๓. ยโสชสูตร ว่าด้วยเสียงอื้ออึง
[เล่มที่ 44] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 304
๓. ยโสชสูตร
ว่าด้วยเสียงอื้ออึง
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 44]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 304
๓. ยโสชสูตร
ว่าด้วยเสียงอื้ออึง
[๗๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล ภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป มีพระยโสชะเป็นประมุข เดินทางมาถึงพระนครสาวัตถีโดยลำดับเพื่อจะเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ภิกษุอาคันตุกะเหล่านั้น ปราศรัยอยู่กับภิกษุทั้งหลายผู้เป็นเจ้าถิ่น ปูลาดเสนาสนะ เก็บบาตรและจีวรกันอยู่ ได้ส่งเสียงอื้ออึง ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามท่านพระอานนท์ว่า ดูก่อนอานนท์ ใครนั่นมีเสียงอื้ออึงเหมือนชาวประมงแย่งปลากัน ท่านพระอานนท์กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป มีพระยโสชะเป็นประมุขเหล่านี้ เดินทางมาถึงพระนครสาวัตถีโดยลำดับ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 305
เพื่อจะเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ภิกษุผู้อาคันตุกะเหล่านั้น ปราศรัยอยู่กับภิกษุทั้งหลายผู้เป็นเจ้าถิ่น ปูลาดเสนาสนะ เก็บบาตรและจีวรกันอยู่ ส่งเสียงอื้ออึง พระเจ้าข้า.
พ. ดูก่อนอานนท์ ถ้าเช่นนั้น เธอจงเรียกภิกษุเหล่านั้นมาตามคำของเราว่า พระศาสดารับสั่งหาท่านทั้งหลาย ท่านพระอานนท์ทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว เข้าไปหาภิกษุเหล่านั้นถึงที่อยู่ ครั้นแล้วได้กล่าวกะภิกษุเหล่านั้นว่า พระศาสดารับสั่งหาท่านทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นรับคำพระอานนท์แล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วได้นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามภิกษุเหล่านั้นว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุไรหนอ เธอทั้งหลายจึงส่งเสียงอื้ออึงเหมือนชาวประมงแย่งปลากัน.
[๗๒] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามอย่างนี้แล้ว ท่านพระยโสชะได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูปเหล่านี้ เดินทางมาถึงพระนครสาวัตถีโดยลำดับ เพื่อจะเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ภิกษุผู้อันตุกะเหล่านี้ปราศรัยกับภิกษุทั้งหลายผู้เป็นเจ้าถิ่น ปูลาดเสนาสนะ เก็บบาตรและจีวรกันอยู่ ส่งเสียงอื้ออึง พระเจ้าข้า.
พ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงไป เราประณามเธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายไม่ควรอยู่ในสำนักของเรา.
ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ลุกจากอาสนะ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า กระทำประทักษิณแล้ว เก็บเสนาสนะ ถือบาตรและจีวรหลีกจาริกไปทางวัชชีชนบท เที่ยวจาริกไปในวัชชีชนบทโดยลำดับ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 306
ถึงแม่น้ำวัคคุมุทานที กระทำกุฎีมุงบังด้วยใบไม้ เข้าจำพรรษาอยู่ใกล้ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทานที.
[๗๓] ครั้งนั้นแล ท่านพระยโสชะเข้าจำพรรษาแล้ว เรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงใคร่ประโยชน์ ทรงแสวงหาประโยชน์ ทรงอนุเคราะห์ ทรงอาศัยความอนุเคราะห์ประณามเราทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าพึงทรงใคร่ประโยชน์แก่เราทั้งหลายผู้อยู่ด้วยประการใด ขอเราทั้งหลายจงสำเร็จการอยู่ด้วยประการนั้นเถิด ภิกษุเหล่านั้นรับคำท่านพระยโสชะแล้ว ครั้งนั้นแล ภิกษุเหล่านั้นหลีกออกจากหมู่ ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่ ทุกๆ รูปได้ทำให้แจ้งซึ่งวิชชา ๓ ภายในพรรษานั้นเอง.
[๗๔] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในพระนครสาวัตถีตามพระอัธยาศัยแล้ว เสด็จจาริกไปทางพระนครเวสาลี เสด็จเที่ยวจาริกไปโดยลำดับ ได้เสด็จถึงพระนครเวสาลี ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลาป่ามหาวัน ใกล้พระนครเวสาลีนั้น ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมนสิการกำหนดใจของภิกษุทั้งหลายผู้อยู่ที่ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทานทีด้วยพระทัยของพระองค์ แล้วตรัสกะท่านพระอานนท์ว่า ดูก่อนอานนท์ ภิกษุทั้งหลายผู้อยู่ที่ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทานทีอยู่ในทิศใด ทิศนี้เหมือนมีแสงสว่างแก่เรา เหมือนมีโอภาสแก่เรา เธอเป็นผู้ไม่รังเกียจที่จะไปเพื่อความสนใจแห่งเรา เธอพึงส่งภิกษุผู้เป็นทูตไปในสำนักแห่งภิกษุทั้งหลายผู้อยู่ที่ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทานทีด้วยสั่งว่า พระศาสดารับสั่งหาท่านทั้งหลาย พระศาสดาใคร่จะเห็นท่านทั้งหลาย ท่านพระอานนท์ทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว เข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง ครั้นแล้วได้กล่าวกะภิกษุ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 307
นั้นว่า ดูก่อนอาวุโส ท่านจงเข้าไปหาภิกษุทั้งหลายผู้อยู่ที่แม่น้ำวัคคุมุทานที ครั้นแล้วจงกล่าวกะภิกษุทั้งหลายผู้อยู่ที่ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทานทีอย่างนี้ว่า พระศาสดารับสั่งหาท่านทั้งหลาย พระศาสดาทรงประสงค์จะเห็นท่านทั้งหลาย ภิกษุนั้นรับคำท่านพระอานนท์แล้ว หายจากกูฏาคารศาลาป่ามหาวัน ไปปรากฏข้างหน้าภิกษุเหล่านั้นที่ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทานที เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีกำลังพึงเหยียดแขนที่คู้หรือคู้แขนที่เหยียดฉะนั้น ลำดับนั้น ภิกษุนั้นได้กล่าวกะภิกษุทั้งหลายผู้อยู่ที่ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทานทีว่า พระศาสดารับสั่งหาท่านทั้งหลาย พระศาสดาทรงประสงค์จะเห็นท่านทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นรับคำภิกษุนั้นแล้ว เก็บเสนาสนะ ถือบาตรและจีวร หายจากฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทานที ไปปรากฏเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้าที่กูฏาคารศาลาป่ามหาวัน เปรียบเหมือนบุรุษมีกำลังพึงเหยียดแขนที่คู้หรือคู้แขนที่เหยียดฉะนั้น.
[๗๕] ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งอยู่ด้วยสมาธิอันไม่หวั่นไหว ครั้งนั้น ภิกษุเหล่านั้นมีความดำริว่า บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ด้วยวิหารธรรมไหนหนอ ภิกษุเหล่านั้นมีความดำริอีกว่า บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ด้วยอาเนญชวิหารธรรม ภิกษุทั้งหมดนั้นแล ก็อยู่ด้วยอาเนญชสมาธิ.
ครั้งนั้นแล เมื่อราตรีล่วงไป เมื่อปฐมยามผ่านไป ท่านพระอานนท์ลุกจากอาสนะ กระทำผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประนมอัญชลีไปทางที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ราตรีล่วงไปแล้ว ปฐมยามผ่านไปแล้ว ภิกษุอาคันตุกะทั้งหลายนั่งอยู่นานแล้ว ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปราศรัยกับภิกษุ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 308
อาคันตุกะทั้งหลายเถิด พระเจ้าข้า.
เมื่อท่านพระอานนท์กราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงนิ่งอยู่ แม้ครั้งที่ ๒ เมื่อราตรีล่วงไปแล้ว เมื่อมัชฌิมยามผ่านไปแล้ว ท่านพระอานนท์ลุกจากอาสนะ กระทำผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประนมอัญชลีไปทางที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ราตรีล่วงไปแล้ว มัชฌิมยามผ่านไปแล้ว ภิกษุอาคันตุกะทั้งหลายนั่งอยู่นานแล้ว ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปราศรัยกับภิกษุอาคันตุกะทั้งหลายเถิด พระเจ้าข้า แม้ครั้งที่ ๒ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงนิ่งอยู่.
แม้ครั้งที่ ๓ เมื่อราตรีล่วงไปแล้ว ปัจฉิมยามผ่านไปแล้ว อรุณขึ้นแล้ว เมื่อราตรีรุ่งอรุณ ท่านพระอานนท์ลุกขึ้นจากอาสนะ กระทำผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประนมอัญชลีไปทางที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ราตรีล่วงไปแล้ว ปัจฉิมยามผ่านไปแล้ว อรุณขึ้นแล้ว เมื่อราตรีรุ่งอรุณ ภิกษุอาคันตุกะทั้งหลายนั่งอยู่นานแล้ว ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปราศรัยกับภิกษุอาคันตุกะทั้งหลายเถิด พระเจ้าข้า.
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากสมาบัตินั้น แล้วตรัสกะท่านพระอานนท์ว่า ดูก่อนอานนท์ ถ้าว่าเธอพึงรู้ไซร้ ความรู้แม้มีประมาณเท่านี้ก็ยังไม่ชัดแจ้งแก่เธอ ดูก่อนอานนท์ เราและภิกษุ ๕๐๐ เหล่านี้ทั้งหมด นั่งแล้วด้วยอาเนญชสมาธิ.
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึงทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 309
ภิกษุใดชนะหนาม คือ กาม ชนะการด่า การฆ่า และการจองจำได้แล้ว ภิกษุนั้นมั่นคงไม่หวั่นไหวดุจภูเขา ภิกษุนั้นย่อมไม่หวั่นไหวในเพราะสุขและทุกข์.
จบยโสชสูตรที่ ๓
อรรถกถายโสชสูตร
ยโสชสูตรที่ ๓ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า ยโสโช ในคำว่า ยโสชปฺปมุขานิ นี้ เป็นชื่อของพระเถระนั้น. ภิกษุ ๕๐๐ รูปนั้น ท่านกล่าวว่ามียโสชภิกษุเป็นหัวหน้า เพราะบวชทำท่านยโสชะให้เป็นหัวหน้า และเพราะเที่ยวไปด้วยกัน. ภิกษุเหล่านั้นมีการประกอบบุญกรรมไว้ในปางก่อน ดังต่อไปนี้
ได้ยินว่า ในอดีตกาล ศาสนาของพระกัสสปทศพล มีภิกษุอยู่ป่ารูปหนึ่ง อยู่ในกุฏิมุงด้วยใบไม้ สร้างไว้ที่ศิลาดาดในป่า. ก็สมัยนั้น โจร ๕๐๐ กระทำการปล้นชาวบ้านเป็นต้น เลี้ยงชีพแบบโจรกรรม กระทำโจรกรรม ถูกพวกมนุษย์ในชนบทพากันติดตาม หนีเข้าป่าไป ไม่เห็นอะไรๆ ในที่นั้น ไม่ว่าจะเป็นรกชัฏหรือที่พึ่งอาศัย เห็นภิกษุนั้นนั่งอยู่บนแผ่นหินในที่ไม่ไกล จึงไหว้ แล้วบอกเรื่องนั้น อ้อนวอนว่า ขอท่านจงเป็นที่พึ่งแก่พวกกระผมเถิดขอรับ. พระเถระกล่าวว่า ที่พึ่งอื่นเช่นกับศีลของพวกท่านไม่มี จงสมาทานศีล ๕ กันทั้งหมดเถิด. โจรเหล่านั้นรับคำของท่านแล้ว สมาทานศีล. พระเถระกล่าวว่า ท่านตั้งอยู่ในศีลแล้ว ท่านแม้ถึงชีวิตของตนจะพินาศไป ก็อย่าเกรี้ยวกราดด้วยการเบียดเบียน ดังนี้แล้ว จึงบอกวิธีอุปมาด้วยเลื่อย. โจรเหล่านั้นรับว่า ดีละ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 310
ลำดับนั้น ชาวชนบทเหล่านั้นไปยังที่นั้น ค้นดูข้างโน้นข้างนี้ พบพวกโจรเหล่านั้น ก็ปลงชีวิตเสียทั้งหมด. โจรเหล่านั้น ไม่ได้ทำแม้มาตรว่าความแค้นเคืองใจในชนเหล่านั้น มิได้ขาดศีล ตายไปบังเกิดในเทวโลกชั้นกามาวจร. โจรเหล่านั้น ผู้เป็นหัวหน้าได้เป็นเทพบุตรหัวหน้า. ฝ่ายโจรนอกนั้น ได้เป็นบริวารของเทพบุตรผู้หัวหน้านั้นเอง. เทวบุตรเหล่านั้นท่องเที่ยวไปๆ มาๆ สิ้นพุทธันดรหนึ่งในเทวโลก ในกาลพระผู้มีพระภาคเจ้าของเรา จุติจากเทวโลกแล้ว เทพบุตรผู้เป็นหัวหน้าเกิดเป็นบุตรชาวประมงผู้เป็นนายบ้านในตระกูล ๕๐๐ ในเกวัฏคาม ใกล้ประตูกรุงสาวัตถี. เขาขนานนามท่านว่า ยโสชะ. ฝ่ายเทพบุตรนอกนั้น เกิดเป็นบุตรชาวประมงนอกนั้น. ด้วยบุพเพสันนิวาส คนเหล่านั้นทั้งหมดเป็นเพื่อนกัน เล่นฝุ่นด้วยกัน เจริญวัยโดยลำดับ ยโสชะเป็นเลิศกว่าคนเหล่านั้น. เขารวมกันทั้งหมด ถือแหเที่ยวจับปลาในแม่น้ำและในบึงเป็นต้น. วันหนึ่ง เมื่อเขาทอดแหในแม่น้ำอจิรวดี ปลาสีทองติดแห. ชาวประมงทั้งหมดเห็นดังนั้น พากันร่าเริงยินดีว่า ลูกๆ ของพวกเราเมื่อจับปลา จับได้ปลาทอง. ทีนั้นสหายทั้ง ๕๐๐ คนเหล่านั้น ใส่ปลาลงเรือ หามเรือไปแสดงแด่พระราชา. พระราชาทรงเห็นดังนั้นทรงพระดำริว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าจักทรงทราบเหตุที่ปลานี้เป็นทอง จึงให้จับปลานั้นไปแสดงแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า. พระศาสดาตรัสว่า ผู้นี้เมื่อศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสื่อมไป บวชปฏิบัติผิด ทำศาสนาให้เสื่อม เกิดในนรก ไหม้อยู่ในนรกนั้นสิ้นพุทธันดรหนึ่ง จุติจากอัตภาพนั้น เกิดเป็นปลาในแม่น้ำอจิรวดี ดังนี้ แล้วจึงทรงให้ปลานั้นนั่นแหละเล่าถึงความที่เขาและมารดาพี่หญิงเกิดในนรก และพระเถระผู้เป็นพี่ชาย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 311
ของเขาปรินิพพานแล้ว จึงทรงแสดงกปิลสูตร เพราะเหตุเกิดเรื่องนี้ขึ้น บุตรของชาวประมง ๕๐๐ เหล่านั้น สดับเทศนาของพระศาสดาแล้วเกิดความสังเวช บรรพชาอุปสมบทในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้า อยู่โดยความสงัด แล้วมาเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เตน โข ปน สมเยน ยโสชปฺปมุขานิ ปญฺจมตฺตานิ ภิกฺขุสตานิ ดังนี้เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เตธ ตัดเป็น เต อิธ.
บทว่า เนวาสิเกหิ ได้แก่ ผู้อยู่ประจำ.
บทว่า ปฏิสมฺโมทมานา ความว่า เมื่อภิกษุเจ้าถิ่นทำการปราศรัยโดยการปฏิสันถารมีอาทิว่า ท่านสบายดีหรือ เมื่อจะปราศรัยอีก จึงปราศรัยกับภิกษุเจ้าถิ่นเหล่านั้นโดยนัยมีอาทิว่า สบายดีขอรับ.
บทว่า เสนาสนานิ ปญฺาปยมานา ความว่า และถามถึงเสนาสนะที่ถึงแก่อาจารย์ อุปัชฌาย์ และแก่ตน พร้อมด้วยภิกษุเจ้าถิ่นเหล่านั้น พากันจัดแจงเสนาสนะแก่ภิกษุเหล่านั้นว่า นี้สำหรับอาจารย์ของท่าน นี้สำหรับอุปัชฌาย์ของท่าน นี้สำหรับพวกท่าน แล้วตนเองไปในที่นั้น เปิดประตูและหน้าต่าง ขนเตียงตั่ง และเสื่อลำแพนเป็นต้นออกมาปรบ แล้วตบแต่งตามที่ตั้งอยู่เป็นต้นยังที่เดิม.
บทว่า ปตฺตจีวรานิ ปฏิสามยมานา ความว่า ให้เก็บสมณบริขาร ด้วยพูดอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ท่านจงเก็บบาตร จีวร ภาชนะ กระติกน้ำ และไม้เท้าของผมนี้.
บทว่า อุจฺจาสทฺทา มหาสทฺทา ความว่า ภิกษุที่ชื่อว่าผู้มีเสียงดัง เพราะอรรถว่า มีเสียงสูง เหตุแปลง อ อักษร ให้ เป็น อา อักษร. ภิกษุที่ชื่อว่าผู้มีเสียงใหญ่ เพราะอรรถว่า แผ่ไปโดยรอบ.
บทว่า เกวฏฺฏา มญฺเ มจฺฉวิโลเป ได้แก่ ในการแย่งชิงปลาเหมือนชาวประมง. ท่านแสดงว่า ภิกษุเหล่านั้นเป็นเหมือนชาวประมง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 312
ผู้จับปลาได้นามว่า เกวัฎ เพราะวนเวียนอยู่ในน้ำ คือ เป็นไปเพื่อจับปลา ทอดแหลงในน้ำเพื่อจับปลา ได้มีเสียงอึกทึกครึกโครม โดยนัยมีอาทิว่า เข้าหรือไม่เข้า จับได้หรือจับไม่ได้ และเหมือนชาวประมงเหล่านั้น เมื่อมหาชนพากันไปในที่ที่เขาวางกระเช้าปลาเป็นต้นไว้ แล้วแย่งกันพูดเป็นต้นว่า พวกท่านให้ปลาตัวหนึ่งแก่เรา จงให้ปลาพวงหนึ่งแก่เรา ที่ให้แก่คนโน้นตัวใหญ่ ที่ให้แก่เราตัวเล็ก ดังนี้ และชื่อว่าผู้มีเสียงอึกทึกครึกโครม โดยการปฏิเสธเป็นต้นของชนเหล่านั้น.
บทว่า เตเต ตัดเป็น เต เอเต.
บทว่า กินฺนุ แก้เป็น กิสฺส นุ อธิบายว่า กิมตฺถํ นุ แปลว่า เพื่อเหตุอะไรหนอ.
บทว่า เตเม ตัดเป็น เต อิเม.
บทว่า ปณาเมมิ แปลว่า นำออก.
บทว่า เต แก้เป็น เต ตุมฺเห แปลว่า ท่านเหล่านั้น.
บทว่า น โว มม สนฺติเก วตฺถพฺพํ ความว่า พวกท่านอย่าอยู่ในสำนักเรา. ทรงแสดงว่า เธอเหล่าใดมายังที่ประทับของพระพุทธเจ้าผู้เช่นเรา กระทำเสียงดังอย่างนี้อยู่ตามธรรมดาของตน จักกระทำให้สมควรอย่างไร คนเช่นพวกเธอ ไม่มีกิจที่จะอยู่ในสำนักของเรา ดังนี้.
ก็บรรดาภิกษุเหล่านั้นที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประณามอย่างนี้ แม้รูปเดียวก็ไม่ได้ให้คำตอบว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ทรงประณามข้าพระองค์ ด้วยเหตุเพียงเสียงดัง หรือไม่ได้ให้คำอะไรๆ อื่น ด้วยพุทธคารวะ ภิกษุทั้งหมดเมื่อรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงกราบทูลว่า เป็นอย่างนั้นพระเจ้าข้า แล้วพากันออกไป ก็ท่านเหล่านั้นได้มีความคิดอย่างนี้ว่า พวกเราจักเฝ้าพระศาสดา จักฟังธรรม จักอยู่ในสำนักพระศาสดา เพราะฉะนั้น จึงพากันมา แต่พวกเรามายังสำนักพระศาสดา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 313
ผู้เป็นครูเห็นปานนี้ กระทำเสียงดัง นี้เป็นโทษของพวกเราเท่านั้น พวกเราถูกประณามเพราะโทษ เราไม่ได้อยู่ในสำนักพระศาสดา ไม่ได้ชมพระโฉมมีวรรณะดังทองคำอันนำมาซึ่งความเลื่อมใสรอบด้าน ไม่ได้ฟังธรรมที่ทรงแสดงด้วยพระสุรเสียงอันไพเราะ. ภิกษุเหล่านั้นเกิดความน้อยใจอย่างรุนแรง แล้วพากันหลีกไป.
บทว่า สํสาเมตฺวา ได้แก่ เก็บงำไว้ด้วยดี.
บทว่า วชฺชี ได้แก่ ชนบทอันมีชื่ออย่างนี้. แม้ชนบทหนึ่งอันเป็นที่ประทับของพระราชกุมาร ชาวชนบทชื่อว่าวัชชี เขาจึงเรียกว่า วัชชี นั่นเอง โดยภาษาที่ดาษดื่น. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า วชฺชีสุ ดังนี้ แม่น้ำสายหนึ่งซึ่งสมมติกันว่าเป็นบุญของชาวโลก มีชื่ออย่างนี้ว่า วัคคุมุทา. บาลีว่า วัคคมุทา ดังนี้ก็มี.
บทว่า อตฺถกาเมน ได้แก่ ปรารถนาแต่ประโยชน์เท่านั้น ไม่มุ่งถึงการประกอบอะไรๆ.
บทว่า หิเตสินา ได้แก่ ปรารถนาประโยชน์ คือ มีปกติแสวงหาประโยชน์เกื้อกูล กล่าวคือ อรรถ หรือที่เป็นเหตุของประโยชน์นั้นว่า สาวกของเราพึงหลุดพ้นจากวัฏทุกข์เพราะเหตุไร เพราะเหตุนั้นนั่นแล พระองค์จึงชื่อว่า ทรงอนุเคราะห์ เพราะอนุเคราะห์ไปตามสำนักของเวไนยสัตว์แม้ในที่ไกล ไม่คำนึงถึงความลำบากทางพระวรกายเลย เราถูกประณามเพราะอาศัยความอนุเคราะห์ ไม่ใช่ถูกประณามเพราะหวังความขวนขวายเป็นต้นของตน. เพราะเหตุที่พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า ผู้หนักในธรรม ผู้ทรงประณามแม้เหตุเพียงทำเสียงดัง จึงควรบูชาด้วยสัมมาปฏิบัติเท่านั้น ฉะนั้น อาวุโส เอาเถิด เราสำเร็จการอยู่อย่างนั้น คือ เราจะบำเพ็ญอปัณณกปฏิปทา ด้วยการประกอบสติสัมปชัญญะในที่ทุกสถาน ทำกัมมัฏฐานตามที่กำหนดไว้ให้ถึงที่สุด ชื่อว่าสำเร็จ คือ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 314
อยู่ด้วยอิริยาบถวิหารทั้ง ๔.
บทว่า ยถา โน วิหรตํ ความว่า เมื่อเราอยู่โดยประการใด พระผู้มีพระภาคเจ้า พึงเป็นผู้มีพระทัยยินดี คือ อันพวกเราพึงให้โปรดปรานด้วยสัมมาปฏิบัติบูชา.
บทว่า เตเนวนฺตรวสฺเสน ได้แก่ ไม่เลยวันมหาปวารณาในภายในพรรษานั้นนั่นแล.
บทว่า ติสฺโส วิชฺชา สจฺฉากํสุ ความว่า ภิกษุ ๕๐๐ ทั้งหมดนั้นนั่นแล ได้กระทำให้ประจักษ์แก่ตนซึ่งวิชชา ๓ เหล่านี้ คือ บุพเพนิวาสานุสติญาณ ๑ ทิพยจักขุญาณ ๑ อาสวักขยญาณ ๑ เพราะอรรถว่า แทงตลอดขันธ์ที่เคยอยู่ในกาลก่อน และขันธ์คือโมหะอันเป็นตัวปกปิด. ในที่นี้ พระองค์ทรงยกวิชชา ๓ ขึ้นแสดง โดยแสดงถึงการที่ภิกษุเหล่านั้นบรรลุ เพื่อแสดงว่า บรรดาโลกิยอภิญญา อภิญญา ๒ นี้เท่านั้น มีอุปการะมากแก่อาสวักขยญาณ ส่วนทิพยโสตญาณ เจโตปริยญาณ และอิทธิวิธญาณหาเป็นเช่นนั้นไม่. จริงอย่างนั้น ในเวรัญชสูตร พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงแสดงการที่พระองค์ทรงบรรลุแก่เวรัญชพราหมณ์ จึงทรงแสดงวิชชา ๓ เท่านั้น เพราะไม่มีทิพยโสตญาณเป็นต้น. เมื่อเป็นอย่างนี้ พระองค์จึงไม่ทรงยกทิพยโสตญาณเป็นต้นแม้ที่มีอยู่ขึ้นแสดงแก่ภิกษุแม้เหล่านั้น เพราะภิกษุเหล่านั้นมีอภิญญา ๖. เพราะกระทำอธิบายดังว่ามานี้ พระองค์จึงตรัสถึงการใช้ฤทธิของภิกษุเหล่านั้นว่า ภิกษุเหล่านั้นหายไป ณ ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา มาปรากฏเฉพาะพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าในกูฏาคารศาลา.
บทว่า ยถาภิรนฺตํ ได้แก่ ตามพอพระทัย คือ ตามพระอัธยาศัย. จริงอยู่ ธรรมดาว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายผู้ประทับอยู่ในที่แห่งหนึ่ง ย่อมไม่มีความยินดี เพราะอาศัยความวิบัติแห่งร่มเงาและน้ำ หรือเสนาสนะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 315
อันไม่เป็นที่สบาย หรือความที่พวกมนุษย์ไม่มีศรัทธาเป็นต้น แม้การประทับอยู่นานด้วยทรงพระดำริว่า อยู่ผาสุกเพราะความสมบูรณ์ ก็ไม่มีแก่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย. ก็เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ที่ใด มนุษย์ทั้งหลายในที่นั้น ตั้งอยู่ในสรณะ สมาทานศีล บรรพชา หรือบรรลุโสดาปัตติมรรคเป็นต้น พระศาสดาจึงประทับอยู่ เพื่อให้มนุษย์เหล่านั้นตั้งอยู่ในสมบัติเหล่านั้น เมื่อไม่มีสมบัติอันนั้น พระองค์ก็เสด็จหลีกไป. ก็ในกาลนั้น พระองค์ไม่มีพุทธกิจที่จะพึงกระทำในกรุงสาวัตถี. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ตามพอพระทัยในกรุงสาวัตถี เสด็จหลีกจาริกไปทางกรุงเวสาลี.
บทว่า จาริกญฺจรมาโน ได้แก่ เสด็จดำเนินไปทางไกล. ก็ชื่อว่า การเสด็จจาริกของพระผู้มีพระภาคเจ้านี้ มี ๒ อย่าง คือ เสด็จจาริกไปโดยรีบด่วน ๑ เสด็จจาริกไปโดยไม่รีบด่วน ๑. ใน ๒ อย่างนั้น การที่พระองค์ทรงเห็นโพธเนยยบุคคลแม้ในที่ไกล ก็รีบเสด็จไปเพื่อให้บุคคลนั้นตรัสรู้ ชื่อว่าเสด็จจาริกไปโดยรีบด่วน. การเสด็จไปโดยรีบด่วนนั้น พึงเห็นในการต้อนรับพระมหากัสสปเป็นต้น. ส่วนการเสด็จจาริกไปอนุเคราะห์สัตว์โลก ด้วยการเสด็จเที่ยวบิณฑบาตเป็นต้น โดยหนทางโยชน์หนึ่งและกึ่งโยชน์ทุกวันตามลำดับคามนิคมและราชธานี นี้ชื่อว่าการเสด็จจาริกไปโดยไม่รีบด่วน. ก็การเสด็จจาริกโดยไม่รีบด่วนนี้แหละ ท่านประสงค์เอาในที่นี้.
บทว่า ตทวสริ แก้เป็น เตน อวสริ หรือ ตํ อวสริ คือ เสด็จไป อธิบายว่า เสด็จเข้าไปโดยประการนั้น.
บทว่า ตตฺร ได้แก่ ใกล้กรุงเวสาลีนั้น.
บทว่า สุทํ เป็นเพียงนิบาต.
บทว่า เวสาลิยํ ได้แก่ นครของพวกเจ้าลิจฉวี ซึ่งได้นามว่า เวสาลี เพราะเป็นเมืองขยายให้กว้างขวาง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 316
ถึง ๓ ครั้ง.
บทว่า มหาวเน ความว่า ชื่อว่าป่ามหาวัน ได้แก่ ป่าที่เกิดเอง ไม่มีใครปลูกสร้าง เป็นป่าใหญ่มีเขตกำหนด. ก็ป่ามหาวันใกล้เคียงเมืองกบิลพัสดุ์ เป็นป่าไม่มีเขตกำหนด เนื่องเป็นอันเดียวกับป่าหิมวันต์ ตั้งจดมหาสมุทร. ป่ามหาวันนี้ หาเป็นเช่นนั้นไม่. ชื่อว่าป่ามหาวัน เพราะเป็นป่าใหญ่มีเขตกำหนด.
บทว่า กูฏาคารสาลายํ ความว่า ในอารามที่สร้างอุทิศพระผู้มีพระภาคเจ้าในป่ามหาวันนั้น พระคันธกุฎีของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า สมบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวง สร้างโดยมุงหลังคาเป็นวงกลม มีทรวดทรงคล้ายหงส์ โดยมีกูฏาคารอยู่ภายใน ชื่อว่ากูฏาคารศาลา. ในกูฏาคารศาลานั้น.
บทว่า วคฺคุมุทาตีริยานํ ได้แก่ ผู้อยู่ริมฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา.
บทว่า เจตสา เจโต ปริจฺจ มนสิกริตฺวา ความว่า ทรงมนสิการกำหนดจิตของภิกษุเหล่านั้นด้วยพระทัยของพระองค์. อธิบายว่า ทรงทราบคุณวิเศษที่ภิกษุเหล่านั้นบรรลุด้วยเจโตปริยญาณ หรือสัพพัญญุตญาณ.
บทว่า อาโลกชาตา วิย แปลว่า เหมือนเกิดแสงสว่าง. นอกนั้นเป็นไวพจน์ของบทว่า อาโลกชาตา นั้น เหมือนกัน. อธิบายว่า เหมือนแสงสว่างพระจันทร์ ๑,๐๐๐ ดวง และพระอาทิตย์ ๑,๐๐๐ ดวง. ก็เพราะเหตุที่ภิกษุ ๕๐๐ รูป ซึ่งมีพระยโสชะเป็นประมุขนั้น เป็นผู้สว่างไสว เพราะกำจัดมืดคืออวิชชาโดยประการทั้งปวงอยู่. ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงสรรเสริญภิกษุเหล่านั้น โดยการอ้างถึงการพรรณนาคุณในที่ภิกษุเหล่านั้นสถิตอยู่ โดยนัยมีอาทิว่า อานนท์ ทิศนั้นเป็นเหมือนแสงสว่างของเรา. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ยสฺสํ ทิสายํ วคฺคุมุทาตีริยา ภิกฺขู วิหรนฺติ ภิกษุทั้งหลายผู้อยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา อยู่ในทิศใด.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 317
บทว่า อปฺปฏิกูลา แปลว่า ไม่น่าเกลียด อธิบายว่า น่าชอบใจ คือ น่ารื่นรมย์ใจ. จริงอยู่ ถิ่นที่ท่านผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ผู้สมบูรณ์ด้วยคุณมีศีลเป็นต้นอยู่นั้น มีอาการดังที่ลุ่มขลุขละไม่สม่ำเสมอก็จริง ถึงกระนั้น สถานที่นั้นก็เป็นที่ฟูใจ น่ารื่นรมย์ใจทีเดียว. สมจริงดังที่พระองค์ตรัสไว้ว่า
พระอรหันต์ทั้งหลายอยู่ในที่ใด ไม่ว่าจะเป็นบ้านก็ตาม ป่าก็ตาม ที่ลุ่มหรือที่ดอนก็ตาม ที่นั้นเป็นภูมิที่น่ารื่นรมย์ใจ.
บทว่า ปหิเณยฺยาสิ แปลว่า พึงส่งไป.
บทว่า สตฺถา อายสฺมนฺตานํ ทสฺสนกาโม นี้ เป็นบทแสดงถึงอาการที่ส่งไปในสำนักของภิกษุเหล่านั้น ดังนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นประโยชน์ที่พระองค์ทรงประณามภิกษุเหล่านั้นถึงที่สุด มีพระทัยยินดี จึงตรัสบอกความประสงค์ที่จะเห็นภิกษุเหล่านั้นแก่พระเถระ. ได้ยินว่า พระองค์ได้มีพระดำริอย่างนี้ว่า เราประณามภิกษุเหล่านี้เพราะกระทำเสียงดังลั่น เมื่อเป็นเช่นนั้น ภิกษุเหล่านั้นก็ถูกท่านอานนท์โจทท้วง เหมือนม้าอาชาไนยตัวเจริญถูกตีด้วยแส้ ได้รับความสลดใจแล้ว จึงเข้าไปยังป่า เพื่อให้เราโปรดปราน เพียรพยายามอยู่ จักทำให้แจ้งพระอรหัตโดยพลันทีเดียว. บัดนี้พระองค์ทรงเห็นภิกษุเหล่านั้นบรรลุพระอรหัต มีพระทัยยินดีด้วยการบรรลุพระอรหัตนั้น มีพระประสงค์จะเห็นภิกษุเหล่านั้น จึงทรงบัญชาท่านพระอานนท์ผู้เป็นธรรมภัณฑาคาริกอย่างนั้น.
บทว่า โส ภิกฺขุ ได้แก่ ภิกษุรูปหนึ่งผู้ได้อภิญญา ๖ ถูกท่านพระอานนทเถระสั่งดังนั้น.
บทว่า ปมุเข แปลว่า ในที่พร้อมหน้า.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 318
บทว่า อาเนญฺชสมาธินา ได้แก่ ด้วยสมาธิอันสัมปยุตด้วยอรหัตตผลอันมีจตุตถฌานเป็นบาท. อาจารย์อีกพวกหนึ่งกล่าวว่า มีอรูปฌานเป็นบาท ดังนี้ก็มี. บาลีว่า อาเนญฺเชน สมาธินา ด้วยสมาธิอันไม่หวั่นไหว ดังนี้ก็มี. ก็เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงทราบการมาของภิกษุเหล่านั้น ไม่ทรงกระทำปฏิสันถาร ทรงเข้าสมาบัติอย่างเดียว? เพื่อให้ภิกษุเหล่านั้นรู้ว่าพระองค์เข้าสมาบัติจึงเข้าด้วย เพื่อแสดงการอยู่ร่วมของภิกษุเหล่านั้นที่พระองค์ทรงประณามในกาลก่อนว่า เสมอกับพระองค์ในบัดนี้ เพื่อแสดงอานุภาพ และเพื่อแสดงการพยากรณ์พระอรหัตตผลโดยเว้นการเปล่งวาจา. อาจารย์อีกพวกหนึ่งกล่าวว่า เพื่อทรงกระทำปฏิสันถารอันไม่ทั่วไปแก่คนอื่น โดยทำความสุขอันยอดเยี่ยมให้เกิดขึ้นแก่ภิกษุเหล่านั้น ผู้ที่พระองค์ทรงประณามในกาลก่อน บัดนี้ มายังสำนักของพระองค์. ท่านแม้เหล่านั้น ทราบพระอัธยาศัยของพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงเข้าสมาบัตินั้นนั่นแหละ. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า กตเมน นุ โข ภควา วิหาเรน เอตรหิ วิหรติ บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงอยู่ด้วยธรรมเครื่องอยู่อะไรหนอแล.
ก็ในที่นี้ รูปาวจรจตุตถฌาน ถึงความไม่หวั่นไหว เพราะประกอบด้วยโวทานธรรม ๑๖ ประการ มีความไม่ฟุบลงเป็นต้น อันเป็นมูลเหตุแห่งฤทธิ์ เพราะธรรมอันเป็นข้าศึกมีโกสัชชะเป็นต้นอยู่ไกลแสนไกล ท่านเรียกว่า อาเนญชะ เพราะอรรถว่า ตนเองก็ไม่หวั่นไหว. สมจริงดัง คำที่ท่านกล่าวไว้ว่า
จิตที่ไม่ฟุบลง ชื่อว่าอาเนญชะ เพราะไม่หวั่นไหวในโกสัชชะ ๑
จิตที่ไม่ฟูขึ้น ชื่อว่าอาเนญชะ เพราะไม่หวั่นไหวในอุทธัจจะ ๑
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 319
จิตไม่ยินดียิ่ง ชื่อว่าอาเนญชะ เพราะไม่หวั่นไหวในราคะ ๑
จิตไม่ผลักออก ชื่อว่าอาเนญชะ เพราะไม่หวั่นไหวในพยาบาท ๑
จิตที่ไม่เกี่ยวเกาะ ชื่อว่าอาเนญชะ เพราะไม่หวั่นไหวในทิฏฐิ ๑
จิตที่ไม่ผูกพัน ชื่อว่าอาเนญชะ เพราะไม่หวั่นไหวในฉันทราคะ ๑
จิตที่หลุดพ้น ชื่อว่าอาเนญชะ เพราะไม่หวั่นไหวในกามราคะ ๑
จิตที่ไม่พัวพัน ชื่อว่าอาเนญชะ เพราะไม่หวั่นไหวในกิเลส ๑
จิตที่ไม่มีเขตแดนเป็นต้น ชื่อว่าอาเนญชะ เพราะไม่หวั่นไหวในเขตแดนคือกิเลส ๑
จิตที่มีอารมณ์เป็นหนึ่ง ชื่อว่าอเนญชะ เพราะไม่หวั่นไหวในกิเลสต่างๆ ๑
จิตที่ศรัทธากำกับแล้ว ชื่อว่าอาเนญชะ เพราะไม่หวั่นไหวในอสัทธิยะ (ความไม่มีศรัทธา) ๑
จิตที่วิริยะกำกับแล้ว ชื่อว่าอาเนญชะ เพราะไม่หวั่นไหวในโกสัชชะ ๑
จิตที่สติกำกับแล้ว ชื่อว่าอาเนญชะ เพราะไม่หวั่นไหวในปมาทะ ๑
จิตที่สมาธิกำกับแล้ว ชื่ออาเนญชะ เพราะไม่หวั่นไหวในอุทธัจจะ ๑
จิตที่ปัญญากำกับแล้ว ชื่อว่าอาเนญชะ เพราะไม่หวั่นไหวในอวิชชา ๑
จิตที่ถึงความสว่างแล้ว ชื่อว่าอาเนญชะ เพราะไม่หวั่นไหวในความมืด (คืออวิชชา) ๑.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 320
อนึ่ง พระโบราณาจารย์ทั้งหลายกล่าวไว้ว่า การบัญญัติฌาน ๕ เหล่านี้ว่าเป็นอาเนญชะ คือ รูปาวจรจตุตถฌานเท่านั้นที่เป็นไปด้วยอำนาจการเจริญการสำรอกรูป ๑ อรูปาวจรฌาน ๔ ที่เป็นไปโดยจำแนกตามอารมณ์. บรรดาฌานเหล่านั้น อรหัตตผลสมาบัติทำฌานอย่างใดอย่างหนึ่งให้เป็นบาทแล้วจึงเข้า ชื่อว่าอาเนญชสมาธิ.
บทว่า อภิกฺกนฺตาย แปลว่า ล่วงไปแล้ว.
บทว่า นิกฺขนฺเต แปลว่า ผ่านไปแล้ว. อธิบายว่า ปราศไปแล้ว.
บทว่า ตุณฺหี อโหสิ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงเป็นผู้นิ่งโดยดุษณีภาพอันประเสริฐ.
บทว่า อุทฺธเสฺต อรุเณ แปลว่า เมื่ออรุณขึ้นไป. ชื่อว่าอรุณ ได้แก่ แสงสว่าง ที่ขึ้นก่อนพระอาทิตย์ขึ้นทีเดียว ในปุรัตถิมทิศ. บทว่า นนฺทิมุขิยา ความว่า เมื่อราตรีเกิดแล้ว สว่างแล้ว เหมือนแสงอรุณที่เป็นประธาน ในการทำเหล่าสัตว์ผู้อาศัยแสงดวงอาทิตย์ให้ร่าเริง เพราะอรุณแห่งราตรีขึ้นนั่นเอง.
บทว่า ตมฺหา สมาธิมฺหา วุฏฺหิตฺวา ความว่า ออกจากอาเนญชสมาธิ คือ จากผลสมาบัติ อันสัมปยุตด้วยอรหัตตผลนั้น. ตามเวลาที่กำหนด.
บทว่า สเจ โข ตฺวํ อานนฺท ชาเนยฺยาสิ ความว่า ดูก่อนอานนท์ ถ้าท่านพึงรู้อย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าและภิกษุเหล่านั้น ยับยั้งอยู่ด้วยสุขอันเกิดแต่สมาบัติชื่อนี้ตลอดกาลเพียงเท่านี้ไซร้.
ด้วยบทว่า เอตฺตกมฺปิ เต นปฺปฏิภาเสยฺย พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงว่า ความแจ่มแจ้งที่ปรากฏแก่เธอ ๓ ครั้ง โดยนัยมีอาทิว่า ราตรีผ่านไปแล้ว พระเจ้าข้า ดังนี้ ซึ่งหมายถึงการปราศรัยอันเป็นฝ่ายโลกีย์ แม้เพียงเท่านี้ก็ยังไม่ปรากฏแก่เธอ. ดูก่อนอานนท์ ก็เพราะเหตุที่เธอเป็น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 321
เสขบุคคล ไม่รู้สมาบัติวิหารธรรมอันเป็นของพระอเสขะ ฉะนั้น เธอจึงถึงความขวนขวายที่จะให้เราทำการปราศรัยอันเป็นฝ่ายโลกีย์แก่ภิกษุเหล่านี้. แต่เราพร้อมด้วยภิกษุเหล่านี้ ยับยั้งอยู่ตลอดราตรีทั้ง ๓ ยาม ด้วยการปราศรัยอันเป็นโลกุตระนั่นแล จึงตรัสว่า อหญฺจ อานนฺท อิมานิ จ ปญฺจ ภิกฺขุสตานิ สพฺเพว อาเนญฺชสมาธินา นิสินฺนมฺหา ดูก่อนอานนท์ เรากับภิกษุ ๕๐๐ รูป ทั้งหมดนี้ นั่งด้วยอาเนญชสมาธิ.
บทว่า เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ความว่า ทรงทราบโดยประการทั้งปวงถึงอรรถ คือ ความที่ภิกษุเหล่านั้นมีความชำนาญ กล่าวคือ ความสามารถในการเข้าอาเนญชสมาบัติพร้อมกับพระองค์นี้.
บทว่า อิมํ อุทานํ ความว่า ทรงเปล่งอุทานนี้ อันแสดงถึงสภาวะที่ภิกษุเหล่านั้นเป็นผู้สำเร็จในการละราคะเป็นต้นได้เด็ดขาด.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยสฺส ชิโต กามกณฺฏโก ความว่า กาม คือ กิเลส ชื่อว่าเป็นหนาม เพราะอรรถว่า ทิ่มแทงธรรมอันเป็นปฏิปักษ์ต่อกุศลธรรม อันเป็นเหตุให้พระอริยบุคคลชนะ คือ ละได้โดยเด็ดขาด ด้วยคำนั้น พระองค์ทรงแสดงถึงภาวะที่พระอริยบุคคลนั้นไม่มีความยินดี. บาลีว่า คามกณฺฏโก ดังนี้ก็มี. พระบาลีนั้นมีอธิบายดังนี้ หนามในบ้าน ได้แก่ วัตถุกามทั้งสิ้นอันเป็นที่ตั้งแห่งหนาม อันพระอริยบุคคลใดชนะแล้ว เพราะฉะนั้น ความชนะของพระอริยบุคคลนั้น พึงทราบโดยการละฉันทราคะอันเนื่องด้วยวัตถุกามนั้น ด้วยคำนั้น เป็นอันพระองค์ตรัสถึงอนาคามิมรรคของภิกษุเหล่านั้น เชื่อมความว่า ก็ความด่าอันพระอริยบุคคลชนะแล้ว. แม้ในบทว่า วโธ จ พนฺธนญฺจ นี้ ก็นัยนี้เหมือนกัน. ในการด่าเป็นต้นนั้น ทรงแสดงความไม่มีวจีทุจริต ด้วยการชนะการด่า,
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 322
ทรงแสดงความไม่มีกายทุจริต ด้วยธรรมนอกนี้. ด้วยคำนั้น เป็นอันพระองค์ตรัสมรรคที่ ๓ ด้วยการละพยาบาทอันมีการด่าเป็นต้นนั้นเป็นนิมิตได้โดยเด็ดขาด. อีกอย่างหนึ่ง เป็นอันตรัสถึงมรรคที่ ๓ ด้วยการตรัสถึงชัยชนะการด่าเป็นต้น, การข่มการด่าเป็นต้นได้เด็ดขาด เป็นอันทรงประกาศในมรรคที่ ๓ นั้น. แม้ทั้ง ๒ บท ก็ทรงแสดงถึงความที่ภิกษุเหล่านั้นไม่มีความยินร้าย.
บทว่า ปพฺพโต วิย โส ิโต อเนโช ความว่า อันตราย คือ กิเลสอันเป็นตัวหวั่นไหว ท่านเรียกว่า เอชา, ชื่อว่าอเนชา เพราะไม่มีกิเลสที่เหลืออันเป็นเหตุให้หวั่นไหว ตั้งอยู่ คือ เป็นเช่นกับภูเขาเป็นแท่งทึบ เพราะไม่หวั่นไหวด้วยกิเลสทั้งปวง และด้วยลม คือ การว่าร้ายของผู้อื่น เหตุไม่มีความหวั่นไหวนั่นเอง.
บทว่า สุขทุกฺเขสุ น เวธติ ส ภิกฺขุ ความว่า ภิกษุนั้นคือผุ้ทำลายกิเลสแล้ว ย่อมไม่หวั่นไหวอันมีสุขและทุกข์เป็นเหตุ เพราะฉะนั้น บัณฑิตพึงทราบความโดยนัยดังกล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรวมถึงความเป็นผู้คงที่ ด้วยการบรรลุพระอรหัตของภิกษุเหล่านั้น จึงทรงเปล่งอุทานอันมีบุคคลเอกเป็นที่ตั้งด้วยประการฉะนี้แล.
จบอรรถกถาโสชสูตรที่ ๓