๑. ปฐมวิหารสูตร เวทนามี เพราะความเห็นผิดเป็นปัจจัย
[เล่มที่ 30] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 37
วิหารวรรคที่ ๒
๑. ปฐมวิหารสูตร
เวทนามี เพราะความเห็นผิดเป็นปัจจัย
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 30]
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 37
วิหารวรรคที่ ๒
๑. ปฐมวิหารสูตร
เวทนามี เพราะความเห็นผิดเป็นปัจจัย
[๔๗] สาวัตถีนิทาน. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราปรารถนาจะหลีกเร้นอยู่ตลอดกึ่งเดือน ใครๆ ไม่พึงเข้าไปหาเรา นอกจากภิกษุผู้นำบิณฑบาตไปให้รูปเดียว ภิกษุทั้งหลายรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ในกึ่งเดือนนี้ไม่มีใครเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า นอกจากภิกษุผู้นำบิณฑบาตไปถวายรูปเดียว.
[๔๘] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงออกจากที่หลีกเร้นโดยล่วงไปกึ่งเดือนนั้นแล้ว ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาแล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราแรกตรัสรู้ ย่อมอยู่ด้วยวิหารธรรมอันใด เราอยู่แล้วโดยส่วนแห่งวิหารธรรมอันนั้น เรารู้ชัดอย่างนี้ว่า เวทนาย่อมมี เพราะความเห็นผิดเป็นปัจจัยบ้าง เพราะความเห็นชอบเป็นปัจจัยบ้าง เพราะความดำริผิดเป็นปัจจัยบ้าง เพราะความดำริชอบเป็นปัจจัยบ้าง เพราะเจรจาผิดเป็นปัจจัยบ้าง เพราะเจรจาชอบเป็นปัจจัยบ้าง เพราะการงานผิดเป็นปัจจัยบ้าง เพราะการงานชอบเป็นปัจจัยบ้าง เพราะเลี้ยงชีพผิดเป็นปัจจัยบ้าง เพราะเลี้ยงชีพชอบเป็นปัจจัยบ้าง เพราะพยายามผิดเป็นปัจจัยบ้าง เพราะพยายามชอบเป็นปัจจัยบ้าง เพราะความระลึกผิดเป็นปัจจัยบ้าง เพราะความระลึกชอบเป็นปัจจัยบ้าง เพราะความตั้งมั่นผิดเป็นปัจจัยบ้าง เพราะความตั้งมั่นชอบเป็นปัจจัยบ้าง
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 38
เพราะฉันทะเป็นปัจจัยบ้าง เพราะวิตกเป็นปัจจัยบ้าง เพราะสัญญาเป็นปัจจัยบ้าง เพราะฉันทวิตกและสัญญายังไม่สงบเป็นปัจจัยบ้าง เพราะฉันทวิตกและสัญญาสงบเป็นปัจจัยบ้าง เพราะมีความพยายามเพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง และเมื่อถึงฐานะนั้นแล้วเป็นปัจจัยบ้าง.
จบปฐมวิหารสูตรที่ ๑
อรรถกถาวิหารวรรคที่ ๒
อรรถกถาวิหารสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในวิหารสูตรที่ ๑ แห่งวิหารวรรคที่ ๒.
บทว่า อิจฺฉามหํ ภิกฺขเว อฑฺฒมาสํ ปฏิสลฺลียิตุํ ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราปรารถนาจะหลีกเร้นนิ่งอยู่แต่ผู้เดียวตลอดกึ่งเดือนหนี่ง. บทว่า นมฺหิ เกนจิ อุปสงฺกมิตพฺโพ อญฺตร เอเกน ปิณฺฑปาตนีหารเกน ความว่า ภิกษุใดไม่ทำวาจาอันขวนขวายเพื่อตน พึงนำบิณฑบาตอันตกแต่งในตระกูลทั้งหลาย ซึ่งมีศรัทธาไปเพื่อประโยชน์แก่เรา พึงน้อมเข้าไปเพื่อเรา ใครๆ คนอื่นจะเป็นภิกษุหรือคฤหัสถ์ไม่พึงเข้าไปหาเรา นอกจากภิกษุนั้นผู้นำบิณฑบาตไปให้รูปเดียว.
ถามว่า ก็เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสอย่างนี้. ตอบว่า ได้ยินว่า ในกึ่งเดือนนั้น สัตว์ที่พระองค์จะพึงแนะนำไม่มี. เมื่อความเช่นนั้น พระศาสดาทรงดำริว่า เราจักยังกึ่งเดือนนี้ให้ล่วงไปด้วยสุขอันเกิดแต่ผลสมาบัติ การอยู่เป็นสุขจักมีแก่เราด้วยอาการอย่างนี้ และในอนาคต ชนผู้เกิดใน
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 39
ภายหลัง จักเอาอย่างว่า แม้พระศาสดาทรงละคณะไปประทับอยู่แต่พระองค์เดียว จะกล่าวอะไรถึงพวกเราเล่า ข้อนั้น จักมีเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่ปัจฉิมชนนั้น ตลอดกาลนาน ดังนี้ จึงตรัสอย่างนี้ ด้วยเหตุนี้. แม้ภิกษุสงฆ์ทูลรับพระดำรัสของพระศาสดาแล้ว จึงได้ถวายภิกษุรูปหนึ่ง ภิกษุรูปนั้น ทำกิจทั้งปวงมีการกวาดบริเวณพระคันธกุฎี ถวายน้ำสรงพระพักตร์และไม้ชำระพระทนต์เป็นต้น แต่เช้าตรู่เสร็จแล้ว ก็หลีกไปในขณะนั้น.
บทว่า เยน สฺวาหํ ตัดบทเป็น เยน สุ อหํ. บทว่า ปมาภิสมฺพุทฺโธ ความว่า เราได้ตรัสรู้ครั้งแรก อยู่ด้วยวิหารธรรม ในภายใน ๔๙ วัน. บทว่า วิหรามิ นี้ เป็นคำปัจจุบันลงในอรรถของอดีต. บทว่า ตสฺส ปเทเสน ความว่า โดยส่วนแห่งวิหารธรรมแรกตรัสรู้นั้น. ส่วนแห่งขันธ์ ส่วนแห่งอายตนะ ธาตุ สัจจะ อินทรีย์ ปัจจยาการ สติปัฏฐาน ฌานและนามรูป ส่วนแห่งธรรม มีอย่างต่างๆ กัน ชื่อว่า ส่วนในวิหารธรรมนั้น. พระองค์ทรงหมายถึงส่วนแห่งธรรมนั้นแม้ทั้งปวง จึงตรัสว่า ตสฺส ปเทเสน วิหาสึ ดังนี้.
ก็ในปฐมโพธิกาล พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงใคร่ครวญพิจารณาขันธ์ห้า หมดทุกส่วนแล้วในภายใน ๔๙ วัน เหมือนพระราชาทรงปกครองราชสมบัติแล้ว รับสั่งให้เปิดห้องนั้นๆ เพื่อทอดพระเนตรสมบัติอันเป็นแก่นสารของพระองค์ พึงพิจารณาอยู่ ซึ่งรัตนะทั้งหลายมีทอง เงิน แก้วมุกดาและมณีเป็นต้นฉะนั้น. ส่วนในกึ่งเดือนนี้ ทรงพิจารณาอยู่ซึ่งเวทนาขันธ์เท่านั้น อันเป็นส่วนแห่งขันธ์เหล่านั้น. เมื่อพระองค์ทรงแลดูอยู่ว่า สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ ย่อมเสวยซึ่งสุขชื่อเห็นปานนี้ เสวยซึ่งทุกข์เห็นปานนี้ ดังนี้ สุขเวทนาเป็นไปแล้ว จนถึงภวัคคพรหม ทุกขเวทนาเป็นไปแล้ว จนถึงอเวจี ทั้งหมดปรากฏแล้ว โดยอาการทั้งปวง. ต่อมา ทรงอยู่กำหนดเวทนานั้น โดย
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 40
นัยเป็นต้นว่า เวทนาย่อมมีเพราะความเห็นผิดเป็นปัจจัยบ้างดังนี้. ในปฐมโพธิกาล ทรงอยู่ทำอายตนะ ๑๒ ให้หมดทุกส่วนอย่างนั้น. ก็ในกึ่งเดือนนี้พระองค์ทรงพิจารณาอยู่ ซึ่งส่วนหนึ่งแห่งธัมมายตนะ ด้วยสามารถเวทนาซึ่งเป็นส่วนแห่งอายตนะเหล่านั้น ซึ่งส่วนหนื่งแห่งธัมมธาตุด้วยสามารถเวทนา ซึ่งเป็นส่วนแห่งธาตุทั้งหลาย ซึ่งส่วนหนึ่งแห่งทุกขสัจด้วยสามารถเวทนาขันธ์เท่านั้น ซึ่งเป็นส่วนแห่งสัจจะทั้งหลาย ซึ่งส่วนหนึ่งแห่งปัจจัยด้วยสามารถเวทนาเท่านั้น เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย ซึ่งเป็นส่วนแห่งปัจจัยทั้งหลาย ซึ่งส่วนหนึ่งแห่งองค์ฌานด้วยสามารถเวทนาเท่านั้น ซึ่งเป็นส่วนแห่งฌานทั้งหลาย ทรงพิจารณาอยู่ซึ่งส่วนอันหนึ่งแห่งนามด้วยสามารถเวทนาเท่านั้น ซึ่งส่วนอันหนึ่งแห่งนามด้วยสามารถเวทนาเท่านั้น ซึ่งเป็นส่วนแห่งนามและรูป.
ส่วนในปฐมสมโพธิ์ ทรงทำธรรมมีกุศลเป็นต้นให้หมดทุกส่วนในภายใน ๔๙ วัน เสร็จแล้วทรงพิจารณาอยู่ ซึ่งปกรณ์ ๗ อันเป็นอนันตรนัย. ก็ในกึ่งเดือนนี้ พระองค์ทรงพิจารณาอยู่ซึ่งหมวด ๓ แห่งเวทนาอย่างเดียว ซึ่งเป็นส่วนแห่งธรรมทั้งปวง. วิหารสมาบัตินั้นๆ ในที่นั้นๆ เกิดแล้วด้วยอานุภาพแห่งเวทนา.
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงอยู่แล้วโดยอาการใด เมื่อจะทรงแสดงอาการนั้น จึงตรัสคำว่า มิจฺฉาทิฏฺิปจฺจยาปิ เป็นอาทิ. ในบทเหล่านั้น บทว่า มิจฺฉาทิฏฺิปจฺจยาปิ ความว่า แม้เวทนาสัมปยุตด้วยทิฏฐิ ย่อมควร. เวทนาที่เป็นกุศลและอกุศลบ้าง เวทนาที่เป็นวิบากบ้าง เกิดขึ้นเพราะทำทิฏฐิให้เป็นอุปนิสัย ย่อมควร. ในบทนั้น เวทนา สัมปยุตด้วยมิจฉาทิฏฐิ ย่อมเป็นอกุศลอย่างเดียว. ส่วนเวทนาเป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง ย่อมเกิดขึ้น เพราะอาศัยทิฏฐิ. เพราะพวกมิจฉาทิฏฐิ อาศัยทิฏฐิแล้ว ย่อมให้ข้าวยาคูและภัตเป็นต้นในวันปักษ์ ย่อมตั้งข้อปฏิบัติสำหรับคน
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 41
เดินทางไกลเป็นต้น ย่อมสร้างศาลาบนทางใหญ่ ๔ แพร่ง ย่อมให้ช่วยกันขุดสระโบกขรณี ย่อมปลูกกอไม้ดอกในศาลเจ้าเป็นต้น ย่อมลาดสะพานในแม่น้ำและทางลำบากเป็นต้น ย่อมทำที่ไม่เสมอให้เสมอ เวทนาที่เป็นกุศลย่อมเกิดขึ้นแก่คนเหล่านั้น ด้วยประการดังนี้. ส่วนคนเหล่านั้นอาศัยความเห็นผิด ย่อมด่าย่อมบริภาษพวกสัมมาทิฏฐิด้วยตนเอง ย่อมทำกรรมมีการฆ่าและการจองจำเป็นต้น ฆ่าสัตว์แล้วย่อมนำเข้าไปสังเวยแก่เทพดาทั้งหลาย เวทนาที่เป็นอกุศลย่อมเกิดขึ้นแก่คนเหล่านั้น ด้วยประการดังนี้. ส่วนเวทนาที่เป็นวิบาก ย่อมมีแก่ผู้อยู่ในระหว่างภพ.
แม้เวทนาสัมปยุตด้วยสัมมาทิฏฐิ เวทนาที่เป็นกุศลและอกุศลบ้าง เวทนาที่เป็นวิบากบ้าง อันเกิดขึ้นเพราะทำสัมมาทิฏฐิให้เป็นอุปนิสัย ย่อมควร แม้ในบทว่า สมฺมาทิฏฺิปจฺจยา นี้. ในบทนั้นเวทนาอันสัมปยุตด้วยสัมมาทิฏฐิ ย่อมเป็นกุศลอย่างเดียว. ส่วนคนเหล่านั้นอาศัยความเห็นชอบแล้ว จึงพากันทำบุญทั้งหลายเป็นอาทิอย่างนี้ว่า การบูชาพระพุทธเจ้า ประทีป ดอกไม้ การฟังธรรมใหญ่ การให้ประดิษฐานพระเจดีย์ในทิสาภาค ซึ่งยังไม่ประดิษฐาน. เวทนาที่เป็นกุศลย่อมเกิดขึ้นแก่คนเหล่านั้น ด้วยประการดังนี้. คนเหล่านั้น อาศัยความเห็นชอบเท่านั้นแล้ว จึงด่าบริภาษพวกมิจฉาทิฏฐิ ย่อมยกตน ข่มคนอื่น เวทนาอันเป็นอกุศลย่อมเกิดขึ้นแก่คนเหล่านั้น ด้วยประการดังนี้. ส่วนเวทนาอันเป็นวิบาก ย่อมมีแก่คนทั้งหลายผู้อยู่ในระหว่างภพเท่านั้น. แม้ในบทเป็นอาทิว่า มิจฺฉาสงฺกปฺปปจฺจยา ก็มีนัยนี้แล. ส่วนในบทเป็นอาทิว่า ฉนฺทปจฺจยา พึงทราบเวทนาอันสัมปยุตด้วยจิต ประกอบด้วยโลภะ ๘ ดวง เพราะฉันทะเป็นปัจจัย. เวทนาในปฐมฌานย่อมมี เพราะวิตกเป็นปัจจัย เวทนาในสัญญาสมาบัติ ๖ ที่เหลือ เว้นปฐมฌานย่อมมี เพราะสัญญาเป็นปัจจัย.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 42
ในบทเป็นอาทิว่า ฉนฺโท จ อวูปสนฺโต ความว่า เวทนาอันสัมปยุตด้วยจิตประกอบด้วยโลภะ ๘ ดวง ย่อมมีในเพราะความไม่สงบแห่งฉันทวิตกและสัญญาทั้งสาม แต่พอฉันทะสงบ เวทนาในปฐมฌาน ก็ย่อมมี เวทนามีทุติยฌานเป็นต้น ท่านประสงค์แล้วในเพราะความสงบฉันทะและวิตก. เวทนาในเนวสัญญานาสัญญายตนะย่อมมีในเพราะความสงบฉันทวิตกและสัญญาแม้สามได้. บทว่า อปฺปตฺตสฺส ปตฺติยา ได้แก่ เพื่อบรรลุอรหัตตผล. บทว่า อตฺถิ วายามํ ได้แก่ มีความเพียร. บทว่า ตสฺมึปิ าเน อนุปฺปตฺเต ความว่า เมื่อถึงเหตุแห่งพระอรหัตตผล ด้วยสามารถแห่งการปรารภความเพียรนั้น. บทว่า ตปฺปจฺจยาปิ เวทยิตํ ความว่า เวทนา ย่อมมีเพราะฐานะเป็นปัจจัยแห่งพระอรหัต เวทนาอันเป็นโลกุตระซึ่งเกิดพร้อมกับมรรค ๔ ท่านถือเอาแล้วด้วยบทนั้นแล.
จบอรรถกถาปฐมวิหารสูตรที่ ๑