พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๘. วิสาขาสูตร ว่าด้วยรักมีเท่าไรทุกข์ก็มีเท่านั้น

 
บ้านธัมมะ
วันที่  8 ส.ค. 2564
หมายเลข  35361
อ่าน  784

[เล่มที่ 44] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 785

๘. วิสาขาสูตร

ว่าด้วยรักมีเท่าไรทุกข์ก็มีเท่านั้น

อรรถกถาวิสาขาสูตร


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 44]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 785

๘. วิสาขาสูตร

ว่าด้วยรักมีเท่าไรทุกข์ก็มีเท่านั้น

[๑๗๖] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ บุพพารามปราสาทของนางวิสาขามิคารมารดา ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล หลานของนางวิสาขามิคารมารดาเป็นที่รักที่พอใจ ทำกาละลง ครั้งนั้น นางวิสาขามารดามีผ้าเปียก ผมเปียก เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับในเวลาเที่ยง ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกะนางวิสาขามิคารมารดาว่า เชิญเถิดนางวิสาขา ท่านมาแต่ไหนหนอ มีผ้าเปียก มีผมเปียก เข้ามา ณ ที่นี้ในเวลาเที่ยง หางวิสาขากราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หลานของหม่อมฉันเป็นที่รักที่พอใจ ทำกาละ

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 786

เสียแล้ว เพราะฉะนั้น หม่อมฉันจึงมีผ้าเปียก มีผมเปียก เข้ามา ณ ที่นี้ในเวลาเที่ยง เจ้าค่ะ.

พ. ดูก่อนนางวิสาขา ท่านพึงปรารถนาบุตรและหลานเท่ามนุษย์ในพระนครสาวัตถีหรือ.

วิ. ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ หม่อมฉันพึงปรารถนาบุตรและหลานเท่ามนุษย์ในพระนครสาวัตถี เจ้าค่ะ.

พ. ดูก่อนนางวิสาขา มนุษย์ในพระนครสาวัตถีมากเพียงไร ทำกาละอยู่ทุกวันๆ.

วิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มนุษย์ในพระนครสาวัสถี ๑๐ คนบ้าง ๙ คนบ้าง ๘ คนบ้าง ๗ คนบ้าง ๖ คนบ้าง ๕ คนบ้าง ๔ คนบ้าง ๓ คน บ้าง ๒ คนบ้าง ๑ คนบ้าง ทำกาละอยู่ทุกวันๆ พระนครสาวัตถีไม่ว่างเว้นคนทำกาละ เจ้าค่ะ.

พ. ดูก่อนนางวิสาขา ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ท่านพึงเป็นผู้มีผ้าเปียกหรือมีผมเปียกเป็นบางครั้งบ้างคราวหรือหนอ.

วิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ไม่ใช่อย่างนั้น เจ้าค่ะ พอเพียงแล้วด้วย บุตรและหลานมากเพียงนั้นแก่หม่อมฉัน.

พ. ดูก่อนนางวิสาขา ผู้ใดมีสิ่งที่รัก ๑๐๐ ผู้นั้นก็มีทุกข์ ๑๐๐ ผู้ใดมีสิ่งที่รัก ๙๐ ผู้นั้นก็มีทุกข์ ๙๐ ผู้ใดมีสิ่งที่รัก ๘๐ ผู้นั้นก็มีทุกข์ ๘๐ ผู้ใดมีสิ่งที่รัก ๗๐ ผู้นั้นก็มีทุกข์ ๗๐ ผู้ใดมีสิ่งที่รัก ๖๐ ผู้นั้นก็มีทุกข์ ๖๐ ผู้ใดมีสิ่งที่รัก ๕๐ ผู้นั้นก็มีทุกข์ ๕๐ ผู้ใดมีสิ่งที่รัก ๔๐ ผู้นั้นก็มีทุกข์ ๔๐ ผู้ใดมีสิ่งที่รัก ๓๐ ผู้นั้นก็มีทุกข์ ๓๐ ผู้ใดมีสิ่งที่รัก ๒๐ ผู้นั้นก็มีทุกข์ ๒๐ ผู้ใดมีสิ่งที่รัก ๑๐ ผู้นั้นก็มีทุกข์ ๑๐ ผู้ใดมีสิ่งที่รัก ๙ ผู้นั้นก็มีทุกข์ ๙ ผู้ใดมีสิ่งที่

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 787

รัก ๘ ผู้นั้นก็มีทุกข์ ๘ ผู้ใดมีสิ่งที่รัก ๗ ผู้นั้นก็มีทุกข์ ๗ ผู้ใดมีสิ่งที่รัก ๖ ผู้นั้นก็มีทุกข์ ๖ ผู้ใดมีสิ่งที่รัก ๕ ผู้นั้นก็มีทุกข์ ๕ ผู้ใดมีสิ่งที่รัก ๔ ผู้นั้นก็มีทุกข์ ๔ ผู้ใดมีสิ่งที่รัก ๓ ผู้นั้นก็มีทุกข์ ๓ ผู้ใดมีสิ่งที่รัก ๒ ผู้นั้นก็มีทุกข์ ๒ ผู้ใดมีสิ่งที่รัก ๑ ผู้นั้นก็มีทุกข์ ๑ ผู้ใดไม่มีสิ่งที่รัก ผู้นั้นก็ไม่มีทุกข์ เรากล่าวว่า ผู้นั้นไม่มีความโศก ปราศจากกิเลสดุจธุลี ไม่มีอุปายาส.

ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึงทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า

ความโศกก็ดี ความร่ำไรก็ดี ความทุกข์ก็ดี มากมายหลายอย่างนี้มีอยู่ในโลก เพราะอาศัยสัตว์หรือสังขารอันเป็นที่รัก เมื่อไม่มีสัตว์หรือสังขารอันเป็นที่รัก ความโศก ความร่ำไร และความทุกข์เหล่านี้ย่อมไม่มี เพราะเหตุนั้นแล ผู้ใดไม่มีสัตว์หรือสังขารอันเป็นที่รักในโลกไหนๆ ผู้นั้นเป็นผู้มีความสุข ปราศจากความโศก เพราะเหตุนั้น ผู้ปรารถนาความไม่โศก อันปราศจากกิเลสดุจธุลี ไม่พึงทำสัตว์หรือสังขารให้เป็นที่รักในโลกไหนๆ.

จบวิสาขาสูตรที่ ๘

อรรถกถาวิสาขาสูตร

วิสาขาสูตรที่ ๘ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-

บทว่า วิสาขาย มิคารมาตุยา นตฺตา กาลกตา โหติ ได้แก่ เด็กหญิงผู้เป็นธิดาของบุตรแห่งมหาอุบาสิกาชื่อว่าวิสาขา ถึงแก่กรรม.

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 788

ได้ยินว่า เด็กหญิงนั้นสมบูรณ์ด้วยวัตร เลื่อมใสยิ่งในพระศาสนา เป็นผู้ไม่ประมาท ได้กระทำการขวนขวายที่ตนจะพึงทำแก่ภิกษุและภิกษุณีทั้งหลาย ผู้เข้าไปยังบ้านของมหาอุบาสิกาทั้งเวลาก่อนอาหารและหลังอาหาร. ปฏิบัติคล้อยตามใจของยายตน. ด้วยเหตุนั้น มหาอุบาสิกาชื่อว่าวิสาขา เมื่อออกจากเรือนไปข้างนอก ได้มอบหน้าที่ทั้งหมดแก่เด็กหญิงนั้นนั่นแลแล้วจึงไป และเธอก็มีรูปร่างน่าชมน่าเลื่อมใส ดังนั้น เธอจึงเป็นที่รักที่ชอบใจโดยพิเศษของวิสาขามหาอุบาสิกา. เธอถูกโรคครอบงำจึงถึงแก่กรรม. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ก็สมัยนั้นแล หลานของนางวิสาขามิคารมารดาผู้เป็นที่รักที่ชอบใจ ได้ถึงแก่กรรม.

ลำดับนั้น มหาอุบาสิกาเมื่อไม่อาจจะอดกลั้นความโศก เพราะการตายของหลานได้ จึงเป็นทุกข์เสียใจ ให้คนเอาศพไปเก็บไว้ แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคิดว่า ไฉนหนอในเวลาเราไปเฝ้าพระศาสดา จะพึงได้ความยินดีแห่งจิต. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อถโข วิสาขา มิคารมาตา ดังนี้ เป็นต้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทิวาทิวสฺส แปลว่า ในกลางวัน อธิบายว่า ในเวลาเที่ยง.

พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงทราบว่า นางวิสาขายินดียิ่งในวัฏฏะ เพื่อจะทรงทำความเศร้าโศกของเธอให้เบาบางลงด้วยอุบาย จึงตรัสคำมีอาทิว่า ดูก่อนวิสาขา เธอปรารถนาหรือ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยาวติกา แปลว่า มีประมาณเท่าใด. ได้ยินว่า ในกาลนั้น คน ๗ โกฏิอาศัยอยู่ในกรุงสาวัตถี ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายตรัสถามว่า ดูก่อนวิสาขา คนในกรุงสาวัตถีที่ตายไป

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 789

ทุกวันๆ วันละเท่าไร. นางวิสาขาจึงทูลตอบว่า วันละ ๑๐ คนบ้าง พระเจ้าข้า ดังนี้ เป็นต้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตีณิ แก้เป็น ตโย แปลว่า ๓ คน. อีกอย่างหนึ่ง บาลีก็อย่างนี้แหละ. บทว่า อวิวิตฺตา แปลว่า ไม่ว่าง.

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะประกาศความประสงค์ของพระองค์ จึงตรัสว่า เธอ (๑) เป็นผู้ไม่มีผ้าเปียก ไม่มีผมเปียก เป็นบางครั้ง บางคราวบ้างหรือ. พระองค์ทรงแสดงว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น เมื่อนางวิสขาถูกความเศร้าโศกครอบงำตลอดกาล เธอพึงมีผ้าเปียก มีผมเปียก โดยการลงน้ำ โดยเฉียดกับสิ่งที่ไม่เป็นมงคลของบุตรเป็นต้นที่ตายไปมิใช่หรือ?

อุบาสิกาได้ฟังดังนั้นแล้ว จึงเกิดความสังเวช ปฏิเสธว่า ไม่เป็นอย่างนั้นพระเจ้าข้า ดังนี้ แล้วจึงกราบทูลว่า จิตของตนกลับจากความเดือดร้อนถึงสิ่งที่เป็นที่รักแด่พระศาสดา จึงกราบทูลว่า พอละพระเจ้าข้า ด้วยพวกบุตรและหลานซึ่งมีมากถึงเพียงนั้นสำหรับหม่อมฉัน. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงธรรมแก่นางว่า ขึ้นชื่อว่าทุกข์นี้ มีสิ่งที่น่ารักเป็นเหตุ สิ่งที่น่ารักมีประมาณเพียงใด ทุกข์ก็มีประมาณเพียงนั้น เพราะฉะนั้น เธอผู้รักสุขเกลียดทุกข์ พึงให้จิตเกิดความสลดจากวัตถุที่เป็นที่รักโดยประการทั้งปวง จึงตรัสคำมีอาทิว่า ดูก่อนวิสาขา คนเหล่าใดมีสิ่งอันเป็นที่รัก ๑๐๐ คนเหล่านั้นก็มีทุกข์นับได้ ๑๐๐ ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สตํ ปิยานิ ได้แก่ สิ่งอันเป็นที่รัก ๑๐๐. อาจารย์บางพวกกล่าว สตํ ปิยํ ดังนี้ ก็มี. ก็ในคำนี้ นับตั้งแต่ ๑ จนถึง ๑๐ ชื่อว่ามีการนับเป็นประธาน ฉะนั้น บาลีจึงมาโดยนัยมี


(๑) ปาลิยํ อลฺลวตฺถา อลฺลเกสาติ ทิสฺสติ.

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 790

อาทิว่า ผู้ใดมีสิ่งที่เป็นที่รักนับ ๑๐ ผู้นั้นก็มีทุกข์นับ ๑๐. แต่อาจารย์บางพวกกล่าวโดยนัยมีอาทิว่า ผู้ใดมีสิ่งอันเป็นที่รักนับ ๑๐ ผู้นั้นก็เป็นทุกข์นับ ๑๐. คำนั้นไม่ดี. เพราะเหตุที่การนับตั้งแต่ ๒๐ จนถึง ๑๐๐ ชื่อว่ามีการนับเป็นประธานเหมือนกัน ฉะนั้น เพราะถือเอาเฉพาะสิ่งอันเป็นที่รักซึ่งมีการนับเป็นประธานแม้ในข้อนั้น บาลีจึงมาโดยนัยมีอาทิว่า เยสํ โข วิสาเข สตํ ปิยานิ สตํ เตสํ ทุกฺขานิ ดังนี้. บาลีของอาจารย์ทั้งปวงว่า ชนเหล่าใดมีสิ่งอันเป็นที่รักอันหนึ่ง ชนเหล่านั้นก็มีทุกข์อันหนึ่ง ดังนี้ แต่บาลีว่า ทุกฺขสฺส ดังนี้ ไม่มี. ก็ในฝ่ายนี้ เทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้ามีรสเป็นอันเดียวกันเทียว เพราะฉะนั้น พึงทราบบาลีซึ่งมีนัยตามที่กล่าวแล้วนั้นแล.

บทว่า เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ความว่า พระองค์ทรงทราบโดยอาการทั้งปวงซึ่งอรรถนี้ว่า ทุกข์ทางใจและทุกข์ทางกาย มีโสกะและปริเทวะ เป็นต้น มีสิ่งที่น่ารักเป็นเหตุ ย่อมปรากฏในเมื่อมีสิ่งที่น่ารัก ย่อมไม่ปรากฏในเมื่อสิ่งที่น่ารักไม่มี จึงทรง เปล่งอุทานนี้ อันแสดงความนั้น.

คำแห่งอุทานนั้น มีอธิบายดังต่อไปนี้ ธรรมเหล่าใดคนหนึ่ง มีลักษณะทำจิตของคนพาลผู้ถูกความวอดวายแห่งญาติ โภคะ โรค ศีล และทิฏฐิถูกต้องแล้ว หม่นไหม้อยู่ในภายในให้เดือดร้อนก็ดี ความเศร้าโศกชนิดใดชนิดหนึ่ง ต่างโดยอย่างอ่อนและปานกลางเป็นต้นก็ดี ความรำพันมีลักษณะบ่นเพ้อด้วยวาจาอันแสดงถึงความเศร้าโศกที่ให้ตั้งขึ้นของชนผู้ถูกความเศร้าโศกเหล่านั้นนั่นแลถูกต้องแล้วให้ตั้งขึ้นก็ดี ทุกข์มีการบีบคั้นกายของบุคคลผู้มีกายอันโผฏฐัพพารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนากระทบแล้วก็ดี โทมนัสและอุปายาสเป็นต้น ที่ถือเอาด้วย วา ศัพท์

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 791

ซึ่งเป็นวิกัปปัตถะ อันมิได้อธิบายไว้เช่นนั้น ซึ่งมีรูปเป็นอเนก คือ มีอย่างต่างๆ กัน โดยความต่างแห่งนิสัยก็ดี ย่อมปรากฏ คือย่อมเกิดขึ้นในสัตวโลกนี้. สัตว์เหล่านั้นแม้ทั้งหมด ย่อมอาศัยคืออิงพึ่งพิงสัตว์และสังขารอันเป็นที่รัก คือ มีชาติเป็นที่รัก ได้แก่ ทำให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น คือ บังเกิดขึ้น เมื่อวัตถุอันเป็นที่รักตามที่กล่าวแล้วนั้น คือ เมื่อสัตว์และสังขารอันเป็นที่รักไม่มี ได้แก่ ละฉันทราคะอันกระทำความเป็นที่รัก ความเศร้าโศกเป็นต้นเหล่านั้น ก็ย่อมไม่เกิดในกาลบางคราว. สมจริงดังคำที่ท่านกล่าวไว้ว่า ความเศร้าโศกย่อมเกิดแต่สัตว์และสังขารอันเป็นที่รัก ฯลฯ ความเศร้าโศกย่อมเกิดแต่อารมณ์อันเป็นที่อันเป็นที่รักเป็นต้น และว่า

การทะเลาะ การวิวาท ความร่ำไร และความเศร้าโศก อันเกิดแต่สัตว์และสังขารอันเป็นที่รัก ย่อมมาด้วยความตระหนี่ ดังนี้ เป็นต้น.

ก็ในที่นี้ ท่านกล่าวด้วยลิงควิปลาสว่า ปริเทวิตา วา ทุกฺขา วา. อนึ่ง เมื่อควรจะกล่าวว่า ปริเทวิตานิ วา ทุกฺขานิ วา ดังนี้ พึงทราบว่า ท่านทำการลบวิภัตติเสีย.

บทว่า ตสฺมา หิ เต สุขิโน วีตโสกา ความว่า เพราะเหตุที่ความเศร้าโศกเป็นต้น อันเกิดแต่สัตว์และสังขารอันเป็นที่รัก ย่อมไม่มีแก่ชนเหล่าใด ฉะนั้น ชนเล่านั้นนั่นแล ชื่อว่ามีความสุข และปราศจากความเศร้าโศก. ก็คนเหล่านั้นคือใคร? คือ ชนผู้ไม่มีสัตว์และสังขารอันเป็นที่รักในโลกไหนๆ อธิบายว่า ก็ชนเหล่าใด คือ พระอริยะ ย่อมไม่มีสัตว์และสังขารอันเป็นที่รักคือภาวะเป็นที่รัก ว่าบุตรก็ดี ว่าพี่น้องชายก็ดี ว่าพี่น้องหญิงก็ดี ว่าภริยาก็ดี ไม่มีในโลกไหนๆ คือ ในสัตวโลกและในสังขารโลก เพราะปราศจาก

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 792

ราคะโดยประการทั้งปวง คือ สัตว์และสังขารอันเป็นที่รัก ได้แก่ ความรักไม่มีในสังขารโลกว่า นี้เป็นของเรา เราได้อยู่ เราก็ได้ซึ่งความสุขชื่อนี้ด้วยสิ่งนี้.

บทว่า ตสฺมา อโสกํ วิรชํ ปฏฺยาโน ปิยํ น กยิราถ กุหิญฺจิ โลเก ความว่า ก็เพราะเหตุที่สัตว์ผู้ปราศจากความเศร้าโศก ชื่อว่ามีความสุข เพราะปราศจากความเศร้าโศกนั่นแล จึงชื่อว่าไม่มีความรักในอารมณ์ไหนๆ เพราะฉะนั้น บุคคลเมื่อปรารถนาความไม่เศร้าโศก คือ ภาวะไม่มีความเศร้าโศก เพราะไม่มีความเศร้าโศกดังกล่าวแล้วแก่ตน ชื่อว่าผู้ปราศจากธุลี คือ ภาวะที่ไม่มีธุลี เพราะปราศจากธุลีคือราคะ ได้แก่ ความเป็นพระอรหัต คือ พระนิพพานอันได้นามว่าอโสกะ และว่าวิรชะ เพราะไม่มีความเศร้าโศก และเพราะเหตุแห่งความไม่มีธุลี คือ ราคะเป็นต้น จึงเกิดฉันทะด้วยอำนาจความพอใจในกุศลคือความปรารถนาเพื่อจะทำ ไม่พึงทำ คือ ไม่พึงให้สัตว์และสังขารอันเป็นที่รักคือความรักให้เกิดในธรรมมีรูปเป็นต้น โดยที่สุดแม้ในธรรมคือสมถะ และวิปัสสนาในโลกไหนๆ. สมจริงดังพระดำรัสที่ตรัสไว้ว่า ภิกษุทั้งหลาย แม้ธรรมพวกเธอก็ควรละเสีย จะป่วยกล่าวไปถึงอธรรมเล่า.

จบอรรถกถาวิสาขาสูตรที่ ๘