๘. อารามทูสกชาดก ว่าด้วยถอนต้นดูรากก่อนรดน้ํา
[เล่มที่ 58] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 142
๘. อารามทูสกชาดก
ว่าด้วยถอนต้นดูรากก่อนรดน้ำ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 58]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 142
๘. อารามทูสกชาดก
ว่าด้วยถอนต้นดูรากก่อนรดน้ำ
[๔๐๓] ลิงตัวใดสมมติกันว่า เป็นใหญ่กว่าฝูงลิงเหล่านี้ ปัญญาของลิงตัวนั้นมีอยู่เพียงอย่างนี้เท่านั้น ฝูงลิงที่เป็นบริวารนอกนี้จะมีปัญญาอะไร.
[๔๐๔] ข้าแต่ท่านผู้ประเสริฐ ท่านยังไม่รู้อะไรไฉนมาด่วนติเตียนเราต่างๆ อย่างนี้เล่า เรายังไม่เห็นรากไม้แล้ว จะพึงรู้ต้นไม้ว่ารากหยั่งลงไปลึกได้อย่างไรเล่า.
[๔๐๕] เราไม่ได้ติเตียนท่านทั้งหลาย พวกท่านเป็นลิงไพรอยู่ในป่า แต่ว่าคนเช่นพวกท่านทั้งหลายปลูกต้นไม้ เพื่อประโยชน์แก่พระราชาพระองค์ใด พระราชาพระองค์นั้น คือ พระเจ้าวิสสเสนะ จะพึงถูกติเตียนได้.
จบ อารามทูสกชาดกที่ ๘
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 143
อรรถกถาอารามทูสกชาดกที่ ๘
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ ทักขิณาคีรีชนบท ทรงปรารภบุตรของนายอุยยานบาลคนหนึ่ง จึงตรัสเรื่องนี้ มีคําเริ่มต้นว่า โยเมสฺจ สเมตานํ ดังนี้.
ได้ยินว่า พระศาสดาทรงออกพรรษาแล้ว เสด็จออกจากพระวิหารเชตวัน เสด็จเที่ยวจาริกไปในทักขิณาคีรีชนบท. ครั้งนั้นอุบาสกคนหนึ่งนิมนต์ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ให้ประทับนั่งในสวน ให้ทรงอิ่มหนําด้วยยาคูและของควรเคี้ยวทั้งหลายจึงกล่าวว่า พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย ประสงค์จะเที่ยวไปในสวนขอจงเที่ยวไปกับนายอุยยานบาลผู้นี้ แล้วสั่งนายอุยยานบาลว่า ท่านพึงถวายผลไม้น้อยใหญ่ในสวนแก่พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย. ภิกษุทั้งหลายเดินเที่ยวไปเห็นที่เป็นหลุมแห่งหนึ่ง จึงถามว่า ที่นี้เป็นหลุมไม่มีต้นไม้งอกขึ้น เป็นเพราะเหตุไรหนอ? ลําดับนั้น นายอุยยานบาลจึงบอกแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ได้ยินว่า มีบุตรของนายอุยยานบาลคนหนึ่ง เมื่อจะรดน้ำต้นไม้ที่ปลูกใหม่ คิดว่า จักรดน้ำโดยเอารากเป็นประมาณ จึงถอนขึ้นมาแล้วรดน้ำเฉพาะราก ด้วยเหตุนั้น ที่นั้นจึงเป็นหลุม. ภิกษุทั้งหลายมาเฝ้าพระศาสดาแล้วกราบทูลเนื้อความนั้นให้ทรงทราบ. พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน กุมารนั้นก็เป็นผู้ทําลายอาราม ภิกษุเหล่านั้นทูลอ้อนวอนจึงทรงนําอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 144
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าวิสสเสนะครองราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี เมื่อเขาป่าวประกาศการเล่นมหรสพ นายอุยยานบาลคิดว่าจักเล่นมหรสพ จึงบอกลิงทั้งหลายที่อยู่ในสวนว่า สวนนี้มีอุปการะมากแก่พวกเจ้า เราจักเล่นมหรสพ ๗ วัน พวกเจ้าจงรดน้ำต้นไม้ที่ปลูกใหม่ตลอด ๗ วัน. พวกลิงรับคําว่าได้. นายอุยยานบาลจึงมอบกระออมหนังให้แก่ลิงเหล่านั้นแล้วก็จากไป. ลิงทั้งหลายเมื่อจะรดน้ำ จึงรดน้ำที่ต้นไม้ซึ่งปลูกใหม่ๆ. ลําดับนั้น ลิงจ่าฝูงได้กล่าวกะลิงเหล่านั้นว่า พวกท่านจงรอก่อน ธรรมดาว่าน้ำมิใช่จะหาได้ง่ายตลอดทุกเวลา น้ำนั้นควรจะรักษา ควรที่พวกเราจะถอนต้นไม้ที่ปลูกใหม่ รู้ขนาดประมาณของรากแล้ว ต้นที่มีรากยาวรดให้มาก ต้นที่มีรากสั้นรดแต่น้อย ลิงเหล่านั้นพากันรับคําว่าดีละ บางพวกเดินถอนต้นไม้ที่ปลูกใหม่ บางพวกปลูกแล้วรดน้ำ. ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์ได้เป็นบุตรของตระกูลหนึ่งในนครพาราณสี. พระโพธิสัตว์ได้ไปสวนด้วยกรณียกิจบางอย่าง เห็นลิงเหล่านั้นกระทําอยู่อย่างนั้น จึงถามว่าใครให้พวกเจ้ากระทําอย่างนี้ เมื่อพวกลิงตอบว่า หัวหน้าวานร จึงกล่าวว่า ปัญญาแห่งหัวหน้าของพวกเจ้า ยังเท่านี้ก่อน ส่วนปัญญาของพวกเจ้าจักเป็นเช่นไร เมื่อจะประกาศเนื้อความนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :-
ลิงตัวใดสมมติกันว่า เป็นใหญ่กว่าฝูงลิงเหล่านี้ ปัญญาของลิงตัวนั้นมีอยู่เพียงอย่างนี้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 145
เท่านั้น ฝูงลิงที่เป็นบริวารนอกนี้จะมีปัญญาอะไร.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โยเมสฺจ สเมตานํ ความว่า ลิงตัวใด ได้เป็นผู้รับสมมติว่าประเสริฐสุดกว่าลิงเหล่านี้ คือ กว่าลิงแม้ทั้งหมดผู้มีชาติกําเนิดเสมอกัน. บทว่า กิเมว อิตรา ปชา ความว่าปัญญาของลิงที่ต่ําทรามนอกนี้ ในบรรดาลิงเหล่านั้น จะเป็นเช่นไรหนอ.
วานรทั้งหลายได้ฟังถ้อยคําของพระโพธิสัตว์นั้นแล้ว จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-
ข้าแต่ท่านผู้ประเสริฐ ท่านยังไม่รู้อะไร ไฉนจึงด่วนมาติเตียนเราต่างๆ อย่างนี้เล่า เรายังไม่เห็นรากไม้แล้ว จะพึงรู้ต้นไม้ว่ารากหยั่งลงไปลึกได้อย่างไรเล่า.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พฺรหฺเม เป็นเพียงอาลปนะ คือคําร้องเรียก. ในคาถานี้ มีความสังเขปดังต่อไปนี้ ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ ท่านยังไม่รู้เหตุและไม่ใช่เหตุด้วยประการใด มาด่วนติเตียนพวกเราโดยประการนั้นทันที ใครๆ ยังไม่ถอนรากแล้ว จะอาจรู้ได้อย่างไรว่า ชื่อว่าต้นไม้ต้นนี้หยั่งรากลงไปลึกหรือหาไม่ ด้วยเหตุนั้น พวกเราจึงให้ถอนขึ้นแล้วจึงรดน้ำตามประมาณของราก.
พระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้นจึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า :-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 146
เราไม่ติเตียนเจ้าทั้งหลาย เพราะพวกเจ้าก็เป็นแต่ลิงไพรอาศัยอยู่ในป่า แต่คนเช่นพวกเจ้าปลูกต้นไม้ เพื่อประโยชน์แก่พระราชาองค์ใด พระราชาองค์นั้น คือพระเจ้าวิสสเสนะ จะพึงถูกติเตียนได้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วิสฺสเสโน จ คารยฺโห ความว่าก็ในกาลปลูกต้นไม้นี้ พระเจ้าพาราณสีพระนามว่าวิสสเสนะ จะพึงถูกติเตียน. บทว่า ยสฺสตฺถา รุกฺขโรปกา ความว่า คนทั้งหลายเช่นพวกเจ้าเป็นผู้ปลูกต้นไม้ เพื่อประโยชน์แก่พระราชาใด.
พระศาสดาครั้นทรงนําพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า หัวหน้าวานร ในกาลนั้น ได้เป็นกุมารผู้ทําลายต้นไม้ในสวน ในบัดนี้ ส่วนบุรุษผู้เป็นบัณฑิตในกาลนั้น ได้เป็นเราตถาคตฉะนั้นแล.
จบ อรรถกถาอารามทูสกชาดกที่ ๘