๘. วิภังคสูตร อริยมรรค ๘
[เล่มที่ 30] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 24
๘. วิภังคสูตร
อริยมรรค ๘
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 30]
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 24
๘. วิภังคสูตร
อริยมรรค ๘
[๓๓] สาวัตถีนิทาน. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดง จักจำแนกอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ แก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟังอริยมรรคนั้น จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุพวกนั้นทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ เป็นไฉน คือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ.
[๓๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาทิฏฐิเป็นไฉน ความรู้ในทุกข์ ในทุกขสมุทัย ในทุกขนิโรธ ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา นี้เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ.
[๓๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาสังกัปปะเป็นไฉน ความดำริในการออกจากกาม ความดำริในอันไม่พยาบาท ความดำริในอันไม่เบียดเบียน นี้เรียกว่า สัมมาสังกัปปะ.
[๓๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาวาจาเป็นไหน เจตนาเครื่องงดเว้นจากพูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ นี้เรียกว่า สัมมาวาจา.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 25
[๓๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมากัมมันตะเป็นไฉน เจตนาเครื่องงดเว้นจากปาณาติบาต อทินนาทาน จากอพรหมจรรย์ นี้เรียกว่า สัมมากัมมันตะ.
[๓๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาอาชีวะเป็นไฉน อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ละการเลี้ยงชีพที่ผิดเสีย สำเร็จชีวิตอยู่ด้วยการเลี้ยงชีพที่ชอบ นี้เรียกว่าสัมมาอาชีวะ.
[๓๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมมาวายามะเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ยังฉันทะให้เกิด พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิตไว้ ตั้งจิตไว้ เพื่อมิให้อกุศลธรรมอันลามกที่ยังไม่เกิดบังเกิดขึ้น เพื่อละอกุศลธรรมอันลามกที่บังเกิดขึ้นแล้ว เพื่อให้กุศลธรรมที่ยังไม่เกิดบังเกิดขึ้น พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิตไว้ เพื่อความตั้งมั่น ไม่ฟั่นเฟือน เพิ่มพูน ไพบูลย์ เจริญ บริบูรณ์ แห่งกุศลธรรมที่บังเกิดขึ้นแล้ว นี้เรียกว่า สัมมาวายามะ.
[๔๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาสติเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆ อยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาเนืองๆ อยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตเนืองๆ อยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมเนืองๆ อยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย นี้เรียกว่า สัมมาสติ.
[๔๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาสมาธิเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตกวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ เธอบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 26
เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจารสงบไป มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ เธอมีอุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนาม กาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌานที่พระอริยเจ้าทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข เธอบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุข ละทุกข์ และดับโสมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ นี้เรียกว่า สัมมาสมาธิ.
จบวิภังคสูตรที่ ๘
อรรถกถาวิภังคสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในวิภังคสูตรที่ ๘.
บทว่า กตมา จ ภิกฺขเว สมฺมาทิฏฺิ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงจำแนกมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ โดยปริยายนั้นแล้ว ทรงเริ่มเทศนานี้ เหมือนทรงประสงค์จะจำแนกโดยปริยายอื่นอีก.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ทุกฺเข าณํ ความว่า ญาณอันเกิดขึ้นด้วยอาการ ๔ ด้วยสามารถการฟัง ๑ การพิจารณารอบคอบ ๑ การแทงตลอด ๑ การพิจารณา ๑. แม้ในสมุทัยก็มีนัยนี้เหมือนกัน. ส่วนในสองบทที่เหลือ (นิโรธและมรรค) ญาณ ๓ อย่างเท่านั้น ย่อมควรเพราะการพิจารณาไม่มี กัมมัฏฐานในสัจจะ ๔ นี้ พระองค์ทรงแสดงแล้วด้วยบทว่า ทุกฺเข าณํ เป็นต้นด้วยอาการอย่างนี้.
ในบทเหล่านั้น สัจจะ ๒ ข้างต้น เป็นวัฏฏะ ๒ ข้างปลายเป็น วิวัฏฏะ ในวัฏฏะและวิวัฏฏะเหล่านั้น ความยึดมั่นในกัมมัฏฐานของภิกษุมีใน
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 27
วัฏฏะ ในวิวัฏฏะความยึดมั่นไม่มี. ก็โยคาวจรเมื่อเรียนซึ่งสัจจะ ๒ ข้างต้นในสำนักของอาจารย์ ท่องด้วยวาจาบ่อยๆ โดยสังเขปอย่างนี้ ปญฺจกฺขนฺธา ทุกฺขํ ตณฺหาสมุทโย และโดยพิสดารมีนัยเป็นอาทิว่า กตเม ปญฺจกฺขนฺธา รูปกฺขนฺโธ แล้วจึงทำกรรม. ส่วนในสัจจะ ๒ นอกนี้ เธอย่อมทำกรรมด้วยการฟังอย่างนี้ว่า นิโรธสัจจะ น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ มรรคสัจจะ น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ. เธอเมื่อทำอย่างนี้ ย่อมแทงตลอดซึ่งสัจจะ ๔ ด้วยปฏิเวธอย่างหนึ่ง ย่อมตรัสรู้ด้วยการตรัสรู้อย่างหนึ่ง ย่อมแทงตลอดทุกข์ได้ด้วยการกำหนดรู้ ซึ่งสมุทัยได้ด้วยการละ ซึ่งนิโรธได้ด้วยการทำให้แจ้ง ย่อมแทงตลอดมรรคได้ด้วยการเจริญ. ย่อมตรัสรู้ทุกข์ได้ ด้วยการกำหนดรู้ ฯลฯ ย่อมตรัสรู้มรรคได้ด้วยการเจริญ.
การเรียน การไต่ถาม การฟัง การทรงไว้ การพิจารณาและการแทงตลอด ย่อมมีในสัจจะ ๒ (ทุกข์ สมุทัย) ในส่วนเบื้องต้นแห่งสัจจะ ๔ ด้วยประการอย่างนี้. การฟังและการแทงตลอดเท่านั้น ย่อมมีในสัจจะ ๒ (นิโรธ มรรค) ในกาลต่อมา ว่าโดยกิจ ปฏิเวธธรรมย่อมมีในสัจจะ ๓ (ทุกข์ สมุทัย มรรค). ในนิโรธ มีปฏิเวธเป็นอารมณ์. ส่วนปฏิเวธ ย่อมมีแก่สัจจะ ๔ ด้วยการพิจารณา. แต่การกำหนดในเบื้องต้นย่อมไม่มี. ความห่วงใย การรวบรวม การทำไว้ในใจ และการพิจารณา ย่อมไม่มีแก่ภิกษุนี้ผู้กำหนดอยู่ในเบื้องต้นว่า เราย่อมกำหนดรู้ทุกข์ ย่อมละสมุทัย ย่อมทำให้แจ้งซึ่งนิโรธ เราย่อมยังมรรคให้เกิด. ความห่วงใยเป็นต้น ย่อมมีจำเดิมแต่การกำหนด. แต่ในกาลต่อมา ทุกข์ ย่อมเป็นอันเธอกำหนดรู้แล้วแล ฯลฯ มรรค ย่อมเป็นอันเธอทำให้เกิดแล้ว.
ในสัจจะ ๔ เหล่านั้น สัจจะ ๒ ชื่อว่า เป็นธรรมลุ่มลึก เพราะเห็นได้ยาก. สัจจะ ๒ ชื่อว่า เห็นได้ยาก เพราะเป็นธรรมลุ่มลึก. จริงอยู่
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 28
ทุกขสัจจะ ก็ปรากฏได้ เพราะความเกิดขึ้น ย่อมถึงแม้ซึ่งอันตนพึงกล่าวว่า ทุกข์หนอ ในการกระทบด้วยตอและหนามเป็นต้น. แม้สมุทัยก็ปรากฏได้เพราะความเกิดขึ้น ด้วยสามารถมีความเป็นผู้ใคร่เพื่อจะเคี้ยวกินและจะบริโภค เป็นต้น. แต่ว่า โดยการแทงตลอดถึงลักษณะ ทุกข์และสมุทยสัจแม้ทั้งสองก็เป็นธรรมลุ่มลึก. สัจจะเหล่านั้น ชื่อว่า เป็นธรรมอันลุ่มลึก. เพราะเห็นได้ยาก ด้วยประการดังนี้. ความพยายามเพื่อต้องการเห็นสัจจะทั้งสองนอกนี้ (นิโรธ มรรค) ย่อมเป็นเหมือนการเหยียดมือไปเพื่อจับภวัคคพรหม เหมือนการเหยียดเท้าไปเพื่อถูกต้องอเวจี และเหมือนการยังปลายแห่งขนหางสัตว์ซึ่งแยกแล้วโดย ๗ ส่วนให้ตกสู่ปลาย. สัจจะเหล่านั้น ชื่อว่าเป็นธรรมลุ่มลึก เพราะเห็นได้ยากด้วยประการดังนี้. บทเป็นอาทิว่า ทุกฺเข าณํ นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วด้วยสามารถการเรียนเป็นต้น ในสัจจะ ๔ ชื่อว่าเป็นธรรมลุ่มลึก เพราะเห็นได้ยาก และชื่อว่าเป็นธรรมเห็นได้ยาก เพราะเป็นธรรมลุ่มลึก ด้วยประการดังนี้. ส่วนญาณนั้น ย่อมมีอย่างนี้แล ในลักษณะแห่งปฏิเวธ.
พึงทราบในบท เนกขัมมสังกัปปะเป็นอาทิ ความดำริในการออกจากกามว่า เกิดขึ้นแล้วโดยภาวะที่ออกไปจากกาม เพราะอรรถว่าเป็นข้าศึกต่อกามบ้าง เกิดขึ้นแล้วแก่ผู้พิจารณากามอยู่ดังนี้บ้างว่า เมื่อทำการกำจัดกามให้กามสงบก็เกิดขึ้นดังนี้บ้าง ว่าเมื่อสงัดจากกามก็เกิดขึ้นดังนี้บ้าง. แม้ในสองบทที่เหลือ ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. ส่วนธรรมมีเนกขัมมสังกัปปะเป็นต้น เหล่านั้นแม้ทั้งหมด ชื่อว่าต่างกันในส่วนเบื้องต้น เพราะความหมายในการงดเว้นจากกาม จากพยาบาท และจากวิหิงสามีสภาวะต่างกัน.
ส่วนในขณะแห่งมรรค ความดำริในกุศลอย่างเดียวเท่านั้น ย่อมเกิดขึ้น ยังองค์แห่งมรรคให้บริบูรณ์อยู่ ด้วยสามารถให้สำเร็จความไม่เกิดขึ้น
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 29
เพราะขาดกับบทแห่งความดำริในอกุศลอันเกิดนั้นในฐานะทั้ง ๓ เหล่านี้ นี้ชื่อว่า สัมมาสังกัปปะ.
ธรรมแม้มีเจตนาเครื่องงดเว้นจากพูดเท็จเป็นต้น ชื่อว่า ต่างกันในส่วนเบื้องต้น เพราะความหมายในการงดเว้นจากพูดเท็จเป็นต้น มีภาวะต่างกัน. ส่วนในขณะแห่งมรรค เจตนาเครื่องงดเว้นเป็นกุศลอย่างเดียวเท่านั้น ย่อมเกิดขึ้น ยังองค์มรรคให้บริบูรณ์อยู่ด้วยสามารถให้สำเร็จความไม่เกิดขึ้น เพราะขาดกับบทเจตนาเครื่องทุศีล อันเป็นอกุศล ซึ่งเกิดขึ้นในฐานะทั้ง ๔ เหล่านี้ นี้ชื่อว่า สัมมาวาจา.
ธรรมแม้มีเจตนาเครื่องงดเว้นจากปาณาติบาตเป็นต้น ชื่อว่า ต่างกันในส่วนเบื้องต้น เพราะความหมายในการงดเว้นจากปาณาติบาตเป็นต้นมีภาวะต่างกัน. ส่วนในขณะแห่งมรรค เจตนาเครื่องงดเว้นอันเป็นกุศลอย่างเดียวย่อมเกิดขึ้น ยังองค์แห่งมรรคให้บริบูรณ์อยู่ ด้วยสามารถให้สำเร็จความไม่เกิดขึ้น เพราะขาดกับบทโดยไม่ทำเจตนาเครื่องทุศีลอันเป็นอกุศลซึ่งเกิดขึ้น ในฐานะทั้ง ๓ เหล่านี้ นี้ชื่อว่า สัมมากัมมันตะ.
บทว่า มิจฺฉาอาชีวํ ได้แก่ ทุจริตทางกายและทางวาจา อันตนให้เป็นไปแล้ว เพื่อต้องการของควรเคี้ยวและของควรบริโภคเป็นต้น. บทว่า ปหาย คือ เว้น. บทว่า สมฺมาอาชีเวน ได้แก่ ด้วยการเลี้ยงชีพอันพระพุทธเจ้าสรรเสริญแล้ว. บทว่า ชีวิตํ กปฺเปติ ความว่า ย่อมยังความเป็นไปแห่งชีวิตให้เป็นไป แม้สัมมาอาชีวะ ชื่อว่า ต่างกันในเบื้องต้น เพราะความหมายในการงดเว้นจากการหลอกลวงเป็นต้นมีภาวะต่างกัน. ส่วนในขณะแห่งมรรค เจตนาเครื่องงดเว้นเป็นกุศลอย่างเดียวเท่านั้น ย่อมเกิดขึ้น ยังองค์แห่งมรรคให้บริบูรณ์อยู่ด้วยสามารถให้สำเร็จความไม่เกิดขึ้น เพราะ
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 30
ขาดกับบทเจตนาเครื่องทุศีลอันเป็นมิจฉาชีพ ซึ่งเกิดขึ้นในฐานะทั้ง ๗ เหล่านี้แล นี้ชื่อว่า สัมมาอาชีวะ.
บทว่า อนุปฺปนฺนานํ ความว่า เห็นอารมณ์ทั้งหลายเห็นปานนั้น ในเรือนแห่งหนึ่ง ย่อมยังฉันทะให้เกิด เพื่อความไม่เกิดขึ้นแห่งอกุศลธรรมอันเป็นบาปซึ่งยังไม่เกิดขึ้นแก่ตน หรือว่าเห็นอารมณ์ทั้งหลาย ที่กำลังเกิดขึ้นแก่ผู้อื่น ย่อมยังฉันทะให้เกิด เพื่อความไม่เกิดขึ้นแห่งอกุศลธรรมอันเป็นบาป ซึ่งยังไม่เกิดขึ้น อย่างนี้ว่า โอหนอ ธรรมอันเป็นบาปเห็นปานนี้ ไม่พึงเกิดขึ้นแก่เรา ดังนี้. บทว่า ฉนฺทํ ความว่า ย่อมยังวิริยฉันทะเป็นเหตุให้สำเร็จแห่งการปฏิบัติมิให้อกุศลธรรมเหล่านั้นเกิดขึ้น ให้เกิดขึ้น. บทว่า วายมติ ได้แก่ ย่อมทำความพยายาม. บทว่า วิริยํ อารภติ ได้แก่ ย่อมยังความเพียรให้เป็นไป. บทว่า จิตฺตํ ปคฺคณฺหาติ ความว่า ย่อมทำจิตอันความเพียรประคองไว้แล้ว. บทว่า ปทหติ ความว่า ย่อมยังความเพียรให้เป็นไปว่า หนัง เอ็น และกระดูกจงเหือดไปก็ตามเถิด. บทว่า อุปฺปนฺนานํ ความว่า เคยเกิดขึ้นแล้วแก่ตน ด้วยสามารถความฟุ้งซ่านย่อมยังฉันทะให้เกิด เพื่อละอกุศลธรรมเหล่านั้น ด้วยคิดว่า บัดนี้ เราจักไม่ให้อกุศลธรรมทั้งหลายเช่นนั้นเกิดขึ้น.
บทว่า อนุปฺปนฺนานํ กุสลานํ ความว่า กุศลธรรมมีปฐมฌานเป็นต้น ที่ยังไม่ได้. บทว่า อุปฺปนฺนานํ ได้แก่ กุศลธรรมเหล่านั้นนั่นแลที่ตนได้แล้ว. บทว่า ิติยา ความว่า เพื่อความตั้งมั่นด้วยสามารถความเกิดขึ้นติดกันบ่อยๆ. บทว่า อสมฺโมสาย ได้แก่ เพื่อความไม่สูญหาย. บทว่า ภิยฺโย ภาวาย ได้แก่ เพื่อสูงขึ้นไป. บทว่า เวปุลฺลาย ได้แก่ เพื่อความไพบูลย์. บทว่า ปาริปูริยา ได้แก่ เพื่อให้ภาวนาบริบูรณ์. สัมมาวายามะ แม้นี้ชื่อว่าต่างกันในส่วนเบื้องต้น เพราะอกุศลธรรมที่ยัง
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 31
ไม่เกิด คิดมิให้เกิดเป็นต้น มีภาวะต่างกัน. ส่วนในขณะแห่งมรรคความเพียร เป็นกุศลอย่างเดียวเท่านั้น ย่อมเกิดขึ้น ยังองค์มรรคให้บริบูรณ์อยู่ ด้วยสามารถให้สำเร็จกิจ ในฐานะ ๔ เหล่านี้แล นี้ชื่อว่า สัมมาวายามะ.
แม้สัมมาสติ ชื่อว่า ต่างกันในส่วนเบื้องต้น เพราะความต่างกันแห่งจิตกำหนดกายเป็นต้น. ส่วนในขณะแห่งมรรค สติอย่างเดียวย่อมเกิดขึ้น ยังองค์แห่งมรรคให้บริบูรณ์อยู่ ด้วยสามารถให้สำเร็จกิจ ในฐานะ ๔ เหล่านี้ นี้ชื่อว่า สัมมาสติ.
พึงทราบในฌานเป็นต้น ในส่วนเบื้องต้น สัมมาสมาธิ ต่างกันด้วยสามารถสมาบัติ ในขณะแห่งมรรค ด้วยสามารถมรรคที่ต่างกัน. จริงอยู่ ปฐมมรรคของฌานอย่างหนึ่ง ย่อมมีปฐมฌาน แม้ทุติยมรรคเป็นต้น มีปฐมฌาน หรือมีฌานอย่างใดอย่างหนึ่ง ในทุติยฌานเป็นต้น ปฐมมรรคของฌานอย่างหนึ่ง ย่อมมีฌานอย่างใดอย่างหนึ่ง แห่งทุติยฌานเป็นต้น. แม้ทุติยมรรคเป็นต้น มีฌานอย่างใดอย่างหนึ่ง แห่งทุติยฌานเป็นต้น หรือมีปฐมฌาน. มรรคแม้ ๔ จะเหมือนกัน ไม่เหมือนกันหรือเหมือนกันบางอย่าง ย่อมมีด้วยสามารถแห่งฌาน อย่างนี้แล.
ส่วนความต่างกันแห่งมรรคนี้ ย่อมมีด้วยการกำหนดฌานที่เป็นบาท. จริงอยู่ มรรคที่เกิดขึ้นแก่ผู้ได้ปฐมฌาน ออกจากปฐมฌานแล้วเห็นแจ้งอยู่ ย่อมมีปฐมฌานด้วยการกำหนดฌานที่เป็นบาท. ส่วนในฌานนี้ ย่อมมีองค์แห่งมรรคโพชฌงค์และฌานบริบูรณ์แล้วแล. มรรคที่เกิดขึ้นแก่ผู้ออกจากทุติยฌานแล้วเห็นแจ้งอยู่ ย่อมมีทุติยฌาน. ส่วนในฌานนี้ องค์มรรคมี ๗ มรรคที่เกิดขึ้นแก่ผู้ออกจากตติยฌานเห็นแจ้งอยู่ ย่อมมีตติยฌานก็ในฌานนี้มีองค์มรรค ๗ โพชฌงค์มี ๖. ตั้งแต่จตุตถฌานจนถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะก็มีนัยนี้.
จตุกกฌานและปัญจมกฌานในอรูปฌานย่อมเกิดขึ้น และฌานนั้น ท่านกล่าวว่า เป็นโลกุตระหาเป็นโลกิยะไม่ ดังนี้.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 32
แม้ในบทว่า กถํ นี้ในบทนั้น มรรคนั้นเกิดขึ้นแล้ว ในอรูปฌาน เพราะออกจากปฐมฌานเป็นต้น ได้โสดาปัตติมรรคเจริญอรูปสมาบัติ. มรรค ๓ แม้มีฌานนั้น ย่อมเกิดขึ้นในอรูปฌานนั้นของฌานนั้น.
ฌานที่เป็นบาท ย่อมกำหนดอย่างนี้แล. ส่วนพระเถระบางพวกย่อมกล่าวว่า ขันธ์เป็นอารมณ์ของวิปัสสนา ย่อมกำหนด. บางพวกกล่าวว่า อัธยาศัยของบุคคลย่อมกำหนด. บางพวกย่อมกล่าวว่า วุฏฐานคามินีวิปัสสนาย่อมกำหนด. การวินิจฉัยในวาทะของพระเถระเหล่านั้น พึงทราบโดยนัยอันกล่าวไว้แล้ว ในอธิการว่าด้วยวุฏฐานคามินีวิปัสสนา ในวิสุทธิมรรค. บทว่า อยํ วุจฺจติ ภิกฺขเว สมฺมาสมาธิ ดังนี้ นี้เป็นโลกิยะในส่วนเบื้องต้น ในส่วนเบื้องปลายเป็นโลกุตระ ท่านเรียกว่า สมาธิ.
จบอรรถกถาวิภังคสูตรที่ ๘