๘. วงศ์พระอโนมทัสสีพุทธเจ้าที่ ๗
[เล่มที่ 73] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 408
๘. วงศ์พระอโนมทัสสีพุทธเจ้าที่ ๗
ว่าด้วยพระประวัติของพระอโนมทัสสีพุทธเจ้า
วงศ์พระดโนมทัสสีพุทธเจ้าที่ ๗ 8/408
พรรณนาวงศ์พระอโนมทัสสีพุทธเจ้าที่ ๗ 414
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 73]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 408
๘. วงศ์พระอโนมทัสสีพุทธเจ้าที่ ๗
ว่าด้วยพระประวัติของพระอโนมทัสสีพุทธเจ้า
[๘] ต่อจากสมัยของพระโสภิตพุทธเจ้า พระอโนมทัสสีสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นยอดแห่งสัตว์สองเท้า มี พระยศหาประมาณมิได้ มีพระเดชอันใครล่วงละเมิด ได้ยาก.
พระองค์ทรงตัดเครื่องผูกทั้งปวง ทรงรื้อภพทั้ง สาม ทรงแสดงบรรดาเครื่องไปไม่กลับ สำหรับเทวดา และมนุษย์.
พระองค์ไม่กระเพื่อมดุจสาคร อันใครๆ เฝ้าได้ ยากดุจบรรพต มีพระคุณไม่มีที่สุดดุจอากาศ ทรง บานเต็มที่ดุจพระยาสาลพฤกษ์.
แม้ด้วยเพียงเห็นพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น สัตว์ ทั้งหลายก็ยินดี สัตว์เหล่านั้น ได้ฟังพระดำรัสของพระองค์ซึ่งกำลังตรัสอยู่ ก็บรรลุอมตธรรม.
พระองค์มีธรรมาภิสมัย สำเร็จเจริญไปในครั้ง นั้น ทรงแสดงธรรมครั้งที่ ๑ สัตว์ร้อยโกฏิก็ได้ตรัสรู้.
เมื่อพระองค์ทรงหลั่งฝนคือธรรม ตกลงใน อภิสมัย ต่อจากครั้งที่ ๑ นั้น ทรงแสดงธรรมครั้งที่ ๒ สัตว์แปดสิบโกฏิ ก็ตรัสรู้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 409
เมื่อพระองค์หลั่งฝนธรรม ต่อจากอภิสมัยครั้งที่ ๒ นั้น ยังสัตว์ทั้งหลายให้อิ่ม อภิสมัยครั้งที่ ๓ ก็ได้มี แต่สัตว์เจ็ดสิบแปดโกฏิ.
พระอโนมทัสสีพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่พระ องค์นั้น มีสันนิบาต ประชุมพระอรหันต์ผู้ถึงกำลัง แห่งอภิญญา ผู้บานเต็มที่แล้วด้วยวิมุตติ ๓ ครั้ง.
[ครั้งที่ ๑] เป็นการประชุมพระอรหันต์แปดแสน ผู้ละความเมาและโมหะ มีจิตสงบ ผู้คงที่.
ครั้งที่ ๒ เป็นการประชุมพระอรหันต์เจ็ดแสน ผู้ไม่มีกิเลส ปราศจากกิเลสธุลี ผู้สงบคงที่.
ครั้งที่ ๓ เป็นการประชุม พระอรหันต์หกแสน ผู้ถึงกำลังแห่งอภิญญา ผู้เย็นสนิทมีตบะ.
สมัยนั้น เราเป็นยักษ์มีฤทธิ์ เป็นใหญ่ มีอำนาจ เหนือยักษ์หลายโกฏิ.
แม้ครั้งนั้น เราเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่พระองค์นั้น เลี้ยงดูพระผู้นำโลก พร้อมทั้งพระสงฆ์ให้อิ่มหนำสำราญ.
พระมุนี ผู้มีพระจักษุบริสุทธิ์แม้พระองค์นั้น ก็ ทรงพยากรณ์เราว่า ท่านผู้นี้ จักเป็นพระพุทธเจ้า ในกัปที่หาประมาณมิได้ นับแต่กัปนี้ไป.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 410
พระตถาคตเสด็จออกอภิเนษกรณ์ จากกรุงกบิลพัสดุ์ ที่น่ารื่นรมย์ ทรงตั้งความเพียรทำทุกกรกิริยา.
พระตถาคต ประทับนั่ง ณ โคนต้นอชปาลนิ- โครธทรงรับข้าวมธุปายาสในที่นั้นแล้ว เสด็จเข้าไปยัง แม่น้ำเนรัญชรา.
พระชินพุทธเจ้าพระองค์นั้น เสวยข้าวมธุปายาส ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา เสด็จดำเนินตามทางอันดีที่เขา จัดแต่งแล้ว เข้าไปที่โคนโพธิพฤกษ์.
แต่นั้น พระผู้มีพระยศใหญ่ ทรงทำประทักษิณ โพธิมัณฑสถานอันยอดเยี่ยมแล้วตรัสรู้ ณ โคนโพธิ พฤกษ์ชื่อต้นอัสสัตถะ.
ท่านผู้นี้ จักมีพระชนนีพระนามว่าพระนางมายา พระชนกพระนามว่าพระเจ้าสุทโธทนะ ท่านผู้นี้ พระนามว่าโคตมะ.
พระอัครสาวก ชื่อว่า พระโกลิตะและพระสารี- บุตร ผู้ไม่มีอาสวะ ปราศจากราคะ มีจิตสงบ ตั้งมั่น พระพุทธอุปัฏฐาก ชื่อว่า อานันทะ จักบำรุงพระชินเจ้า พระองค์ นี้.
พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระเขมาและพระอุบล วรรณา ผู้ไม่มีอาสวะ มีจิตสงบ ตั้งมั่น โพธิพฤกษ์ของ พระผู้มีพระภาคเข้าพระองค์นั้นเรียกว่าต้นอัสสัตถะ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 411
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า จิตตะ และ หัตถะอาฬวกะ อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นันทมาตา และ อุตตรา พระโคตมพุทธเจ้าผู้มีพระยศพระองค์นั้น มีพระชนมายุ ๑๐๐ ปี.
มนุษย์และเทวดาได้ฟังพระดำรัสนี้ ของพระ อโนมทัสสีพุทธเจ้า ผู้ไม่มีผู้เสมอ ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ แล้ว ก็ปลาบปลื้มใจว่า ท่านผู้นี้เป็นหน่อพุทธางกูร.
หมื่นโลกธาตุทั้งเทวโลก ก็พากันโห่ร้องปรบมือ หัวร่อร่าเริง ประคองอัญชลีนมัสการ กล่าวว่า
ผิว่า พวกเราพลาดคำสั่งสอนของพระโลกนาถ พระองค์นี้ไซร้ ในอนาคตกาลพวกเราก็จักอยู่ต่อหน้า ของท่านผู้นี้.
มนุษย์ทั้งหลาย เมื่อข้ามแม่น้ำ พลาดท่าน้ำ ข้างหน้า ก็ถือเอาท่าน้ำข้างหลังข้ามแม่น้ำใหญ่ ฉันใด.
เราทั้งหมด ผิว่าผ่านพ้นพระชินพุทธเจ้าพระองค์ นี้ ในอนาคตกาลพวกเราก็จักอยู่ต่อหน้าของท่านผู้นี้ ฉันนั้นเหมือนกัน.
เราสดับพระดำรัสของพระองค์แล้ว ก็ยินดีสลด ใจ อธิษฐานข้อวัตรยิ่งยวดขึ้นไป เพื่อบำเพ็ญบารมี ให้บริบูรณ์.
พระอโนมทัสสีศาสดา ทรงมีพระนคร ชื่อว่า จันทวดี พระชนกพระนามว่า พระเจ้ายสวา พระชนนี พระนามว่า พระนางยโสธรา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 412
พระองค์ทรงครองฆราวาสวิสัยอยู่หมื่นปี ทรง มีปราสาทชั้นเยี่ยม ๓ หลัง ชื่อ สิริ อุปสิริ วัฑฒะ
ทรงมีพระสนมนารีสองหมื่นสามพันนาง พระอัครมเหสีพระนามว่า พระนางสิริมา มีพระโอรสพระ นามว่าอุปสาละ.
พระชินพุทธเจ้า ทรงเห็นนิมิต ๔ เสด็จออก อภิเนษกรมณ์ด้วยยาน คือวอ ทรงตั้งความเพียร ๑๐ เดือนเต็ม.
พระมหาวีระ อโนมทัสสีมหามุนีผู้สงบ อันท้าว มหาพรหมอาราธนาแล้ว ทรงประกาศพระธรรมจักร ณ สุธัมมราชอุทยานอันยอดเยี่ยม.
พระอโนมทัสสีศาสดา ทรงมีอัครสาวก ชื่อว่า พระนิสกะและพระอโนมะ มีพระพุทธอุปัฏฐาก ชื่อว่า วรุณะ.
มีอัครสาวิกา ชื่อว่า พระสุนทรี๑ และพระสุมนา โพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เรียก ว่าต้นอัชชุนะ (ต้นกุ่ม).
มีอัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า นันทิวัฑฒะ และสิริวัฑฒะ มีอัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า อุปลา และปทุมา.
พระมุนีสูง ๕๘ ศอก พระรัศมีของพระองค์แล่น ออกไป ดุจดวงอาทิตย์.
๑. บาลีว่า สุนทรา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 413
สมัยนั้น มนุษย์มีอายุแสนปี พระองค์ทรงมี พระชนม์ยืนถึงเพียงนั้น จึงทรงยังหมู่ชนเป็นอันมาก ให้ข้ามโอฆสงสาร.
ปาพจน์คือธรรมวินัย อันพระอรหันต์ทั้งหลาย ผู้คงที่ ปราศจากราคะไร้มลทินให้แผ่ไปดีแล้ว คำ สั่งสอนพระชินพุทธเจ้า จึงงาม.
พระศาสดา ผู้มีพระยศหาประมาณมิได้ พระองค์นั้นด้วย คู่พระสาวกอันใครๆ วัดมิได้ เหล่านั้น ด้วย ทั้งนั้นก็อันตรธานไปสิ้น สังขารทั้งปวง ก็ ว่างเปล่า แน่แท้.
พระอโนมทัสสีพุทธเจ้า ผู้ชนะศาสดา ก็เสด็จ ดับขันธปรินิพพาน ณ พระวิหารธัมมาราม พระสถูป ของพระองค์ ณ อารามนั้น สูง ๒๐ โยชน์.
จบวงศ์พระอโนมทัสสีพุทธเจ้าที่ ๗
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 414
พรรณนาวงศ์พระอโนมทัสสีพุทธเจ้าที่ ๗
เมื่อพระโสภิตพุทธเจ้า ปรินิพพานแล้ว ภายหลังสมัยของพระองค์ อสงไขยหนึ่ง ก็ว่างเว้นพระพุทธเจ้าทรงอุบัติ. เมื่ออสงไขยนั้นล่วงไปแล้ว ใน กัปหนึ่ง พระพุทธเจ้าก็บังเกิด ๓ พระองค์ คือ พระอโนมทัสสี พระปทุมะ พระนารทะ. บรรดาพระพุทธเจ้า ๓ พระองค์นั้น พระผู้มี พระภาคเจ้าอโนมทัสสีทรงบำเพ็ญบารมีสิบหกอสงไขยแสนกัป บังเกิด ณ สวรรค์ชั้นดุสิต อันทวยเทพอ้อนวอนแล้ว ก็จุติจากดุสิตสวรรค์นั้น ทรงถือ ปฏิสนธิในพระครรภ์ของ พระนางยโสธรา ผู้มีพระเต้าถันงามช้อน อัครมเหสีในราชสกุลของ พระเจ้ายสวา กรุง จันทวดีราชธานี. เล่ากันว่า เมื่อ พระอโนมทัสสีกุมาร อยู่ในครรภ์ของพระนางยโสธราเทวี ด้วยอานุภาพบุญ บารมี พระรัศมีแผ่ไปตลอดเนื้อที่ประมาณ ๘๐ ศอก รัศมีดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ ข่มไม่ได้. ถ้วนกำหนดทศมาส พระนางก็ประสูติพระโพธิสัตว์ ปาฏิหารย์ ทั้งหลายมีนัยที่กล่าวไว้แต่หนหลัง.
ในวันรับพระนาม พระประยูรญาติเมื่อขนานพระนามของพระองค์ เพราะเหตุที่รัตนะ ๗ ประการ หล่นจากอากาศในขณะประสูติ ฉะนั้นจึง ขนานพระนามว่า อโนมทัสสี เพราะเป็นเหตุเกิดรัตนะอันไม่ทราม. พระองค์ ทรงเจริญวัยโดยลำดับ ถูกบำเรอด้วยกามคุณอันเป็นทิพย์ ทรงครองฆราวาส วิสัยอยู่หมื่นปี. เขาว่า ทรงมีปราสาท ๓ หลัง ชื่อ สิริ อุปสิริ สิริวัฑฒะ ทรงมีพระสนมนารีสองหมื่นสามพันนาง มีพระนางสิริมาเทวีเป็นประมุข เมื่อ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 415
พระอุปวาณะ โอรสของพระนางสิริมาเทวีประสูติ พระโพธิสัตว์นั้นก็ทรงเห็น นิมิต ๔ เสด็จออกอภิเนษกรมณ์ด้วยยาน คือวอ ทรงผนวชแล้ว ชนสามโกฏิ ก็บวชตามเสด็จพระองค์.
พระมหาบุรุษอันชนสามโกฏินั้นแวดล้อมแล้ว ทรงบำเพ็ญเพียร ๑๐ เดือน. แต่นั้น ในวันวิสาขบูรณมี เสด็จบิณฑบาตในหมู่บ้าน อนูปมพราหมณ์ เสวยข้าวมธุปายาส ที่ธิดาอนูปมเศรษฐีถวายแล้วทรงยับยั้งพัก กลางวัน ณ สาละวัน ทรงรับหญ้า ๘ กำ ที่อาชีวกชื่ออนูปมะถวายแล้ว ทรง ทำประทักษิณโพธิพฤกษ์ชื่อ ต้นอัชชุนะ ไม้กุ่ม ทรงลาดสันถัตหญ้ากว้าง ๓๘ ศอก ประทับนั่งขัดสมาธิอธิษฐานความเพียรมีองค์ ๔ ทรงกำจัดกองกำลัง มารพร้อมทั้งตัวมาร ทรงยังวิชชา ๓ ให้เกิดในยามทั้ง ๓ ทรงเปล่งพระอุทาน ว่า อเนกชาติสํสารํ ฯลฯ ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
ต่อจาก สมัยของพระโสภิตพุทธเจ้า พระสัมพุทธเจ้าพระนามว่า อโนมทัสสี ผู้เป็นยอดของสัตว์ สองเท้า มีพระยศประมาณมิได้ มีพระเดชอันใครๆ ละเมิดได้ยาก.
พระองค์ทรงตัดเครื่องผูกพันทั้งปวง รื้อภพทั้ง ๓ เสียแล้ว ทรงแสดงบรรดาที่สัตว์ไปไม่กลับแก่เทวดา และมนุษย์.
พระองค์ไม่ทรงกระเพื่อมเหมือนสาคร อันใครๆ เข้าเฝ้าได้ยากเหมือนบรรพต มีพระคุณไม่มีที่สุด เหมือนอากาศ ทรงบานเต็มที่แล้วเหมือนพญาสาลพฤกษ์.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 416
แม้ด้วยการเห็นพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น สัตว์ ทั้งหลายก็ยินดี สัตว์เหล่านั้นฟังพระดำรัสของพระองค์ ซึ่งกำลังตรัสอยู่ ก็บรรลุอมตธรรม.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อโนมทสฺสี ได้แก่ น่าดูไม่มีที่เทียบ หรือน่าดูหาประมาณมิได้. บทว่า อมิตยโส ได้แก่ มีบริวารหาประมาณ มิได้ หรือมีพระเกียรติหาประมาณมิได้. บทว่า เตชสฺสี ได้แก่ ทรงประกอบ ด้วยเดชคือศีลสมาธิปัญญา. บทว่า ทุรติกฺกโม ได้แก่ อันใครกำจัดได้ยาก อธิบายว่า ทรงเป็นผู้อันไม่ว่าเทวดา หรือมาร หรือใครๆ ไม่อาจละเมิดได้. บทว่า โส เฉตฺวา พนฺธนํ สพฺพํ ได้แก่ ทรงตัดสัญโยชน์ ๑๐ อย่างได้ หมด. บทว่า วิทฺธํเสตฺวา ตโย ภวา ได้แก่ กำจัดกรรมที่ไปสู่ภพทั้ง ๓ ด้วยญาณเครื่องทำให้สิ้นกรรม. อธิบายว่า ทำไม่ให้มี. บทว่า อนิวตฺติคมนํ มคฺคํ ความว่า พระนิพพานอันเป็นปฏิปักษ์ต่อการกลับ การเป็นไป ท่าน เรียกว่า อนิวตฺติ บุคคลย่อมถึงพระนิพพาน อันไม่กลับนั้น ด้วยมรรคานั้น เหตุนั้นบรรดานั้น ชื่อว่าอนิวัตติคมนะ เครื่องไปไม่กลับ. อธิบายว่า ทรง แสดงมรรคมีองค์ ๘ อัน เป็นเครื่องไปไม่กลับนั้น. ปาฐะว่า ทสฺเสติ ดังนี้ ก็มี. ความก็อย่างนั้นเหมือนกัน. บทว่า เทวมานุเส ได้แก่ สำหรับเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย พึงเห็นว่าทุติยาวิภัตติลงในอรรถฉัฏฐีวิภัตติ.
บทว่า อสงฺโขโภ ความว่า ทรงเป็นผู้อันใครๆ ไม่อาจให้กระเพื่อให้ไหวได้ เพราะฉะนั้น จึงชื่อ อักโขภิยะ ผู้อันใครให้กระเพื่อมมิได้. อธิบายว่า เหมือนอย่างว่า สมุทรลึกแปดหมื่นสี่พันโยชน์ เป็นที่อยู่แห่งภูต หลายพันโยชน์ อันอะไรๆ ให้กระเพื่อมมิได้ ฉันใด พระองค์ก็ทรงเป็นผู้อัน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 417
ใครๆ ให้กระเพื่อมมิได้ ฉันนั้น. บทว่า อากาโสว อนนฺโต ความว่า เหมือนอย่างว่า ที่สุดแห่งอากาศไม่มี ที่แท้ อากาศมีที่สุดประมาณมิได้ ไม่ มีฝั่ง ฉันใด แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ไม่มีที่สุด ประมาณมิได้ ไม่มีฝั่ง ด้วยพระพุทธคุณทั้งหลายก็ฉันนั้น. บทว่า โส ได้แก่ พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั้น. บทว่า สาลราชาว ผุลฺลิโต ความว่า ย่อมงามเหมือนพระยาสาลพฤกษ์ที่ดอกบานเต็มที่ เพราะทรงมีพระสรีระประดับด้วยพระลักษณะ และอนุพยัญชนะทุกอย่าง. บทว่า ทสฺสเนนปิ ตํ พุทฺธํ ความว่า แม้ด้วย การเห็นพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น. แม้ในฐานะเช่นนี้ ปราชญ์ทางศัพทศาสตร์ ย่อมประกอบฉัฏฐีวิภัตติ. บทว่า โตสิตา ได้แก่ ยินดี อิ่มใจ. บทว่า พฺยาหรนฺตํ ได้แก่ พฺยาหรนฺตสฺส ของพระองค์ผู้กำลังตรัสอยู่ ทุติยา. วิภัตติ ลงในอรรถฉัฏฐีวิภัตติ. บทว่า อมตํ ได้แก่ พระนิพพาน. บทว่า ปาปุณนฺติ แปลว่า บรรลุ. บทว่า เต ความว่า สัตว์เหล่าใด ฟังพระดำรัส คือพระธรรมเทศนาของพระองค์ สัตว์เหล่านั้น ย่อมบรรลุอมตธรรม.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงยับยั้ง ณ โคนโพธิพฤกษ์ ๗ สัปดาห์ อัน ท้าวมหาพรหมทูลอาราธนาแล้ว ทรงตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ เพื่อทรง แสดงธรรม ทรงเห็นชนสามโกฏิ ซึ่งบวชกับพระองค์ เป็นผู้ถึงพร้อมด้วย อุปนิสัย ทรงใคร่ครวญว่า เดี๋ยวนี้ชนเหล่านั้นอยู่กันที่ไหน ก็ทรงเห็นชน เหล่านั้นอยู่ ณ สุธัมมราชอุทยาน กรุงสุภวดี เสด็จไปทางอากาศ ลงที่ สุธัมมราชอุทยาน. พระองค์อันชนเหล่านั้นแวดล้อมแล้ว ทรงประกาศพระธรรมจักร ท่ามกลางบริษัทพร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์ ณ ที่นั้น อภิสมัย ที่ ๑ ได้มีแก่สัตว์ร้อยโกฏิ. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 418
พระอโนมทัสสีพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงมีธรรมาภิสมัยสำเร็จเจริญไป ครั้งนั้น ในการทรงแสดงธรรม ครั้งที่ ๑ สัตว์ร้อยโกฏิตรัสรู้.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ผีโต ได้แก่ถึงความเจริญโดยชนเป็นอัน มากรู้ธรรม. บทว่า โกฏิสตานิ ได้แก่ร้อยโกฏิ ชื่อว่าโกฏิสตะ ปาฐะว่า โกฏิสตโย ดังนี้ก็มี. ปาฐะนั้นความว่า ร้อยโกฏิ.
ภายหลังสมัยต่อมา พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำยมกปาฏิหาริย์ ณ โคน ต้นประดู่ ใกล้ประตู โอสธีนคร ประทับนั่งเหนือแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ภพดาวดึงส์ ซึ่งพวกอสูรครอบงำได้ยาก ทรงยังฝนคือพระอภิธรรมให้ตกลง ตลอดไตรมาส. ครั้งนั้น เทวดาแปดสิบโกฏิตรัสรู้. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า เมื่อพระอโนมทัสสีพุทธเจ้า ทรงหลั่งฝนคือธรรม ตกลงในอภิสมัยต่อจากนั้น ในการที่ทรงแสดงธรรม ครั้งที่ ๒ เทวดาแปดสิบโกฏิตรัสรู้.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วสฺสนฺเต ได้แก่ เมื่อมหาเมฆคือพระพุทธเจ้า หลั่งฝนตกลง. บทว่า ธมฺมวุฏฺิโย ได้แก่ เมล็ดฝน คือ ธรรมกถา.
สมัยต่อจากนั้น สัตว์เจ็ดสิบแปดโกฏิตรัสรู้ ในการที่ทรงแสดงมงคล ปัญหา. นั้นเป็นอภิสมัยครั้งที่ ๓ ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
เมื่อพระอโนมทัสสีพุทธเจ้า ทรงหลั่งฝนคือ ธรรม ต่อจากนั้น ยังสัตว์ทั้งหลายให้อิ่ม อภิสมัยครั้ง ที่ ๓ ก็ได้มีแก่สัตว์เจ็ดสิบแปดโกฎิ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 419
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วสฺสนฺเต ได้แก่ ทรงหลั่งธารน้ำ คือ ธรรมกถา. บทว่า ตปฺปยนฺเต ได้แก่ ให้เขาอิ่มด้วยน้ำฝน คืออมตธรรม. อธิบายว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำเขาให้อิ่ม.
พระผู้มีพระภาคเจ้าอโนมทัสสี ทรงมีสาวกสันนิบาต ๓ ครั้ง. ใน ๓ ครั้งนั้น ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดงท่ามกลางพระอรหันต์แปดแสน ซึ่งเลื่อมใส ในธรรมที่ทรงแสดงโปรด พระเจ้าอิสิทัตตะ ณ กรุงโสเรยยะ แล้วบวช ด้วยเอหิภิกขุบรรพชา ในเมื่อทรงแสดงธรรมโปรด พระสุนทรินธระ กรุงราธวดี นี้เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๒. ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดงท่ามกลาง พระอรหันต์หกแสน ผู้บวชด้วยเอหิภิกขุบรรพชา พร้อมกับ พระเจ้าโสเรยยะ กรุงโสเรยยะ อีก นี้เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๓. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
พระอโนมทัสสีพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่พระองค์นั้น ทรงมีสันนิบาต ประชุมพระอรหันต์ผู้ ถึง กำลังแห่งอภิญญาผู้บานแล้วด้วยวิมุตติ.
ครั้งนั้น ประชุมพระอรหันต์แปดแสน ผู้ละความเมาและโมหะ มีจิตสงบ คงที่.
ครั้งที่ ๒ ประชุมพระอรหันต์เจ็ดแสน ผู้ไม่มี กิเลส ปราศจากกิเลสดังธุลี ผู้สงบคงที่.
ครั้งที่ ๓ ประชุมพระอรหันต์หกแสน ผู้ถึงกำลัง- แห่งอภิญญา ผู้เย็น ผู้มีตบะ.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตสฺสาปิ จ มเหสิโน ได้แก่ แม้พระ อโนมทัสสีพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่พระองค์นั้น. ปาฐะว่า ตสฺสาปิ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 420
ทฺวิปทุตฺตโม ดังนี้ก็มี. ความว่าพระผู้เป็นเลิศกว่าสัตว์สองเท่า พระองค์ นั้น. พึงถือเอาลักษณะโดยอรรถแห่งศัพท์. บทว่า อภิญฺาพลปฺปตฺตานํ ได้แก่ ผู้ถึงกำลังแห่งอภิญญาทั้งหลาย อธิบายว่า ถึงความมั่นคงในอภิญญา ทั้งหลาย โดยความพินิจอย่างฉับพลัน เพราะเป็นผู้เชี่ยวชาญ. บทว่า ปุปฺผิตานํ ได้แก่ ถึงความงามอย่างเหลือเกิน เพราะบานสะพรั่งเต็มหมด. บทว่า วิมุตฺติยา ได้แก่ ด้วยอรหัตตผลวิมุตติ.
ในบทว่า อนงฺคณานํ นี้ อังคณศัพท์นี้ บางแห่งใช้ในกิเลสทั้ง หลาย เช่น ตตฺถ กตมานิ ตีณิ องฺคณานิ. ราโค องฺคณํ โทโส องฺคณํ โมโห องฺคณํ ในข้อนั้น อังคณะมี ๓ คือ อังคณะคือราคะ อังคณะคือโทสะ อังคณะคือโมหะ และเช่น ปาปกานํ โข เอตํ อาวุโส อกุสลานํ อิจฺฉาวจรานํ อธิวจนํ ยทิทํ องฺคณํ ผู้มีอายุ คำคือ อังคณะ เป็นชื่อของอกุศลบาปธรรม ส่วนที่มีความอยากเป็นที่หน่วงเหนี่ยว บางแห่งใช้ในมลทินบางอย่าง เช่น ตสฺเสว รชสฺส วา องฺคณสฺส วา ปหานาย วายมติ พยายามเพื่อละกิเลสธุลี หรือมลทินนั้นนั่นแล. บางแห่ง ใช้ในภูมิภาคเห็นปานนั้น เช่น เจติยงฺคณํ ลานพระเจดีย์, โพธิยงฺคณํ ลานโพธิ, ราชงฺคเณ พระลานหลวง ส่วนในที่นี้ พึงเห็นว่าใช้ในกิเลสทั้ง หลาย เพราะฉะนั้นจึงมีความว่า ผู้ไม่มีกิเลส. คำว่า วิรชานํ เป็นไวพจน์ ของคำว่า อนงฺคณานํ นั้นนั่นแหละ. บทว่า ตปสฺสินํ ความว่า ตบะ กล่าวคืออริยมรรค อันทำความสิ้นกิเลสของภิกษุเหล่าใดมีอยู่ ภิกษุเหล่านั้น ชื่อว่าตปัสสี ผู้มีตบะ. ภิกษุผู้มีตบะเหล่านั้นคือพระขีณาสพ.
ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ของเราเป็น เสนาบดียักษ์ผู้มีศักดิ์ใหญ่ตนหนึ่ง มีฤทธานุภาพมาก เป็นอธิบดีของยักษ์หลายแสนโกฏิ. พระโพธิสัตว์นั้น สดับ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 421
ว่า พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้วในโลก ก็มาเนรมิตมณฑป สำเร็จด้วยรัตนะ ๗ งามน่าดูอย่างยิ่ง เสมือนวงดวงจันทร์งามนักหนา. ถวายมหาทาน แด่พระ สงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ณ มณฑปนั้น ๗ วัน. เวลาอนุโมทนาภัตทาน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพยากรณ์ว่า ในอนาคตกาล เมื่อล่วงไปหนึ่งอสงไขย กำไรแสนกัป ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้า พระนามว่า โคตมะ ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
สมัยนั้น เราเป็นยักษ์มีฤทธิ์มาก เป็นใหญ่ มี- อำนาจเหนือยักษ์หลายโกฏิ.
แม้ครั้งนั้น เราก็เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่พระองค์นั้น เลี้ยงดูพระผู้นำโลก พร้อมทั้งพระสาวกให้อิ่มหนำสำราญด้วยข้าวน้ำ.
ครั้งนั้นพระมุนีผู้มีพระจักษุบริสุทธิ์ แม้พระองค์ นั้น ก็ทรงพยากรณ์เราว่า ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้า ในกัปที่หาประมาณมิได้ นับแต่กัปนี้ไป.
เราฟังพระดำรัสของพระองค์แล้วก็ร่าเริง สลดใจ อธิษฐานข้อวัตรยิ่งยวดขึ้นไป เพื่อบำเพ็ญบารมีให้ บริบูรณ์.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุตฺตรึ วตมธิฏฺสึ ความว่า เรา ได้ทำความยากนั่นมั่นคงยิ่งขึ้นไป เพื่อให้บารมีบริบูรณ์.
พระผู้มีพระภาคเจ้าอโนมทัสสีพระองค์นั้น ทรงมีพระนคร ชื่อว่า จันทวดี พระชนกพระนามว่า พระเจ้ายสวา พระชนนีพระนามว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 422
ยโสธรา คู่พระอัครสาวกชื่อว่า พระนิสภะ และ พระอโนมะ พระพุทธอุปัฏฐาก ชื่อว่า พระวรุณะ คู่พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระสุนทรี และ พระสุมนา โพธิพฤกษ์ชื่อว่า ต้นอัชชุนะ พระสรีระสูง ๕๘ ศอก พระชนมายุแสนปี พระอัครมเหสีพระนามว่า พระนางสิริมา พระโอรส พระนามว่า อุปวาณะ ทรงครองฆราวาสวิสัยอยู่หมื่นปี พระองค์เสด็จ อภิเนษกรมณ์ด้วยยานคือวอ. ส่วนการเสด็จไป พึงทราบความตามนัยที่กล่าวมา แล้ว ในการเสด็จโดยปราสาท ในการพรรณนาวงศ์ของพระโสภิตพุทธเจ้า. พระเจ้าธัมมกะ เป็นอุปัฏฐาก เล่ากันว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารธัมมาราม. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
พระศาสดาอโนมทัสสี มีพระนครชื่อว่าจันทวดี พระชนกพระนามว่าพระเจ้ายสวา พระชนนีพระนาม ว่า พระนางยโสธรา.
พระศาสดาอโนมทัสสี มีพระอัครสาวก ชื่อว่า พระนิสภะ และ พระอโนมะ พระอุปัฏฐากชื่อว่าวรุณะ พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระสุนทรี และพระสุมนา โพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เรียก ว่าต้นอัชชุนะ ไม้กุ่ม.
พระมหามุนีสูง ๕๘ ศอก พระรัศมีของพระองค์ แล่นออกเหมือนดวงอาทิตย์.
ในยุคนั้น มนุษย์มีอายุแสนปี พระองค์เมื่อทรง มีพระชนม์ยืนถึงเพียงนั้น จึงทรงยังหมู่ชนเป็นอันมาก ให้ข้ามโอฆสงสาร.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 423
ปาพจน์ คือ ธรรมวินัย อันพระอรหันต์ ทั้งหลาย ผู้คงที่ ปราศจากราคะ ไร้มลทิน ทำให้บานดีแล้ว ศาสนาของพระชินพุทธเจ้า จึงงาม.
พระศาสดา ผู้มีพระยศประมาณมิได้นั้นด้วย คู่ พระอัครสาวก ผู้มีคุณที่วัดไม่ได้เหล่านั้นด้วย ทั้งนั้นก็ อันตรธานไปสิ้น สังขารทั้งปวงก็ว่างเปล่า แน่แท้.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปภา นิทฺธาวตี ความว่าพระรัศมีแล่น ออกจากพระสรีระของพระองค์. พระรัศมีแห่งพระสรีระ แผ่ไปตลอดเนื้อที่ ประมาณสิบสองโยชน์อยู่เป็นนิตย์. บทว่า ยุคานิ ตานิ ได้แก่ คู่มีคู่พระอัครสาวกเป็นต้น. บทว่า สพฺพํ ตมนฺตรหิตํ ความว่า ประการดังกล่าว แล้วเข้าสู่ปากอนิจจลักษณะแล้วก็หายไปสิ้น. ปาฐะว่า นนุ ริตฺตกเมว สงฺขารา ดังนี้ก็มี. ปาฐะนั้น ความว่า สังขารทั้งปวง ก็ว่างเปล่าทั้งนั้นแน่แท้. ม อักษร ทำบทสนธิต่อบท. ในคาถาที่เหลือทุกแห่ง ง่ายทั้งนั้นแล.
คู่พระอัครสาวกคู่นี้ คือพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ก็ได้ทำ ปณิธานเพื่อเป็นพระอัครสาวก ในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า อโนมทัสสี พระองค์นี้. ก็เรื่องพระเถระเหล่านี้ ควรกล่าวในเรื่องนี้ แต่ข้าพเจ้าไม่ได้ยก ขึ้นโดยนัยที่พิศดารในคัมภีร์.
จบพรรณนาวงศ์พระอโนมทัสสีพุทธเจ้า