๘. ปฐมเจตนาสูตร ว่าด้วยความเกิดและดับกองทุกข์
[เล่มที่ 26] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 204
๘. ปฐมเจตนาสูตร
ว่าด้วยความเกิดและดับกองทุกข์
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 26]
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 204
๘. ปฐมเจตนาสูตร
ว่าด้วยความเกิดและดับกองทุกข์
[๑๔๕] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมจงใจ ย่อมดำริ และครุ่นคิดถึงสิ่งใด สิ่งนั้นเป็นอารัมมณปัจจัยเพื่อความตั้งอยู่แห่งวิญญาณ เมื่อมีอารัมมณปัจจัย ความตั้งมั่นแห่งวิญญาณจึงมี เมื่อวิญญาณนั้นตั้งมั่นแล้ว
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 205
เจริญขึ้นแล้ว ความบังเกิดคือภพใหม่ต่อไปจึงมี เมื่อมีความบังเกิดคือภพใหม่ต่อไป ชาติ ชราและมรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาสจึงมีต่อไป ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่จงใจ ไม่ดำริ แต่ยังครุ่นคิดถึงสิ่งใด สิ่งนั้นเป็นอารัมมณปัจจัยเพื่อความตั้งอยู่แห่งวิญญาณ เมื่อมีอารัมมณปัจจัย ความตั้งมั่นแห่งวิญญาณจึงมี เมื่อวิญญาณนั้นตั้งมั่นแล้ว เจริญขึ้นแล้ว ความบังเกิดคือภพใหม่ต่อไปจึงมี เมื่อมีความบังเกิดคือภพใหม่ต่อไป ชาติ ชราและมรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาสจึงมีต่อไป ความเกิดแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้.
[๑๔๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุไม่จงใจ ไม่ดำริ และไม่ครุ่นคิดถึงสิ่งใด สิ่งนั้นย่อมไม่เป็นอารัมมณปัจจัยเพื่อความตั้งอยู่แห่งวิญญาณ เมื่อไม่มีอารัมมณปัจจัย ความตั้งมั่นแห่งวิญญาณจึงไม่มี เมื่อวิญญาณนั้นไม่ตั้งมั่นแล้ว ไม่เจริญขึ้นแล้ว ความบังเกิดคือภพใหม่ต่อไปจึงไม่มี เมื่อความบังเกิดคือภพใหม่ต่อไปไม่มี ชาติ ชราและมรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาสต่อไปจึงดับ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้.
จบปฐมเจตนาสูตรที่ ๘
อรรถกถาปฐมเจตนาสูตรที่ ๘
พึงทราบวินิจฉัยในปฐมเจตนาสูตรที่ ๘ ต่อไป.
ข้อว่า ยญฺจ ภิกฺขเว เจเตติ "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมจงใจสิ่งใด" อธิบายว่า ย่อมจงใจ คือ ยังความจงใจใดให้เป็นไป.
ข้อว่า ยญฺจ
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 206
ปกปฺเปติ "ย่อมดำริสิ่งใด" อธิบายว่า ย่อมดำริ คือ ยังความดำริใดให้เป็นไป.
ข้อว่า "ยญฺจ อนุเสติ ย่อมครุ่นคิดถึงสิ่งใด" อธิบายว่า ย่อมครุ่นคิด คือ ยังความครุ่นคิดใดให้เป็นไป.
ก็ในข้อความนี้ ความจงใจอันเป็นกุศลและอกุศล ที่เป็นไปในภูมิ ๓ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถือเอาว่า ย่อมจงใจ ความดำริด้วยตัณหาและทิฏฐิในจิตอันเกิดพร้อมด้วยโลภะ ๘ ดวง ทรงถือเอาว่า ย่อมดำริ.
ความครุ่นคิด ทรงถือเอาด้วยที่สุดแห่งเจตนา ๑๒ ที่เกิดพร้อมกัน และด้วยที่สุดแห่งอุปนิสัยว่า ย่อมครุ่นคิด.
ข้อว่า "อารมฺมณเมตํ โหติ สิ่งนั้นเป็นอารัมมณปัจจัย" ได้แก่ ธรรมชาติมีเจตนาเป็นต้นนี้ เป็นปัจจัย. และปัจจัยทรงประสงค์เอาว่า อารมณ์ในที่นี้.
ข้อว่า "วิญฺาณสฺส ิติยา เพื่อความตั้งอยู่แห่งวิญญาณ" คือ เพื่อความตั้งอยู่แห่งกรรมวิญญาณ.
ข้อว่า "อารมฺมเณ สติ เมื่อมีอารัมมณปัจจัย" ได้แก่ เมื่อปัจจัยนั้นมีอยู่.
บทว่า ปติฏฺา วิญฺาณสฺส โหติ ความว่า ย่อมเป็นที่ตั้งอาศัยแห่งกรรมวิญญาณนั้น.
บทว่า ตสฺมิํ ปติฏฺิเต วิญฺาเณ ได้แก่ เมื่อกัมมวิญญาณนั้นตั้งมั่นแล้ว.
บทว่า "วิรุฬฺเห เจริญขึ้นแล้ว" ได้แก่ เมื่อเกิดมูลเหตุแห่งการบังเกิด เพราะสามารถให้กรรมทรุดโทรมไปแล้วชักปฏิสนธิมา.
บทว่า "ปุนพฺภวาภินิพฺพตฺติ" แปลว่า ความบังเกิด กล่าวคือภพใหม่.
ขณะที่ความจงใจอันเป็นไปในภูมิ ๓ ไม่เป็นไป พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสด้วยคำนี้ว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุไม่จงใจ".
ขณะที่ความดำริเรื่องตัณหาและทิฏฐิไม่เป็นไป พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสด้วยคำว่า "โน จ ภิกฺขเว เจเตติ ก็ภิกษุไม่ดำริ," ด้วยบทว่า โน จ ปกปฺเปติ ท่านกล่าวถึงขณะแห่งความดำริด้วยอำนาจตัณหาและทิฏฐิไม่เป็นไป.
กิริยาที่เป็นกามาพจร
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 207
คือความครุ่นคิด ในวิบากอันเป็นไปในภูมิ ๓ ทรงถือเอาด้วยคำว่า "อนุเสติ ย่อมครุ่นคิด."
ในคำว่า "อนุเสติ" นี้ ทรงถือเอาผู้ที่ยังละความครุ่นคิดไม่ได้.
ข้อว่า "อารมฺมณเมตํ โหติ อารัมมณปัจจัยนั้นย่อมมี" หมายความว่าเมื่อความครุ่นคิดมีอยู่ ความครุ่นคิดนั้นจึงเป็นปัจจัย (แห่งกัมมวิญญาณ) โดยแท้ เพราะความเกิดขึ้นแห่งกัมมวิญญาณเป็นสิ่งที่ใครห้ามไม่ได้.
ในบทว่า "โน จ เจเตติ ก็ภิกษุไม่จงใจ" เป็นต้น กุศลเจตนาและอกุศลเจตนาอันเป็นไปในภูมิ ๓ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในบทที่ ๑. ตัณหาและทิฏฐิในจิต ๘ ดวง ตรัสไว้ในบทที่ ๒. ความครุ่นคิดที่บุคคลครุ่นคิด โดยที่สุดที่ยังละไม่ได้ในธรรมมีประการดังกล่าวแล้ว ตรัสไว้ในบทที่ ๓.
อีกอย่างหนึ่ง เพื่อมิให้ฉงนในพระสูตรนี้ ควรทราบหมวด ๔ ดังนี้คือ ย่อมจงใจ ย่อมดำริ ย่อมครุ่นคิด หมวด ๑. ย่อมไม่จงใจ แต่ดำริ และครุ่นคิด หมวด ๑. ย่อมไม่จงใจ ไม่ดำริ แต่ครุ่นคิด หมวด ๑. ย่อมไม่จงใจ ไม่ดำริ และไม่ครุ่นคิด หมวด ๑.
ในหมวด ๔ นั้น การกำหนดธรรม พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้ในนัยที่ ๑.
กุศลเจตนาอันเป็นไปในภูมิ ๓ และอกุศลเจตนา ๔ ทรงถือเอาว่า "จงใจ" ในนัยที่ ๒.
ตัณหาและทิฏฐิในจิต ๘ ดวง ทรงกล่าวว่า "ไม่ดำริ" ความครุ่นคิด โดยที่สุดแห่งอุปนิสัยในกุศลอันเป็นไปในภูมิ ๓ ก็ดี โดยที่สุดแห่งปัจจัยที่เกิดพร้อมกันในอกุศลเจตนา ๔ ก็ดี โดยที่สุดแห่งอุปนิสัยก็ดี ทรงถือเอาว่า "อนุสโย ครุ่นคิด." กุศลและอกุศลที่เป็นไปในภูมิ ๓ ทรงกล่าวว่า "ไม่จงใจ" ในนัยที่ ๓.
ตัณหาและ
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 208
ทิฏฐิในจิต ๘ ดวง ทรงกล่าวว่า "ไม่ดำริ" พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้ามจิตที่มาในพระสูตร แล้วทรงถือเอาอุปนิสัยโดยที่สุดที่ยังละไม่ได้ ในกุศลจิต อกุศลจิต วิปากจิต กิริยาจิต ที่เป็นไปในภูมิ ๓ และรูปด้วยคำว่า "ย่อมครุ่นคิด." นัยที่ ๔ เช่นกับนัยก่อนแล.
บทว่า ตทปฺปติฏฺิเต แปลว่า เมื่อวิญญาณนั้นไม่ตั้งมั่นแล้ว.
บทว่า "อวิรุฬฺเห ไม่เจริญขึ้นแล้ว" ได้แก่ เมื่อเกิดมูลแห่งการไม่บังเกิด เพราะสามารถให้กรรมทรุดโทรมแล้วชักปฏิสนธิมา.
ถามว่าก็ในวาระที่ ๓ นี้ท่านกล่าวถึงอะไร.
แก้ว่า กล่าวถึงกิจของอรหัตตมรรค.
จะกล่าวว่า การกระทำกิจของพระขีณาสพบ้าง นวโลกุตรธรรมบ้าง ก็ควร.
แต่ในวาระนี้ มีอธิบายว่า ระหว่างวิญญาณกับภพใหม่ในอนาคตเป็นสนธิอันหนึ่ง ระหว่างเวทนากับตัณหาเป็นสนธิอันหนึ่ง ระหว่างภพกับชาติเป็นสนธิอันหนึ่ง.
จบอรรถกถาปฐมเจตนาสูตรที่ ๘