๕. นครสูตร ว่าด้วยโลกนี้ลําบากเพราะมีเกิดแก่เจ็บตาย
[เล่มที่ 26] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 332
๕. นครสูตร
ว่าด้วยโลกนี้ลําบากเพราะมีเกิดแก่เจ็บตาย
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 26]
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 332
๕. นครสูตร
ว่าด้วยโลกนี้ลำบากเพราะมีเกิดแก่เจ็บตาย
[๒๕๐] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก่อนแต่กาลตรัสรู้ เมื่อเรายังเป็นพระโพธิสัตว์ ยังมิได้ตรัสรู้ เราได้มีความคิดอย่างนี้ว่า โลกนี้ถึงความลำบากหนอ ย่อมเกิด แก่ ตาย จุติและอุบัติ ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น ไม่มีผู้ใดทราบชัดซึ่งธรรมเป็นที่สลัดออกจากกองทุกข์ คือ ชราและมรณะนี้ได้เลย เมื่อไรหนอ ธรรมเป็นที่สลัดออกไปจากกองทุกข์คือชราและมรณะนี้จึงจักปรากฏ.
[๒๕๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราได้มีความคิดอย่างนี้ว่า เมื่ออะไรหนอแล มีอยู่ ชราและมรณะจึงมี เพราะอะไรเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ เพราะการใส่ใจโดยแยบคายของเรานั้น จึงรู้ได้ด้วยปัญญาว่า เมื่อชาติแลมีอยู่ ชราและมรณะจึงมี เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ เรานั้นได้มีความคิดดังนี้ว่า เมื่ออะไรหนอแลมีอยู่ ชาติจึงมี... ภพจึงมี... ตัณหาจึงมี... เวทนาจึงมี... ผัสสะจึงมี... สฬายตนะจึงมี... นามรูปจึงมี... เพราะอะไรเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะการใส่ใจโดยแยบคายของเรานั้น จึงได้รู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อวิญญาณมีอยู่ นามรูปจึงมี เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เรานั้นได้มีความคิดดังนี้ว่า เมื่ออะไรหนอแลมีอยู่ วิญญาณจึงมี เพราะอะไรเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เพราะการใส่ใจโดยแยบคายของเรานั้น จึงได้รู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อนามรูป
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 333
มีอยู่ วิญญาณจึงมี เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เรานั้นได้มีความคิดดังนี้ว่า วิญญาณนี้แลได้กลับแล้วเพียงเท่านี้ ไม่ไปพ้นจากนามรูปได้เลย ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ โลกย่อมเกิด แก่ ตาย จุติและอุบัติ กล่าวคือ เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ ฯลฯ ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาในกาลก่อนว่าเหตุให้ทุกข์เกิด ดังนี้.
[๒๕๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราได้มีความคิดดังนี้ เมื่ออะไรหนอแล ไม่มีอยู่ ชราและมรณะจึงไม่มี เพราะอะไรดับ ชราและมรณะจึงดับ เพราะการใส่ใจโดยแยบคายของเรานั้น จึงรู้ได้ด้วยปัญญาว่า เมื่อชาติไม่มี ชราและมรณะจึงไม่มี เพราะชาติดับ ชราและมรณะจึงดับ เรานั้นได้มีความคิดดังนี้ว่า เมื่ออะไรหนอแล ไม่มีอยู่ ชาติจึงไม่มี... ภพจึงไม่มี... อุปาทานจึงไม่มี... ตัณหาจึงไม่มี... เวทนาจึงไม่มี... ผัสสะจึงไม่มี... สฬายตนะจึงไม่มี... นามรูปจึงไม่มี... เพราะอะไรดับ นามรูปจึงดับ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะการใส่ใจโดยแยบคายของเรานั้น จึงรู้ได้ด้วยปัญญาว่า เมื่อวิญญาณไม่มี นามรูปจึงไม่มี เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรานั้นได้มีความคิดดังนี้ว่า เมื่ออะไรหนอแล ไม่มีอยู่ วิญญาณจึงไม่มี เพราะอะไรดับ วิญญาณจึงดับ เพราะการใส่ใจโดยแยบคายของเรานั้น จึงรู้ได้ด้วยปัญญาว่า เมื่อนามรูปไม่มี วิญญาณจึงไม่มี เพราะนามรูปดับ วิญญาณจึงดับ
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 334
เรานั้นได้มีความคิดดังนี้ว่า มรรคนี้เราได้บรรลุแล้วแล ด้วยปัญญาเครื่องตรัสรู้ คือ เพราะนามรูปดับ วิญญาณจึงดับ เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ ฯลฯ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เรายังไม่เคยได้ฟังมาในกาลก่อนว่า เหตุให้ทุกข์ดับ เหตุให้ทุกข์ดับ ดังนี้.
[๒๕๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุรุษเมื่อเที่ยวไปในป่าทึบ ได้พบมรรคาเก่า หนทางเก่า ที่คนก่อนๆ เคยเดินไปมา เขาเดินตามทางนั้นไป เมื่อกำลังเดินตามทางนั้นอยู่ พบนครเก่า พบราชธานีโบราณซึ่งสมบูรณ์ด้วยสวน ป่าไม้ สระโบกขรณี มีเชิงเทิน ล้วนน่ารื่นรมย์ ที่คนก่อนๆ เคยอยู่อาศัยมา.
ครั้งนั้นแล บุรุษคนนั้นจึงกราบทูลแด่พระราชาหรือเรียนแก่ราชมหาอำมาตย์ว่า ขอเดชะ พระองค์จงทรงทราบเถิด พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าเมื่อเที่ยวไปในป่า ได้พบมรรคาเก่า หนทางเก่าที่คนก่อนๆ เคยเดินไปมา ข้าพระพุทธเจ้าได้เดินตามทางนั้นไป เมื่อกำลังเดินตามทางนั้นอยู่ ได้พบนครเก่า พบราชธานีโบราณซึ่งสมบูรณ์ด้วยสวน ป่าไม้ สระโบกขรณี มีเชิงเทิน ล้วนน่ารื่นรมย์ ที่คนก่อนๆ เคยอยู่อาศัยมา ขอพระองค์จงทรงสร้างพระนครนั้นเถิด พระพุทธเจ้าข้า.
ลำดับนั้น พระราชาหรือราชมหาอำมาตย์จึงสร้างเมืองนั้นขึ้น สมัยต่อมา เมืองนั้นเป็นเมืองมั่งคั่งและสมบูรณ์ขึ้น มีประชาชนเป็นอันมาก มีมนุษย์เกลื่อนกล่น และเป็นเมืองถึงความเจริญ ไพบูลย์ แม้ฉันใด ภิกษุทั้งหลาย เราได้พบมรรคาเก่า หนทางเก่า ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 335
พระองค์ก่อนๆ เคยเสด็จไป ก็มรรคาเก่า หนทางเก่า ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ เคยเสด็จไปนั้น เป็นไฉน คือมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ อันประเสริฐ นี้แล ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ นี้แล มรรคาเก่า หนทางเก่า ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ เคยเสด็จไปแล้ว เราก็ได้เดินตามหนทางอันประเสริฐซึ่งประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ อันเป็นทางเก่านั้น เมื่อกำลังเดินตามหนทางนั้นไป ได้รู้ชัดซึ่งชราและมรณะ เหตุเกิดขึ้นแห่งชราและมรณะ ความดับแห่งชราและมรณะ และได้รู้ชัดซึ่งปฏิปทาเครื่องให้ถึงความดับชราและมรณะ เมื่อเรากำลังเดินตามทางอันประเสริฐซึ่งประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ อันเป็นทางเก่านั้นไปอยู่ ได้รู้ชัดซึ่งชาติ ฯลฯ ได้รู้ชัดซึ่งภพ... ได้รู้ชัดซึ่งอุปาทาน... ได้รู้ชัดซึ่งตัณหา... ได้รู้ชัดซึ่งเวทนา... ได้รู้ชัดซึ่งผัสสะ... ได้รู้ชัดซึ่งสฬายตนะ... ได้รู้ชัดซึ่งนามรูป... ได้รู้ชัดซึ่งวิญญาณ... ได้รู้ชัดซึ่งสังขารทั้งหลาย เหตุเกิดขึ้นแห่งสังขาร ความดับแห่งสังขาร และได้รู้ชัดซึ่งปฏิปทาเครื่องให้ถึงความดับแห่งสังขาร ครั้นได้รู้ชัดซึ่งทางอันประเสริฐซึ่งประกอบด้วยองค์ ๘ ประการนั้นแล้ว เราจึงได้บอกแก่พวกภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พรหมจรรย์ของเราจึงได้เจริญแพร่หลาย กว้างขวาง มีชนเป็นอันมากรู้ เป็นปึกแผ่น จนกระทั่งเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายก็ประกาศได้เป็นอย่างดี ดังนี้แล.
จบนครสูตรที่ ๕
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 336
อรรถกถานครสูตรที่ ๕
ในนครสูตรที่ ๕ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
ในคำว่า นามรูเป โข สติ วิฺาณํ นี้ ควรจะกล่าวว่า สงฺขาเรสุ สติ วิญฺาณํ และว่า วิชฺชาย สติ สงฺขารา แม้คำทั้งสองนั้น ท่านก็ไม่กล่าว.
เพราะเหตุไร. เพราะอวิชชาและสังขารเป็นภพที่ ๓ วิปัสสนานี้ไม่เชื่อมกับอวิชชาและสังขารนั้น.
จริงอยู่ พระมหาบุรุษทรงถือมั่นอย่างยิ่ง ซึ่งปัจจุบันนภพ ด้วยอำนาจปัญจโวการภพ (ภพที่มีขันธ์ ๕) แล.
ถามว่า เมื่อไม่เห็นอวิชชาและสังขาร ก็ไม่อาจเป็นพระพุทธเจ้าได้มิใช่หรือ.
แก้ว่า จริง ไม่อาจเป็นได้ แต่พระพุทธเจ้านี้ ทรงเห็นอวิชชาและสังขารนั้น ด้วยอำนาจภพ อุปาทานและตัณหานั่นเอง เพราะฉะนั้น จึงเปรียบเหมือนบุรุษติดตามเหี้ย เห็นเหี้ยนั้นลงบ่อ ก็ลงไปขุดตรงที่เหี้ยเข้าไป จับเหี้ยได้ก็หลีกไป ไม่ขุดที่ส่วนอื่น.
เพราะอะไร. เพราะไม่มีอะไร ฉันใด แม้พระมหาบุรุษก็ฉันนั้น ประทับนั่ง ณ โพธิบัลลังก์ แสวงหาตั้งแต่ชราและมรณะว่า นี้เป็นปัจจัยของสิ่งนี้ เหมือนบุรุษติดตามเหี้ย ทรงเห็นปัจจัย จนถึงนามธรรมและรูปธรรม เมื่อแสวงหาปัจจัยของนามรูปแม้นั้น ก็ได้เห็นเฉพาะวิญญาณเท่านั้น.
แต่นั้นจึงเปลี่ยนเจริญวิปัสสนาว่า ธรรมประมาณเท่านี้ เป็นการดำเนินการพิจารณาด้วยอำนาจปัญจโวการภพ. ปัจจัยคืออวิชชาและสังขารมีอยู่เหมือนที่ตั้งบ่อเปล่าข้างหน้ายังไม่ถูกทำลาย ไม่ทรงยึดถือเอาปัจจัยคืออวิชชาและสังขารนั่นนั้นว่า ไม่ควรพิจารณาแยกเป็นส่วนๆ เพราะวิปัสสนาท่านถือเอาในหนหลังแล้ว.
บทว่า ปจฺจุทาวตฺตติ ได้แก่ หวนกลับ.
ถามว่า ก็ในที่นี้วิญญาณ
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 337
ชนิดไหนหวนกลับ.
แก้ว่า ปฏิสนธิวิญญาณก็มี วิปัสสนาวิญญาณก็มี. ใน ๒ อย่างนั้น ปฏิสนธิวิญญาณย่อมหวนกลับเพราะปัจจัย วิปัสสนาวิญญาณย่อมหวนกลับเพราะอารมณ์ แม้วิญญาณทั้งสองก็ไม่ล่วงนามรูปไปได้ คือไม่ไปสู่ที่อื่นจากนามรูป.
ในคำว่า เอตฺตาวตา ชาเยถ วา เป็นต้น มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ว่า เมื่อวิญญาณเป็นปัจจัยแก่นามรูป เมื่อนามรูปเป็นปัจจัยแก่วิญญาณ แม้เมื่อทั้งสองต่างก็เป็นปัจจัยแก่กันและกัน นามรูปพึงเกิดหรือพึงเข้าถึงด้วยเหตุเพียงเท่านี้. เบื้องหน้าแต่นี้ นามรูปอย่างอื่นอันใดอันหนึ่งจะพึงเกิดหรือพึงเข้าถึงเล่า นามรูปนั้นนั่นแล ย่อมเกิดและย่อมเข้าถึงมิใช่หรือ.
ครั้นทรงแสดงบททั้งห้า พร้อมด้วยการจุติและปฏิสนธิแล้วๆ เล่าๆ อย่างนี้แล้ว เมื่อจะทรงย้ำเนื้อความนั้นว่า เอตฺตาวตา อีก จึงตรัสว่า คือวิญญาณมีเพราะนามรูปเป็นปัจจัย นามรูปมีเพราะวิญญาณเป็นปัจจัยนั้น เพื่อจะแสดงชาติชราและมรณะในอนาคตซึ่งมีนามรูปเป็นมูล เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย ด้วยอำนาจปัจจยาการโดยอนุโลม จึงตรัสคำมีอาทิว่า นามรูปปจฺจยา สฬายตนํ ดังนี้.
บทว่า อญฺชสํ เป็นไวพจน์แห่งมรรคนั่นเอง.
บทว่า อุทาปคตํ ได้แก่ ประกอบด้วยวัตถุคือกำแพง อันได้โวหารว่าอาปคตะเพราะยกขึ้นจากบ่อน้ำ.
บทว่า รมณียํ ได้แก่ เป็นที่รื่นรมย์ด้วยความพร้อมมูลแห่งประตูทั้ง ๔ โดยรอบ และสิ่งของต่างๆ ในภายใน.
บทว่า มาเปหิ ความว่า จงส่งมหาชนไปให้อยู่กัน.
บทว่า มาเปยฺย ความว่า พึงให้ทำการอยู่กัน.
จริงอยู่ เมื่อสร้างเมือง พึงส่งคน ๑๘ โกฏิไปก่อน แล้วตรัสถามว่า เต็มดีแล้วหรือ เมื่อเขาทูลว่า ยังไม่เต็ม จึงส่งตระกูล
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 338
๕ ตระกูลอื่นอีกไปแล้ว ครั้นตรัสถามอีก เมื่อเขาทูลว่ายังไม่เต็ม จึงส่งตระกูล ๕๕ ตระกูลอื่นอีกไป ครั้นถามอีก เมื่อเขาทูลว่ายังไม่เต็ม จึงส่งตระกูล ๓๐ ตระกูลอื่นอีกไป ครั้นตรัสถามอีก เมื่อเขาทูลว่ายังไม่เต็ม จึงส่งตระกูล ๑,๐๐๐ ตระกูลอื่นอีกไป ครั้นตรัสถามอีก เมื่อเขาทูลว่ายังไม่เต็ม จึงส่งตระกูล ๑๑ นหุตตระกูลอื่นอีกไป ครั้นตรัสถามอีก เมื่อเขาทูลว่ายังไม่เต็ม จึงส่งตระกูล ๘๔,๐๐๐ ตระกูลอื่นอีกไป.
เมื่อตรัสถามอีกว่าเต็มแล้วหรือ จึงทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า ตรัสอะไร นครออกใหญ่ ไม่คับแคบ ไม่ทรงสามารถจะส่งตระกูลไปให้เต็มโดยนัยนี้ได้ พึงรับสั่งให้ตีกลองร้องประกาศว่า นครของเราสมบูรณ์ด้วยสมบัตินี้และนี้ ผู้ที่ปรารถนาจะอยู่ในที่นั้น จงไปตามสบายเถิด และจักได้รับบริหารอย่างนี้และอย่างนี้ พึงสั่งว่า พวกท่านจงให้ป่าวร้องสรรเสริญคุณแห่งนคร และการได้รับการบริหารลาภอย่างนี้และอย่างนี้. เขาพึงทำอย่างนั้น.
ลำดับนั้น คนทั้งหลายได้ยินคุณค่าของนคร และการได้รับการบริหารจากทุกทิศก็มารวมกันทำนครให้เต็ม. สมัยต่อมา นครนั้นอุ่นหนาฝาคั่งแพร่หลาย ท่านหมายเอาข้อนั้น ดังกล่าวไว้ว่า นครของพระองค์นั้น ครั้นสมัยต่อมาอุ่นหนาฝาคั่งแพร่หลาย ดังนี้เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิทฺธํ ได้แก่ มั่งคั่ง ข้าวปลาหาได้ง่าย.
บทว่า ผีตํ ได้แก่ เจริญด้วยสมบัติทุกอย่าง.
บทว่า พหุชญฺํ แปลว่า อันบุคคลหมู่มากพึงรู้ หรือเป็นประโยชน์แก่ชนหมู่มาก.
บทว่า อากิณฺณมนุสฺสํ ได้แก่ มีมนุษย์เกลื่อนกล่น คืออยู่กันยัดเยียด.
บทว่า วุฑฺฒิเวปุลฺลปฺปตฺตํ ได้แก่ ถึงความเจริญ และถึงความไพบูลย์ คือ ถึงความเป็นนครประเสริฐ และถึงความไพบูลย์ อธิบายว่า เป็นนคร
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 339
เลิศในหมื่นจักรวาล.
ในบทว่า เอวเมว โข นี้ มีการเปรียบเทียบโดยอุปมาดังต่อไปนี้.
ก็พระมหาบุรุษผู้บำเพ็ญพระบารมี จำเดิมแต่บาทมูลแห่งพระพุทธทีปังกร พึงเห็นเหมือนบุรุษผู้ท่องเที่ยวอยู่ในป่าใหญ่ การเห็นมรรคอันสัมปยุตด้วยวิปัสสนา ประกอบด้วยองค์ ๘ ในส่วนเบื้องต้น แห่งพระมหาสัตว์ผู้ประทับนั่ง ณ โพธิบัลลังก์โดยลำดับ พึงเห็นเหมือนการที่บุรุษเห็นหนทาง ที่เหล่ามนุษย์แต่ก่อนเดินกันมาแล้ว การที่พระมหาสัตว์เห็นโลกุตรมรรค ที่สุดแห่งวิปัสสนาเบื้องสูง ที่พระองค์เคยประพฤติมา พึงเห็นเหมือนการที่บุรุษกำลังเดินทางที่เดินไปได้ผู้เดียวนั้น เห็นหนทางใหญ่ภายหลัง,
การที่พระตถาคตทรงเห็นนครคือพระนิพพาน พึงเห็นเหมือนบุรุษเดินทางนั้นไปเห็นหนทางข้างหน้า แต่ในอุปมาเหล่านี้ นครภายนอกคนอื่นเห็น คนอื่นสร้างให้เป็นที่อยู่ของมนุษย์ พระนครคือพระนิพพาน พระศาสดาทรงเห็นเอง ทรงกระทำให้เป็นที่อยู่ด้วยพระองค์เอง เวลาที่พระตถาคตทรงเห็นมรรค ๔ เหมือนบุรุษนั้นเห็นประตูทั้ง ๔,
เวลาที่พระตถาคตเสด็จสู่พระนิพพานโดยมรรค ๔ เหมือนบุรุษนั้นเข้าไปสู่พระนครโดยประตูทั้ง ๔, เวลาที่พระตถาคตทรงกำหนดกุศลธรรมกว่า ๕๐ ด้วยปัจจเวกขณญาณ เหมือนเวลาที่บุรุษนั้นกำหนดสิ่งของในภายในพระนคร,
เวลาที่พระศาสดาเสด็จออกจากผลสมาบัติแล้วตรวจดูเวไนยสัตว์ เหมือนเวลาที่บุรุษนั้นแสวงหาตระกูล เพื่อทำให้เป็นที่อยู่อาศัยของนคร,
เวลาที่พระผู้มีพระภาคเจ้า อันมหาพรหมทูลอาราธนา ทรงเห็นพระอัญญาโกณฑัญญเถระ เหมือนเวลาที่พระราชาผู้อันบุรุษนั้นทูลให้ทรงทราบได้ทรงเห็นกุฎุมพีใหญ่ผู้หนึ่ง,
เวลาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปสู่ทาง ๑๘ โยชน์
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 340
ในปัจฉาภัตวันหนึ่ง แล้วเสด็จไปยังป่าอิสิปตนมฤคทายวัน กรุงพาราณสี แล้วทรงแสดงธรรม ทำพระเถระให้เป็นกายสักขี ในวันอาสาฬหบูรณมี เหมือนเวลาที่พระราชารับสั่งให้เรียกกุฎุมพีผู้ใหญ่มาแล้วส่งไปด้วยพระดำรัสว่า จงสร้างพระนครให้บริบูรณ์,
เวลาเมื่อพระตถาคตทรงยังธรรมจักรให้เป็นไป ให้พระเถระดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล เหมือนเวลาที่กุฎุมพีผู้ใหญ่พาคน ๑๘ โกฏิเข้าอยู่อาศัยพระนคร พระองค์ตรัสนครนั้นให้เป็นนครคือ พระนิพพานอย่างนี้ก่อน ต่อแต่นั้นได้ตรัสถามว่า นครสมบูรณ์หรือ เมื่อบุรุษนั้นกราบทูลว่า ยังไม่สมบูรณ์ก่อน,
เวลาที่พระตถาคตทรงแสดงอนัตตลักขณสูตรเป็นต้น ตั้งแต่วันที่ ๕ (แรม ๕ ค่ำ เดือน ๘ ปีแรกที่ตรัสรู้) ทรงทำชนประมาณเท่านี้ คือ ตั้งต้นแต่พระปัญจวัคคีย์ กุลบุตร ๕๕ คน มียสกุลบุตรเป็นประมุข ภัททวัคคีย์ ๓๐ ชฎิลเก่า ๑,๐๐๐ ชาวราชคฤห์ ๑๑ นหุตมีพระเจ้าพิมพิสารเป็นประมุข สัตว์ ๘๔,๐๐๐ คราวอนุโมทนาด้วยติโรกุฑฑสูตร ให้หยั่งลงสู่อริยมรรคแล้วทรงส่งเข้านครคือพระนิพพาน เหมือนส่งตระกูล ๕ ตระกูลเป็นต้น จนถึง ๘๔,๐๐๐ ตระกูล,
เมื่อเป็นเช่นนั้น โดยนัยนั้น การที่พระธรรมกถึกนั่งประกาศคุณของพระนิพพาน และอานิสงส์แห่งการละทิ้งชาติกันดารเป็นต้น ของผู้บรรลุพระนิพพาน ในที่นั้นๆ เดือนละ ๘ วัน เหมือนเมื่อนครยังไม่เต็ม ก็ตีกลองป่าวประกาศคุณของนคร และเหมือนประกาศลาภที่หลั่งไหลมาของตระกูลทั้งหลาย ต่อแต่นั้นพึงเห็นกุลบุตรทั้งหลายหาประมาณมิได้ ฟังธรรมกถาในที่นั้นๆ แล้วออกจากตระกูลนั้น เริ่มต้นบรรพชาปฏิบัติอนุโลมปฏิปทารวมลงที่พระนิพพาน เหมือนมนุษย์ทั้งหลายมาจากทุกทิศ รวมลงที่นคร.
บทว่า ปุราณมคฺคํ ได้แก่ อริยมรรคมีองค์ ๘.
จริงอยู่ อริยมรรคนี้
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 341
ในปวารณสูตรท่านกล่าวว่า อนุปฺปนฺนมคฺโค ด้วยอรรถว่าไม่เป็นไป.
ในสูตรนี้ท่านกล่าวว่า ปุราณมคฺโค ด้วยอรรถว่าไม่ใช้สอย.
บทว่า พฺรหฺมจริยํ ได้แก่ คำสอนทั้งสิ้นซึ่งสงเคราะห์ด้วยสิกขา ๓.
บทว่า อิทฺธํ ได้แก่ เจริญ คือภิกษาหาง่าย ด้วยความยินดีในฌาน.
บทว่า ผีตํ ได้แก่ แพร่หลายด้วยเหตุคืออภิญญา.
บทว่า วิตฺถาริกํ ได้แก่ กว้างขวาง.
บทว่า พหุชญฺํ ได้แก่ ชนส่วนมากรู้แจ้ง.
บทว่า ยาวเทวมนุสฺเสหิ สุปกาสิตํ ความว่า พระตถาคตทรงประกาศดีแล้ว คือทรงแสดงดีแล้วในระหว่างนี้ ตลอดถึงพวกเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายที่มีกำหนดในหมื่นจักรวาลแล.
จบอรรถกถานครสูตรที่ ๕