พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๔. วงศ์พระมงคลพุทธเจ้าที่ ๓

 
บ้านธัมมะ
วันที่  1 ส.ค. 2564
หมายเลข  35144
อ่าน  532

[เล่มที่ 73] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 329

๔. วงศ์พระมงคลพุทธเจ้าที่ ๓

ว่าด้วยพระประวัติของพระมงคลพุทธเจ้า

วงศ์พระมงคลพระพุทธเจ้าที่ ๓ 4/329

พรรณนาวงศ์พระมงคลพุทธเจ้าที่ ๓ 335

อธิบายโพธิศัพท์ 344


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 73]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 329

๔. วงศ์พระมงคลพุทธเจ้าที่ ๓

ว่าด้วยพระประวัติของพระมงคลพุทธเจ้า

[๔] ต่อมาจากสมัย ของพระโกณฑัญญพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าพระนามว่า มงคล ผู้นำโลก ทรงกำจัด ความมืดในโลก ทรงชูประทีปธรรม.

รัศมีของพระองค์ไม่มีใครเทียบ ยิ่งกว่าพระชินพุทธเจ้าพระองค์อื่นๆ ข่มรัศมีของดวงจันทร์และดวง อาทิตย์ ทำหมื่นโลกธาตุให้สว่างจ้า.

พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงประกาศสัจจะ ๔ อันประเสริฐสูงสุด. สัตว์นั้นๆ ก็ดื่มรสสัจจะบรรเทา ความมืดใหญ่ลงได้,

ในการที่ทรงบรรลุพระโพธิญาณ อันหาที่เทียบ มิได้ แล้วทรงแสดงธรรมครั้งแรก ธรรมาภิสมัย ครั้ง ที่ ๑ ก็ได้มีแก่สัตว์แสนโกฏิ.

พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงธรรมโปรด ในภพของ ท้าวสักกะเทวราชจอมเทพ ครั้งนั้น ธรรมาภิสมัย ครั้งที่ ๒ ได้มีแก่เทวดาแสนโกฏิ.

ครั้ง พระเจ้าสุนันทจักรพรรดิราช เข้าเฝ้าพระสัมพุทธเจ้า พระสัมพุทธเจ้า ก็ทรงลั่นธรรมเถรีอัน ประเสริฐสูงสุด.

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 330

ครั้งนั้น ข้าราชบริพารตามเสด็จพระเจ้าสุนันทจักรพรรดิราช มีจำนวนเก้าสิบโกฏิ ชนเหล่านั้น ก็ได้ เป็นผู้บวชด้วยเอหิภิกษุอุปสัมปทาทั้งหมด ไม่เหลือ เลย.

สมัยพระมงคลพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ มี สันนิบาตการประชุม ๓ ครั้ง ครั้งที่ ๑ เป็นการประชุมสาวกแสนโกฏิ ครั้งที่ ๒ ก็เป็นการประชุมสาวก แสนโกฏิ ครั้งที่ ๓ เป็นการประชุมสาวกเก้าสิบโกฏิ ครั้งนั้น เป็นการประชุมสาวกผู้เป็นพระขีณาสพ ผู้ไร้ มลทิน.

สมัยนั้น เราเป็นพราหมณ์ชื่อสุรุจิ เป็นผู้คงแก่ เรียน ทรงมนต์ จบไตรเพท เราเข้าเฝ้า ถึงพระศาสดา เป็นสรณะ บูชาพระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ด้วยของหอมและดอกไม้ ครั้นบูชาด้วยของหอมและ ดอกไม้แล้ว ก็เลี้ยงให้อิ่มหนำสำราญด้วยควปานะ ขนมแป้งผสมน้ำนมโค.

พระมงคลพุทธเจ้า ผู้เป็นยอดแห่งสัตว์สองเท้า พระองค์นั้น ทรงพยากรณ์เราว่า ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าในกัปที่นับไม่ได้ นับแต่กัปนี้ไป.

พระตถาคตเสด็จออกอภิเนษกรมณ์ จากกรุงกบิลพัศดุ์ที่น่ารื่นรมย์ ทรงตั้งความเพียรทำทุกกรกิริยา.

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 331

พระตถาคต ประทับ ณ โคนต้นอชปาลนิโครธ ทรงรับข้าวมธุปายาส เสด็จเข้าไปยังแม่น้ำเนรัญชรา.

พระชินเจ้าพระองค์นั้น เสวยข้าวมธุปายาสที่ริม ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา เสด็จดำเนินตามทางอันดีที่เขาจัด ตกแต่งไว้ ไปที่โคนโพธิพฤกษ์.

แต่นั้น พระผู้มียศใหญ่ทรงทำประทักษิณโพธิ- มัณฑสถานอันยอดเยี่ยมแล้วตรัสรู้ ณ โคนต้นโพธิ- พฤกษ์ ชื่อว่าอัสสัตถะ ต้นโพธิใบ.

ท่านผู้นี้ จักมีพระชนนีพระนามว่า มายา พระชนกพระนามว่า สุทโธทนะ ท่านผู้นี้จักมีนามว่าพระ โคตมะ.

จักมีคู่อัครสาวก ชื่อว่าพระโกลิตะและพระอุป- ติสสะ ผู้ไม่มีอาสวะ ปราศจากราคะ มีจิตสงบ ตั้ง มั่น พุทธอุปัฏฐาก ชื่อว่าอานันทะ จักบำรุงพระชินเจ้า ผู้นี้.

จักมีคู่อัครสาวิกา ชื่อว่าพระเขมา และพระอุบลวรรณา ผู้ไม่มีอาสวะ ปราศจากราคะ มีจิตสงบ ตั้งมั่น ต้นโพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ นั้น เรียกว่าอัสสัตถพฤกษ์.

จักมีอัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า จิตตะ และหัตถะ อาฬวกะ จักมีอัครอุปัฎฐายิกา ชื่อว่า นันทมาตาและ

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 332

อุตตรา พระโคตมพุทธเจ้าผู้มียศพระองค์นั้น จักมี พระชนมายุ ประมาณ ๑๐๐ ปี.

มนุษย์และเทวดาทั้งหลาย สดับพระดำรัสของ พระมงคลพุทธเจ้า ผู้ไม่มีผู้เสมอ ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ นี้แล้ว ก็พากันปลาบปลื้มใจว่า ท่านผู้นี้เป็นหน่อ พุทธางกูร.

หมื่นโลกธาตุ พร้อมทั้งเทวโลก ก็ส่งเสียงโห่ ร้อง ปรบมือ หัวร่อร่าเริง ประคองอัญชลีนมัสการ กล่าวว่า

ผิว่า พวกเราจักพลาดคำสั่งสอนของพระโลกนาถ พระองค์นี้ ในอนาคตกาล พวกเราก็จักอยู่ต่อหน้า ของท่านผู้นี้.

มนุษย์ทั้งหลาย เมื่อข้ามแม่น้ำ พลาดท่าน้ำ เฉพาะหน้า ก็ถือเอาท่าน้ำทางหลัง ข้ามมหานทีฉันใด.

พวกเราทั้งหมด ผิว่าจะละพ้นพระชินเจ้าพระองค์นี้ไซร้ ในอนาคตกาลพวกเราก็จักอยู่ต่อหน้าของ ท่านผู้นี้ ฉันนั้นเหมือนกัน.

เราฟังพระดำรัสของพระมงคลพุทธเจ้า พระองค์ นั้นแล้ว ก็ยังจิตให้เลื่อมใสมากขึ้น อธิษฐานวัตรยิ่ง ยวดขึ้น เพื่อบำเพ็ญบารมี ๑๐ ให้เต็มบริบูรณ์.

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 333

ครั้งนั้น เราเพิ่มพูนปีติ เพื่อบรรลุพระสัมโพธิ- ญาณอันประเสริฐ จึงถวายเคหสมบัติของเรา แด่พระ มงคลพุทธเจ้า แล้วก็บวชในสำนักของพระองค์.

เราเล่าเรียนพระสูตร พระวินัยและนวังคสัตถุ- สาสน์ได้หมด ยังศาสนาของพระชินเจ้าให้งดงาม.

เราเมื่ออยู่ในพระศาสนานั้น ไม่ประมาท เจริญ พรหมวิหารภาวนา ถึงฝั่งในอภิญญา ๕ ก็ไปพรหมโลก.

พระมงคลพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ทรงมี พระนคร ชื่อว่าอุตตระ มีพระชนกพระนามว่า พระเจ้า อุตตระ พระชนนีพระนามว่า พระนางอุตตรา.

พระองค์ทรงครองฆราวาสวิสัยอยู่เก้าพันปี ทรง มีปราสาทเยี่ยมยอด ๓ หลัง ชื่อ ยสวา สุจิมา สิริมา ทรงมีพระสนมนารีสามหมื่นถ้วน มีพระอัครมเหสี พระนามว่ายสวดี พระโอรสพระนามว่า สีวละ.

พระชินเจ้าทรงเห็นนิมิต ๔ เสด็จออกอภิเนษ- กรมณ์ด้วยยานคือม้า ทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ ๘ เดือนเต็ม.

พระมหาวีระมงคลพุทธเจ้า ผู้นำโลก ผู้เป็นยอด แห่งสัตว์สองเท้า ผู้สงบ อันพรหมทูลอาราธนาแล้ว ทรงประกาศพระธรรมจักรเสด็จจาริกไป.

พระมงคลพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ ทรงมี อัครสาวกชื่อว่า พระสุเทวะ พระธรรมเสนะ มีพุทธ- อุปัฏฐาก ชื่อว่า พระปาลิตะ.

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 334

ทรงมีอัครสาวิกา ชื่อว่า พระสีวลาและพระอโสกา โพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เรียกว่าต้นนาคะ คือต้นกากะทิง.

ทรงมีอัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า นันทะ และวิสาขะ มี อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า อนุฬา และ สุมนา.

พระมหามุนี สูง ๘๘ ศอก พระรัศมีหลายแสน แล่นออกจากพระสรีระนั้น.

สมัยนั้น ทรงมีพระชนมายุเก้าหมื่นปี พระองค์ ทรงพระชนม์อยู่ถึงเพียงนั้น ก็ทรงยังหมู่ชนเป็นอัน มากให้ข้ามโอฆสงสาร.

คลื่นทั้งหลายในมหาสมุทร ใครๆ ก็ไม่อาจนับ คลื่นเหล่านั้นได้ ฉันใด สาวกทั้งหลายของพระมงคลพุทธเจ้าพระองค์นั้น ใครๆ ก็ไม่อาจนับสาวกเหล่า นั้นได้ ฉันนั้น.

พระมงคลสัมพุทธเจ้า ผู้นำโลก ยังดำรงอยู่ ตราบใด ในศาสนาของพระองค์ ก็ไม่มีการตายของ สาวกผู้ยังมีกิเลส ตราบนั้น.

พระผู้มียศใหญ่พระองค์นั้น ทรงชูประทีปธรรม ยังมหาชนให้ข้ามโอฆสงสาร ทรงรุ่งเรืองแล้ว ก็เสด็จ ดับขันธปรินิพพาน เหมือนดวงไฟ.

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 335

ทรงแสดงความที่สังขารทั้งหลายเป็นสภาวธรรม แก่โลกพร้อมทั้งเทวโลก รุ่งเรืองแล้วก็เสด็จดับขันธปรินิพพาน เหมือนกองไฟดับ ประดุจดวงอาทิตย์ อัสดงคต ฉะนั้น.

พระมงคลพุทธเจ้า ปรินิพพาน ณ อุทยาน ชื่อ เวสสระ ชินสถูปของพระองค์ ณ อุทยานนั้น สูงสามสิบโยชน์.

จบวงศ์พระมงคลพุทธเจ้าที่ ๓

พรรณาวงศ์พระมงคลพุทธเจ้าที่ ๓

ดังได้สดับมา เมื่อพระโกณฑัญญศาสดา เสด็จดับขันธปรินิพพาน แล้ว ศาสนาของพระองค์ดำรงอยู่แสนปี เพราะพระสาวกของพระพุทธะและ อนุพุทธะอันตรธาน ศาสนาของพระองค์ก็อันตรธาน. ต่อจากสมัยของพระโกณฑัญญพุทธเจ้า ล่วงไปอสงไขยหนึ่ง ในกัปเดียวกันนี่แล ก็บังเกิดพระ พุทธเจ้า ๔ พระองค์ คือ พระมังคละ พระสุมนะ พระเรวตะ พระโสภิตะ ใน ๔ พระองค์นั้น พระมงคลพุทธเจ้า ผู้นำโลก ทรงบำเพ็ญบารมีสิบหก อสงไขยกำไรแสนกัป ก็บังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต ทรงดำรงตลอดอายุในสวรรค์ ชั้นนั้น เมื่อบุพนิมิต ๕ ประการ เกิดขึ้นแล้ว ก็เกิดพุทธโกลาหลขึ้น ครั้งนั้น เทวดาในหมื่นจักรวาลก็ประชุมกันในจักรวาลนั้น จึงพากันอ้อนวอนว่า

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 336

กาโลยํ เต มหาวีร อุปฺปชฺช มาตุ กุจฺฉิยํ สเทวกํ ตารยนฺโต พุชฺฌสฺสุ อมตํ ปทํ.

ข้าแต่ท่านมหาวีระ นี้เป็นกาลอันสมควรสำหรับ พระองค์ โปรดเสด็จอุบัติในพระครรภ์ของพระมารดา เถิด พระองค์เมื่อทรงยังโลกพร้อมทั้งเทวโลกให้ข้าม โอฆสงสาร โปรดตรัสรู้อมตบทเถิด เจ้าข้า.

ทรงถูกเทวดาทั้งหลายอ้อนวอนอย่างนี้แล้ว ทรงพิจารณาวิโลกนะ ๕ ประการก็จุติจากสวรรค์ชั้นดุสิต ถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของ พระนาง- อุตตราเทวี ราชสกุลของ พระเจ้าอุตตระ ผู้ยอดเยี่ยม ใน อุตตระนคร ซึ่งเป็นนครสูงสุดเหมือนครทุกนคร ครั้งนั้นได้ปรากฏปาฏิหาริย์เป็นอันมาก ปาฏิหาริย์เหล่านั้น พึงทราบตามนัยที่กล่าวไว้แล้ว ในวงศ์ของพระทีปังกร พุทธเจ้านั่นแล.

นับตั้งแต่พระมงคลมหาสัตว์ ผู้เป็นมงคลของโลกทั้งปวง ทรงถือ ปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางอุตตระมหาเทวีพระองค์นั้น พระรัศมีแห่ง พระสรีระก็แผ่ไปตลอดเนื้อที่ประมาณ ๘๐ ศอก ทั้งกลางคืนกลางวัน แสง จันทร์และแสงอาทิตย์สู้ไม่ได้ พระรัศมีนั้น กำจัดความมืดได้โดยที่พระรัศมี แห่งพระสรีระของพระองค์เกิดขึ้น ไม่ต้องใช้แสงสว่างอย่างอื่น พระพี่เลี้ยง พระนม ๖๘ นางคอยปรนนิบัติอยู่.

เล่ากันว่า พระนางอุตตราเทวีนั้น มีเทวดาถวายอารักขา ครบทศมาส ก็ประสูติพระมังคลมหาบุรุษ ณ มงคลราชอุทยาน ชื่อว่า อุตตรมธุรอุทยานอัน มีไม้ดอกหอมอบอวล ไม้ต้นติดผลมีกิ่งและค่าคบ ประดับด้วยดอกบัวต้นและ

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 337

บัวสาย มีเนื้อกวาง ราชสีห์ เสือ ช้าง โคลาน ควาย เนื้อฟาน และฝูงเนื้อ นานาชนิดเที่ยวกันไป น่ารื่นรมย์อย่างยิ่ง พระมหาสัตว์พระองค์นั้นพอประสูติ เท่านั้น ก็ทรงแลดูทุกทิศ หันพระพักตร์สู่ทิศอุดร ทรงย่างพระบาท ๗ ก้าว ทรงเปล่งอาสภิวาจา ขณะนั้น เทวดาสิ้นทั้งหมื่นโลกธาตุ ก็ปรากฏกาย ประดับ องค์ด้วย ทิพยมาลัยเป็นต้น ยืนอยู่ในที่นั้นๆ แซ่ซ้องถวายสดุดีชัยมงคล ปาฏิหาริย์ทั้งหลายมีนัยที่กล่าวแล้วทั้งนั้น ในวันขนานพระนามพระมหาบุรุษนั้น โหรทำนายลักษณะขนานพระนามว่า มงคลกุมาร เพราะประสูติด้วยมงคลสมบัติ ทุกอย่าง.

ได้ยินว่า พระมหาบุรุษนั้นมีปราสาท ๓ หลัง คือ ยสวา รุจิมา สิริมา สตรีเหล่านาฏกะ [ฟ้อน, ขับ, บรรเลง] จำนวนสามหมื่น มีพระนาง ยสวดีเป็นประธาน ณ ปราสาทนั้นพระมหาสัตว์เสวยสุขเสมือนทิพยสุข เก้าพัน ปี ทรงได้พระโอรสพระนามว่า สีลวา ในพระครรภ์ของพระนางยสวดี พระอัครมเหสี ทรงม้าตัวงามนามว่า ปัณฑระ ที่ตกแต่งตัวแล้ว เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ทรงผนวช มนุษย์สามโกฏิ ก็พากันบวชตามเสด็จพระมหาสัตว์ที่ ทรงผนวชพระองค์นั้น พระมหาบุรุษ อันภิกษุเหล่านั้นแวดล้อมแล้วทรง บำเพ็ญความเพียรอยู่ ๘ เดือน.

แต่นั้น ก็เสวยข้าวมธุปายาส มีโอชะทิพย์ที่เทวดาใส่ไว้ อันนาง อุตตรา ธิดาของ อุตตรเศรษฐี ในหมู่บ้านอุตตรคามถวายแล้ว ทรงยับยั้ง พักกลางวัน ณ สาละวัน ซึ่งประดับด้วยไม้ดอกหอมกรุ่น มีแสงสีเขียว น่า รื่นรมย์ทรงรับหญ้า ๘ กำ ที่อุตตระอาชีวกถวาย เสด็จเข้าไปยังต้นไม้ที่ตรัสรู้ ชื่อนาคะ [กากะทิง] มีร่มเงาเย็นคล้ายอัญชันคิรี สีครามแก่ ประหนึ่งมียอด มี

 
  ข้อความที่ 10  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 338

ตาข่ายทองคลุม เว้นจากการชุมนุมของฝูงมฤคนานาพันธุ์ ประดับด้วยกิ่งหนา ทึบ ที่ต้องลมอ่อนๆ แกว่งไกวคล้ายฟ้อนรำ ถึงต้นนาคะโพธิที่น่าชื่นชม ก็ ทรงทำประทักษิณต้นนาคะโพธิ ประทับยืนข้างทิศอีสาน [ตะวันออกเฉียง เหนือ ทรงลาดสันถัตหญ้า ๕๘ ศอก ประทับนั่งขัดสมาธิเหนือสันถัตหญ้านั้น ทรงอธิษฐานความเพียรอันประกอบด้วยองค์ ๔ ทรงทำการพิจารณาปัจจยาการ หยั่งลงโดยอำนาจอนิจจลักษณะเป็นต้นในขันธ์ทั้งหลาย ก็ทรงบรรลุพระอนุตตรสมมาสัมโพธิญาณโดยลำดับ ทรงเปล่งอุทานว่า

อเนกชาติสํสารํ สนฺธาวิสฺสํ อนิพฺพสํ คหการํ คเวสนฺโต ทุกฺขา ชาติ ปุนปฺปุนํ คหการก ทิฏฺโสิ ปุน เคหํ น กาหสิ สพฺพา เต ผาสุกา ภคฺคา คหกูฏํ วิสงฺขตํ วิสงฺขารคตํ จิตฺตํ ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา.

เราแสวงหาตัณหานายช่างผู้สร้างเรือนเมื่อไม่พบ ก็ท่องเที่ยวไปตลอดชาติสงสารเป็นอันมาก การเกิด บ่อยๆ เป็นทุกข์ ดูก่อนตัณหานายช่างผู้สร้างเรือน ตัว ท่านเราพบแล้ว ท่านจักสร้างเรือนไม่ได้อีกแล้ว โครง สร้างเรือนของท่านเราหักเสียหมดแล้ว ยอดเรือนท่าน เราก็รื้อเสียแล้ว จิตเราถึงธรรมที่ปัจจัยปรุงแต่งไม่ได้ เพราะเราบรรลุธรรมที่สิ้นตัณหาแล้ว.

ส่วนรัศมีแห่งพระสรีระ พระมงคลพุทธเจ้า มีเกินยิ่งกว่าพระพุทธเจ้า พระองค์อื่นๆ รัศมีแห่งพระสรีระของพระองค์ ไม่เหมือนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

 
  ข้อความที่ 11  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 339

พระองค์อื่นๆ ซึ่งมีรัศมีพระสรีระ ประมาณ ๘๐ ศอกบ้าง วาหนึ่งบ้างโดย รอบ ส่วนรัศมีแห่งพระสรีระของพระมงคลพุทธเจ้าพระองค์นั้น แผ่ไปตลอด หมื่นโลกธาตุเป็นนิจนิรันดร์ ต้นไม้ ภูเขา เรือน กำแพง หม้อน้ำ บานประตู เป็นต้น ได้เป็นเหมือนหุ้มไว้ด้วยแผ่นทอง พระองค์มีพระชนมายุถึงเก้า หมื่นปี. รัศมีของดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดวงดาวเป็นต้นไม่มีตลอดเวลาถึง เท่านั้น การกำหนดเวลากลางคืนกลางวันไม่ปรากฏ สัตว์ทั้งหลายทำการงาน กันทุกอย่างด้วยแสงสว่างของพระพุทธเจ้าเท่านั้น เหมือนทำงานด้วยแสงสว่าง ของดวงอาทิตย์เวลากลางวัน โลกกำหนดเวลาตอนกลางคืนกลางวัน โดยดอกไม้บานยามเย็นและนกร้องยามเช้า.

ถามว่า อานุภาพนี้ของพระพุทธเจ้าพระองค์อื่นๆ ไม่มีหรือ. ตอบว่า ไม่มี หามิได้ ความจริง พระพุทธเจ้าแม้เหล่านั้น เมื่อทรงประสงค์ ก็ทรง แผ่พระรัศมีไปได้ตลอดหมื่นโลกธาตุ หรือยิ่งกว่านั้น แต่รัศมีแห่งพระสรีระของ พระผู้มีพระภาคเจ้ามงคล แผ่ไปตลอดหมื่นโสกธาตุเป็นนิจนิรันดร์ เหมือน รัศมีวาหนึ่งของพระพุทธเจ้าพระองค์อื่นๆ ก็ด้วยอำนาจความปรารถนาแต่เบื้อง ต้น. เขาว่า ครั้งเป็นพระโพธิสัตว์ พระมงคลพุทธเจ้าพระองค์นั้นทรงมีพระ โอรสและพระชายา ในอัตภาพเช่นเดียวกับอัตภาพเป็นพระเวสสันดร ประทับ อยู่ ณ ภูเขาเช่นเดียวกับเขาวงกต. ครั้งนั้น ยักษ์ผู้มีศักดิ์ใหญ่ตนหนึ่งกินมนุษย์ เป็นอาหาร ชอบเบียดเบียนคนทุกคน ชื่อขรทาฐิกะ ได้ข่าวว่า พระมหาบุรุษ ชอบให้ทาน จึงแปลงกายเป็นพราหมณ์เข้าไปหา ทูลขอทารกสองพระองค์กะ พระมหาสัตว์ พระมหาสัตว์ทรงดีพระทัยว่า เราจะให้ลูกน้อยสองคนแก่ พราหมณ์ดังนี้ ได้ทรงประทานพระราชบุตรทั้งสองพระองค์แล้ว ทำให้แผ่นดิน หวั่นไหวจนถึงน้ำ ขณะนั้น ทั้งที่พระมหาสัตว์ทรงเห็นอยู่ ยักษ์ละเพศเป็น

 
  ข้อความที่ 12  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 340

พราหมณ์นั้นเสีย มีดวงตากลมเหลือกเหลืองดังเปลวไฟ มีเขี้ยวโง้งไม่เสมอกัน น่าเกลียดน่ากลัว มีจมูกบี้แบน มีผมแดงหยาบยาว มีเรือนร่างเสมือนต้นตาล ไหม้ไฟใหม่ๆ จับทารกสองพระองค์ เหมือนกำเหง้าบัวเคี้ยวกิน พระมหาบุรุษ มองดูยักษ์ พอยักษ์อ้าปาก ก็เห็นปากยักษ์นั้น มีสายเลือดไหลออกเหมือน เปลวไฟ ก็ไม่เกิดโทมนัสแม้เท่าปลายผม เมื่อคิดว่าเราให้ทานดีแล้ว ก็เกิดปีติ โสมนัสมากในสรีระ. พระมหาสัตว์นั้นทรงทำความปรารถนาว่า ด้วยผลแห่งทาน ของเรานี้ ในอนาคตกาล ขอรัศมีทั้งหลายจงแล่นออกโดยทำนองนี้ เมื่อพระองค์อาศัยความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว รัศมีทั้งหลายจึงเปล่งออกจาก สรีระ แผ่ไปตลอดสถานที่มีประมาณเท่านั้น.

บุพจริยาอย่างอื่นของพระองค์ยังมีอีก. เล่ากันว่า ครั้งเป็นพระโพธิสัตว์ พระมงคลพุทธเจ้าพระองค์นี้เห็นเจดีย์ของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง คิดว่า ควรที่จะสละชีวิตของเราเพื่อพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ ให้เขาพันทั่วทั้งสรีระโดย ทำนองพันประทีปด้าม ให้บรรจุถาดทองมีค่านับแสนซึ่งมีช่อดอกไม้ตูมขนาด ศอกหนึ่ง เต็มด้วยของหอมและเนยใส จุดไส้เทียนพันไส้ไว้ในถาดทองนั้น ใช้ศีรษะเทินถาดทองนั้นแล้วให้จุดไฟทั่วทั้งตัว ทำประทักษิณพระเจดีย์ของ พระชินเจ้าให้เวลาล่วงไปตลอดทั้งคืน เมื่อพระโพธิสัตว์พยายามอยู่จนอรุณขึ้น อย่างนี้ ไออุ่นก็ไม่จับแม้เพียงขุมขน ได้เป็นเหมือนเวลาเข้าไปสู่ห้องดอกปทุม จริงทีเดียว ชื่อว่าธรรมนี้ย่อมรักษาบุคคลผู้รักษาตน ด้วยเหตุนั้น พระผู้มี พระภาคเจ้าจึงตรัสว่า

ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารึ ธมฺโม สุจิณฺโณ สุขมาวหาติ เอสานิสํโส ธมฺเม สุจิณฺเณ น ทุคฺคตึ คจฺฉติ ธมฺมจารี.

 
  ข้อความที่ 13  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 341

ธรรมแล ย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ธรรมที่ ประพฤติดีแล้ว ย่อมนำสุขมาให้ นี้เป็นอานิสงส์ใน ธรรมที่ประพฤติดีแล้ว ผู้ประพฤติธรรม ย่อมไม่ไป ทุคติ ดังนี้.

ด้วยผลแห่งกรรมแม้นี้ แสงสว่างแห่งพระสรีระของพระองค์จึงแผ่ไป ตลอดหมื่นโลกธาตุ ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

ต่อจากสมัยของพระโกณฑัญญพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า ผู้นำโลก พระนามว่ามงคล ก็ทรงกำจัด ความมืดในโลก ทรงชูประทีปธรรม.

รัศมีของพระมงคลพุทธเจ้าพระองค์นั้น ไม่มีผู้ เทียบ ยิ่งกว่าพระชินเจ้าพระองค์อื่นๆ ครอบงำแสง สว่างของดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ หมื่นโลกธาตุก็ สว่างจ้า.

แก้อรรถ

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตมํ ได้แก่ ความมืดในโลกและความมืด ในดวงใจ. บทว่า นิหนฺตฺวาน ได้แก่ ครอบงำ. ในคำว่า ธมฺโมกฺกํ นี้ อุกฺกา ศัพท์นี้ ใช้ในอรรถเป็นอันมาก มีเบ้าของช่างทองเป็นต้น. จริงอย่าง นั้น เบ้าของช่างทองทั้งหลาย พึงทราบว่า อุกฺกา ในอาคตสถานว่า สณฺฑาเสน ชาตรูปํ คเหตฺวา อุกฺกามุเข ปกฺขิเปยฺย ใช้คีมคีบทองใส่ลง ในปากเบ้า. ภาชนะถ่านไฟของช่างทองทั้งหลาย ก็พึงทราบว่า อุกฺกา ในอาคตสถานว่า อุกฺกํ พนฺเธยฺย อุกฺกํ พนฺธิตฺวา อุกฺกามุขํ อาลิมฺเปยฺย พึงผูก

 
  ข้อความที่ 14  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 342

ภาชนะถ่านไฟ ครั้นผูกภาชนะถ่านไฟแล้ว พึงฉาบปากภาชนะถ่านไฟ. เตาไฟของ ช่างทอง ก็พึงทราบว่า อุกฺกา ในอาคตสถานว่า กมฺมารานํ ยถา อุกฺกา อนฺโต ฌายติ โน พหิ เปรียบเหมือนเตาของช่างทองทั้งหลาย ย่อมไหม้ แต่ภายใน ไม่ไหม้ภายนอก. ความเร็วของพายุ พึงทราบว่า อุกฺกา ในอาคตสถานว่า เอวํวิปาโก อุกฺกาปาโต ภวิสฺสติ มีอุกกาบาต จักมีผลเป็น อย่างนี้. คบเพลิง ท่านเรียกว่า อุกฺกา ในอาคตสถานว่า อุกฺกาสุ ธาริยนานาสุ เมื่อคบเพลิงทั้งหลายอันเขาชูอยู่. แม้ในที่นี้คบเพลิงท่าน ประสงค์ว่า อุกฺกา. เพราะฉะนั้นในที่นี้จึงมีความว่า ทรงชูคบเพลิงที่สำเร็จ ด้วยธรรม พระองค์ทรงชูคบเพลิงอันสำเร็จด้วยธรรมแก่โลก ซึ่งถูกความมืด คืออวิชชาปกปิดไว้ อันความมืดคืออวิชชาครอบงำไว้.

บทว่า อตุลาสิ ได้แก่ ไม่มีรัศมีอื่นเทียบได้ หรือปาฐะก็อย่างนี้ เหมือนกัน. ความว่า มีพระรัศมีอันพระพุทธเจ้าพระองค์อื่นๆ เทียบไม่ได้. บท ว่า ชิเนหญฺเหิ ตัดบทเป็น ชิเนหิ อญฺเหิ แปลว่า กว่าพระชินเจ้าพระ องค์อื่นๆ. บทว่า จนฺทสุริยปฺปภํ หนฺตฺวา ได้แก่ กำจัดรัศมีของดวง จันทร์และดวงอาทิตย์ บทว่า ทสสหสฺสี วิโรจติ ความว่า เว้นแสงสว่าง ของดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ หมื่นโลกธาตุย่อมสว่างจ้าด้วยแสงสว่างของ พระพุทธเจ้าเท่านั้น.

ก็พระมงคลสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบรรลุพระโพธิญาณแล้ว ทรงยับ ยั้ง ณ โคนต้นไม้ที่ตรัสรู้ ๗ สัปดาห์ ทรงรับคำวอนขอให้ทรงแสดงธรรมของ พรหม ทรงใคร่ครวญว่าเราจะแสดงธรรมนี้แก่ใครหนอ ก็ทรงเห็นว่า ภิกษุ สามโกฏิที่บวชกับพระองค์ ถึงพร้อมด้วยอุปนิสัย. ครั้งนั้น ทรงดำริว่า กุลบุตร

 
  ข้อความที่ 15  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 343

เหล่านี้บวชตามเราซึ่งกำลังบวชอยู่ถึงพร้อมด้วยอุปนิสัย พวกเขาถูกเราซึ่งต้อง การวิเวกสละไว้ เมื่อวันเพ็ญเดือนวิสาขะ เข้าไปอาศัย สิริวัฒนนคร อยู่ยัง ชัฏสิริวัน เอาเถิด เราจักไปแสดงธรรมแก่พวกเขาในที่นั้น แล้วทรงถือ บาตรจีวรของพระองค์ เหาะสู่อากาศ เหมือนพระยาหงส์ ปรากฏพระองค์ ณ ชัฏสิริวัน ภิกษุเหล่านั้นถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า แสดงอันเตวาสิกวัตร แล้วนั่งแวดล้อมพระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสพระธัมมจักกัป- ปวัตตนสูตร ซึ่งพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงปฏิบัติมาแล้ว แก่ภิกษุเหล่านั้น. ต่อจากนั้น ภิกษุสามโกฏิก็บรรลุพระอรหัต ธรรมาภิสมัยการตรัสรู้ธรรม ได้ มีแก่เทวดาและมนุษย์แสนโกฏิ. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงประกาศสัจจะ ๔ อันประเสริฐสุด เทวดาและมนุษย์นั้นๆ ดื่มรสสัจจะ บรรเทาความมืดใหญ่ได้.

ธรรมาภิสมัย การตรัสรู้ธรรม ได้มีแก่ เทวดา และมนุษย์แสนโกฏิ ในปฐมธรรมเทศนาของพระผู้มี พระภาคเจ้าผู้บรรลุพระสัพพัญญุตญาณ ที่ชั่งไม่ได้.

แก้อรรถ

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า จตุโร แปลว่า ๔. บทว่า สจฺจวรุตฺตเม ความว่า จริงด้วย ประเสริฐด้วย ชื่อว่า สัจจะอันประเสริฐ อธิบายว่า สัจจะสูงสุด. ปาฐะว่า จตฺตาโร สจฺจวรุตฺตเม ดังนี้ก็มี ความ ว่า สัจจะอันประเสริฐ สูงสุดทั้ง ๔. บทว่า เต เต ได้แก่ เทวดาและมนุษย์

 
  ข้อความที่ 16  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 344

นั้นนั่น อันพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงแนะนำแล้ว. บทว่า สจฺจรสํ ได้แก่ ดื่มรสอมตะคือการแทงตลอดสัจจะ ๔. บทว่า วิโนเทนฺติ มหาตมํ ความว่า บรรเทา คือกำจัด ความมืด คือโมหะ ที่พึงละด้วยมรรคนั้นๆ. บทว่า ปตฺวาน ได้แก่ แทงตลอด. ในบทว่า โพธึ นี้ โพธิ ศัพท์นี้

มคฺเค ผเล จ นิพฺพาเน รุกฺเข ปญฺตฺติยํ ตถา สพฺพญฺญุเต จ าณสฺมึ โพธิสทฺโท ปนาคโต.

ก็โพธิศัพท์มาในอรรถ คือ มรรค ผล นิพพาน ต้นไม้ บัญญัติ พระสัพพัญญุตญาณ.

จริงอย่างนั้น โพธิ ศัพท์ มาในอรรถว่า มรรค ได้ในประโยคเป็น ต้นว่า โพธิ วุจฺจติ จตูสุ มคฺเคสุ าณํ ญาณในมรรค ๔ เรียกว่า โพธิ. มาในอรรถว่า ผล ได้ในประโยคเป็นต้นว่า อุปสมาย อภิญฺาย สมฺโพธาย สํวตฺตติ ย่อมเป็นไป เพื่อความสงบ ความรู้ยิ่ง ความตรัสรู้ พร้อม. มาในอรรถว่า นิพพาน ได้ในประโยคนี้ว่า ปตฺวาน โพธึ อมตํ อสงฺขตํ บรรลุพระนิพพาน อันไม่ตาย ปัจจัยปรุงแต่งไม่ได้.

มาในอรรถว่า ต้นอัสสัตถะ ต้นโพธิใบ ได้ในประโยคนี้ว่า อนฺตรา จ คยํ อนฺตรา จ โพธึ ระหว่างแม่น้ำคยาและต้นโพธิ์. มาในอรรถว่า บัญญัติ ได้ในประโยคนี้ว่า โพธิ โข ราชกุมาโร โภโต โคตมสฺส ปาเท สิรสา วนฺทติ พระราชกุมารพระนามว่า โพธิ ถวายบังคมพระยุคล บาทของพระโคดม ด้วยเศียรเกล้า.

มาในอรรถว่า พระสัพพัญญุตญาณ ได้ในประโยคนี้ว่า ปปฺโปติ โพธึ วรภูริเมธโส พระผู้มีพระปัญญาดีอันประเสริฐดังแผ่นดิน ทรงบรรลุ พระสัพพัญญุตญาณ. แม้ในที่นี้ ก็พึงเห็นว่าลงในอรรถว่า พระสัพพัญญุตญาณ ลงในอรรถแม้ พระอรหัตตมรรคญาณก็ควร..

 
  ข้อความที่ 17  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 345

บทว่า อตุลํ ได้แก่ เว้นที่จะชั่งได้ คือเกินประมาณ อธิบายว่า ไม่มีประมาณ พึงถือความว่า ในปฐมธรรมเทศนา ของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั้น ซึ่งทรงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณแล้วทรงแสดงธรรม.

สมัยใด พระมงคลพุทธเจ้า ทรงอาศัยนคร ชื่อ จิตตะ ประทับอยู่ ทรงทำยมกปาฏิหาริย์ ข่มมานะ ของพวกเดียรถีย์ ณ โคนต้นจำปา เหมือน พระผู้มีพระภาคเจ้าของเรา ทรงทำยมกปาฏิหาริย์ ที่โคนต้นคัณฑัมพพฤกษ์แล้ว ประทับนั่งเหนือพื้นพระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ใต้โคนต้นปาริฉัตตกะ ณ ภพดาวดึงส์ ซึ่งเป็นภพประเสริฐสำเร็จด้วยทองและเงินใหม่งดงาม เป็นแดน สำเริงสำราญของเหล่าเทวดาและอสูรหนุ่มสาว ตรัสพระอภิธรรม. สมัยนั้น ธรรมาภิสมัยการตรัสรู้ธรรมได้มีแก่เทวดาแสนโกฏิ นี้เป็นอภิสมัยครั้งที่ ๒.

สมัยใด พระเจ้าจักรพรรดิ พระนาม สุนันทะ ทรงบำเพ็ญจักรวรรดิ วัตร ณ สุรภีนคร ทรงได้จักรรัตนะ. เล่ากันว่า เมื่อ พระมงคลทศพล เสด็จอุบัติขึ้นในโลก จักรรัตนะนั้นก็เขยื้อนจากฐาน พระเจ้าสุนันทะทรงเห็น แล้ว ก็หมดความบันเทิงพระหฤทัย จึงทรงสอบถามพวกพราหมณ์ว่า จักรรัตนะนี้ บังเกิดเพราะกุศลของเรา เหตุไฉน จึงเขยื้อนจากฐาน สมัยนั้น พราหมณ์เหล่านั้นจึงพยากรณ์ ถึงเหตุที่จักรรัตนะนั้นเขยื้อนแด่พระราชาว่า จักรรัตนะจะเขยื้อนจากฐาน เพราะพระเจ้าจักรพรรดิหมดพระชนมายุ เพราะ พระเจ้าจักรพรรดิทรงผนวชหรือเพราะพระพุทธเจ้าปรากฏ แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า พระชนมายุของพระองค์ยังไม่สิ้นดอกพระพุทธเจ้าข้า พระองค์ทรงมีพระชนมายุยืนยาว. แต่พระมงคลสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จอุบัติ แล้วในโลก ด้วยเหตุนั้น จักรรัตนะของพระองค์จึงเขยื้อน พระเจ้าสุนันท-

 
  ข้อความที่ 18  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 346

จักรพรรดิราช พร้อมทั้งบริษัท จึงทรงไหว้จักรรัตนะนั้นด้วยเศียรเกล้า ทรง วอนขอว่า ตราบใดเราจักสักการะพระมงคลทศพล ด้วยอานุภาพของท่าน ขอ ท่านอย่าเพิ่งอันตรธานไป ตราบนั้นด้วยเถิด. ลำดับนั้น. จักรรัตนะนั้นก็ได้ ตั้งอยู่ที่ฐานตามเดิม.

แต่นั้น พระเจ้าสุนันทจักรพรรดิ ผู้มีความบันเทิงพระหฤทัยพรั่ง- พร้อม อันบริษัทมีปริมณฑล ๓๖ โยชน์แวดล้อมแล้ว ก็เสด็จเข้าเฝ้าพระ มงคลทศพล ผู้เป็นมงคลของโลกทั้งปวง ทรงอังคาสพระศาสดาพร้อมทั้งพระ สงฆ์สาวกให้อิ่มหนำสำราญด้วยมหาทาน ถวายผ้าแคว้นกาสีแด่พระอรหันต์แสน โกฏิรูป ถวายบริขารทุกอย่างแด่พระตถาคต ทรงทำการบูชาแด่พระผู้มีพระ ภาคเจ้า ซึ่งทำความประหลาดใจสิ้นทั้งโลก แล้วเข้าเฝ้าพระมงคลพุทธเจ้า ผู้ เป็นนาถะของโลกทั้งปวง ทรงทำอัญชลีดั่งช่อดอกบัวอันไร้มลทิน อันรุ่ง- เรืองด้วยทศนขสโมธานไว้เหนือเศียรเกล้า ทรงถวายบังคมแล้วประทับนั่ง ณ ที่สมควรส่วนหนึ่ง แม้พระราชโอรสของพระองค์ พระนามว่าอนุราชกุมาร ก็ ประทับนั่งอย่างนั้นเหมือนกัน.

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอนุบุพพิกถาโปรดชนเหล่านั้น ซึ่งมี พระเจ้าสุนันทจักรพรรดิเป็นประธาน พระเจ้าสุนันทจักรพรรดิพร้อมทั้ง บริษัท บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ๔. ลำดับนั้น พระศาสดาทรง สำรวจบุพจริยาของชนเหล่านั้น ทรงเห็นอุปนิสสัยแห่งบาตรจีวรที่สำเร็จด้วย ฤทธิ์ ก็ทรงเหยียดพระหัตถ์เบื้องขวา ซึ่งประดับด้วยข่ายจักร ตรัสว่า พวก เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด. ในทันทีภิกษุทุกรูป ก็มีผมขนาดสองนิ้ว ทรงบาตร จีวรสำเร็จด้วยฤทธิ์ ถึงพร้อมด้วยอาการอันสมควรแก่สมณะ ประหนึ่งพระเถระ ๖๐ พรรษา แวดล้อมพระผู้มีพระภาคเจ้า นี้เป็นอภิสมัยครั้งที่ ๓. ด้วย เหตุนั้น จึงตรัสว่า

 
  ข้อความที่ 19  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 347

พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงธรรม ในสวรรค์ชั้น ดาวดึงส์ ภพของท้าวสักกะจอมทวยเทพ ธรรมาภิสมัย ครั้งที่ ๒ ได้มีแก่เทวดาแสนโกฏิ.

สมัยใด พระเจ้าสุนันทจักรพรรดิ เสด็จเข้าไป เฝ้าพระสัมพุทธเจ้า สมัยนั้น พระสัมพุทธเจ้าผู้ประ- เสริฐ ได้ทรงลั่นธรรมเภรีอันสูงสุด.

สมัยนั้น หมู่ชนที่ตามเสด็จพระเจ้าสุนันทะมี จำนวนเก้าสิบโกฏิ ชนเหล่านั้นแม้ทั้งหมด ไม่มี เหลือ เป็นเอหิภิกขุ.

แก้อรรถ

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุรินฺทเทวภวเน ความว่า ในภพของ ท้าวสักกะผู้เป็นจอมเทพอีก. บทว่า ธมฺมํ ได้แก่ พระอภิธรรม. บทว่า อาหนิ ได้แก่ ตี. บทว่า วรุตฺตมํ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ประเสริฐ ได้ทรงลั่นธรรมเภรีอันสูงสุด. บทว่า อนุจรา ได้แก่ เสวกผู้ตามเสด็จประจำ. บทว่า อาสุํ ได้แก่ ได้มีแล้ว. ปาฐะว่า ตทาสิ นวุติโกฏิโย ดังนี้ก็มี. ความว่า หมู่ชนของพระเจ้าสุนันทจักรพรรดิพระองค์นั้นได้มีแล้ว ถ้าจะถามว่า หมู่ชนนั้น มีจำนวนเท่าไร ก็จะตอบได้ว่า มีจำนวนเก้าสิบโกฏิ.

เล่ากันว่า ครั้งนั้น เมื่อพระมงคลโลกนาถประทับอยู่ ณ เมขลบุรี ในนครนั้นนั่นแล สุเทวมาณพ และ ธัมมเสนมาณพ มีมาณพพันหนึ่ง เป็นบริวาร พากันบวชด้วยเอหิภิกขุบรรพชา ในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั้น. เมื่อคู่พระอัครสาวกพร้อมบริวารบรรลุพระอรหัต ในวันเพ็ญ

 
  ข้อความที่ 20  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 348

เดือนมาฆะ พระศาสดาทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดง ในท่ามกลางภิกษุแสนโกฏิ นี้เป็นการประชุมครั้งแรก. ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดง ในการประชุมของ บรรพชิต ในสมาคมญาติอันยอดเยี่ยม ณ อุตตราราม อีก นี้เป็นการประชุม ครั้งที่ ๒. ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดงในท่ามกลางภิกษุเก้าหมื่นโกฏิ ในสมาคม คณะภิกษุพระเจ้าสุนันทจักรพรรดิ นี้เป็นการประชุมครั้งที่ ๓. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

พระมงคลพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ ทรงมี การประชุม ๓ ครั้ง คือ ครั้งที่ ๑ ประชุมภิกษุแสน โกฏิ.

ครั้งที่ ๒ ประชุมภิกษุแสนโกฏิ ครั้งที่ ๓ ประชุมภิกษุเก้าสิบโกฏิ ครั้งนั้น เป็นการประชุมภิกษุ ขีณาสพ ผู้ไร้มลทิน.

ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ของเรา เป็นพราหมณ์ ชื่อว่า สุรุจิ ในหมู่ บ้าน สุรุจิพราหมณ์ เป็นผู้จบไตรเพทพร้อมทั้งนิฆัณฑุศาสตร์ เกฏุภศาสตร์ ทั้งประเภทอักขรศาสตร์ ชำนาญร้อยกรอง ชำนาญร้อยแก้ว ทั้งเชี่ยวชาญใน โลกายตศาสตร์และมหาปุริสลักษณศาสตร์ ท่านสุรุจิพราหมณ์นั้น เข้าไปเฝ้า พระศาสดา ฟังธรรมกถาอันไพเราะของพระทศพลแล้วเลื่อมใสถึงสรณะ นิมนต์ พระผู้พระภาคเจ้าพร้อมทั้งพระสงฆ์สาวกว่า พรุ่งนี้ ขอพระองค์โปรดทรง รับอาหารของข้าพระองค์ด้วยเถิด ท่านพราหมณ์นั้น อันพระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสถามว่า ท่านพราหมณ์ ท่านต้องการภิกษุจำนวนเท่าไร จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุบริวารของพระองค์มีเท่าไรเล่า พระเจ้าข้า. ครั้งนั้น เป็นการประชุมครั้งที่ ๑ เพราะฉะนั้น เมื่อตรัสว่าแสนโกฏิ สุรุจิพราหมณ์

 
  ข้อความที่ 21  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 349

จึงนิมนต์ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าเป็นเช่นนั้น ขอพระองค์โปรดทรงรับ อาหารของข้าพระองค์ พร้อมกับภิกษุทุกรูปพระเจ้าข้า. พระศาสดาจึงทรงรับ นิมนต์.

พราหมณ์ ครั้นนิมนต์พระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อเสวยในวันรุ่งขึ้นแล้ว ก็กลับไปบ้านตนคิดว่า ภิกษุจำนวนถึงเท่านี้ เราก็สามารถถวายข้าวต้มข้าวสวย และผ้าได้ แต่สถานที่ท่านจะนั่งกันจักทำอย่างไร ความคิดของท่านพราหมณ์ นั้นก็ร้อนไปถึงพระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ของท้าวสหัสนัยน์สักกเทวราช ซึ่งสถิตอยู่เหนือยอดขุนเขาพระเมรุ ระยะทางแปดหมื่นสี่พันโยชน์ ครั้งนั้น ท้าวสักกเทวราชทรงเห็นอาสน์ร้อนขึ้นมา ก็เกิดปริวิตกว่า ใครหนอประสงค์ จะให้เราเคลื่อนย้ายจากที่นี้ ทรงเล็งทิพยเนตรตรวจดูมนุษยโลก ก็เห็นพระมหาบุรุษ คิดว่า พระมหาสัตว์ผู้นี้นิมนต์พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน คิดถึงเรื่องสถานที่ภิกษุสงฆ์นั้นจะนั่ง แม้เราก็ควรจะไปที่นั้นแล้วรับส่วนบุญ จึงปลอมตัวเป็นนายช่างไม้ ถือมีดและขวานแล้วปรากฏตัวต่อหน้าพระมหาบุรุษ กล่าวว่า ใครหนอมีกิจที่จะจ้างเราทำงานบ้าง.

พระมหาสัตว์เห็นแล้วก็ถามว่า ท่านสามารถทำงานของเราได้หรือ เขา บอกกล่าวว่า ขึ้นชื่อว่าศิลปะที่เราไม่รู้ ไม่มี ผู้ใด ประสงค์จะให้ทำสิ่งไรๆ ไม่ว่าจะเป็นมณฑป ปราสาท หรือนิเวศน์เป็นต้นไรๆ อื่น เราก็สามารถทำ ได้ทั้งนั้น. พระมหาสัตว์บอกว่า ถ้าอย่างนั้นเรามีงาน. เขาถามว่า งานอะไร เล่า นายท่าน. พระมหาสัตว์บอกว่า เรานิมนต์ภิกษุจำนวนแสนโกฏิ เพื่อ ฉันอาหารวันพรุ่งนี้ ท่านจักต้องสร้างมณฑปสำหรับภิกษุเหล่านั้นนั่งนะ เขา กล่าวว่า ได้สิ พ่อคุณ. เขากล่าวว่า ดีละ ถ้าอย่างนั้นเราจักทำ แล้วก็ตรวจดูภูมิ

 
  ข้อความที่ 22  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 350

ประเทศแห่งหนึ่ง ภูมิประเทศเหล่านั้นประมาณสิบสองโยชน์ พื้นเรียบเหมือน วงกสิณน่ารื่นรมย์อย่างยิ่ง. เขาคิดอีกว่า มณฑปที่เห็นเป็นแก่นไม้สำเร็จด้วย รัตนะ ๗ ประการจงผุดขึ้น ณ ที่ประมาณเท่านี้ แล้วตรวจดู ในทันใด มณฑป ที่ชำแรกพื้นดินผุดโผล่ขึ้นก็เสมือนมณฑปจริง มณฑปนั้นมีหม้อเงินอยู่ที่เสา ทอง มีหม้อทองอยู่ที่เสาเงิน มีหม้อแก้วประพาฬอยู่ที่เสาแก้วมณี มีหม้อแก้ว มณีอยู่ที่เสาแก้วประพาฬ มีหม้อรัตนะ ๗ อยู่ที่เสารัตนะ ๗.

ต่อนั้น เขาตรวจดูว่าข่ายกระดิ่ง จงห้อยระหว่างระยะของมณฑป พร้อมกับการตรวจดู ข่ายกระดิ่งก็ห้อย ซึ่งเมื่อต้องลมพานอ่อนๆ ก็เปล่งเสียง ไพเราะ น่ารื่นรมย์อย่างยิ่ง เหมือนอย่างดนตรีเครื่อง ๕ ได้เป็นเหมือนเวลา บรรเลงทิพยสังคีต. เขาคิดว่า พวงของหอม พวงดอกไม้ พวงใบไม้และพวง รัตนะ ๗ ของทิพย์ จงห้อยลงเป็นระยะๆ. พร้อมกับคิด พวงทั้งหลายก็ห้อย. อาสนะ เครื่องลาดมีค่าเป็นของกับปิยะ และเครื่องรองทั้งหลาย สำหรับภิกษุ จำนวนแสนโกฏิ จงชำแรกแผ่นดินผุดโผล่ขึ้น ในทันใด ของดังกล่าวก็ผุดขึ้น เขาคิดว่าหม้อน้ำ จงตั้งอยู่ทุกๆ มุมๆ ละหม้อ ทันใดนั่นเองหม้อน้ำทั้งหลาย เต็มด้วยน้ำสะอาดหอมและเป็นกัปปิยะมีรสอร่อย เย็นอย่างยิ่ง มีปากปิดด้วย ใบทอง ก็ตั้งขึ้น ท้าวสหัสสนัยน์นั้น ทรงเนรมิตสิ่งของมีประมาณเท่านี้แล้ว เข้าไปหาพราหมณ์กล่าวว่า นายท่าน นานี่แน่ะ ท่านเห็นมณฑปของท่านแล้ว โปรดให้ด่าจ้างแก่เราสิ พระมหาสัตว์ไปตรวจดูมณฑปนั้น เมื่อเห็น มณฑป นั่นแลสรีระก็ถูกปีติ ๕ อย่างถูกต้อง แผ่ซ่านมิได้ว่างเว้นเลย.

ครั้งนั้น พระมหาสัตว์เมื่อแลเห็นก็คิดอย่างนี้ว่า มณฑปนี้มิใช่ฝีมือ มนุษย์สร้าง อาศัยอัธยาศัยของเรา คุณของเรา จึงร้อนถึงภพของท้าวสักก-

 
  ข้อความที่ 23  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 351

เทวราช ต่อนั้น ท้าวสักกจอมทวยเทพจึงทรงเนรมิตมณฑปนี้แน่แล้ว. พระมหาสัตว์คิดว่า การจะถวายทานวันเดียวในมณฑปเห็นปานนี้ไม่สมควรแก่เรา จำเราจะถวายตลอด ๗ วัน ธรรมดาทานภายนอก แม้มีประมาณเท่านั้น ก็ยัง ไม่อาจทำหัวใจของพระโพธิสัตว์ให้พอใจได้ พระโพธิสัตว์ทั้งหลายอาศัยจาคะ ย่อมจะชื่อว่าพอใจ ก็แต่ในเวลาที่ตัดศีรษะที่ประดับแล้วหรือควักลูกตาที่ หยอดแล้ว หรือถอดเนื้อหัวใจให้เป็นทาน. จริงอยู่ ในสิวิชาดก เมื่อพระโพธิสัตว์ของเรา สละทรัพย์ห้าแสนกหาปณะทุกๆ วัน ให้ทาน ๕ แห่ง คือ ท่ามกลางนคร และที่ประตูทั้ง ๕. ทานนั้นไม่อาจให้เกิดความพอใจในจาคะ ได้เลย. แต่สมัยใด ท้าวสักกเทวราชปลอมตัวเป็นพราหมณ์มาขอจักษุทั้งสองข้าง สมัยนั้น พระโพธิสัตว์นั้น ก็ควักจักษุเหล่านั้นให้ กำลังทานนั่นแหละ จึงเกิด ความร่าเริง จิตมิได้เปลี่ยนแปลงแม้แต่เท่าปลายเส้นผม. ด้วยประการดังกล่าว มานี้ พระสัพพัญญูโพธิสัตว์ทั้งหลาย อาศัยแต่ทานภายนอกจึงมิได้อิ่มเลย เพราะฉะนั้น พระมหาบุรุษแม้พระองค์นั้น คิดว่า เราควรถวายทานแก่ภิกษุ จำนวนแสนโกฏิ จึงให้ภิกษุเหล่านั้นนั่ง ณ มณฑปนั้นแล้วถวายทาน ชื่อว่า ควปานะ [ขนมแป้งผสมนมโค] ๗ วัน.

โภชนะที่เขาบรรจุหม้อขนาดใหญ่ๆ ให้เต็มด้วยน้ำนมโคแล้วยกตั้งบน เตา ใส่ข้าวสารทีละน้อยๆ ลงที่น้ำนมซึ่งสุกโดยเคี่ยวจนข้นแล้วปรุงด้วยน้ำผึ้ง คลุกน้ำตาลกรวดละเอียดและเนยใสเข้าด้วยกัน เรียกกันว่า ควปานะ ในบาลีนั้น ควปานะนี้นี่แหละ เขาเรียกว่าโภชนะอร่อยมีรส ๔ ดังนี้ก็มี. แต่มนุษย์ทั้งหลาย ไม่อาจอังคาสได้ แม้แต่เทวดาทั้งหลาย ที่อยู่ช่องว่างช่องหนึ่งจึงอังคาสได้ สถาน ที่นั้นแม้มีขนาดสิบสองโยชน์ ก็ยังไม่พอรับภิกษุเหล่านั้นได้เลย แต่ภิกษุเหล่า

 
  ข้อความที่ 24  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 352

นั้นนั่งโดยอานุภาพของตนๆ. วันสุดท้าย พระมหาบุรุษให้เขาล้างบาตรภิกษุ ทุกรูป บรรจุด้วยเนยใส เนยขึ้น น้ำผึ้ง น้ำอ้อยเป็นต้น ได้ถวายพร้อมด้วย ไตรจีวร ผ้าจีวรที่ภิกษุสังฆนวกะในที่นั้นได้แล้ว ก็เป็นของมีค่านับแสน.

ครั้งนั้น พระศาสดาเมื่อทรงทำอนุโมทนา ทรงใคร่ครวญดูว่า มหาบุรุษผู้นี้ได้ถวายมหาทานเห็นปานนี้ จักเป็นใครกันหนอ ก็ทรงเห็นว่า ใน อนาคตกาล เขาจักเป็นพระพุทธเจ้าพระนามว่า โคตมะ ในที่สุดสองอสงไขย กำไรแลนกัป แต่นั้น จึงทรงเรียกพระมหาสัตว์มาแล้วทรงพยากรณ์ว่า ล่วงกาล ประมาณเท่านี้ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าพระนามว่าโคตมะ. ลำดับนั้น พระมหาบุรุษสดับคำพยากรณ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ก็มีหัวใจปลาบปลื้ม คิดว่า พระองค์ตรัสว่าเราจักเป็นพระพุทธเจ้า เราก็ไม่ต้องการอยู่ครองเรือนจึง ละสมบัติเห็นปานนั้นเสียเหมือนก้อนเขฬะ บวชในสำนักของพระศาสดา เรียน พระพุทธวจนะ ยังอภิญญาและสมาบัติ ๘ ให้บังเกิด มีฌานไม่เสื่อม ดำรงอยู่ จนตลอดอายุ ที่สุดอายุ บังเกิดแล้วในพรหมโลก. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

สมัยนั้น เราเป็นพราหมณ์ ชื่อว่าสุรุจิ เป็นผู้คง แก่เรียน ทรงมนต์ จบไตรเพท.

เราเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ถึงพระองค์เป็นสรณะ แล้วบูชาพระสงฆ์มีพระสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน ด้วย ของหอมและดอกไม้ ครั้นบูชาด้วยของหอมและดอกไม้ แล้วก็เลี้ยงให้อิ่มหนำสำราญด้วยขนมควปานะ.

พระมงคลพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นยอดของสัตว์สองเท้า แม้พระองค์นั้น ก็ทรงพยากรณ์เราว่า ท่านผู้นี้จักเป็น พระพุทธเจ้า ในกัปที่ประมาณมิได้ นับแต่กัปนี้ไป.

 
  ข้อความที่ 25  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 353

ตถาคตออกอภิเนษกรมณ์ จากกรุงกบิลพัศดุ์แล้ว ตั้งความเพียรกระทำทุกกรกิริยาแล้ว ฯลฯ พวกเราจัก อยู่ต่อหน้าของท่านผู้นี้.

เราฟังพระดำรัสของ พระมงคลพุทธเจ้านั้นแล้ว ก็ยังจิตให้เลื่อมใสยิ่งขึ้นไป แล้วอธิษฐาน ข้อวัตรยิ่ง ขึ้น เพื่อบำเพ็ญบารมีให้สมบูรณ์.

ครั้งนั้น เราเพิ่มพูนปีติ เพื่อบรรลุพระสัมโพธิ- ญาณอันประเสริฐ ก็ถวายเคหะของเราแด่พระพุทธเจ้า แล้วบวชในสำนักของพระองค์.

เราเล่าเรียนพระสูตร พระวินัย และนวังคสัตถุ- ศาสน์ทั้งหมด ยังศาสนาพระชินเจ้าให้งดงาม

เราอยู่ในพระศาสนานั้น อย่างไม่ประมาท เจริญ พรหมวิหารภาวนา ก็ถึงฝั่งอภิญญา เข้าถึงพรหมโลก

แก้อรรถ

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า คนฺธมาเลน ได้แก่ ด้วยของหอมและ ดอกไม้. คำว่า ควปานะ นี้ได้กล่าวมาแล้ว. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ฆตปาเนน ดังนี้ก็มี. บทว่า ตปฺปยึ แปลว่า ให้อิ่มหนำสำราญแล้ว. บทว่า อุตฺตรึปิ วตมธิฏฺสึ ได้แก่ อธิษฐานข้อวัตร ยวดยิ่งขึ้น. บทว่า ทสปารมิ- ปูริยา ได้แก่ เพื่อทำ

บารมี ๑๐

ให้เต็ม. บทว่า ปีตึ ได้แก่ ความยินดีแห่ง ใจ. บทว่า อนุพฺรูหนฺโต ได้แก่ ให้เจริญ. บทว่า สมฺโพธิวรปตฺติยา ได้แก่ เพื่อบรรลุความเป็นพระพุทธเจ้า. บทว่า พุทฺเธ ทตฺวาน ได้แก่ บริจาคแด่พระพุทธเจ้า. บทว่า มํ เคหํ ความว่า บริจาคเคหะคือสมบัติ


๑. ดูความพิศดารในวงศ์พระสุมนพุทธเจ้าที่ ๔ หน้า ๓๕๘.

 
  ข้อความที่ 26  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 354

ทุกอย่างของเรา แด่พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า เพื่อเป็นปัจจัย ๔. บทว่า ตตฺถ ได้แก่ ในพระพุทธศาสนานั้น. บทว่า พฺรหฺมํ ได้แก่ เจริญพรหมวิหาร ภาวนา.

ก็พระผู้มีพระภาคมงคลพุทธเจ้า มีพระนคร ชื่อว่า อุตตรนคร แม้พระชนกของพระองค์เป็นกษัตริย์ พระนามว่า พระเจ้าอุตตระ แม้ พระชนนีพระนามว่า พระนางอุตตระ คู่พระอัครสาวก ชื่อว่า พระสุเทวะ และ พระธรรมเสนะ มีพระพุทธอุปัฏฐาก ชื่อว่า พระปาลิตะ มีคู่พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระสีวลา และ พระอโสกา ต้นไม้ที่ตรัสรู้ ชื่อต้นนาคะ [กากะทิง] พระสรีระสูง ๘๘ ศอก พระชนมายุประมาณเก้าหมื่นปี ส่วนพระชายาพระนามว่า ยสวดี พระโอรสพระนามว่า สีวละ เสด็จอภิเนษกรมณ์ โดยยานคือ ม้า ประทับ ณ พระวิหาร อุตตราราม อุปัฏฐากชื่อ อุตตระ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ดำรงพระชนม์อยู่เก้าหมื่นปีก็เสด็จดับขันธ- ปรินิพพาน. หมื่นจักรวาลก็มืดลงพร้อมกัน โดยเหตุอย่างเดียวเท่านั้น มนุษย์ ทุกจักรวาล ก็พากันร่ำไห้คร่ำครวญเป็นการใหญ่ ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

พระมงคลพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ ทรงมี นคร ชื่ออุตตรนคร มีพระชนกพระนามว่า พระเจ้า อุตตระ พระชนนีพระนามว่า พระนางอุตตรา.

มีคู่พระอัครสาวก ชื่อว่า พระสุเทวะ พระธรรมเสนะ มีพระพุทธอุปัฏฐาก ชื่อว่า พระปาลิตะ.

มีคู่พระอัครสาวิกา ชื่อพระสีวลา และพระ อโสกา ต้นไม้ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เรียก ว่าต้นนาคะ.

พระมหามุนี สูง ๘๘ ศอก พระรัศมีแล่นออก จากพระสรีระนั้นหลายแสน.

 
  ข้อความที่ 27  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 355

ในยุคนั้น ทรงมีพระชนมายุเก้าหมื่นปี พระองค์ดำรงพระชนม์อยู่เท่านั้น ก็ทรงยังหมู่ชนเป็นอัน มากให้ข้ามโอฆสงสาร.

คลื่นในมหาสมุทร ใครๆ ไม่อาจนับคลื่นเหล่า นั้นได้ฉันใด สาวกของพระมงคลพุทธเจ้าพระองค์นั้น ใครๆ ก็ไม่อาจนับสาวกเหล่านั้นได้ ฉันนั้นเหมือนกัน.

พระมงคลสัมพุทธเจ้า ผู้นำโลก ยังดำรงอยู่ เพียงใด ความตายของผู้ยังมีกิเลสในศาสนาของ พระองค์ ก็ไม่มีเพียงนั้น.

พระผู้มีพระยศใหญ่พระองค์นั้น ทรงชูประทีป ธรรม ยังมหาชนให้ข้ามโอฆสงสาร แล้วก็เสด็จดับ ขันธปรินิพพาน เหมือนดวงไฟลุกโพลงแล้วก็ดับไป ฉะนั้น.

พระองค์ ครั้นทรงแสดงความที่สังขารทั้งหลาย เป็นสภาวธรรมแล้วก็เสด็จดับขันธปรินิพพานเหมือน กองไฟลุกโพลงแล้วก็ดับ เหมือนดวงอาทิตย์ส่องแสง สว่างแล้ว ก็อัสดงคตฉะนั้น.

แก้อรรถ

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตโต ได้แก่ จากพระสรีระของพระมงคล พุทธเจ้าพระองค์นั้น. บทว่า นิทฺธาวตี ก็คือ นิทฺธาวนฺติ พึงเห็นว่าเป็น วจนะวิปลาส..บทว่า รํสี ก็คือ รัศมีทั้งหลาย. บทว่า อเนกสตสหสฺสี ก็คือ หลายแสน. บทว่า อูมี ได้แก่ ระลอกคลื่น. บทว่า คเณตุเย

 
  ข้อความที่ 28  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 356

แปลว่า เพื่อคำณวน คือนับ. อธิบายว่า คลื่นในมหาสมุทร ใครๆ ไม่อาจ นับว่าคลื่นในมหาสมุทรมีเท่านี้ ฉันใด แม้สาวกทั้งหลายของพระผู้มีพระภาค- เจ้าพระองค์นั้น ใครๆ ก็ไม่อาจนับได้ ที่แท้เกินที่จะนับได้ ก็ฉันนั้น. บทว่า ยาว ได้แก่ ตลอดกาลเพียงใด. บทว่า สกิเลสมรณํ ตทา ความว่า บุคคลเป็นไปกับด้วยกิเลสทั้งหลาย ชื่อว่าผู้เป็นไปกับด้วยกิเลส. ความตาย ของผู้เป็นไปกับด้วยกิเลส ชื่อว่า สกิเลสมรณะ ความตายของผู้มีกิเลส. ความตายของผู้มีกิเลสนั้นไม่มี. เขาว่า สมัยนั้น สาวกทั้งหลายในศาสนาของ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น บรรลุพระอรหัตแล้ว ก็พากันปรินิพพานหมด ผู้เป็นปุถุชนหรือเป็นพระโสดาบันเป็นต้นก็ยังไม่ทำกาลกิริยา [ตาย] อาจารย์ บางพวกกล่าวว่า สมฺโมหมารณํ ตทา ดังนี้ก็มี.

บทว่า ธมฺโมกฺกํ แปลว่า ประทีปธรรม. ไฟท่านเรียกว่า ธูมเกตุ แต่ในที่นี้พึงเห็นว่าประทีป เพราะฉะนั้น จึงมีความว่า เหมือนประทีปส่องแสง แล้วก็ดับไป. บทว่า มหายโส ได้แก่ พระผู้มีบริวารมาก อาจารย์บางพวก กล่าวว่า นิพฺพุโต โส สสาวโก. บทว่า สงฺขารานํ ได้แก่ สังขตธรรม ธรรมที่มีปัจจัย. บทว่า สภาวตฺตํ ได้แก่ สามัญลักษณะมีอนิจจลักษณะ เป็นต้น. บทว่า สุริโย อตฺถงฺคโต ยถา ความว่า ดวงอาทิตย์ซึ่งมีรัศมี นับพัน กำจัดกลุ่มความมืดทั้งหมด และส่องสว่างหมดทั้งโลก ยังถึงอัสดงคต ฉันใด แม้พระมงคลพุทธเจ้าผู้เป็นดั่งดวงอาทิตย์ ผู้ทำความแย้มบานแก่เวไนย- สัตว์ผู้เป็นดั่งดงบัว ทรงกำจัดความมืดในโลกทั้งภายในทั้งภายนอกทุกอย่าง ทรงรุ่งเรืองด้วยพระรัศมีแห่งพระสรีระของพระองค์ ก็ถึงความดำรงอยู่ไม่ได้ ก็ฉันนั้น คาถาที่เหลือในที่ทั้งปวงง่ายทั้งนั้นแล.

จบพรรณนาวงศ์พระมงคลพุทธเจ้า