พระพิชิตมารทรงครอบครองอาคารสถานอยู่ หมื่นปี ทรงมีปราสาทอันอุดม ๓ หลัง ชื่อว่า หังสา ปราสาท โกญจาปราสาท และมยุราปราสาท.

มีสนมนารี ๓ แสนนาง ล้วนประดับประดาสวย งาม พระมเหสีพระนามว่า ปทุมา พระโอรสพระนาม ว่า อุสภักขันธกุมาร.

พระชินเจ้าทรงเห็นนิมิต ๔ ประการแล้ว ออก ผนวชด้วยคชยานคือ พระยาข้างต้น ทรงบำเพ็ญเพียร อยู่ ๑๐ เดือนเต็ม.

ครั้นทรงบำเพ็ญเพียรแล้ว ก็ได้ตรัสรู้พระสัมโพธิญาณ พระมหามุนีทีปังกร มหาวีรเจ้าอันพรหม ทูลอาราธนาแล้ว ทรงประกาศพระธรรมจักร ประทับ อยู่ที่นันทาราม ประทับนั่งที่ควงไม้ซึก ทรงปราบปราม เดียรถีย์.

พระทีปังกรศาสดา ทรงมีพระอัครสาวก ชื่อว่า สุมังคละ และติสสะ มีพุทธอุปัฏฐาก ชื่อว่า สาคตะ.

พระอัครสาวิกา ชื่อว่านันทาและสุนันทา ต้นไม้ ตรัสรู้ ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เรียกกัน ว่าต้นเลียบ.

 
  ข้อความที่ 46  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 300

พระทีปังกรมหามุนี สูง ๘๐ ศอก สง่างาม เหมือนต้นไม่ประจำทวีป เหมือนต้นพระยาสาละออก ดอกบานเต็มต้น.

พระผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่พระองค์นั้น มีพระชนมายุแสนปี พระองค์พระชนม์ยืนถึงเพียงนั้น จึงทรง ยังหมู่ชนเป็นอันมากให้ข้ามโอฆสงสารแล้ว ก็เสด็จ ดับขันธ์ปรินิพพาน ทั้งพระสาวก เหมือนกองไฟลุก โพลงแล้วก็ดับไป.

พระวรฤทธิ์ด้วย พระยศด้วย จักรรัตนะที่พระ ยุคลบาทด้วย ทั้งนั้นก็อันตรธานไปสิ้น สังขารทุกอย่าง ก็ว่างเปล่า แน่แท้.

พระทีปังกรชินศาสดา เสด็จนิพพาน ณ นันทาราม พระสถูปของพระชินเจ้าพระองค์นั้น ที่นันทาราม สูง ๓๖ โยชน์.

พระสถูปบรรจุบาตร จีวร บริขารและเครื่อง บริโภคของพระศาสดาประดิษฐานอยู่ที่โคนโพธิพฤกษ์ ในกาลนั้นสูง ๓ โยชน์.

แก้อรรถ

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุเทโว นาม ขตฺติโย ความว่า พระองค์มีพระชนกพระนามว่า พระเจ้าสุเทวะ. บทว่า ชนิกา ได้แก่ พระชนนี. บทว่า ปิปฺผลิ ได้แก่ ต้นเลียบหรือต้นมะกอกเป็นต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้. บทว่า อสีติหตฺถมุพฺเพโธ แปลว่าพระองค์สูง ๘๐ ศอก. บทว่า ทีปรุกฺโขว ความว่า

 
  ข้อความที่ 47  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 301

พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นยังทรงพระชนม์อยู่มีพระสรีระประดับด้วยพระวรลักษณ์ ๓๒ ประการและพระอนุพยัญชนะ พร้อมบริบูรณ์ด้วยพระสัณฐานสูงและใหญ่ ประดุจต้นไม้ประจำทวีป ที่ประดับด้วยประทีปมาลาอันรุ่งเรือง ทรงสง่างาม เหมือนพื้นนภากาศ ที่รุ่งเรืองด้วยหมู่ดาวที่เปล่งแสงเป็นข่ายรัศมีเลื่อมประกาย. บทว่า โสภติ แปลว่า งามแล้ว. บทว่า สาลราชาว ผุลฺลิโต ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าสูง ๘๐ ศอก สง่างามอย่างยิ่ง เหมือนต้นพระยาสาละ ที่ออก ดอกบานสะพรั่งทั่วทั้งต้น และเหมือนต้นปาริฉัตตกะสูงร้อยโยชน์ ดอกบาน เต็มต้น.

บทว่า สตสหสฺสวสฺสานิ ความว่า พระองค์ทรงมีพระชนมายุ แสนปี. บทว่า ตาวตา ติฏฺมาโน ได้แก่ ทรงมีพระชนม์ยืนอยู่เพียง เท่านั้น. บทว่า ชนตํ ได้แก่ ประชุมชน. บทว่า สนฺตาเรตฺวา มหาชนํ แปลว่า ยังมหาชนให้ข้ามโอฆสงสาร ปาฐะว่า สนฺตาเรตฺวา สเทวกํ ดัง นี้ก็มี ปาฐะนั้น มีความว่า ทรงยังโลกพร้อมทั้งเทวโลก ให้ข้ามโอฆสงสาร. บทว่า สา จ อิทฺธิ ความว่า สมบัตินั้น และอานุภาพด้วย. บทว่า โส จ ยโส ความว่า บริวารยศนั้นด้วย. บทว่า สพฺพํ ตมนฺตรหิตํ ความว่า มีประการดังกล่าวมานั้นทั้งหมด เกิดเป็นสมบัติ ก็อันตรธานปราศไป. บทว่า นนุ ริตฺตา สพฺพสงฺขารา ความว่า ก็สังขตธรรมทั้งหมด ก็ว่างเปล่า แน่แท้ คือเว้นจากสาระว่าเที่ยงเป็นต้น.

ก็ในพุทธวงศ์นี้ ปริเฉทตอนที่ว่าด้วยนครเป็นต้นมาในบาลี. ส่วน วาระมากวาระ ไม่ได้มา วาระนั้นควรนำมาแสดง. อะไรบ้าง คือ

๑. ปุตตปริเฉท ตอนว่าด้วย พระโอรส

๒. ภริยาปริเฉท ตอนว่าด้วย พระชายา

 
  ข้อความที่ 48  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 302

๓. ปาสาทปริเฉท ตอนว่าด้วย ปราสาท

๔. อคารวาสปริเฉท ตอนว่าด้วย การอยู่ครองเรือน

๕. นาฏกิตถิปริเฉท ตอนว่าด้วย สตรีฟ้อนรำ

๖. อภินิกขมนปริเฉท ตอนว่าด้วย อภิเนษกรมณ์

๗. ปธานปริเฉท ตอนว่าด้วย การบำเพ็ญเพียร

๘. วิหารปริเฉท ตอนว่าด้วย พระวิหาร

๙. อุปัฏฐากปริเฉท ตอนว่าด้วย พุทธอุปัฏฐาก.

เหตุในการแสดงปริเฉทเหล่านั้น กล่าวไว้แล้วแต่หนหลัง ก็พระทีปังกรพระองค์ นั้น มีพระสนมสามแสนนาง มีพระอัครมเหสีพระนามว่า ปทุมา พระโอรส พระนามว่า อุสภักขันธะ ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

พระชินศาสดาทีปังกร มีพระมเหสี พระนามว่า ปทุมา งามปานปทุมบาน พระโอรสพระนามว่าอุสภักขันธะ.

มีปราสาท ๓ หลงชื่อ หังสา โกญจา มยุรา ทรงครองเรือนอยู่หมื่นปี.

พระชินเจ้าเสด็จอภิเนษกรมณ์ด้วยคชยาน คือ พระยาช้างต้น ประทับอยู่ ณ พระวิหาร ชื่อว่านันทาราม พระองค์มีพุทธอุปัฏฐาก ชื่อว่านันทะ๑ ทรงทำ ความร่าเริงแก่โลก

ก็พระพุทธเจ้าทุกพระองค์มี เวมัตตะ คือความแตกต่างกัน ๕ อย่าง คือ ๑. อายุเวมัตตะ ๒. ปมาณเวมัตตะ ๓. กุลเวมัตตะ ๔. ปธานเวมัตตะ ๕. รัศมิเวมัตตะ.


๑. บาลีเป็น สาคตะ.

 
  ข้อความที่ 49  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 303

บรรดาเวมัตตะ ๕ นั้น ชื่อว่า อายุเวมัตตะ ได้แก่ พระพุทธเจ้าบาง พระองค์มีพระชนมายุยืน บางพระองค์มีพระชนมายุน้อย จริงอย่างนั้น พระผู้มี พระภาคเจ้าทีปังกร มีพระชนมายุประมาณแสนปี พระผู้มีพระภาคเจ้าของเรา มีพระชนมายุประมาณร้อยปี.

ชื่อว่า ปมาณเวมัตตะ ได้แก่ พระพุทธเจ้าบางพระองค์สูง บางพระองค์ต่ำ จริงอย่างนั้น พระพุทธเจ้าทีปังกรมีขนาดสูงประมาณ ๘๐ ศอก ส่วน พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราสูงประมาณ ๑๘ ศอก.

ชื่อว่า กุลเวมัตตะ ได้แก่ บางพระองค์เกิดในตระกูลกษัตริย์ บาง พระองค์เกิดในตระกูลพราหมณ์ จริงอย่างนั้น พระพุทธเจ้าทีปังกรเป็นต้นเกิด ในตระกูลกษัตริย์ พระพุทธเจ้ากกุสันธะและพระโกนาคมนะเป็นต้นเกิดใน ตระกูลพราหมณ์.

ชื่อว่า ปธานเวมัตตะ ได้แก่ บางพระองค์ ทรงบำเพ็ญเพียรชั่วเวลา นิดหน่อยเท่านั้นเช่นพระผู้มีพระภาคเจ้ากัสสปะ บางพระองค์ทรงบำเพ็ญเพียร เป็นเวลานาน เช่นพระผู้มีพระภาคเจ้าของเรา.

ชื่อว่า รัสมิเวมัตตะ ได้แก่ รัศมีพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้า มังคละแผ่ไปตลอดหมื่นโลกธาตุ ของพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราเพียงวาเดียว.

บรรดาเวมัตตะ ๕ นั้น รัศมีเวมัตตะ ย่อมเนื่องด้วยพระอัธยาศัย พระองค์ใดปรารถนาเท่าใด รัศมีพระสรีระของพระองค์นั้น ก็แผ่ไปเท่านั้น. ส่วนพระอัธยาศัยของพระมงคลพุทธเจ้าได้มีแล้วว่า ขอรัศมีจงแผ่ไปตลอดหมื่น โลกธาตุ. แต่ไม่มีความแตกต่างกันในการแทงตลอดคุณทั้งหลายของพระพุทธ- เจ้าทุกพระองค์.

อนึ่ง มีสถานที่ ๔ แห่งที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ไม่ทรงละเว้น. โพธิ บัลลังก์เป็นสถานที่ไม่ทรงละ ย่อมมีในที่แห่งเดียวกันแน่นอน. สถานที่ประกาศ พระธรรมจักรก็ไม่ทรงละ อยู่ในป่าอิสิปตนะ มิคทายวันเท่านั้น. ในเวลาเสด็จ

 
  ข้อความที่ 50  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 304

ลงจากเทวโลก ใกล้ประตูสังกัสสนครย่างพระบาทแรก ก็ไม่ทรงละ. สถานที่ เท้าเตียงทั้งสี่ตั้งอยู่ ที่พระคันธกุฎีในพระเชตวันวิหารก็ไม่ทรงละเหมือนกัน. แม้พระวิหารก็ไม่ทรงละ แต่พระวิหารนั้นเล็กบ้าง ใหญ่บ้าง.

อนึ่ง ข้ออื่นอีก ของพระผู้มีพระภาคเจ้าของเรามีสหชาตปริเฉท ตอนว่าด้วยสหชาต และนักขัตตปริเฉทตอนว่าด้วยนักษัตร มีเป็นพิเศษ. เล่า กันว่าสหชาต คือสิ่งที่เกิดร่วมกับพระสัพพัญญูโพธิสัตว์ของเรา มี ๗ คือ พระมารดาของพระราหุล พระอานันทเถระ นายฉันนะ พระยาม้ากัณฐกะ ขุมทรัพย์ มหาโพธิพฤกษ์ พระกาฬุทายี. ได้ยินว่า โดยดาวนักษัตรในเดือนอาสาฬหะหลัง นั่นแล พระมหาบุรุษ ก็เสด็จลงสู่พระครรภ์พระมารดา เสด็จออกมหาภิเนษ- กรมณ์ ประกาศพระธรรมจักร ทรงทำยมกปาฏิหาริย์, โดยดาวนักษัตรใน เดือนวิสาขะ ก็ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน โดยดาวนักษัตรในเดือน มาฆะ พระองค์ก็ประชุมพระสาวก และทรงปลงอายุสังขาร, โดยดาวนักษัตร ในเดือนอัสสยุชะ (ราวกลางเดือน ๑๑) เสด็จลงจากเทวโลก. ความพิเศษ ดังกล่าวมานี้ ควรนำมาแสดง นี้เป็นปริเฉท ตอนว่าด้วยวาระมากวาระ คาถา ที่เหลือ ง่ายดายทั้งนั้นแล.

พระผู้มีพระภาคเจ้าทีปังกร ดำรงอยู่จนตลอดพระชนมายุ ทรงทำ พุทธกิจทุกอย่าง เสด็จดับขันธปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ตาม ลำดับ.

ได้ยินว่า ในกัปใด ที่พระทีปังกรทศพลเสด็จอุบัติ ในกัปนั้นได้มีแม้ พระพุทธเจ้าพระองค์อื่นๆ อีก ๓ พระองค์คือ พระตัณหังกร พระเมธังกร พระ สรณังกร การพยากรณ์พระโพธิสัตว์ในสำนักของพระพุทธเจ้าเหล่านั้นไม่มี เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าเหล่านั้น จึงไม่แสดงไว้ในที่นี้. แต่เพื่อแสดงพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ที่เสด็จอุบัติแล้วอุบัติแล้ว ตั้งแต่ต้นกัปนั้น ในอรรถกถา ท่านจึงกล่าวคำนี้ไว้ว่า

 
  ข้อความที่ 51  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 305

พระสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นยอดของสัตว์สองเท้า คือ พระตัณหังกร พระเมธังกร พระสรณังกร พระทีปังกร พระโกณฑัญญะ.

พระมุนี คือพระมังคละ พระสุมนะ พระเรวตะ พระโสภิตะ พระอโนมทัสสี พระปทุมะ พระนารทะ พระปทุมุตตระ.

พระผู้มียศใหญ่ ผู้นำโลก คือ พระสุเมธะ พระสุชาตะ พระปิยทัสสี พระอัตถทัสสี พระธัมมทัสสี พระสิทธัตถะ.

พระสัมพุทธเจ้าผู้นำ คือพระติสสะ พระผุสสะ พระวิปัสสี พระสิขี พระเวสภู พระกกุสันธะ พระโกนาคมนะ พระกัสสปะ.

พระสัมพุทธเจ้าเหล่านั้นได้มีมาแล้ว ทรงปราศจากราคะ มีพระหฤทัยมั่นคง เสด็จอุบัติแล้ว ก็ทรง บรรเทาความมืดอย่างใหญ่ ดังดวงอาทิตย์ พระองค์ กับทั้งพระสาวก ก็เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว ดังกองไฟลุกโพลงแล้วก็ดับไปฉะนั้น.

จบ พรรณนาวงศ์พระทีปังกรพุทธเจ้า

แห่งอรรถกถาพุทธวงศ์ ชื่อมธุรัตถวิลาสินีที่แต่ง ไม่สังเขปนัก ไม่พิศดารนัก ดังกล่าวมาฉะนี้