พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๙. พาลบัณฑิตสูตร ว่าด้วยความต่างแห่งพาลและบัณฑิต

 
บ้านธัมมะ
วันที่  3 ก.ย. 2564
หมายเลข  36502
อ่าน  463

[เล่มที่ 26] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 91

๙. พาลบัณฑิตสูตร

ว่าด้วยความต่างแห่งพาลและบัณฑิต


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 26]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 91

๙. พาลบัณฑิตสูตร

ว่าด้วยความต่างแห่งพาลและบัณฑิต

[๕๗] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กายนี้ของคนพาล ผู้อันอวิชชาหุ้มห่อแล้ว ประกอบด้วยตัณหา เกิดขึ้นแล้วอย่างนี้ กายนี้ด้วย นามรูปในภายนอกด้วย ย่อมมีด้วยประการดังนี้ เพราะอาศัยกายและนามรูปทั้งสองนี้ จึงเกิดผัสสะ สฬายตนะ ซึ่งทั้งสองอย่างนั้นหรือแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง ถูกต้องคนพาล เป็นเหตุให้เสวยสุขและทุกข์ กายนี้ของบัณฑิต ผู้อันอวิชชาหุ้มห่อแล้ว ประกอบด้วยตัณหา เกิดขึ้นแล้วอย่างนี้ กายนี้ด้วย นามรูปในภายนอกด้วย ย่อมมีด้วยประการดังนี้ เพราะอาศัยกายและนามรูปทั้งสองนี้จึงเกิดผัสสะ สฬายตนะ ซึ่งทั้งสองอย่างนั้นหรือแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง ถูกต้องบัณฑิต เป็นเหตุให้เสวยสุขและทุกข์.

[๕๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในเรื่องนั้น จะแปลกกันอย่างไร จะมีอธิบายอย่างไร จะต่างกันอย่างไร ระหว่างบัณฑิตกับพาล พวกภิกษุกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ธรรมของพวกข้าพระองค์มีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นเดิม มีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้นำ มีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นที่รวมลง ขอประทานพระวโรกาส เนื้อความแห่งพระภาษิตนี้ แจ่มแจ้งแก่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์เดียว ภิกษุทั้งหลายได้ฟังจากพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว จักทรงจำไว้.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าเช่นนั้นพวก

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 92

เธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดีเถิด เราจักกล่าว ภิกษุพวกนั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว.

[๕๙] พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กายนี้ของคนพาล ผู้ถูกอวิชชาใดหุ้มห่อแล้ว และประกอบแล้วด้วยตัณหาใด เกิดขึ้นแล้ว อวิชชานั้น คนพาลยังละไม่ได้ และตัณหานั้นยังไม่สิ้นไป ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะคนพาลไม่ได้ประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ เหตุนั้น เมื่อตายไปคนพาลย่อมเข้าถึงกาย เมื่อเข้าถึงกาย ชื่อว่ายังไม่พ้นจากชาติ ชรา มรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส เรากล่าวว่า ยังไม่พ้นไปจากทุกข์.

กายนี้ของบัณฑิตผู้ถูกอวิชชาใดหุ้มห่อแล้ว และประกอบด้วยตัณหาใด เกิดขึ้นแล้ว อวิชชานั้น บัณฑิตละได้แล้ว และตัณหานั้นสิ้นไปแล้ว ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าบัณฑิตได้ประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ เหตุนั้น เมื่อตายไป บัณฑิตย่อมไม่เข้าถึงกาย เมื่อเขาไม่เข้าถึงกาย ชื่อว่าย่อมพ้นจากชาติ ชรา มรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส เรากล่าวว่าย่อมพ้นจากทุกข์.

อันนี้เป็นความแปลกกัน อันนี้เป็นอธิบาย อันนี้เป็นความต่างกันของบัณฑิตกับคนพาล กล่าวคือ การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์.

จบพาลบัณฑิตสูตรที่ ๙

อรรถกถาพาลบัณฑิตสูตรที่ ๙

ในพาลบัณฑิตสูตรที่ ๙ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.

บทว่า อวิชฺชานีวรณสฺส ได้แก่ ถูกอวิชชากางกั้น.

บทว่า เอวมยํ กาโย สมุทาคโต ความว่า กายนี้ ชื่อว่า เกิดขึ้นแล้ว เพราะ

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 93

ถูกอวิชชากางกั้น และเพราะประกอบด้วยตัณหานั่นเอง ด้วยอาการอย่างนี้.

บทว่า อยญฺเจว กาโย ได้แก่ กายที่มีวิญญาณของตน ของคนพาลนั้น นี้.

บทว่า พหิทฺธา จ นามรูปํ ได้แก่ และกายที่มีวิญญาณของคนเหล่าอื่นภายนอก.

ข้อความนี้พึงแสดงด้วยขันธ์ ๕ และอายตนะ ๖ ทั้งของตนและคนอื่น.

บทว่า อิตฺเถตํ ทฺวยํ ได้แก่ หมวดสองนี้. ด้วยอาการอย่างนี้.

ด้วยบทว่า ทฺวยํ ปฏิจฺจ ผสฺโส นี้ ท่านกล่าวจักษุสัมผัส เป็นต้น เพราะอาศัยอายตนะทั้งสองฝ่าย มีจักษุและรูป เป็นต้น ไว้ในที่อื่น แต่ในที่นี้ท่านหมายอายตนะภายในและอายตนะภายนอก นัยว่าอายตนะทั้งสองฝ่าย ชื่อว่า ใหญ่ทั้งสอง.

บทว่า สเฬวายตนานิ ได้แก่ ผัสสายตนะ คือ เหตุแห่งผัสสะ ๖.

บทว่า เยหิ ผุฏฺโ ได้แก่ ถูกผัสสะอันเกิดขึ้นเพราะอายตนะซึ่งเป็นตัวเหตุเหล่าใด ถูกต้อง.

ในบทว่า อญฺตเรน นี้ พึงทราบอายตนะอื่นๆ ที่บริบูรณ์และไม่บริบูรณ์.

บทว่า ตตฺร ได้แก่ ในเพราะการเกิดขึ้นแห่งกายเป็นต้น ของคนพาลและบัณฑิตนั้น.

บทว่า โก อธิปฺปายโส ได้แก่ คืออะไรเป็นความพยายามอย่างยิ่ง.

บทว่า ภควํมูลกา ได้แก่ พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นมูลแห่งธรรมเหล่านั้น เหตุนั้น ธรรมเหล่านั้น ชื่อว่า ภควํมูลกา.

ท่านกล่าวอธิบายไว้ดังนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมของพวกข้าพระองค์เหล่านี้ อันพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าในปางก่อนทรงให้บังเกิดขึ้น เมื่อพระองค์เสด็จปรินิพพานแล้ว ล่วงไปพุทธันดรหนึ่ง คนอื่นจะเป็นสมณะก็ตาม พราหมณ์ก็ตาม ชื่อว่า สามารถจะให้ธรรมเหล่านี้เกิดขึ้น มิได้มีเลย.

แต่ธรรมเหล่านี้ อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้เกิดขึ้นแก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย. เพราะอาศัยพระผู้มีพระภาคเจ้า พวกข้าพระองค์จึงมารู้ คือ

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 94

แทงตลอดธรรมเหล่านี้ เพราะเหตุนั้น ธรรมของพวกข้าพระองค์จึงชื่อว่า มีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นมูล ด้วยประการฉะนี้.

บทว่า ภควํเนตฺติกา ความว่า ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแนะ ได้แก่ แนะนำธรรมทั้งหลาย คือระบุชื่อธรรมะ เฉพาะอย่างๆ ตามสภาพความเป็นจริงแสดง เพราะเหตุนั้น ธรรมทั้งหลายจึงชื่อว่ามีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้แนะนำ.

บทว่า ภควํปฏิสรณา ความว่า ธรรมที่เป็นไปในภูมิ ๔ เมื่อมาปรากฏแก่พระสัพพัญญุตญาณ ชื่อว่า ย่อมรวมลงในพระผู้มีพระภาคเจ้า เพราะเหตุนั้น ธรรมเหล่านั้น จึงชื่อว่า มีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นที่รวมลง.

บทว่า ปฏิสรนฺติ ได้แก่ ย่อมประชุม.

อีกอย่างหนึ่ง ผัสสะมาด้วยอำนาจการแทงตลอดแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ประทับนั่ง ณ โพธิมัณฑสถาน ทูลถามว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ชื่ออะไร.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เธอชื่อผัสสะ เพราะอรรถว่าถูกต้อง. เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ... ก็มาทูลถามว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ชื่ออะไร พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เธอชื่อวิญญาณ เพราะอรรถว่า รู้แจ้ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงระบุชื่อธรรมที่เป็นไปในภูมิ ๔ เฉพาะอย่างๆ ตามสภาพความเป็นจริง รวมธรรมทั้งหลายไว้ด้วยอาการอย่างนั้น เหตุนั้น ธรรมเหล่านั้นชื่อว่า ภควํปฏิสรณา.

บทว่า ภควนฺตํเยว ปฏิภาตุ ความว่า เนื้อความแห่งภาษิตนั้น จงปรากฏ (แจ่มแจ้ง) แก่พระผู้มีพระภาคเจ้าทีเดียว อธิบายว่า ขอพระองค์โปรดตรัสแสดงธรรม แก่พวกข้าพระองค์เถิด.

ในคำว่า สา เจว อวิชฺชา นี้ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.

อวิชชาและตัณหานั้น แม้ยังกรรมให้แล่นไป ชักปฏิสนธิมาแล้ว

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 95

ดับไปก็จริง ถึงอย่างนั้น ท่านก็กล่าวคำนี้ว่า สา เจว อวิชฺชา สา เจว ตณฺหา ไว้แม้ในที่นี้ เพราะอรรถว่า เห็นสมกัน เหมือนเภสัชที่ดื่มวันวาน แม้วันนี้บริโภคโภชนะเข้าไป เภสัชนั้นก็ยังเรียกว่า เภสัชนั่นเอง ฉันนั้น.

บทว่า พฺรหฺมจริยํ ได้แก่ มรรคพรหมจรรย์.

บทว่า ทุกฺขกฺขยาย ได้แก่ เพื่อความสิ้นไปแห่งวัฏทุกข์.

บทว่า กายูปโค โหติ ได้แก่ เป็นผู้เข้าถึงปฏิสนธิกายอื่น.

ด้วยบทว่า ยทิทํ พฺรหฺมจริยวาโส นี้ ท่านแสดงว่า มรรคพรหมจริยวาสนี้ใด.

นี้คือความแปลกกันของบัณฑิตจากคนพาล. ดังนั้นในพระสูตรนี้ ท่านจึงเรียกว่าปุถุชนผู้ยังมีปฏิสนธิทั้งหมดว่า เป็นคนพาล พระขีณาสพผู้ไม่มีปฏิสนธิ เรียกว่า เป็นบัณฑิต. ส่วนพระโสดาบัน พระสกทาคามี และพระอนาคามี ใครๆ ไม่ควรเรียกว่า บัณฑิต หรือคนพาล. แต่เมื่อคบ ก็คบแต่ฝ่ายบัณฑิต.

จบอรรถกถาพาลบัณฑิตสูตรที่ ๙