๑๐. เถรนามสูตร ว่าด้วยเรื่องภิกษุรูปหนึ่งชื่อเถระ
[เล่มที่ 26] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 779
๑๐. เถรนามสูตร
ว่าด้วยเรื่องภิกษุรูปหนึ่งชื่อเถระ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 26]
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 779
๑๐. เถรนามสูตร
ว่าด้วยเรื่องภิกษุรูปหนึ่งชื่อเถระ
[๗๑๖] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเวฬุวัน
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 780
กลันทกนิวาปสถาน กรุงราชคฤห์. สมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งมีชื่อว่าเถระ มีปกติอยู่ผู้เดียว และสรรเสริญการอยู่ผู้เดียว เธอเป็นผู้เดียว เข้าไปสู่บ้านเพื่อบิณฑบาต เป็นผู้เดียวเดินกลับ ย่อมนั่งในที่ลับผู้เดียว และย่อมเป็นผู้เดียวอธิฐานจงกรม ครั้งนั้นแล ภิกษุมากด้วยกันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ครั้นแล้วถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นภิกษุเหล่านั้นนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุรูปหนึ่งในพระธรรมวินัยนี้ มีชื่อว่าเถระ มีปกติอยู่คนเดียว และมีปกติกล่าวสรรเสริญการอยู่คนเดียว.
[๗๑๗] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุรูปหนึ่งมาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ เธอจงไปบอกภิกษุชื่อเถระตามคำของเราว่า พระศาสดารับสั่งให้หา ภิกษุนั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว เข้าไปหาท่านพระเถระถึงที่อยู่ ครั้นแล้วกล่าวว่า อาวุโส พระศาสดารับสั่งให้หาท่าน ท่านพระเถระรับคำภิกษุนั้นแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ครั้นแล้วถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
[๗๑๘] ครั้นท่านพระเถระนั่งเรียบร้อยแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถามว่า ดูก่อนเถระ ได้ยินว่า เธอมีปกติอยู่คนเดียวและมักสรรเสริญการอยู่คนเดียว จริงหรือ.
พระเถระกราบทูลว่า จริง พระเจ้าข้า.
พ. ดูก่อนเถระ ก็เธอมีปกติอยู่คนเดียว และมักกล่าวสรรเสริญการอยู่คนเดียวอย่างไร.
ถ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในข้อนี้ คือข้าพระองค์คนเดียวเข้าไปสู่บ้านเพื่อบิณฑบาต เดินกลับคนเดียว นั่งในที่ลับตาคนเดียว อธิษฐาน
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 781
จงกรมคนเดียว ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์มีปกติอยู่คนเดียว และมักกล่าวสรรเสริญการอยู่คนเดียว อย่างนี้แล.
[๗๑๙] พ. ดูก่อนเถระ การอยู่คนเดียวนี้มีอยู่ เราจะกล่าวว่าไม่มีก็หาไม่ เถระ อนึ่ง การอยู่คนเดียวของเธอย่อมเป็นอันบริบูรณ์โดยพิสดารกว่าโดยประการใด เธอจงฟังโดยประการนั้น จงทำไว้ในใจให้ดี เราจักกล่าว ท่านพระเถระทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสดังต่อไปนี้.
[๗๒๐] ดูก่อนเถระ ก็การอยู่คนเดียว ย่อมเป็นอันบริบูรณ์โดยพิสดารกว่าอย่างไร ในข้อนี้ สิ่งใดที่ล่วงไปแล้ว สิ่งนั้นก็ละได้แล้ว สิ่งใดยังไม่มาถึง สิ่งนั้นก็สละคืนได้แล้ว ฉันทราคะในการได้อัตภาพที่เป็นปัจจุบันถูกกำจัดแล้วด้วยดี การอยู่คนเดียวย่อมเป็นอันบริบูรณ์โดยพิสดารกว่าอย่างนี้แล.
[๗๒๑] พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคตศาสดา ครั้นได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้แล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปว่า
เราย่อมเรียกนรชนผู้ครอบงำขันธ์ อายตนะ ธาตุ และไตรภพทั้งหมดได้ ผู้รู้ทุกข์ทุกอย่าง ผู้มีปัญญาดี ผู้ไม่แปดเปื้อนในธรรมทั้งปวง ผู้ละสิ่งทั้งปวงเสียได้ ผู้หลุดพ้น ในเพราะนิพพานเป็นที่สิ้นตัณหา ว่าเป็นผู้มีปกติอยู่คนเดียว ดังนี้.
จบเถรนามสูตรที่ ๑๐
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 782
อรรถกถาเถรนามสูตรที่ ๑๐
ในเถรนามสูตรที่ ๑๐ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า วณฺณวาที แปลว่า มีปกติกล่าวอานิสงส์.
บทว่า ยํ อตีตํ ปหีนํ ความว่า เป็นอันชื่อว่าละความโกรธนั้น ด้วยการละฉันทราคะในเบญจขันธ์อันเป็นอดีต.
บทว่า อนาคตํ ความว่า เบญจขันธ์อันเป็นอนาคตเป็นอันชื่อว่าสลัดเสียได้ ด้วยการสละฉันทราคะในเบญจขันธ์นั้น.
บทว่า สพฺพาภิภุํ ความว่า ตั้งครอบงำขันธ์ อายตนะ ธาตุ และภพ ๓ ทั้งหมด.
บทว่า สพฺพวิทุํ ได้แก่ รู้แจ้งเบญจขันธ์เป็นต้นซึ่งมีประการดังกล่าวแล้วทั้งหมดนั้น.
บทว่า สพฺเพสุ ธมฺเมสุ ความว่า อันเครื่องฉาบคือตัณหาและทิฏฐิไม่เข้าไปฉาบแล้วในธรรมทั้งปวงนั้นแล.
บทว่า สพฺพํ ชหํ ความว่า ละเบญจขันธ์นั้นแลทั้งหมด ด้วยการละฉันทราคะในเบญจขันธ์นั้น.
บทว่า ตณฺหกฺขเย วิมุตฺตํ ได้แก่ น้อมไปในพระนิพพาน กล่าวคือธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา คือในวิมุตติซึ่งมีพระนิพพานนั้นเป็นอารมณ์.
จบอรรถกถาเถรนามสูตรที่ ๑๐