๑๐. มหาศักยมุนีโคตมสูตร ว่าด้วยพระปริวิตกของพระบรมโพธิสัตว์
[เล่มที่ 26] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 44
๑๐. มหาศักยมุนีโคตมสูตร
ว่าด้วยพระปริวิตกของพระบรมโพธิสัตว์
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 26]
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 44
๑๐. มหาศักยมุนีโคตมสูตร (๒)
ว่าด้วยพระปริวิตกของพระบรมโพธิสัตว์
[๒๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อเรายังเป็นพระโพธิสัตว์ ก่อนตรัสรู้ยังมิได้ตรัสรู้ ได้มีความปริวิตกดังนี้ว่า โลกนี้ถึงความยากแล้วหนอ ย่อมเกิด แก่ ตาย จุติ และอุปบัติ และเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ยังไม่รู้
(๒) อรรถกถาสูตรที่ ๕ - ๑๐ แก้ไว้ท้ายวรรคนี้.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 45
ธรรมอันออกจากทุกข์ คือชราและมรณะนี้ เมื่อไรเล่า ความออกจากทุกข์ คือชราและมรณะนี้จักปรากฏ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรานั้นได้มีความปริวิตกดังนี้ว่า เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ชราและมรณะจึงมี. ชราและมรณะย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรานั้นเพราะกระทำไว้ในใจโดยแยบคาย จึงได้รู้ด้วยปัญญาว่า
เมื่อชาติมีอยู่ ชราและมรณะจึงมี ชราและมรณะย่อมมีเพราะชาติเป็นปัจจัย...
เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ชาติจึงมี. ชาติย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย. เมื่อภพมีอยู่ ชาติจึงมี. ชาติย่อมมีเพราะภพเป็นปัจจัย...
เมื่ออะไรมีอยู่ ภพจึงมี. ภพย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย. เมื่ออุปาทานมีอยู่ ภพจึงมี. ภพย่อมมีเพราะอุปาทานเป็นปัจจัย...
เมื่ออะไรหนอมีอยู่ อุปาทานจึงมี. อุปาทานย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย... เมื่อตัณหามีอยู่ อุปาทานจึงมี. อุปาทานย่อมมีเพราะตัณหาเป็นปัจจัย...
เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ตัณหาจึงมี. ตัณหาย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย. เมื่อเวทนามีอยู่ ตัณหาจึงมี. ตัณหาย่อมมีเพราะเวทนาเป็นปัจจัย...
เมื่ออะไรหนอมีอยู่ เวทนาจึงมี. เวทนาย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย. เมื่อผัสสะมีอยู่ เวทนาจึงมี. เวทนาย่อมมีเพราะผัสสะเป็นปัจจัย...
เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ผัสสะจึงมี. ผัสสะย่อมมีเพราะอะไรเป็นเป็นปัจจัย. เมื่อสฬายตนะมีอยู่ ผัสสะจึงมี. ผัสสะย่อมมีเพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย...
เมื่ออะไรหนอมีอยู่ สฬายตนะจึงมี. สฬายตนะมีอยู่เพราะอะไรเป็นปัจจัย. เมื่อนามรูปมีอยู่ สฬายตนะจึงมี. สฬายตนะย่อมมีเพราะนามรูปเป็นปัจจัย...
เมื่ออะไรหนอมีอยู่ นามรูปจึงมี. นามรูปย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย. เมื่อวิญญาณมีอยู่ นามรูปจึงมี. นามรูปย่อมมีเพราะวิญญาณเป็นปัจจัย...
เมื่ออะไรหนอมีอยู่ วิญญาณจึงมี. วิญญาณย่อมมี
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 46
เพราะอะไรเป็นปัจจัย. เมื่อสังขารมีอยู่ วิญญาณจึงมี. วิญญาณย่อมมีเพราะสังขารเป็นปัจจัย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรานั้นได้มีความปริวิตกดังนี้ว่า เมื่ออะไรหนอมีอยู่ สังขารจึงมี. สังขารย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรานั้น เพราะกระทำไว้ในใจโดยแยบคายจึงได้รู้ด้วยปัญญาว่า เมื่ออวิชชามีอยู่ สังขารจึงมี. สังขารย่อมมีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร. เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ... ดังพรรณนามาฉะนี้ ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้บังเกิดขึ้นแก่เราในธรรมที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า ฝ่ายข้างเกิด ฝ่ายข้างเกิด ดังนี้.
[๒๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรานั้นได้มีความปริวิตกดังนี้ว่า เมื่ออะไรหนอไม่มี ชราและมรณะจึงไม่มี. เพราะอะไรดับ ชราและมรณะจึงดับ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรานั้น เพราะกระทำไว้ในใจโดยแยบคายจึงได้รู้ด้วยปัญญาว่า
เมื่อชาติไม่มี ชราและมรณะจึงไม่มี. เพราะชาติดับ ชราและมรณะจึงดับ...
เมื่ออะไรหนอไม่มี ชาติจึงไม่มี. เพราะอะไรดับ ชาติจึงดับ.
เมื่อภพไม่มี ชาติจึงไม่มี. เพราะภพดับ ชาติจึงดับ... เมื่ออุปาทานไม่มี ภพจึงไม่มี. เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ...
เมื่ออะไรหนอไม่มี อุปาทานจึงไม่มี. เพราะอะไรดับ อุปาทานจึงดับ. เมื่อตัณหาไม่มี อุปาทานจึงไม่มี. เพราะตัณหาจึงดับ อุปาทานจึงดับ...
เมื่ออะไรหนอไม่มี ตัณหาจึงไม่มี. เพราะอะไรดับ ตัณหาจึงดับ. เมื่อเวทนาไม่มี ตัณหาจึงไม่มี. เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ...
เมื่ออะไรหนอไม่มี เวทนาจึงไม่มี. เพราะ
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 47
อะไรดับ เวทนาจึงดับ. เมื่อผัสสะไม่มี เวทนาจึงไม่มี. เพราะผัสสะดับเวทนาจึงดับ...
เมื่ออะไรหนอไม่มี ผัสสะจึงไม่มี. เพราะอะไรดับ ผัสสะจึงดับ. เมื่อสฬายตนะไม่มี ผัสสะจึงไม่มี. เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ...
เมื่ออะไรหนอไม่มี สฬายตนะจึงไม่มี. เพราะอะไรดับ สฬายตนะจึงดับ. เมื่อนามรูปไม่มี สฬายตนะจึงไม่มี. เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ...
เมื่ออะไรหนอไม่มี นามรูปจึงไม่มี. เพราะอะไรดับ นามรูปจึงดับ. เมื่อวิญญาณไม่มี นามรูปจึงไม่มี. เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ...
เมื่ออะไรหนอไม่มี วิญญาณจึงไม่มี. เพราะอะไรดับ วิญญาณจึงดับ. เมื่อสังขารไม่มี วิญญาณจึงไม่มี. เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรานั้นได้มีความปริวิตกดังนี้ว่า เมื่ออะไรหนอไม่มี สังขารจึงไม่มี. เพราะอะไรดับ สังขารจึงดับ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรานั้น เพราะกระทำไว้ในใจโดยแยบคายจึงได้รู้ด้วยปัญญาว่า เมื่ออวิชชาไม่มี สังขารจึงไม่มี. เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ. ก็เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ. เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ... ดังพรรณนามาฉะนี้ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้บังเกิดขึ้นแก่เราในธรรมที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า ฝ่ายข้างดับ ฝ่ายข้างดับ ดังนี้.
จบมหาศักยมุนีโคตมสูตรที่ ๑๐
จบพุทธวรรคที่ ๑
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 48
รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. เทศนาสูตร
๒. วิภังคสูตร
๓. ปฏิปทาสูตร
๔. วิปัสสีสูตร
๕. สิขีสูตร
๖. เวสสภูสูตร
๗. กกุสันธสูตร
๘. โกนาคมนสูตร
๙. กัสสปสูตร
๑๐. มหาศักยมุนีโคตมสูตร.
อรรถกถาสิขีสูตรเป็นต้น (๕ - ๑๐)
ในสิขีสูตรที่ ๕ เป็นต้น มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
อรรถแห่งบทว่า สิขิสฺส ภิกฺขเว เป็นต้น พึงกล่าวความประกอบอย่างนี้ว่า สิขิสฺสปิ ภิกฺขเว.
เพราะเหตุไร เพราะไม่แสดงในอาสนะเดียว. จริงอยู่ พระสูตรเหล่านี้ทรงแสดงไว้ในฐานะต่างๆ แต่เนื้อความเหมือนกันทุกแห่งทีเดียว ความจริง เมื่อพระโพธิสัตว์ทุกๆ พระองค์ประทับนั่ง ณ โพธิบัลลังก์ ผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นสมณะก็ตาม พราหมณ์ก็ตาม เทวดาก็ตาม พรหมก็ตาม ไม่ได้บอกว่า พระโพธิสัตว์ในอดีตพิจารณาปัจจยาการแล้วเป็นพระพุทธเจ้า.
เหมือนอย่างว่า พระพุทธเจ้าพระองค์หลังๆ ย่อมดำเนินไปตามทางที่พระพุทธเจ้าก่อนๆ เหล่านั้นดำเนินไปแล้ว เหมือนเมื่อฝนตกในครั้งปฐมกัป แม้น้ำฝนก็ย่อมบ่าไปตามทางที่น้ำไหลไปแล้วนั้นแหละ.
จริงอยู่ พระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ออกจากจตุตถฌานอันมีลมหายใจเข้าออกเป็นอารมณ์ ทำญาณให้หยั่งลงในในปัจจยาการ พิจารณาปัจจยาการนั้นโดยอนุโลมและปฏิโลม ย่อมเป็นพระพุทธเจ้า ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวให้ชื่อว่า พุทธวิปัสสนา ใน ๗ สูตรตามลำดับแล.
จบอรรถกถาพุทธวรรคที่ ๑