พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๓. สุปปพุทธกุฏฐิสูตร ว่าด้วยการตรัสอริยสัจแก่สุปปพุทธกุฏฐิ

 
บ้านธัมมะ
วันที่  8 ส.ค. 2564
หมายเลข  35324
อ่าน  1,754

[เล่มที่ 44] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 491

๓. สุปปพุทธกุฏฐิสูตร

ว่าด้วยการตรัสอริยสัจแก่สุปปพุทธกุฏฐิ

อรรถกถาสุปปพุทธกุฏฐิสูตร


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 44]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 491

๓. สุปปพุทธกุฏฐิสูตร

ว่าด้วยการตรัสอริยสัจแก่สุปปพุทธกุฏฐิ

[๑๑๒] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน กลันทกนิวาปสถาน ใกล้พระนครราชคฤห์ ก็สมัยนั้นแล ในพระนครราชคฤห์ มีบุรุษเป็นโรคเรื้อนชื่อว่าสุปปพุทธะ เป็นมนุษย์ขัดสน กำพร้า ยากไร้ ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าแวดล้อมไปด้วยบริษัทหมู่ใหญ่ ประทับนั่งแสดงธรรมอยู่ สุปปพุทธกุฏฐิได้เห็นหมู่มหาชนประชุมกันแต่ที่ไกลเทียว ครั้นแล้วได้มีความดำริว่า หมู่มหาชนจะแบ่งของควรเคี้ยว หรือของควรบริโภคอะไรๆ ให้ในที่นี้แน่แท้ ไฉนหนอ เราพึงเข้าไปหาหมู่มหาชน เราพึงได้ของควรเคี้ยวหรือของควรบริโภคในหมู่มหาชนนี้เป็นแน่

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 492

ลำดับนั้นแล สุปปพุทธกุฏฐิได้เข้าไปหาหมู่มหาชนนั้น แล้วได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าแวดล้อมด้วยบริษัทหมู่ใหญ่ ประทับนั่งแสดงธรรมอยู่ ครั้นแล้วได้มีความดำริว่า หมู่มหาชนคงไม่แบ่งของควรเคี้ยวหรือของควรบริโภคอะไรๆ ให้ในที่นี้ พระสมณโคดมนี้ทรงแสดงธรรมอยู่ในบริษัท ถ้ากระไร แม้เราก็พึงได้ฟังธรรม เขานั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งในบริษัทนั้นเอง ด้วยคิดว่า แม้เราจักฟังธรรม ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกำหนดใจของบริษัททุกหมู่เหล่าด้วยพระทัยแล้ว ได้ทรงกระทำไว้ในพระทัยว่า ในบริษัทนี้ ใครหนอแลควรจะรู้แจ้งธรรม พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงเห็นสุปปพุทธกุฏฐินั่งอยู่ในบริษัทนั้น ครั้นแล้วได้ทรงพระดำริว่า ในบริษัทนี้ บุรุษนี้แลควรจะรู้แจ้งธรรม พระองค์ทรงปรารภสุปปพุทธกุฏฐิตรัสอนุปุพพีกถา คือ ทานกถา ศีลกถา สัคคกถา โทษแห่งกามอันต่ำทรามเศร้าหมอง และทรงประกาศอานิสงส์ในเนกขัมมะ เมื่อใด พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงทราบว่าสุปปพุทธกุฏฐิมีจิตควร อ่อน ปราศจากนิวรณ์เฟื่องฟู ผ่องใส เมื่อนั้น พระองค์ทรงประกาศพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ธรรมจักษุปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ได้เกิดขึ้นแก่สุปปพุทธกุฏฐิในที่นั่งนั้นแล้วว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา เหมือนผ้าที่สะอาดปราศจากมลทิน ควรรับน้ำย้อมด้วยดีฉะนั้น.

[๑๑๓] ลำดับนั้นแล สุปปพุทธกุฏฐิมีธรรมอันเห็นแล้ว มีธรรมอันบรรลุแล้ว มีธรรมอันรู้แจ้งแล้ว มีธรรมอันหยั่งถึงแล้ว ข้ามความสงสัยได้แล้ว ปราศจากความเคลือบแคลง บรรลุถึงความเป็นผู้แกล้วกล้า ไม่เชื่อต่อผู้อื่นในศาสนาของพระศาสดา ลุกจากอาสนะ เข้าไปเฝ้า

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 493

พระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศโดยอเนกปริยาย เปรียบเหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือตามประทีปไว้ในที่มืดด้วยหวังว่า ผู้มีจักษุจักเห็นรูปได้ฉะนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์นี้ ขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้ากับทั้งพระธรรมและพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป.

ลำดับนั้นแล สุปปพุทธกุฏฐิอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชี้แจงให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถา ชื่นชมยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า ลุกจากอาสนะถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า กระทำประทักษิณแล้วหลีกไป ครั้งนั้นแล แม่โคลูกอ่อนชนสุปปพุทธกุฏฐิผู้หลีกไปไม่นานให้ล้มลง ปลงเสียจากชีวิต ลำดับนั้นแล ภิกษุมากด้วยกันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สุปปพุทธกุฏฐิอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชี้แจงให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาแล้ว กระทำกาละ คติของเขาเป็นอย่างไร ภพหน้าของเขาเป็นอย่างไร พระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพยากรณ์ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สุปปพุทธกุฏฐิเป็นบัณฑิต ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม และไม่เบียดเบียนเราให้ลำบากเพราะธรรมเป็นเหตุ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สุปปพุทธกุฏฐิเป็นพระโสดาบัน เพราะ

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 494

ความสิ้นไปแห่งสังโยชน์ทั้งสาม มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า.

[๑๑๔] เมื่อพระมีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว ภิกษุรูปหนึ่งได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอแลเป็นเหตุ เป็นปัจจัยเครื่องให้สุปปพุทธกุฏฐิมนุษย์ขัดสน กำพร้า ยากไร้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพยากรณ์ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีแล้ว สุปปพุทธกุฏฐิเป็นเศรษฐีบุตรอยู่ในกรุงราชคฤห์นี้แล เขาออกไปยังภูมิเป็นที่เล่นในสวน ได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้านามว่าตครสิขีกำลังเที่ยวบิณฑบาตไปในพระนคร ครั้นแล้วเขาดำริว่า ใครนี่เป็นโรคเรื้อนเที่ยวไปอยู่ เขาถ่มน้ำลายหลีกไปข้างเบื้องซ้าย เขาหมกไหม้อยู่ในนรกสิ้นปีเป็นอันมาก สิ้นร้อยปี สิ้นพันปี สิ้นแสนปีเป็นอันมาก เพราะผลแห่งกรรมนั้นยังเหลืออยู่ เขาจึงได้เป็นมนุษย์ขัดสน กำพร้า ยากไร้ อยู่ในกรุงราชคฤห์นี้แล เขาอาศัยธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว สมาทาน ศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา ครั้นอาศัยธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว สมาทาน ศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา เมื่อตายไป เขาเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เป็นผู้เข้าถึงความเป็นสหายของเหล่าเทวดาชั้นดาวดึงส์ เขาย่อมไพโรจน์ล่วงเทวดาเหล่าอื่นในชั้นดาวดึงส์นั้น ด้วยวรรณะและด้วยยศ.

ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึงทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า

บุรุษผู้เป็นบัณฑิต พึงละเว้นบาปทั้งหลายในสัตว์โลก เหมือนบุรุษผู้มีจักษุ เมื่อทางอื่นที่จะก้าวไปมีอยู่ ย่อมหลีกที่อันไม่ราบเรียบเสียฉะนั้น.

จบสุปปพุทธกุฏฐิสูตรที่ ๓

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 495

อรรถกถาสุปปพุทธกุฏฐิสูตร

สุปปพุทธกุฏฐิสูตรที่ ๓ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-

บทว่า ราชคเห สุปฺปพุทฺโธ นาม กุฏฺี อโหสิ ความว่า บุรุษคนหนึ่งนามว่า สุปปพุทธะ ได้อยู่ในกรุงราชคฤห์. ก็เขามีตัวถูกโรคเรื้อนรบกวนอย่างหนัก.

บทว่า มนุสฺสทลิทฺโท ความว่า เป็นผู้เข็ญใจกว่าเขาทั้งหมดในบรรดามนุษย์ในกรุงราชคฤห์. ก็เขาเย็บท่อนผ้าเก่า ที่พวกมนุษย์ทิ้งไว้ที่กองหยากเยื่อและที่รั้วเป็นต้นนุ่งห่ม. ถือกระเบื้องไปตามเรือน อาศัยข้าวตังและภัตที่เป็นเดนได้มาเลี้ยงชีพ. แม้ของนั้นเขาก็ไม่ได้ตามความต้องการ เพราะกรรมที่ตนทำไว้ในปางก่อน. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เป็นมนุษย์ขัดสน.

บทว่า มนุสฺสกปโณ ได้แก่ ในบรรดามนุษย์ เขาถึงความกำพร้าอย่างยิ่ง.

บทว่า มนุสฺสวราโก ได้แก่ ผู้ยากไร้ เพราะถูกพวกมนุษย์ติเตียนและดูหมิ่น.

บทว่า มหติยา ปริสาย ความว่า ด้วยภิกษุบริษัท และอุบาสกบริษัทหมู่ใหญ่.

ได้ยินว่า วันหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าแวดล้อมไปด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จเข้าไปบิณฑบาตยังกรุงราชคฤห์ ทรงเสวยบิณฑบาตที่พวกภิกษุได้มาด้วยดี เสด็จกลับจากบิณฑบาตภายหลังภัต แวดล้อมด้วยภิกษุจำนวนเล็กน้อย เสด็จออกรอคอยการมาของอุบาสกผู้ถวายทาน และภิกษุที่เหลือ ได้ประทับยืนในถิ่นที่รื่นรมย์แห่งหนึ่งภายในพระนครนั่นเอง. ในทันใดนั่นเอง ภิกษุทั้งหลายมาจากที่นั้นๆ พากันแวดล้อมพระผู้มีพระภาคเจ้า. ฝ่ายอุบาสกทั้งหลายเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยหมายใจว่าจักฟังอนุโมทนา ถวายบังคมแล้วกลับมา. ได้มีการประชุมใหญ่ขึ้นแล้ว. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอาการนั่ง. ในขณะนั้นนั่นเอง

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 496

ภิกษุทั้งหลายปูลาดอาสนะอันสมควรแด่พระพุทธเจ้า. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำประเทศนั้นทั้งสิ้นให้สว่างไสวด้วยพระรูปโฉมอันหาอุปมามิได้ อันรุ่งโรจน์ด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ ซึ่งประดับด้วยอนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ อันรุ่งเรือง แวดล้อมไปด้วยพระรัศมีข้างละวา อันฉายพระพุทธรังสี มีพรรณะ ๖ ประการ คือ เขียว เหลือง แดง ขาว หงสบาท และเลื่อมปภัสสร แวดล้อมไปด้วยหมู่ภิกษุ ดุจพระจันทร์เพ็ญแวดล้อมไปด้วยหมู่ดาว ประทับนั่งบนบวรพุทธอาสน์ที่บรรจงจัดไว้ ทรงบันลือสีหนาทดุจไกสรราชสีห์ ณ พื้นมโนศิลา ทรงแสดงธรรมด้วยพระสุรเสียงดุจเสียงพรหม อันไพเราะดุจเสียงร้องของนกการเวก.

ฝ่ายภิกษุทั้งหลายแล เป็นผู้มักน้อย สันโดษ ชอบสงัด ไม่คลุกคลี ปรารภความเพียร มีใจเป็นสมาธิ ชอบตักเตือนตน ติเตียนบาป ผู้กล่าวสอน อดทนต่อถ้อยคำ สมบูรณ์ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ และวิมุตติญาณทัสสนะ ห่มบังสุกุลจีวรสีเมฆ แวดล้อมพระผู้มีพระภาคเจ้า ดุจช้างตระกูลคันธะซึ่งสวมเกราะไว้ด้วยดี เงี่ยโสตลงสดับพระธรรมเทศนา. ฝ่ายอุบาสกทั้งหลายนุ่งห่มผ้าเรียบร้อย มีอุตราสงค์สะอาด ในเวลาเช้า ยังมหาทานให้เป็นไป บูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยสักการะ มีของหอมและระเบียบดอกไม้เป็นต้น ถวายบังคมแล้ว แสดงอาการนอบน้อมแก่ภิกษุสงฆ์ แวดล้อมพระผู้มีพระภาคเจ้าและภิกษุสงฆ์ สำรวมมือและเท้า เงี่ยโสตลงสดับธรรมโดยเคารพ. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ก็โดยสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าแวดล้อมไปด้วยบริษัทใหญ่ ประทับนั่งแสดงธรรมอยู่แล้ว ดังนี้เป็นต้น.

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 497

ก็สุปปพุทธะถูกความทุรพลคือความหิวครอบงำ จึงเที่ยวแสวงหาอาหาร ผ่านระหว่างถนน เห็นมหาชนนั้นประชุมกันแต่ที่ไกลลิบ เกิดความดีใจขึ้นว่า หมู่มหาชนนี้ประชุมกันด้วยเรื่องอะไรหนอ ชะรอยว่าในที่นั้นเขาคงจะแจกอาหารเป็นแน่แท้ ไฉนหนอ เราไปในที่นั้น สามารถจะได้อะไรๆ สักอย่าง ไม่ว่าจะเป็นของเคี้ยวหรือของกิน ดังนี้แล้ว จึงไปในที่นั้น ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์น่าเลื่อมใส น่าชมเชย ถึงความสงบด้วยการฝึกตนอย่างสูง ทรงฝึกแล้ว คุ้มครองแล้ว ประกอบด้วยอินทรีย์ที่สำรวมแล้ว แวดล้อมไปด้วยบริษัทนั้น แสดงธรรมอยู่ ครั้นเห็นแล้ว อันอุปนิสัยสมบัติที่แก่กล้า ซึ่งประกอบไว้ในชาติก่อนตักเตือนอยู่ จึงคิดว่า ไฉนหนอ แม้เราก็ควรฟังธรรม ดังนี้แล้ว จึงได้นั่ง ณ ท้ายบริษัท ซึ่งท่านหมายกล่าวไว้ว่า สุปปพุทธกุฏฐิ ได้เห็นแล้วแล ฯลฯ นั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง ในที่นั้นนั่นเอง ด้วยหวังใจว่า แม้เราก็จักฟังธรรม ดังนี้เป็นต้น.

บทว่า สพฺพาวนฺตํ แปลว่า มีบุคคลทุกหมู่เหล่า คือ มีบุคคลทุกเหล่า มีคนเลว เป็นต้น. ในข้อนั้นมีอธิบายว่า ไม่เหลือแม้ใครๆ ไว้. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า สพฺพวนฺตํ ดังนี้ก็มี.

บทว่า เจตสา ความว่า ด้วยพระหทัยอันประกอบด้วยพุทธจักษุ. จริงอยู่ ท่าแสดงพระญาณโดยยกจิตขึ้นเป็นประธาน เพราะฉะนั้น จึงมีอธิบายว่า ด้วยอาสยานุสยญาณและอินทริยปโรปริยัตญาณ.

บทว่า เจโต ปริจฺจ มนสากาสิ ความว่า ทรงกำหนดจิตของบริษัทนั้นเฉพาะคน แล้วทรงไว้ในพระหทัย คือ ทรงตรวจดูชนเหล่านั้น.

บทว่า ภพฺโพ ธมฺมํ วิญฺาตุํ ความว่า เป็นผู้สามารถ คือ เพียบพร้อมด้วยอุปนิสัยเพื่อบรรลุธรรม คือ มรรคและผล.

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 498

บทว่า เอตทโหสิ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้มีพระดำริดังนี้ว่า สุปปพุทธะนี้ ผิดในพระปัจเจกพุทธเจ้านามว่าตครสิขีจึงเป็นเช่นนี้ก็จริง ถึงอย่างนั้น เธอก็ยังมีอุปนิสัยแห่งมรรคและผลโชติช่วงอยู่ในภายในนั่นเอง ดุจแท่งทองถูกฝุ่นกลบไว้ เพราะฉะนั้น เขาจึงควรจะรู้แจ้ง. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า ในที่นี้ บุรุษนี้แล ควรจะรู้แจ้งธรรม ดังนี้เป็นต้น.

บทว่า อนุปุพฺพิกถํ ได้แก่ กถาตามลำดับอย่างนี้ว่า ศีลในลำดับแห่งทาน สวรรค์ในลำดับแห่งศีล มรรคในลำดับแห่งสวรรค์. จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงความยินดี พร้อมด้วยเหตุ ต่อแต่นั้น ทรงประกาศโทษโดยนัยต่างๆ เพื่อให้หมู่สัตว์สงัด แล้วจึงแสดงวิวัฏฏะ โดยการประกาศคุณแห่งเนกขัมมะเป็นประธานของเหล่าสัตว์ผู้มีหทัยสลด เพราะการฟังโทษ.

บทว่า ทานกถํ ได้แก่ กถาอันเกี่ยวเนื่องด้วยคุณของทาน มีอาทิอย่างนี้ว่า ขึ้นชื่อว่าทานนี้ เป็นเหตุแห่งความสุข เป็นมูลแห่งสมบัติ เป็นที่ตั้งแห่งโภคะ เป็นที่ต้านทาน เป็นที่เร้น เป็นคติ เป็นที่ไปในเบื้องหน้าของสัตว์ผู้ดำเนินไปตามทางที่ไม่สม่ำเสมอ ที่พึ่ง ที่พำนัก ที่ยึดหน่วง ที่ต้านทาน ที่เร้น ที่ไป ที่ไปในเบื้องหน้าเช่นกับทานนี้ ย่อมไม่มีในโลกนี้และโลกหน้า จริงอยู่ ทานนี้เป็นเช่นกับอาสนสีหะที่สำเร็จด้วยแก้ว เพราะอรรถว่า เป็นที่พึ่ง เป็นเช่นกับมหาปฐพี เพราะอรรถว่า เป็นที่พำนัก เป็นเช่นกับเชือกสำหรับยึด เพราะอรรถว่า เป็นเครื่องยึดหน่วง เป็นเช่นกับนาวา เพราะอรรถว่า เป็นที่ข้ามทุกข์ เป็นผู้กล้าหาญในสงคราม เพราะอรรถว่า เป็นที่โล่งใจ เป็นนครที่แวดล้อม

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 499

ด้วยคูรอบด้าน เพราะอรรถว่า เป็นที่ต้านทานภัยรอบด้าน เป็นดังปทุม เพราะอรรถว่า ไม่ถูกมลทินคือความตระหนี่เป็นต้นฉาบทา เป็นดังไฟ เพราะอรรถว่า เผามลทินคือความตระหนี่เป็นต้นเหล่านั้น เป็นดังอสรพิษ เพราะอรรถว่า ยินดีได้ยาก เป็นดังราชสีห์ เพราะอรรถว่า ไม่สะดุ้งกลัว เป็นดังช้าง เพราะอรรถว่า ทรงพลัง เป็นดังโคอุสภะขาว เพราะอรรถว่า อันชาวโลกสมมติกันว่าเป็นมงคลยิ่ง เป็นดังพญาม้าวลาหก เพราะอรรถว่า ส่งไปให้ถึงภูมิอันปลอดภัย จริงอยู่ ทานย่อมให้สิริราชสมบัติในโลก ให้จักรพรรดิสมบัติ สักกสมบัติ มารสมบัติ พรหมสมบัติ สาวกบารมีญาณ ปัจเจกโพธิญาณ และให้สัมมาสัมโพธิญาณ. ก็เพราะเหตุที่บุคคลผู้ให้ทานสามารถเพื่อจะสมาทานศีล ฉะนั้น พระองค์จึงทรงแสดงสีลกถาไว้ในลำดับแห่งทานกถา.

บทว่า สีลกถํ ได้แก่ กถาที่เกี่ยวเนื่องด้วยคุณแห่งศีล มีอาทิอย่างนี้ว่า ขึ้นชื่อว่าศีลนี้ เป็นที่พึ่ง เป็นที่พำนัก เป็นที่ยึดหน่วง เป็นที่ต้านทาน เป็นที่เร้น เป็นคติ เป็นที่ไปในเบื้องหน้าของสัตว์ทั้งหลาย จริงอยู่ ที่พึ่ง ที่พำนัก ที่ยึดหน่วง ที่ต้านทาน ที่เร้น ที่ไป ที่ไปในเบื้องหน้าของสมบัติในโลกนี้และโลกหน้าเช่นกับศีลย่อมไม่มี เครื่องประดับเช่นกับศีล ดอกไม้เช่นกับดอกไม้คือศีล กลิ่นเช่นกับกลิ่นของศีล ย่อมไม่มี จริงอยู่ ชาวโลกพร้อมทั้งเทวดา แลดูผู้ประดับด้วยเครื่องประดับคือศีล ผู้ทัดทรงดอกไม้คือศีล ลูบไล้ด้วยของหอมคือศีล ย่อมไม่ถึงความอิ่ม. เพื่อจะทรงแสดงว่า บุคคลได้สวรรค์นี้ก็เพราะอาศัยศีลนี้ ดังนี้แล้ว จึงทรงแสดงสัคคกถาไว้ในลำดับแห่งศีล

 
  ข้อความที่ 10  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 500

บทว่า สคฺคกถํ ได้แก่ กถาที่เกี่ยวเนื่องด้วยคุณแห่งสวรรค์ มีอาทิอย่างนี้ว่า ขึ้นชื่อว่าสวรรค์ เป็นสิ่งที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ย่อมได้ความรื่นเริงในสวรรค์นั้นเป็นนิตย์ คือ ย่อมได้สมบัติเป็นนิตย์ ได้แก่ เทพชั้นจาตุมมหาราชย่อมได้ทิพยสุข ทิพยสมบัติ ถึง ๙ ล้านปี เทพชั้นดาวดึงส์ย่อมได้ถึง ๓ โกฏิ ๖ ล้านปี. จริงอยู่ เมื่อพระพุทธเจ้าแสดงสวรรค์สมบัติ พระโอษฐ์ไม่พอ (ที่จะตรัส). สมจริงดังพระดำรัสที่พระองค์ตรัสไว้ มีอาทิว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราพึงแสดงสัคคกถาโดยอเนกปริยายแล. พระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อจะทรงประเล้าประโลมด้วยกถาแสดงความยินดีพร้อมด้วยเหตุดังพรรณนามาอย่างนี้ จึงแสดงว่า แม้สวรรค์นี้ ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่ควรทำความยินดีด้วยอำนาจความพอใจในสวรรค์นั้น เปรียบเหมือนบุคคลประดับช้างแล้ว ยังตัดงวงของช้างนั้นอีก จึงทรงแสดงโทษ ความต่ำทราม ความเศร้าหมองของกามทั้งหลาย โดยนัยมีอาทิว่า กามทั้งหลาย มีความอร่อยน้อย มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก ในสวรรค์นั้น มีโทษมากยิ่ง.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อาทีนวํ แปลว่า โทษ.

บทว่า โอการํ ได้แก่ มีความเลวทรามเป็นสภาวะ อธิบายว่า พวกคนไม่ประเสริฐ พึงส้องเสพ พวกคนประเสริฐ ไม่พึงส้องเสพ จึงชื่อว่ามีความเลวทรามเป็นสภาวะ.

บทว่า สงฺกิเลสํ ความว่า เพราะกามเหล่านั้น สัตว์ทั้งหลายจึงมีความเศร้าหมองในสงสาร. เพราะเหตุนั้นนั่นแล ท่านจึงกล่าวว่า ผู้เจริญ สัตว์ทั้งหลายจักเศร้าหมองหนอ. ครั้นทรงให้กลัวด้วยโทษแห่งกามอย่างนี้แล้ว จึงทรงประกาศอานิสงส์ในเนกขัมมะ คือ แสดงพรรณนาคุณของบรรพชาและคุณในฌานเป็นต้น.

 
  ข้อความที่ 11  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 501

บทว่า กลฺยจิตฺตํ ในบทว่า กลฺยจิตฺตํ เป็นต้น ได้แก่ จิตที่ควรแก่การงาน คือ จิตเป็นที่ตั้งแห่งการงาน อธิบายว่า เป็นจิตที่เหมาะแก่การงาน โดยเข้าถึงภาวะเป็นที่รองรับเทศนาที่ทรงประกาศไว้ในเบื้องต่ำและเทศนาเบื้องสูง เพราะปราศจากโทษแห่งจิต มีความเป็นผู้ไม่มีศรัทธาเป็นต้น. เชื่อมความว่า ในคราวที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า สุปปพุทธกุฏฐินั้น มีจิตอ่อน เพราะปราศจากกิเลส มีทิฏฐิและมานะเป็นต้น มีจิตปราศจากนิวรณ์ เพราะปราศจากนิวรณ์ มีกามฉันทนิวรณ์เป็นต้น มีจิตเบิกบาน เพราะประกอบด้วยปีติและปราโมทย์อย่างยิ่งในสัมมาปฏิบัติ และมีจิตผ่องใส เพราะสมบูรณ์ด้วยศรัทธาในสัมมาปฏิบัตินั้น. อีกอย่างหนึ่ง.

บทว่า กลฺยจิตฺตํ ได้แก่ จิตไม่มีโรค เพราะปราศจากกามฉันทนิวรณ์.

บทว่า มุทุจิตฺตํ ได้แก่ จิตไม่แข็งกระด้าง ด้วยอำนาจเมตตา เพราะปราศจากพยาบาท.

บทว่า วินีวรณจิตฺตํ ได้แก่ จิตที่ไม่ถูกปิดกั้น เพราะไม่ฟุ้งซ่าน โดยปราศจากอุทธัจจะและกุกกุจจนิวรณ์.

บทว่า อุทคฺคจิตฺตํ ได้แก่ จิตไม่หดหู่ ด้วยอำนาจประคองไว้ โดยปราศจากถีนมิทธนิวรณ์.

บทว่า ปสนฺนจิตฺตํ ได้แก่ จิตที่น้อมไปในสัมมาปฏิบัติ โดยปราศจากวิจิกิจฉานิวรณ์.

ศัพท์ อถ แปลว่า ภายหลัง.

บทว่า สามุกฺกํสิกา ได้แก่ เทศนาที่พระองค์ทรงแสดงเอง คือ ทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง ได้แก่ ทรงเห็นเองด้วยพระสยัมภูญาณ อธิบายว่า ไม่ทั่วไปแก่ชนเหล่าอื่น.

ถามว่า ก็เทศนานั้นชื่ออะไร?

ตอบว่า ชื่อว่าอริยสัจเทศนา. ด้วยเหตุนั้นนั่นแล พระองค์จึงตรัสว่า ทุกขอริยสัจ สมุทัยอริยสัจ นิโรธอริยสัจ มรรคอริยสัจ. ก็ข้อนี้ เป็นการแสดงสัจจะโดยสรุป.

 
  ข้อความที่ 12  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 502

เพราะฉะนั้น ในที่นี้ จึงควรแสดงอริยสัจ. อริยสัจเหล่านั้น เมื่อว่าโดยอาการทั้งปวง คือ โดยพิศดาร ท่านกล่าวไว้แล้วในคัมภีร์วิสุทธิมรรค เพราะเหตุนั้น พึงทราบโดยนัยที่กล่าวไว้แล้วในคัมภีร์วิสุทธิมรรคนั่นแล.

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงการละกิเลส และการยังอริยมรรคให้เกิดขึ้นแก่สุปปพุทธะด้วยอำนาจอุปมา โดยคำมีอาทิว่า เสยฺยถาปิ ดังนี้.

บทว่า อปคตกาฬกํ แปลว่า ปราศจากธรรมฝ่ายดำ.

บทว่า สมฺมเทว แปลว่า ด้วยดีนั่นแล.

บทว่า รชนํ ได้แก่ น้ำย้อมมีสีเขียว เหลือง แดง และหงสบาท เป็นต้น.

บทว่า ปฏิคฺคณฺเหยฺย แปลว่า พึงรับ คือ พึงเป็นผ้าที่ผ่องใส.

บทว่า ตสฺมึเยว อาสเน ได้แก่ ในที่นั่งนั้นนั่นเอง. ด้วยคำนี้ เป็นอันทรงแสดงถึงความที่สุปปพุทธกุฏฐินั้น มีความเห็นแจ้งได้เร็ว มีปัญญาเฉียบแหลม และเป็นสุขาปฏิปทาขิปปาภิญญาบุคคล.

บทว่า วิรชํ วีตมลํ ความว่า ชื่อว่าปราศจากธุลี เพราะไม่มีธุลีคือราคะเป็นต้น อันเป็นเหตุนำสัตว์ไปสู่อบาย ชื่อว่าปราศจากมลทิน เพราะปราศจากมลทินคือทิฏฐิและวิจิกิจฉาไม่มีส่วนเหลือ. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าปราศจากธุลี เพราะไม่มีธุลีคือกิเลส อันโสดาปัตติมรรคพึงฆ่า ชื่อว่าปราศจากมลทิน เพราะปราศจากความเป็นผู้ทุศีล ๕ อย่าง.

บทว่า ธมฺมจกฺขุํ ท่านหมายถึงโสดาปัตติผล. เพื่อจะทรงแสดงอาการเกิดขึ้นแห่งธรรมจักษุนั้น จึงตรัสว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา. ก็ธรรมจักษุนั้น แม้ทำนิโรธให้เป็นอารมณ์แล้ว ก็แทงทะลุปรุโปร่งซึ่งสังขตธรรมด้วยอำนาจกิจนั้นแล เกิดขึ้น. ในข้อนั้น มีการเทียบเคียงอุปมาดังต่อไปนี้ จิตพึงเห็นเหมือนผ้า. ภาวะที่จิตเศร้าหมองด้วยมลทินมีราคะเป็นต้น

 
  ข้อความที่ 13  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 503

พึงเห็นเหมือนภาวะที่ผ้าเปื้อนด้วยมลทินที่จรมาฉะนั้น. อนุปุพพิกถา พึงเห็นเหมือนแผ่นกระดานสำหรับซัก. ศรัทธา พึงเห็นเหมือนน้ำ. การใช้น้ำคือศรัทธาชะโลมให้ชุ่ม แล้วใช้สติสมาธิและปัญญา ทำโทสะให้หย่อนลง แล้วปรารภความเพียร ชำระจิตให้สะอาดด้วยวิธีมีสุตะเป็นต้น พึงเห็นเหมือนการเอาน้ำแช่ผ้าให้เปียก แล้วใช้น้ำด่างโคมัยขยำที่จุดดำ เพราะการประกอบนั้น. อริยมรรค พึงเห็นเหมือนน้ำย้อม. การชำระจิตที่ข่มกิเลสได้แล้วให้ผ่องแผ้วด้วยมรรค พึงเห็นเหมือนผ้าที่สะอาดผ่องใสด้วยการซักย้อมนั้นฉะนั้น.

ก็สุปปพุทธะ นั่งที่ท้ายบริษัท สดับพระธรรมเทศนา บรรลุโสดาปัตติผลอย่างนี้แล้ว มีความประสงค์จะกราบทูลถึงคุณที่ตนได้รับแด่พระศาสดา เมื่อไม่อาจหยั่งลงสู่ท่ามกลางบริษัทได้ ในเวลาที่มหาชนถวายบังคมพระศาสดาแล้ว ตามส่งเสด็จแล้วกลับ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปยังพระวิหาร แม้ตนเองก็ได้ไปยังพระวิหารด้วย. ขณะนั้น ท้าวสักกเทวราชทรงทราบว่า สุปปพุทธกุฏฐินี้มีความประสงค์จะประกาศคุณที่ตนได้รับในพระศาสนาของพระศาสดาให้ปรากฏ คิดจักทดลองเธอ จึงเสด็จไปประทับอยู่ในอากาศ ได้ตรัสคำนี้ว่า สุปปพุทธะ เธอเป็นคนขัดสน เป็นคนกำพร้า เป็นคนยากไร้ เราจะให้ทรัพย์อันหาประมาณมิได้แก่เธอ แต่เธอจงพูดว่า พระพุทธ ไม่ใช่พระพุทธ พระธรรม ไม่ใช่พระธรรม พระสงฆ์ ไม่ใช่พระสงฆ์ เราพอกันที ด้วยพระพุทธ เราพอกันที ด้วยพระธรรม เราพอกันที ด้วยพระสงฆ์. ลำดับนั้น สุปปพุทธะจึงกล่าวกะท้าวสักกนั้นว่า ท่านเป็นใคร? ตอบว่า เราเป็นท้าวสักกเทวราช. สุปปพุทธกุฏฐิกล่าวว่า ดูก่อนอันธพาล ผู้ไม่มียางอาย

 
  ข้อความที่ 14  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 504

ท่านกล่าวคำที่ไม่ควรจะกล่าวอย่างนี้ ไม่สมควรพูดกับเราเลย อนึ่ง เพราะเหตุไร ท่านจึงพูดกับเราว่า เป็นคนเข็ญใจ ขัดสน กำพร้า เราเป็นโอรสบุตรของพระโลกนาถเจ้ามิใช่หรือ เราไม่ใช่คนเข็ญใจ ขัดสน กำพร้า ที่จริงแล เราได้รับความสุขด้วยความสุขอย่างยิ่ง มีทรัพย์มาก ดังนี้แล้ว จึงกล่าวว่า

บุคคลใด ไม่เลือกว่าจะเป็นหญิงหรือชาย มีทรัพย์ ๗ อย่าง คือ ทรัพย์คือศรัทธา ทรัพย์คือศีล ทรัพย์คือหิริ ทรัพย์คือโอตตัปปะ ทรัพย์คือสุตะ ทรัพย์คือจาคะ และทรัพย์คือปัญญา บัณฑิตเรียกบุคคลนั้นว่า ไม่เข็ญใจ และชีวิตของเขาไม่เปล่า.

ดังนั้น เรานั้น จึงชื่อว่าอริยทรัพย์ ๗ ประการนี้ เพราะบุคคลผู้มีอริยทรัพย์เหล่านี้ พระพุทธเจ้า หรือพระปัจเจกพุทธเจ้า ไม่ตรัสเรียกว่า เป็นคนเข็ญใจ. ท้าวสักกะทรงสดับถ้อยคำของเขาแล้ว จึงละเขาไว้ในระหว่างทาง แล้วเสด็จไปเฝ้าพระศาสดา กราบทูลคำและคำตอบทั้งหมดนั้นแด่พระศาสดา. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะท้าวสักกะว่า ดูก่อนสักกะ เทพเช่นท่าน แม้ตั้งร้อย ตั้งพัน ก็ไม่อาจจะให้สุปปพุทธกุฏฐิกล่าวว่า พระพุทธ ไม่ใช่พระพุทธ พระธรรม ไม่ใช่พระธรรม พระสงฆ์ ไม่ใช่พระสงฆ์. แม้สุปปพุทธกุฏฐิแล ก็ไปเฝ้าพระศาสดา พระศาสดาทรงกระทำปฏิสันถารแล้ว จึงกราบทูลถึงคุณที่ตนได้รับ. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อถ โข สุปฺปพุทฺโธ กุฏฺี ทิฏฺธมฺโม ปตฺตธมฺโม ดังนี้เป็นต้น.

 
  ข้อความที่ 15  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 505

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทิฏฺธมฺโม ความว่า ชื่อว่าผู้เห็นธรรม เพราะเห็นอริยสัจจธรรม. แม้ในบทที่เหลือก็นัยนี้เหมือนกัน. บรรดาบทเหล่านั้น ธรรมศัพท์ ในบทว่า ทิฏฺธมฺโม นี้ บ่งถึงคำสามัญชื่อว่าทัสสนะ แม้อื่นไปจากญาณทัสสนะก็ยังมี เพราะเหตุนั้น ทัสสนะนั้น ท่านเรียกว่า ปตฺตธมฺโม เพื่อแสดงนิวัตตนะ (นิโรธสัจ). ก็การบรรลุแม้อื่นจากญาณสมบัติก็ยังมี เพราะเหตุนั้น ท่านจึงเรียกว่า วิทิตธมฺโม ผู้รู้แจ้งธรรม เพื่อให้แปลกไปจากญาณทัสสนะนั้น. ก็ความเป็นผู้รู้แจ้งธรรมนี้นั้น จัดเป็นส่วนหนึ่งในธรรมทั้งหลาย เพราะฉะนั้น เพื่อจะแสดงความเป็นผู้รู้แจ้งธรรมนั้นโดยทุกส่วน ท่านจึงกล่าวว่า ปริโยคาฬฺหธมฺโม ผู้หยั่งถึงธรรม. เพราะเหตุนั้น พระองค์จึงทรงแสดงเฉพาะการตรัสรู้สัจจะตามที่กล่าวแล้วแก่เขา. จริงอยู่ มรรคญาณให้สำเร็จปริญญากิจเป็นต้น ด้วยอำนาจการตรัสรู้ครั้งเดียว ชื่อว่าหยั่งลงสู่ไญยธรรมโดยทุกส่วน รอบด้าน ไม่ใช่ญาณอื่นนอกจากมรรคญาณนั้น. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ทิฏฺโ อริยสจฺจธมฺโม เอเตนาติ ทิฏฺธมฺโม ดังนี้เป็นต้น. เพราะเหตุนั้นนั่นแล ท่านจึงกล่าวคำมีอาทิว่า ติณฺณวิจิกิจฺโฉ ผู้ข้ามความสงสัยได้แล้ว ดังนี้.

ในธรรมเหล่านั้น ผู้ชื่อว่าข้ามความสงสัยได้แล้ว เพราะข้ามความสงสัยมีวัตถุ ๑๖ ประการ และมีวัตถุ ๘ ประการ ซึ่งเป็นเสมือนหนทางกันดารที่มีภัย. ในบรรดาธรรมมีปวัตติ (ทุกขสัจ) เป็นต้น จากธรรมนั้นนั่นแล ชื่อว่าผู้ปราศจากความเคลือบแคลง เพราะปราศจากคือตัดขาดความเคลือบแคลงที่เป็นไปอย่างนี้ว่า เราได้เป็นอย่างนี้หรือไม่หนอ. ชื่อว่าถึงความแกล้วกล้า เพราะถึงความแกล้วกล้า คือ ภาวะแห่งผู้องอาจ

 
  ข้อความที่ 16  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 506

ได้แก่ ความเป็นผู้เชี่ยวชาญ เพราะละบาปธรรมที่ทำความไม่แกล้วกล้า และเพราะตั้งอยู่ด้วยดีในคุณมีศีลเป็นต้น อันเป็นข้าศึกต่อบาปธรรมนั้น. ชื่อว่าไม่ต้องมีคนอื่นสนับสนุนในศาสนาของพระศาสดา เพราะไม่มีคนอื่นสนับสนุน คือ ไม่ได้ประพฤติในศาสนานี้โดยเชื่อต่อผู้อื่น.

ในคำว่า อภิกฺกนฺตํ ภนฺเต เป็นต้น มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ อภิกฺกนฺต ศัพท์นี้ ปรากฏในอรรถหลายอย่าง มีอรรถว่า สิ้นไป ดี งาม และอนุโมทนายิ่ง เป็นต้น แม้โดยแท้ ถึงอย่างนั้น ในที่นี้ พึงเห็น อภิกฺกนฺต ศัพท์ ใช้ในอรรถว่า อนุโมทนายิ่ง. ด้วยเหตุนั้นนั่นแล อภิกกันต ศัพท์นั้น ท่านจึงกล่าวไว้ถึง ๒ ครั้ง คือ ด้วยความเลื่อมใส ๑ ด้วยความสรรเสริญ ๑ อธิบายว่า ดีละ ดีละ พระเจ้าข้า. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า อภิกฺกนฺตํ แปลว่า น่าใคร่ น่าปรารถนา น่าชอบใจยิ่ง อธิบายว่า ดียิ่ง. ใน ๒ ศัพท์นั้น สุปปพุทธกุฏฐิ ชมเชยเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วย อภิกกันต ศัพท์ ศัพท์หนึ่ง ชมเชยความเลื่อมในของตนด้วย อภิกกันต ศัพท์ อีกศัพท์หนึ่ง. จริงอยู่ ในข้อนั้น มีอธิบายดังต่อไปนี้ พระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าแจ่มแจ้งนัก พระเจ้าข้า ความเลื่อมใสของข้าพระองค์ เพราะอาศัยพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า แจ่มแจ้งนัก พระเจ้าข้า. อีกอย่างหนึ่ง สุปปพุทธกุฏฐิกล่าว ๒ บท ชมเชยพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าเท่านั้นว่า แจ่มแจ้งนัก โดยให้โทสะพินาศไป แจ่มแจ้งนัก โดยบรรลุคุณ แจ่มแจ้งนัก โดยนำมาซึ่งศรัทธา โดยให้เกิดปัญญา โดยพร้อมด้วยอรรถ โดยพร้อมด้วยพยัญชนะ โดยบทอันง่าย โดยอรรถอันลึกซึ้ง โดยสบายหู โดยจับใจ โดยไม่ยกตน โดยไม่ข่มผู้อื่น โดยความเยือกเย็นเพราะพระกรุณา

 
  ข้อความที่ 17  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 507

โดยความผ่องแผ้วแห่งปัญญา โดยประสบอารมณ์ โดยทนต่อการย่ำยี โดยเป็นความสุขแก่ผู้ฟัง โดยเป็นประโยชน์แก่ผู้ใคร่ครวญ. ต่อแต่นั้น จึงชมเชยเฉพาะเทศนาด้วยอุปมา ๔ ข้อ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นิกฺกุชฺชิตํ ได้แก่ วางคว่ำไว้ หรือเอาปากไว้ล่าง.

บทว่า อุกฺกุชฺเชยฺย ได้แก่ พึงหงายขึ้น.

บทว่า ปฏิจฺฉนฺนํ ได้แก่ ปิดไว้ด้วยหญ้าและใบไม้เป็นต้น.

บทว่า วิวเรยฺย แปลว่า พึงเปิด.

บทว่า มุฬฺหสฺส ได้แก่ ผู้หลงทิศ.

บทว่า มคฺคํ อาจิกฺเขยฺย ความว่า พึงจับมือ แล้วชี้ทางว่า นั่นทาง.

บทว่า อนฺธกาเร ได้แก่ ในที่มืด ประกอบด้วยองค์ ๔ นี้เป็นอรรถเฉพาะบทก่อน. ส่วนการประกอบอธิบาย มีดังต่อไปนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อให้เราผู้เบือนหน้าจากพระสัทธรรมตกอยู่ในอสัทธรรมแล้ว ให้ออกจากอสัทธรรม เหมือนใครๆ พึงหงายภาชนะที่คว่ำไว้ฉะนั้น ทรงเปิดเผยพระศาสนา ที่รกชัฏคือมิจฉาทิฏฐิปิดบังไว้ ตั้งแต่พระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปะอันตรธานไป เหมือนบุคคลเปิดภาชนะที่ปิดบังไว้ฉะนั้น ทรงกระทำให้แจ้งซึ่งทางสวรรค์และนิพพานแก่เราผู้ดำเนินไปในทางชั่ว ทางผิด เหมือนบุคคลบอกทางแก่คนหลงทางฉะนั้น เมื่อเราจมอยู่ในความมืด คือ โมหะ ไม่เห็นรูปรัตนะ มีพุทธรัตนะเป็นต้น จึงทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย เพราะประกาศโดยนัยต่างๆ โดยทรงไว้ซึ่งความโชติช่วงแห่งเทศนาอันกำจัดมืดคือโมหะ ซึ่งเป็นตัวปกปิดรัตนะมีพุทธรัตนะเป็นต้นไว้ เหมือนบุคคลตามประทีปไว้ในที่มืดฉะนั้น. ครั้นชมเชยเทศนาอย่างนี้แล้ว มีจิตเลื่อมใสในพระรัตนตรัยด้วยเทศนานั้น เมื่อจะทำอาการเลื่อมใส จึงกล่าวคำมีอาทิว่า เอสาหํ ดังนี้.

 
  ข้อความที่ 18  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 508

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอสาหํ ตัดเป็น เอโส อหํ.

บทว่า ภควนฺตํ สรณํ คจฺฉามิ ความว่า ข้าพระองค์ขอถึง ขอคบ ขอรู้ หรือว่าขอหยั่งรู้พระผู้มีพระภาคเจ้า โดยความประสงค์นี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นสรณะ เป็นที่ยึดหน่วงในเบื้องหน้า เป็นที่กำจัดทุกข์ เป็นที่ทรงไว้ซึ่งประโยชน์เกื้อกูลของข้าพระองค์. จริงอยู่ คติเป็นอรรถของธาตุเหล่าใด ถึงพุทธิก็เป็นอรรถของธาตุเหล่านั้น.

บทว่า ธมฺมํ ความว่า ชื่อว่าธรรม เพราะทรงไว้ซึ่งผู้บรรลุมรรค ผู้กระทำให้แจ้งซึ่งนิโรธ ผู้ปฏิบัติตามที่ทรงพร่ำสอน ไม่ให้ตกไปในอบาย ๔. พระธรรมนั้น โดยอรรถก็คือ อริยมรรคและพระนิพพานนั่นเอง. สมจริงดังพระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายที่เป็นสังขตะมีประมาณเพียงใด อริยมรรคมีองค์ ๘ เราตถาคตกล่าวว่า เลิศกว่าสังขตธรรมเหล่านั้น และว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายที่เป็นสังขตะก็ดี อสังขตะก็ดี มีประมาณเพียงใด วิราคธรรม เราตถาคตกล่าวว่า เลิศกว่าสังขตธรรม หรืออสังขตธรรมเหล่านั้น. ไม่ใช่เพียงอริยมรรคและพระนิพพานอย่างเดียวเท่านั้นที่ตถาคตกล่าวว่าเลิศ ถึงแม้พระปริยัติธรรมพร้อมด้วยอริยผล เราตถาคตก็กล่าวว่า เลิศเหมือนกัน. สมจริงดังพระดำรัสที่ตรัสไว้ว่า

เธอจงเข้าถึงธรรมนี้ อันเป็นที่สำรอกราคะ ไม่เอนเอียง ไม่เศร้าโศก ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง ไม่น่ารังเกียจ ไพเราะช่ำชอง ที่จำแนกไว้ดีแล้ว เพื่อเป็นที่พึ่ง.

 
  ข้อความที่ 19  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 509

จริงอยู่ ในพระคาถาว่า มรรค ตรัสว่า เป็นธรรมเครื่องสำรอกราคะ.

บทว่า อเนชมโสกํ ได้แก่ อริยผล.

บทว่า อสงฺขตํ ได้แก่ พระนิพพาน. ด้วยคำว่า อปฺปฏิกูลํ มธุรมิมํ ปคุณํ สุวิภตฺตํ นี้ ทรงประสงค์ถึงพระปริยัติธรรม.

บทว่า ภิกฺขุสงฺฆํ ได้แก่ หมู่พระอริยบุคคล ๘ ผู้ทัดเทียมกัน โดยความเสมอกันด้วยทิฏฐิและศีล. ด้วยลำดับคำเพียงเท่านี้ สุปปพุทธะ ได้ประกาศถึงไตรสรณคมน์.

บทว่า อชฺชตคฺเค ในคำว่า อุปาสกํ มํ ภาวา ธาเรตุ อชฺชตคฺเค ปาณุเปตํ สรณํ คตํ นี้ แปลว่า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป. บาลีว่า อชฺชทคฺเค ดังนี้ก็มี. ท อักษรในบทว่า อชฺชทคฺเค นี้ ทำการเชื่อมบท ความว่า อชฺช อคฺเค อชฺเช อาทึ กตฺวา แปลว่า ในที่สุดวันนี้ คือ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป.

บทว่า ปาณุเปตํ ได้แก่ ประกอบด้วยลมปราณ อธิบายว่า ชีวิตของข้าพระองค์ยังเป็นไปอยู่ตราบใด ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า จงทรงทำ คือ จงทรงทราบข้าพระองค์ว่า ผู้เข้าถึง คือ ผู้ถึงสรณะ ด้วยไตรสรณคมน์ อันไม่ทั่วไปแก่ศาสดาอื่น ผู้ชื่อว่าเป็นอุบาสก คือ เป็นกัปปิยการก เพราะเข้าถึงพระรัตนตรัยตราบนั้น. ก็การถึงสรณคมน์ของสุปปพุทธะนี้เป็นสำเร็จแล้ว ด้วยการบรรลุอริยมรรคนั้นแล แต่เมื่อจะทำอัธยาศัย (ของตน) ให้แจ่มแจ้ง จึงได้กราบทูลอย่างนั้น

บทว่า ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทิตฺวา อนุโมทิตฺวา ความว่า ครั้นมีใจบันเทิงพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว เมื่อจะประกาศว่าตนบันเทิงพระดำรัสนั้นนั่นแล จึงอนุโมทนาด้วยวาจา โดยนัยดังกล่าวไว้แล้ว

บทว่า อภิวาเทตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา ปกฺกามิ ความว่า ครั้นถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นด้วยเบญจางคประดิษฐ์ แล้วกระทำประทักษิณ ๓ รอบ

 
  ข้อความที่ 20  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 510

มีจิตน้อมไปในคุณของพระศาสดา พลางเพ่งดูประคองอัญชลี น้อมนมัสการพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นแล จนลับสายตา จึงหลีกไป. ก็สุปปพุทธะผู้หลีกไป ซึ่งมีมือเท้าและนิ้วด้วนเพราะถูกโรคเรื้อนครอบงำ มีตัวเปื้อนคูถ มีของไม่สะอาดไหลออกรอบตัว ถูกฝีบีบคั้นไม่สะอาด มีกลิ่นเหม็น น่าเกลียดยิ่งนัก ถึงความเป็นผู้น่าสงสารอย่างยิ่ง ถูกแม่โคลูกอ่อน ซึ่งถูกบาปกรรมอันเข้าไปตัดรอนให้เป็นไปพร้อมเพื่อมีอายุน้อย ที่ตนสั่งสมกระทำไว้ตักเตือนอยู่ พอเมื่อบุญกรรมอันให้เป็นไปพร้อมเพื่อสวรรค์ได้โอกาส เหมือนความมุ่งหมายที่เกิดขึ้นว่า กายนี้ไม่สมควรเพื่อเป็นที่รองรับอริยธรรมอันประณีตยิ่งนักซึ่งสงบอย่างแท้จริงนี้ ดังนี้ จึงขวิดให้ล้มลงตายไป. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ครั้งนั้นแล แม่โคลูกอ่อนชนสุปปพุทธกุฏฐิผู้หลีกไปไม่นานให้ล้มลง ปลงเสียจากชีวิต ดังนี้เป็นต้น.

เล่ากันมาว่า ในอดีตกาล สุปปพุทธกุฏฐินั้นเป็นบุตรเศรษฐีคนหนึ่ง กำลังเล่นกับบุตรเศรษฐี ๓ คน ผู้เป็นสหายของตน นำหญิงแพศยางามเมืองคนหนึ่ง ไปสู่อุทยาน เสวยสมบัติตลอดวัน เมื่อพระอาทิพย์ลับไป ได้กล่าวคำนี้กะสหายทั้งหลายว่า ทองคำเป็นจำนวนมากมีถึงพันกหาปณะ และเครื่องประดับมีค่ามาก มีอยู่ในมือของหญิงคนนี้ ในที่นี้ไม่มีใครอื่น และก็ค่ำแล้ว เอาเถอะ พวกเราจะช่วยกันฆ่าหญิงนี้เสียให้ตาย แล้วถือเอาทรัพย์ทั้งหมดไป. คนทั้ง ๔ นั้น มีอัธยาศัยเป็นอันเดียวกัน จึงเข้าไปเพื่อจะฆ่าหญิงนั้น. หญิงคนนั้นเมื่อถูกพวกเขาจะฆ่า จึงตั้งความปรารถนาว่า คนพวกนี้ไม่มียางอาย ไร้ความกรุณา ความสันถวะด้วยอำนาจกิเลสกับเราแล้ว ยังจะฆ่าเราผู้ไม่มีความผิด เพราะความโลภในทรัพย์อย่างเดียว

 
  ข้อความที่ 21  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 511

คนพวกนี้ ฆ่าเราครั้งเดียวก่อน ส่วนเราขอให้ได้เกิดเป็นยักษิณี ก็สามารถเพื่อจะฆ่าคนพวกนี้ได้หลายครั้ง ดังนี้ แล้วจึงตายไป. ได้ยินว่า ในคนเหล่านั้น คนหนึ่งได้เป็นกุลบุตร ชื่อว่าปุกกุสะ คนหนึ่งเป็นพาหิยทารุจีริยะ คนหนึ่งเป็นเพชฌฆาตเคราแดง และคนเหนึ่งเป็นสุปปพุทธกุฏฐิ ในหลายร้อยอัตภาพของคนทั้ง ๔ ดังว่ามานี้ นางเกิดเป็นแม่โคในกำเนิดยักษ์ ปลงชีวิต (ของคนเหล่านั้น). ก็ด้วยวิบากของกรรมนั้น คนเหล่านั้นจึงถึงความตายในระหว่างอัตภาพนั้นๆ. สุปปพุทธกุฏฐิตายโดยฉับพลันด้วยอาการอย่างนี้. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อถ โข อจิรปกฺกนฺตํ ฯเปฯ โวโรเปสิ ดังนี้เป็นต้น.

ครั้งนั้นแล ภิกษุหลายรูปกราบทูลการทำกาละของสุปปพุทธกุฏฐิแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว จึงทูลถามถึงเบื้องหน้า (ของเขา). พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสพยากรณ์แล้ว. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อถ โข สมฺพหุลา ภิกฺขู เป็นต้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ติณฺณํ สํโยชนานํ ปริกฺขยา ความว่า เพราะการละโดยสมุจเฉทเด็ดขาดซึ่งเครื่องผูกในภพสามนี้ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาส.

บทว่า โสตาปนฺโน ได้แก่ ผู้บรรลุอริยมรรค กล่าวคือ กระแสครั้งแรก. สมจริงดังคำที่ท่านกล่าวไว้ว่า อาวุโสสารีบุตร ท่านกล่าวว่า โสโต โสโต นี้ อาวุโส โสตะ เป็นไฉนหนอแล คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้แหละ ชื่อว่าโสตะ ดังนี้เป็นต้น.

บทว่า อวินิปาตธมฺโม แปลว่า ไม่มีการตกต่ำเป็นธรรมดา. ชื่อว่าผู้มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เพราะท่านไม่มีความตกต่ำไปเป็นธรรมดา อธิบายว่า ไม่มีการตกไปด้วยอำนาจการเกิดในอบาย ๔ เป็นสภาวะ.

 
  ข้อความที่ 22  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 512

บทว่า นิยโต ได้แก่ แน่นอนโดยธรรมนิยาม คือ โดยการกำหนดแน่นอน.

บทว่า สมฺโพธิปรายโน ความว่า ชื่อว่าเป็นผู้ที่จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า เพราะการตรัสรู้กล่าวคือมรรคสามเบื้องสูง พึงเป็นที่ไป เป็นคติ เป็นที่พึ่งอาศัยในเบื้องหน้า คือ อันตนจะพึงบรรลุแน่แท้. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงแสดงเนื้อความนี้ไว้ว่า เมื่อมีคำถามว่า คติของเขาเป็นอย่างไร ภพหน้าของเขาเป็นอย่างไร ก็ตรัสว่า คติของสุปปพุทธะเจริญแล ไม่เสื่อม. แต่คติไม่สมบูรณ์ เพราะกรรมนั้น. ก็พระองค์ผู้เป็นพระธรรมราชา ทรงมีพระประสงค์จะประกาศความนั้นอันเนื่องด้วยความสืบต่อแห่งคำถาม จึงได้ภาษิตความไว้เพียงเท่านี้แล. จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นว่า เมื่อเรากล่าวคำเพียงเท่านี้ บรรดาผู้มีสติรอบคอบเหล่านี้เท่านั้น ภิกษุรูปหนึ่งผู้ฉลาดในอนุสนธิจักถามถึงเหตุว่า สุปปพุทธะ เป็นโรคเรื้อน เป็นคนเข็ญใจ และเป็นคนกำพร้า เมื่อเป็นเช่นนั้น เราจักประกาศเหตุข้อนั้นของสุปปพุทธะ ด้วยความสืบต่อแห่งคำถามนั้นแล้วจบเทศนาลง. ด้วยเหตุนั้นนั่นแล พระองค์จึงตรัสว่า เอวํ วุตฺเต อญฺตโร ภิกฺขุ ดังนี้เป็นต้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เหตุ ได้แก่ เหตุที่ไม่ทั่วไป. ส่วนเหตุที่ทั่วไป ได้แก่ ปัจจัยแล. เหตุทั้งสองอย่างนั้น มีความแปลกกันดังนี้.

บทว่า เยน ได้แก่ ด้วยเหตุและด้วยปัจจัยใด.

บทว่า ภูตปุพฺพํ ได้แก่ เหตุที่เคยเกิดแล้ว. เพื่อจะแสดงความที่เหตุเกิดในอดีตกาล ท่านจึงกล่าวคำว่า สุปฺปพุทฺโธ ดังนี้เป็นต้น.

ถามว่า ก็เหตุเกิดขึ้นในกาลไหน?

ข้าพเจ้าจะเฉลย. เล่ากันมาว่า ในอดีตกาล เมื่อพระตถาคตยังไม่เสด็จอุบัติ กุลธิดาคนหนึ่งในบ้านแห่งหนึ่ง

 
  ข้อความที่ 23  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 513

รักษานารอบกรุงพาราณสี. นางเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้ารูปหนึ่ง มีจิตเลื่อมใส จึงถวายดอกปทุมดอกหนึ่ง พร้อมด้วยข้าวตอก ๕๐๐ แด่พระปัจเจกพุทธเจ้านั้น แล้วตั้งปรารถนาได้บุตร ๕๐๐ คน. ก็ในขณะนั้นนั่นเอง พรานเนื้อ ๕๐๐ คน ก็ถวายเนื้อมีรสอร่อยแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วตั้งความปรารถนาว่า ขอพวกเราพึงเป็นลูกของนาง และว่า ขอพวกเราพึงได้คุณวิเศษที่ท่านได้รับแล้ว. นางดำรงอยู่จนชั่วอายุแล้วบังเกิดในเทวโลก จุติจากเทวโลกนั้นแล้วบังเกิดในกลีบปทุม ในสระที่เกิดขึ้นเองแห่งหนึ่ง. ดาบสตนหนึ่งพบนางเข้าจึงเลี้ยงดู. เมื่อนางเที่ยวไป ดอกปทุมทั้งหลายก็ผุดขึ้นจากพื้นดินทุกๆ ย่างเท้า. พรานไพรคนหนึ่งเห็นเข้าจึงกราบทูลแด่พระเจ้าพาราณสี. พระราชาทรงรับสั่งให้นำนางมา แล้วตั้งให้เป็นอัครมเหสี. นางตั้งครรภ์แล้ว. มหาปทุมกุมารอยู่ในท้องของนาง. ส่วนพระกุมารที่เหลือ อาศัยมลทินครรภ์บังเกิด. พระกุมารเหล่านั้นเจริญวัยแล้ว พากันเล่นในสระปทุมในพระราชอุทยาน นั่งในดอกปทุมคนละดอก มีญาณแก่กล้า เริ่มตั้งความสิ้นไปและเสื่อมไปในสังขารทั้งหลาย แล้วบรรลุปัจเจกโพธิญาณ. พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น ได้มีคาถาพยากรณ์ว่า

ท่านจงดูใบและกลีบ ของดอกปทุมที่เกิดขึ้นในสระ บานเต็มที่แล้ว ก็เกลื่อนกล่นไปด้วยหมู่ภมร โดยเป็นของไม่เที่ยง พอเห็นความไม่เที่ยงนั้นแล้ว พึงเป็นผู้เดียวเที่ยวไปดังนอแรดเถิด.

พระปัจเจกสัมพุทธเจ้า นามว่า ตครสิขี ผู้อยู่ในภายในพระปัจเจกพุทธเจ้า ๕๐๐ รูปเหล่านั้น ผู้บรรลุปัจเจกโพธิญาณอย่างนั้น เข้านิโรธสมาบัติตลอด ๗ วัน

 
  ข้อความที่ 24  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 514

ที่เงื้อมนันทมูลกะ ณ คันธมาทนบรรพต ล่วงไป ๗ วัน จึงออกจากนิโรธ เหาะมาลงที่อิสิคิลิบรรพต ในเวลาเช้า ครองผ้าแล้ว ถือบาตรและจีวร แล้วเข้าไปบิณฑบาตยังกรุงราชคฤห์. ก็ในสมัยนั้น ในกรุงราชคฤห์ มีบุตรเศรษฐีคนหนึ่งพร้อมด้วยบริวารหมู่ใหญ่ ออกจากพระนครเพื่อกรีฑาในอุทยาน พบพระปัจเจกพุทธเจ้านามว่า ตครสิขี คิดว่า ใครนี่ หัวโล้น ครองผ้ากาสาวะ จักเป็นคนโรคเรื้อน เอาผ้าของคนโรคเรื้อนคลุมร่างกายไปอย่างนั้นแล ดังนี้แล้ว จึงถ่มน้ำลาย หลีกไปทางเบื้องซ้าย ซึ่งท่านหมายกล่าวไว้ว่า สุปฺปพุทฺโธ กุฏฺี อิมสฺมึเยว ราชคเห ฯเปฯ ปกฺกามิ ดังนี้เป็นต้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กฺวายํ ตัดเป็น โก อยํ (คือ) เรากล่าวโดยการขู่. บาลีว่า โกวายํ ดังนี้ก็มี.

ด้วยบทว่า กุฏฺิ เขากล่าว ถึงท่านผู้ไม่เป็นโรคเรื้อน ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่นั้นแล ว่าเป็นโรคเรื้อน ให้ถึงอักโกสวัตถุ.

บทว่า กุฏฺิจีวเรน แปลว่า ด้วยจีวรของคนโรคเรื้อน. ท่านแสดงว่า ก็แม้พระปัจเจกพุทธเจ้านี้ก็เหมือนคนโรคเรื้อน โดยมากที่ถือเอาผ้าอย่างใดอย่างหนึ่งมานุ่งห่ม เพื่อป้องกันเหลือบยุง เป็นต้น และเพื่อป้องกันโรค. อีกอย่างหนึ่ง เพราะเหตุที่ท่านทรงผ้าบังสุกุลจีวร เขาจึงดูหมิ่นว่า เป็นเหมือนร่างของคนขี้เรื้อน เพราะผ้าปะ มีสีหลายอย่าง จึงกล่าวว่า กุฏฺิจีวเรน ดังนี้.

บทว่า นิฏฺฐุหิตฺวา ได้แก่ ถ่มน้ำลาย.

บทว่า อปพฺยามโต กริตฺวา ความว่า บัณฑิตทั้งหลาย เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้เช่นนั้น ไหว้แล้วกระทำประทักษิณ แต่บุรุษโรคเรื้อนนี้เดินไปทางซ้ายพระปัจเจกพุทธเจ้านั้น คือ ให้ทานอยู่ด้านซ้ายมือตน เดินไปด้วยความดูหมิ่น เพราะความที่ตนไม่เป็นวิญญูชน. ปาฐะว่า อปวามโต ดังนี้ก็มี.

 
  ข้อความที่ 25  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 515

บทว่า ตสฺส กมฺมสฺส ได้แก่ กรรมชั่วที่เป็นไปด้วยการดูหมิ่นพระปัจเจกพุทธเจ้านามว่าตครสิขีว่า ใครนี้เป็นโรคเรื้อน แล้วจึงถ่มน้ำลายหลีกไปทางซ้าย.

บทว่า นิรเย ปจิตฺถ ได้แก่ เขาถูกไฟนรกไหม้. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ปจิตฺวา นิรยคฺคินา ดังนี้ก็มี.

บทว่า ตสฺเสว กมฺมสฺส วิปากวเสเสน ได้แก่ เขาถือปฏิสนธิในนรกด้วยกรรมใด กรรมนั้นย่อมไม่ให้ผลในมนุษยโลก อนึ่ง เวทนาของเขาอันเป็นไปในขณะต่างกัน เป็นไปด้วยอำนาจการปฏิบัติผิดในพระปัจเจกพุทธเจ้าในเวลานั้น เป็นกรรมอำนวยผลในภพต่อๆ ไป เมื่อวิบากกรรมให้ปฏิสนธิเป็นไตรเหตุในพวกมนุษย์ เพราะบุญกรรมอันเป็นตัวอำนวยผลในภพอื่นๆ นั้นแล แต่ให้ถึงความเป็นโรคเรื้อน เป็นคนเข็ญใจ และเป็นคนน่าสงสารยิ่งนัก ในปวัตติกาล. ซึ่งท่านหมายกล่าวไว้ว่า ด้วยเศษของวิบากกรรมนั้นนั่นเอง ด้วยอำนาจความเป็นกรรมมีส่วนเสมอกัน. จริงอยู่ การบัญญัติกรรมนั้น ปรากฏแล้วในโลกแม้เช่นนี้ เหมือนการบัญญัตินั่นแลว่า สิ่งที่มีรสขมเท่านั้นเป็นโอสถ. ครั้นทรงแก้ปัญหาที่ภิกษุนั้นทูลถามว่า เหตุอะไรหนอ พระเจ้าข้า ดังนี้ ด้วยลำดับคำเพียงเท่านี้ บัดนี้ เพื่อจะแก้ปัญหาที่ภิกษุทั้งหลายถามในกาลก่อนว่า ท่านมีคติเป็นอย่างไร ภพเบื้องหน้าของท่านเป็นอย่างไร จึงตรัสคำมีอาทิว่า โส ตถาคตปฺปเวทิตํ ธมฺมวินยํ ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตถาคตปฺปเวทิตํ ความว่า ชื่อว่า ตถาคตปฺปเวทิตํ เพราะพระตถาคตคือพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงแล้ว ตรัสแล้ว ทรงประกาศแล้ว.

บทว่า อาคมฺม ได้แก่ บรรลุ อีกอย่างหนึ่ง บทว่า อาคมฺม เพราะอาศัยแล้วจึงรู้. ปาฐะว่า ตถาคตปฺปเวทิเต ธมฺมวินเย ดังนี้ก็มี.

 
  ข้อความที่ 26  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 516

บทว่า สทฺธํ สมาทิยิ ความว่า เขาถือเอาโดยชอบซึ่งศรัทธาทั้ง ๒ อย่าง คือ ศรัทธาที่เป็นส่วนบุรพภาค อันเป็นที่อาศัยแห่งพระรัตนตรัยว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ตรัสรู้โดยชอบและด้วยพระองค์เอง ๑ พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ๑ พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ปฏิบัติดีแล้ว ๑ และศรัทธาที่เป็นโลกุตระ อธิบายว่า ถือเอาจนสิ้นภพ โดยที่ไม่ต้องถือเอาอีก คือ ทำให้เกิดขึ้นในจิตสันดานของตน แม้ในบทมีอาทิว่า สีลํ สมาทิยิ ก็นัยนี้เหมือนกัน.

บทว่า สีลํ ได้แก่ ศีลที่สัมปยุตด้วยมรรคจิตและที่สัมปยุตด้วยผลจิต พร้อมด้วยศีลอันเป็นส่วนเบื้องต้น.

บทว่า สุตํ ได้แก่ สุตะทั้ง ๒ อย่าง คือ ความเป็นผู้มีปริยัติธรรมอันสดับแล้วมาก ๑ ความเป็นผู้มีปฏิเวธอันสดับแล้วมาก ๑ จริงอยู่ แม้ปริยัติธรรมมีประการตามที่สาวกทั้งหลายได้แล้วด้วยการแทงตลอดสัจจะในเวลาสดับธรรม เธอก็ได้สดับแล้ว ทรงจำแล้ว ได้สั่งสมแล้ว ได้เพ่งด้วยใจแล้ว และได้แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฏฐิ.

บทว่า จาคํ ได้แก่ จาคะ กล่าวคือ การปล่อยวางอภิสังขาร คือ กิเลส อันปฐมมรรค (โสดาปัตติมรรค) พึงฆ่า อันเป็นเหตุให้พระอริยสาวกทั้งหลายเป็นผู้สละเด็ดขาดในไทยธรรม มีมือสะอาด ยินดีในการเสียสละ.

บทว่า ปญฺํ ได้แก่ ปัญญาอันสัมปยุตด้วยมรรคจิต และปัญญาอันสัมปยุตด้วยผลจิต พร้อมด้วยวิปัสสนาปัญญา.

บทว่า กายสฺสส เภทา ได้แก่ เพราะละขันธ์ที่มีใจครอง.

บทว่า ปรมฺมรณา ได้แก่ แต่การถือเอาขันธ์อันบังเกิดเฉพาะในขณะนั้น.

อีกอย่างหนึ่ง บทว่า กายสฺส เภทา ได้แก่ เพราะชีวิตินทรีย์ขาดไป.

บทว่า ปรมฺมรณา ได้แก่ เบื้องหน้าแต่จุติจิต. แม้ด้วยบททั้ง ๓ คือ

 
  ข้อความที่ 27  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 517

สุคตึ สคฺคํ โลกํ ท่านกล่าวถึงเทวโลกเท่านั้น. จริงอยู่ เทวโลกนั้น ชื่อว่าสุคติ เพราะเป็นคติดี เหตุงดงามด้วยสมบัติทั้งหลาย. ชื่อว่าสัคคะ เพราะเลิศด้วยดีด้วยอารมณ์ทั้งหลายมีรูปารมณ์เป็นต้น อีกอย่างหนึ่ง เรียกว่า โลก เพราะเห็นแต่ความสุขตลอดทุกกาล หรือเรียกว่า โลก เพราะผุพัง.

บทว่า อุปปนฺโน ได้แก่ เข้าถึงโดยถือปฏิสนธิ.

บทว่า สหพฺยตํ ได้แก่ ความเป็นสหาย. แต่อรรถแห่งคำมีดังนี้ว่า ชื่อว่า สหัพยะ เพราะอรรถว่าไป คือ เป็นไป ได้แก่ อยู่ร่วมกัน คือ สหัฏฐายี ยืนร่วมกัน หรือสหวาสี อยู่ร่วมกัน. ภาวะแห่งสหัพยะ ชื่อว่า สหัพยตา.

บทว่า อติโรจติ ได้แก่ ชื่อว่ารุ่งโรจน์ เพราะล่วง หรือว่าไพโรจน์ เพราะครอบงำ.

บทว่า วณฺเณน ได้แก่ สมบูรณ์ด้วยรูป.

บทว่า ยสสา แปลว่า ด้วยบริวาร. จริงอยู่ เขาทอดทิ้งร่างกายมีประการดังกล่าวไว้ในโลกนี้ แล้วได้อัตภาพทิพย์ตามที่กล่าวแล้ว พร้อมด้วยบริวารเป็นอันมาก โดยชั่วขณะจิตเดียว เหมือนบุคคลทิ้งภาชนะดินที่เปื้อนของไม่สะอาด ทั้งชำรุด แล้วถือเอาภาชนะทองชมพูนุทอันบริสุทธิ์วิจิตรด้วยรัตนะหลากหลาย หุ้มด้วยข่ายรัศมีอันประภัสสร.

บทว่า เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ความว่า ทรงทราบโดยประการทั้งปวงซึ่งโทษในการไม่งดเว้นบาปและอานิสงส์ในการงดเว้นบาปนี้ จึงทรงเปล่งอุทานนี้ อันประกาศซึ่งความนั้น.

อุทานนั้น มีความสังเขปดังต่อไปนี้ บุรุษผู้มีจักษุ เมื่อความพยายามคือความเพียรทางกายมีอยู่ คือ เป็นไปอยู่ในร่างกาย ย่อมเว้นที่ไม่สม่ำเสมอ มีเหว เป็นต้น หรือรูปที่ไม่สม่ำเสมอ มีรูปช้าง รูปม้า รูปงู รูปไก่ และรูปโค เป็นต้น เพราะมีความดุร้ายเป็นสภาวะ ฉันใด บัณฑิต

 
  ข้อความที่ 28  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 518

คือ บุรุษผู้มีปัญญาในชีวโลกคือในสัตวโลกนี้ ก็ฉันนั้น เมื่อรู้ประโยชน์เกื้อกูลแก่ตน เพราะความเป็นผู้มีปัญญานั้น พึงเว้นบาปทั้งหลาย คือ ทุจริตลามก อธิบายว่า ก็เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่พึงถึง โดยประการที่สุปปพุทธะนี้ไม่เว้นบาปในพระปัจเจกพุทธเจ้านามว่า ตครสิขี แล้วถึงความวอดวายอย่างใหญ่หลวง อีกอย่างหนึ่ง อธิบายว่า สุปปพุทธกุฏฐิ อาศัยธรรมเทศนาของเรา บัดนี้ ถึงความสังเวช เว้นบาปทั้งหลาย บรรลุคุณวิเศษอย่างยิ่งฉันใด แม้คนอื่นก็ฉันนั้น เมื่อต้องการบรรลุคุณวิเศษอย่างยิ่ง ก็พึงเว้นบาปเสีย.

จบอรรถกถาสุปปพุทธกุฏฐิสูตรที่ ๓