๔. มหาปนาทชาดก ว่าด้วยปราสาทของพระเจ้ามหาปนาท
[เล่มที่ 58] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 115
๔. มหาปนาทชาดก
ว่าด้วยปราสาทของพระเจ้ามหาปนาท
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 58]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 115
๔. มหาปนาทชาดก
ว่าด้วยปราสาทของพระเจ้ามหาปนาท
[๓๙๑] พระเจ้ามหาปนาทนั้นมีปราสาทล้วนแล้วไปด้วยทอง กว้าง ๑๖ ชั่วธนูตก สูง๑ พันชั่วธนู.
[๓๙๒] และปราสาทนั้นมีพื้น ๗ ชั้น ประกอบไปด้วยธง แล้วไปด้วยแก้วมณีสีเขียว มีนางฟ้อน ๖ พัน แบ่งออกเป็น ๗ พวกฟ้อนรําอยู่ในปราสาทนั้น.
[๓๙๓] ดูก่อนภัททชิ ท่านกล่าวถึงปราสาทนั้นมีแล้วในกาลนั้น ในครั้งนั้น เราเป็นท้าวสักกะผู้รับใช้การงานของท่าน.
จบ มหาปนาทชาดกที่ ๔
อรรถกถามหาปนาทชาดกที่ ๔
พระศาสดาประทับนั่งอยู่ที่ฝังแม่น้ำคงคา ทรงปรารภอานุภาพของพระภัททชิเถระจึงตรัสเรื่องนี้ มีคําเริ่มต้นว่า ปนาโท นาม โสราชา ดังนี้
สมัยหนึ่ง พระศาสดาทรงจําพรรษาอยู่ในเมืองสาวัตถี ทรงพระดําริว่า จักสงเคราะห์ภัททชิกุมาร แวดล้อมแล้วด้วยหมู่ภิกษุสงฆ์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 116
เสด็จจาริกถึงภัททิยนคร ประทับอยู่ในชาติยาวันตลอด ๓ เดือนทรงรอคอยความแก่กล้าแห่งญาณของภัททชิกุมาร. ภัททชิกุมารนั้นมียศมาก เป็นบุตรคนเดียวของภัททิยเศรษฐีผู้มีทรัพย์สมบัติประมาณ ๘๐ โกฏิ. ภัททชิกุมารนั้นมีปราสาท ๓ หลัง สมควรแก่ฤดูทั้ง ๓ ภัททชิกุมารอยู่ในปราสาทหลังละ ๔ เดือน ครั้นอยู่ในปราสาทหลังหนึ่งแล้ว ก็แวดล้อมด้วยนางฟ้อนไปยังปราสาทอีกหลังหนึ่งด้วยยศใหญ่. ขณะนั้น พระนครทั้งสิ้นก็ตื่นเต้นกันว่า พวกเราจักดูสมบัติของภัททชิกุมาร ต่างผูกจักรและจักรซ้อน ผูกเตียงและเตียงซ้อนในระหว่างปราสาท. พระศาสดาประทับอยู่ตลอด ๓ เดือน ตรัสบอกชาวพระนครว่า เราจะไปก่อนละ. ชาวพระนครกราบทูลนิมนต์พระศาสดาว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พรุ่งนี้ พระองค์จึงค่อยเสด็จไปเถิด แล้ววันที่สอง ตระเตรียมมหาทานเพื่อภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานสร้างมณฑปที่ถวายทานท่ามกลางพระนคร ตกแต่งปูลาดอาสนะแล้วกราบทูลให้ทรงทราบถึงกาลเวลา. พระศาสดาแวดล้อมด้วยภิกษุสงฆ์เสด็จไปประทับนั่งในมณฑปนั้น. มนุษย์ทั้งหลายต่างได้ถวายมหาทาน. พระศาสดาทรงกระทําภัตตกิจเสร็จแล้ว ทรงเริ่มอนุโมทนาด้วยพระสุรเสียงอันไพเราะ. ขณะนั้น ภัททชิกุมาร จากปราสาทหลังหนึ่งไปยังปราสาทหลังหนึ่ง วันนั้นไม่มีใครๆ ไปเพื่อต้องการดูสมบัติของภัททชิกุมารนั้น. มีแต่ คนของตนเท่านั้นห้อมล้อมไป ภัททชิกุมารจึงถามคนทั้งหลายว่า ในเวลาอื่น เมื่อเราจากปราสาทหนึ่งไปยังปราสาท
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 117
หนึ่ง ชาวพระนครทั้งสิ้นตื่นเต้น ต่างผูกจักรและจักรซ้อนเป็นต้น แต่วันนี้ นอกจากคนทั้งหลายของเรา ไม่มีใครๆ อื่นเลย เป็นเพราะเหตุอะไรกัน. พวกบริวารกล่าวว่า ข้าแต่นาย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จเข้าไปอาศัยนครนี้ประทับอยู่ตลอด ๓ เดือน วันนี้จักเสด็จไป พระองค์ทรงทําภัตตกิจเสร็จแล้ว ทรงแสดงธรรมแก่มหาชน ชาวพระนครทั้งสิ้นพากันสดับพระธรรมกถาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น. ภัททชิกุมารนั้นกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น ท่านทั้งหลายจงมา แม้เราก็จักฟังธรรม แล้วประดับด้วยอาภรณ์ทั้งปวงเข้าไปพร้อมด้วยบริวารใหญ่ ยืนฟังพระธรรมกถาอยู่ท้ายบริษัท ยังสรรพกิเลสทั้งหลายให้สิ้นไป บรรลุพระอรหัตอันเป็นผลชั้นเลิศ. พระศาสดาตรัสเรียกภัททิยเศรษฐีมาแล้วตรัสว่า ดูก่อนมหาเศรษฐี บุตรของท่านประดับประดาตกแต่งแล้วฟังธรรมกถาได้ดํารงอยู่ในพระอรหัต เพราะฉะนั้น วันนี้ บุตรของท่านควรจะบรรพชา หรือควรจะปรินิพพาน. ภัททิยเศรษฐีกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กิจด้วยการปรินิพพานแห่งบุตรของข้าพระองค์ ย่อมไม่มี ขอพระองค์จงให้บุตรของข้าพระองค์นั้นบรรพชาเถิด พระเจ้าข้า ก็แหละครั้นให้บรรพชา ขอพระองค์จงพาบุตรของข้าพระองค์นั้น เข้าไปยังเรือนข้าพระองค์ในวันพรุ่งนี้เถิด. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับนิมนต์แล้ว พากุลบุตรเสด็จไปยังพระวิหารให้บรรพชาอุปสมบท. บิดามารดาของพระภัททชินั้นกระทํามหาสักการะ ๗ วัน พระศาสดาประทับอยู่ ๗ วัน ทรงพากุลบุตร
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 118
เที่ยวจาริกไปถึงโกฏิคาม. มนุษย์ชาวโกฏิคามได้ถวายมหาทานแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน. ในเวลาเสร็จภัตตกิจ พระศาสดาทรงเริ่มอนุโมทนา. ในเวลาที่ทรงทําอนุโมทนา กุลบุตรไปนอกบ้านคิดว่า ในเวลาพระศาสดาเสด็จมาเท่านั้น เราจึงจักลุกขึ้น แล้วนั่งเข้าฌานที่โคนไม้แห่งหนึ่งใกล้ฝังแม่น้ำคงคา ครั้นพระเถระที่แก่ๆ แม้จะมาก็ไม่ออกจากฌาน ในเวลาพระศาสดาเสด็จมาเท่านั้นจึงได้ลุกขึ้น. พวกภิกษุปุถุชนพากันโกรธว่า พระภัททชินี้ท่าทีเหมือนบวชก่อน เมื่อพระมหาเถระมา แม้เห็นก็ไม่ลุกขึ้น. ชาวโกฏิคามพากันผูกเรือขนาน. พระศาสดาประทับยืนท่ามกลางสงฆ์ในเรือขนาน ตรัสถามว่า ภัททชิอยู่ที่ไหน? ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่าพระภัททชินี้ อยู่ที่นี้แหละ พระเจ้าข้า. พระศาสดาตรัสว่า มาเถิดภัททชิ จงขึ้นเรือลําเดียวกันกับเรา. พระเถระได้เหาะไปยืนอยู่ในเรือลําเดียวกัน. ครั้นในเวลาที่เรือแล่นไปกลางแม่น้ำคงคา พระศาสดาตรัสว่า ภัททชิ ปราสาทที่เธอเคยอยู่ครอบครองในคราวเป็นพระเจ้ามหาปนาท อยู่ที่ไหน. พระภัททชิกราบทูลว่า จมอยู่ในที่นี้ พระเจ้าข้า. พวกภิกษุปุถุชนพากันกล่าวว่า พระภัททชิเถระพยากรณ์พระอรหัต พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภัททชิ ถ้าอย่างนั้น เธอจงตัดความสงสัยของเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย. ขณะนั้น พระเถระถวายบังพระศาสดาแล้วไปด้วยกําลังฤทธิ์ เอานิ้วเท้าคีบจอมปราสาท ยกปราสาทอันสูง ๒๕ โยชน์ขึ้นแล้วเหาะขึ้นในอากาศ. ก็พระเถระเหาะขึ้นแล้ว
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 119
ปรากฏแก่ชนทั้งหลายที่ยืนอยู่ภายใต้ปราสาท ประหนึ่งปราสาทจะพังทลายลงทับ. พระเถระนั้นยกปราสาทขึ้นจากน้ำ ๑ โยชน์ ๒ โยชน์๓ โยชน์ จนกระทั่ง ๒๕ โยชน์ ลําดับนั้น ญาติทั้งหลายในภพก่อนของพระเถระ บังเกิดเป็นปลา เต่า นาค และกบ อยู่ในปราสาทนั่นแหละ เพราะความโลภในปราสาท เมื่อปราสาทลอยขึ้น ก็พลัดตกลงไปในน้ำตามเดิม พระศาสดาทอดพระเนตรเห็นสัตว์เหล่านั้นตกลงไป จึงตรัสว่า ภัททชิ พวกญาติของเธอพากันลําบาก. พระเถระได้ฟังพระดํารัสของพระศาสดา จึงปล่อยปราสาท. ปราสาทก็กลับตั้งอยู่ในที่เดิมนั่นเอง. ส่วนพระศาสดาเสด็จขึ้นจากแม่น้ำคงคา. ลําดับนั้น ชนทั้งหลายพากันปูลาดอาสนะถวายพระศาสดา ณ ที่ฝังแม่น้ำคงคานั่นเอง. พระศาสดาประทับนั่งเปล่งพระรัศมี ณ บวรพุทธอาศน์ที่เขาปูลาดถวาย ประดุจพระอาทิตย์อ่อนๆ ฉะนั้น ลําดับนั้น ภิกษุทั้งหลายทูลถามพระศาสดาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ปราสาทนี้พระภัททชิเถระครอบครองอยู่ในกาลไร? พระศาสดาตรัสว่า ในกาลเป็นพระเจ้ามหาปนาทราช แล้วทรงนําเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล ในกรุงมิถิลา แคว้นวิเทหรัฐ ได้มีพระราชาพระนามว่า สุรุจิ. แม้พระโอรสของพระองค์ก็มีนามว่า สุรุจิ เหมือนกัน. แต่พระโอรสของพระเจ้าสุรุจินั้น ได้มีพระนามว่า มหาปนาท. พระราชาทั้ง ๓ พระองค์นั้น ได้ครอบครองปราสาทนี้. ก็บุรพกรรมที่จะได้ครอบครองปราสาทนั้นมีว่า บิดาและบุตรทั้งสองได้สร้างบรรณ-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 120
ศาลาเป็นที่อยู่ของพระปัจเจกพุทธเจ้า ด้วยไม้อ้อและไม้มะเดื่อ. เรื่องอดีตทั้งหมดในชาดกนี้ จักมีแล้วในสุรุจิชาดก ในปกิณณนิบาต.
พระศาสดาครั้นทรงนําพระธรรมเทศนานี้มาแล้วเป็นผู้ตรัสรู้ยิ่งแล้วได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า :-
พระเจ้ามหาปนาทนั้น มีปราสาทล้วนแล้วด้วยทอง กว้าง ๑๖ ชั่วธนูตก สูง ๑ พันชั่วธนูตก. และปราสาทนั้น มีพื้น ๗ ชั้นประดับด้วยธงอันล้วนแล้วด้วยสีเขียว มีนางฟ้อนรํา ๖ พันคน แบ่งออกเป็น ๗ พวก ฟ้อนรําอยู่ในปราสาทนั้น ดูก่อนภัททชิ เธอกล่าวถึงปราสาทนั้น ซึ่งมีแล้วในกาลนั้น ในครั้งนั้น เราเป็นท้าวสักกะ ผู้รับใช้การงานของเธอ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยูโป แปลว่า ปราสาท. บทว่า ติริยํ โสฬสุพฺเพโธ ความว่า โดยความกว้าง ได้มีความกว้าง ๑๖ ชั่วลูกศรตก. บทว่า อุจฺจมาหุ สหสฺสธา ความว่า โดยส่วนสูง ท่านกล่าวถึงความสูงประมาณระยะวิ่งไปของลูกศรชั่วพันลูก คือสูงประมาณ ๒๕ โยชน์ โดยการนับระยะวิ่งไปของลูกศรชั่วพันลูก ส่วนความกว้างของปราสาทนั้น ประมาณกึ่งโยชน์. บทว่า สหสฺสกณฺโฑ สตฺตเคณฺฑุ ความว่า ก็ปราสาทสูง ๑ พันชั่วลูกศรนี้นั้น มีชั้น ๗ ชั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 121
บทว่า ธชาลุ แปลว่า พร้อมด้วยธง. บทว่า หริตามโย ได้แก่ ขลิบด้วยแก้วมณีเขียว. ส่วนในอรรถกถามีปาฐะว่า สหาลูหริตามโย ดังนี้ก็มี. อธิบายความปาฐะนั้นว่า ประกอบด้วยบานประตูและหน้าต่าง อันล้วนแล้วด้วยแก้วมณีเขียว. ได้ยินว่า บทว่า สห เป็นชื่อของบานประตูและหน้าต่าง. บทว่า คนฺธพฺพา ได้แก่นางฟ้อนรํา. บทว่า ฉ สหสฺสานิ สตฺตธา ความว่า นางฟ้อนรํา ๖ พันคน แบ่งเป็น ๗ พวก ฟ้อนรําอยู่ในที่ทั้ง ๗ แห่งของปราสาทนั้น เพื่อต้องการเพิ่มพูนความยินดีแก่พระราชา. นักฟ้อนรําเหล่านั้นแม้จะฟ้อนรําและขับร้องอยู่อย่างนี้ ก็ไม่อาจให้พระราชาร่าเริงพระทัย. ครั้งนั้น ท้าวสักกเทวราชทรงส่งการฟ้อนรําของเทพให้ไปแสดงการเล่นมหรสพ. คราวนั้น พระเจ้ามหาปนาททรงร่าเริง. บทว่า ยถาภาสสิ ภทฺทชิ ความว่า ก็เมื่อพระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภัททชิ ปราสาทที่เธออยู่ครอบครองในคราวเป็นพระเจ้ามหาปนาท อยู่ที่ไหน พระภัททชิเถระกราบทูลว่า จมอยู่ตรงที่นี้ พระเจ้าข้า ได้เป็นอันกล่าวความที่ปราสาทนั้นบังเกิดแล้วเพื่อประโยชน์แก่ตน และความที่ตนเป็นพระเจ้ามหาปนาทในครั้งนั้น. พระศาสดาทรงถือเอาคํากล่าวนั้นจึงตรัสว่า ดูก่อนภัททชิ เธอกล่าวโดยประการใด ดังนี้. ด้วยบทว่า เอวเมตํ ตทา อาสิ นี้ พระศาสดาตรัสว่า ข้อที่กล่าวอย่างนั้นได้มีแล้วโดยประการนั้นนั่นแหละ ในครั้งนั้น เราได้เป็นท้าวสักกะ จอมเทวดาผู้รับใช้การงานของเธอในกาลนั้น. ขณะนั้นภิกษุปุถุชนทั้งหลาย ได้เป็นผู้หมดความเคลือบแคลงสงสัย.