๒. กายสูตร อาหารของนิวรณ์ ๕
[เล่มที่ 30] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 187
๒. กายสูตร
อาหารของนิวรณ์ ๕
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 30]
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 187
๒. กายสูตร
อาหารของนิวรณ์ ๕
[๓๕๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กายนี้มีอาหารเป็นที่ตั้ง ดำรงอยู่ได้เพราะอาศัยอาหาร ไม่มีอาหารดำรงอยู่ไม่ได้ แม้ฉันใด นิวรณ์ ๕ ก็มีอาหารเป็นที่ตั้ง ดำรงอยู่ได้เพราะอาศัยอาหาร ไม่มีอาหารดำรงอยู่ไม่ได้ ฉันนั้นเหมือนกัน.
[๓๕๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหาร ให้กามฉันท์ที่ยังไม่เกิดเกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ศุภนิมิตมีอยู่ การกระทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการในศุภนิมิตนั้น นี้เป็นอาหารให้กามฉันท์ที่ยังไม่เกิดขึ้นเกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 188
[๓๕๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้พยาบาทที่ยังไม่เกิดเกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปฏิฆนิมิตมีอยู่ การกระทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการในปฏิฆนิมิตนั้น นี้เป็นอาหารให้พยาบาทที่ยังไม่เกิดเกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญไพบูลย์ ยิ่งขึ้น.
[๓๖๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้ถีนมิทธะที่ยังไม่เกิดเกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความไม่ยินดี ความเกียจคร้าน ความบิดขี้เกียจ ความเมาอาหาร ความที่ใจหดหู่ มีอยู่ การกระทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการในสิ่งเหล่านั้น นี้เป็นอาหารให้ถีนมิทธะที่ยังไม่เกิดเกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น.
[๓๖๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้อุทธัจจกุกกุจจะที่ยังไม่เกิดเกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความไม่สงบใจมีอยู่ การกระทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการในความไม่สงบใจนั้น นี้เป็นอาหารให้อุทธัจจกุกกุจจะที่ยังไม่เกิดเกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น.
[๓๖๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้วิจิกิจฉาที่ยังไม่เกิดเกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายอันเป็นที่ตั้งแห่งวิจิกิจฉามีอยู่ การกระทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการในธรรมเหล่านั้น นี้เป็นอาหารให้วิจิกิจฉาที่ยังไม่เกิดเกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญไพบูลย์ขึ้น.
[๓๖๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กายนี้มีอาหารเป็นที่ตั้ง ดำรงอยู่ได้ เพราะอาศัยอาหาร ไม่มีอาหารดำรงอยู่ไม่ได้ แม้ฉันใด นิวรณ์ ๕ เหล่านี้
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 189
ก็มีอาหารเป็นที่ตั้ง ดำรงอยู่ได้เพราะอาศัยอาหาร ไม่มีอาหารดำรงอยู่ไม่ได้ ฉันนั้นเหมือนกัน.
อาหารของโพชฌงค์ ๗
[๓๖๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กายนี้มีอาหารเป็นที่ตั้ง ดำรงอยู่ได้เพราะอาศัยอาหาร ไม่มีอาหารดำรงอยู่ไม่ได้ แม้ฉันใด โพชฌงค์ ๗ ก็มีอาหารเป็นที่ตั้ง ดำรงอยู่ได้เพราะอาศัยอาหาร ไม่มีอาหารดำรงอยู่ไม่ได้ ฉันนั้นเหมือนกัน.
[๓๖๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้สติสัมโพชฌงค์ ที่ยังไม่เกิดเกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายเป็นที่ตั้งแห่งสติสัมโพชฌงค์ มีอยู่ การกระทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในธรรมเหล่านั้น นี้เป็นอาหารให้สติสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิดเกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์.
[๓๖๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิดเกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายที่เป็นกุศลและอกุศล ที่มีโทษ และไม่มีโทษ ที่เลวและประณีต ที่เป็นฝ่ายดำและฝ่ายขาว มีอยู่ การกระทำให้มีซึ่งโยนิโสมนสิการในธรรมเหล่านั้น นี้เป็นอาหารให้ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิดเกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์.
[๓๖๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้วิริยสัมโพชฌงค์ ที่ยังไม่เกิดเกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความริเริ่ม ความพยายาม ความบากบั่น มีอยู่ การกระทำให้มากซึ่งโยนิ-
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 190
โสมนสิการในสิ่งเหล่านี้ นี้เป็นอาหารใช้วิริยสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิดเกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์.
[๓๖๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้ปีติสัมโพชฌงค์ ที่ยังไม่เกิดเกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายเป็นที่ตั้งแห่งปีติสัมโพชฌงค์ มีอยู่. การกระทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในธรรมเหล่านั้น นี้เป็นอาหารให้ปีติสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิดเกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์.
[๓๖๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิดเกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความสงบกาย ความสงบจิต มีอยู่ การกระทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในความสงบนั้น นี้เป็นอาหารให้ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิดเกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์.
[๓๗๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้สมาธิสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิดเกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมาธินิมิต อัพยัคคนิมิต (๑) มีอยู่ การกระทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในนิมิตนั้น นี้เป็นอาหารให้สมาธิสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์.
[๓๗๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้อุเบกขาสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิดเกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายเป็นที่ตั้งแห่งอุเบกขาสัมโพชฌงค์ มีอยู่ การกระทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในธรรมเหล่านั้น นี้เป็นอาหารให้อุเบกขาสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิดเกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์.
(๑) หมายถึงนิมิตแห่งจิตที่มีอารมณ์ไม่ฟุ้งซ่าน.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 191
[๓๗๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กายนี้มีอาหารเป็นที่ตั้ง ดำรงอยู่ได้เพราะอาศัยอาหาร ไม่มีอาหารดำรงอยู่ไม่ได้ แม้ฉันใด โพชฌงค์ ๗ เหล่านี้ก็มีอาหารเป็นที่ตั้ง ดำรงอยู่ได้เพราะอาศัยอาหาร ไม่มีอาหารดำรงอยู่ไม่ได้ ฉันนั้นเหมือนกัน.
จบกายสูตร ๒
อรรถกถากายสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในกายสูตรที่ ๒.
บทว่า อาหารฏฺิติโก คือกายนี้ดำรงอยู่ได้เพราะปัจจัย. บทว่า อาหารํ ปฏิจฺจ ได้แก่ อาศัยปัจจัย. บทว่า สุภนิมิตฺตํ ได้แก่ แม้สิ่งที่งามก็เป็นศุภนิมิต แม้อารมณ์ของสิ่งที่งาม ก็เป็นศุภนิมิต. บทว่า อโยนิโสมนสิกาโร ได้แก่ ไม่กระทำไว้ในใจโดยอุบาย คือ กระทำไว้ในใจนอกทาง ได้แก่ กระทำในใจในความไม่เที่ยงว่าเที่ยง หรือในความทุกข์ว่าสุข ในสิ่งที่มิใช่ตนว่าตน หรือในสิ่งที่ไม่งามว่างาม กามฉันทะย่อมเกิดขึ้นแก่ผู้ยังมนสิการนั้นให้เป็นไปอยู่ในสุภารมณ์นั้นโดยมาก. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคำว่า อตฺถิ ภิกฺขเว สุภนิมิตฺตํ ดังนี้เป็นต้น. พึงทราบวาจาประกอบในนิวรณ์ในที่ทั้งปวงด้วยประการฉะนี้.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 192
ส่วนในบทว่า ปฏิฆนิมิตฺตํ เป็นต้น ปฏิฆะก็ดี อารมณ์ของปฏิฆะก็ดี จัดเป็นปฏิฆนิมิต. บทว่า อรติ แปลว่า ความกระสัน. พระองค์ตรัสข้อว่า ในบทเหล่านั้น ความไม่ยินดีเป็นไฉน คือความไม่ยินดี ความไม่ยินดียิ่ง ความไม่อภิรมย์ ความกระสัน ความสะดุ้งในเสนาสนะทั้งหลายอันสงัด หรือในธรรมทั้งหลาย อันเป็นอธิกุศลอย่างใดอย่างหนึ่ง นี้เรียกว่า ความไม่ยินดี.
บทว่า ตนฺทิ ได้แก่ ความคร้านกายที่จรมาเกิดขึ้น เพราะมีหนาวนัก เป็นต้นเป็นปัจจัย เมื่อมันเกิดขึ้น เขาจะกล่าวว่า หนาวนัก ร้อนนัก เราหิวนัก กระหายนัก เราเดินทางไกลนัก. พระองค์ตรัสข้อว่า ในบทเหล่านั้น ความเกียจคร้านเป็นไฉน คือกิริยาที่เกียจคร้าน ความมีใจเกียจคร้าน ความคร้าน กิริยาที่คร้าน ความเป็นคนมีความคร้านอันใด นี้เรียกว่า ความเกียจคร้าน.
บทว่า วิชมฺภิตา ได้แก่ ความบิดกายด้วยอำนาจกิเลส. พระองค์ตรัสข้อว่า ในบทเหล่านั้น ความบิดขี้เกียจเป็นไฉน คือความบิดกาย ความบิด ความเอียงมา ความเอียงไป ความสยบลง ความซบเซา ความป่วยไข้ของกายอันใด นี้เรียกว่า ความบิดขี้เกียจ.
บทว่า ภตฺตสมฺมโท ได้แก่ ความเร่าร้อนในอาหาร. พระองค์ตรัสข้อว่า ในบทเหล่านั้น ความเมาในอาหารเป็นไฉน ความสยบในอาหาร ลำบากในอาหาร ความเร่าร้อนในอาหาร ความอ้วนของกายของคนผู้บริโภคอันใด อันนี้เรียกว่า ความเมาในอาหาร.
บทว่า เจตโส ลีนตฺตํ ได้แก่ อาการหดหู่ของจิต. พระองค์ตรัสข้อว่า ในบทเหล่านั้น ความหดหู่ของจิตใจเป็นไฉน คือความไม่งาม ความ
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 193
ไม่ควรแก่การงาน ความหดหู่ลง กิริยาหดหู่ ความหดหู่ของจิต ท้อแท้ กิริยาที่ท้อแท้ ความท้อแท้ของจิตอันใด อันนี้เรียกว่าความหดหู่ของจิต.
บทว่า เจตโส อวูปสโม ความว่า อาการไม่สงบของจิต เหมือนคนนั่งก่อไฟ มีแต่ถ่านปราศจากเปลวไฟ และเหมือนคนนั่งไม่ก่อไฟในที่สุมบาตร ฉะนั้น แต่โดยเนื้อความข้อนั้น เป็นความฟุ้งซ่านรำคาญแท้.
บทว่า วิจิกิจฺฉาฏานิยา ธมฺมา ได้แก่ ธรรมเป็นอารมณ์ของ วิจิกิจฉา. อโยนิโสมนสิการมีนัยอันกล่าวไว้ในบททั้งปวงแล ในข้อนี้ ธรรม ๒ เหล่านี้ คือ กามฉันทะ วิจิกิจฉา ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ โดยอารมณ์. พยาบาท กล่าวไว้โดยอารมณ์และอุปนิสสัยปัจจัย. ธรรมที่เหลือกล่าวไว้โดย สหชาตปัจจัย และอุปนิสสัยปัจจัย ด้วยประการฉะนี้.
บทว่า สติสมฺโพชฺฌงฺคฏฺานิยา ธมฺมา ได้แก่ ธรรมเป็นอารมณ์ของสติ คือโพธิปักขิยธรรม ๓๗ และโลกุตรธรรม ๙. บทว่า ตตฺถ โยนิโสมนสิการพหุลีกาโร ได้แก่ การทำบ่อยๆ ซึ่งมนสิการโดยอุบายในธรรมนั้น.
บทว่า กุสลา ในบทเป็นต้นว่า กุสลากุสลา ธมฺมา ได้แก่ ธรรมเกิดแต่ความฉลาดไม่มีโทษมีผลเป็นสุข. บทว่า อกุสลา ได้แก่ ธรรมเกิดแต่ความไม่ฉลาด มีโทษ มีผลเป็นทุกข์. บทว่า สาวชฺชา ได้แก่ ธรรมเป็นอกุศล. บทว่า อนวชฺชา ได้แก่ ธรรมเป็นกุศล. แม้ในธรรมเลว ประณีต ดำและขาว ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. บทว่า สปฺปฏิภาคา ได้แก่ กัณหธรรมและสุกกธรรมเท่านั้น ด้วยว่า กัณหธรรมชื่อว่ามีส่วนเปรียบเพราะ ให้ผลดำ และสุกกธรรมชื่อว่า มีส่วนเปรียบ เพราะให้ผลขาว อธิบายว่า มีส่วนแห่งวิบากเช่นกัน อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า มีส่วนเปรียบ เพราะมีส่วนตรงกันข้าม. คือมีส่วนเปรียบแม้อย่างนี้ว่า ส่วนสุกกธรรมตรงกันข้ามกับกัณหธรรม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 194
และกัณหธรรมตรงกันข้ามกับสุกกธรรม อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า มีส่วนเปรียบ เพราะอรรถว่า จะนำมากลับกันไม่ได้. คือกัณหะและสุกกธรรมมีส่วนเปรียบกันได้อย่างนี้ว่า ฝ่ายอกุศลห้ามกุศลแล้ว จึงให้วิบากของตน ส่วนกุศลห้ามอกุศลแล้ว จึงให้วิบากของตน ดังนี้.
บทว่า อารพฺภธาตุ ได้แก่ความเพียรครั้งแรก. บทว่า นิกฺขมธาตุ ได้แก่ความเพียรมีกําลังกว่านั้น เพราะออกจากความเกียจคร้าน. บทว่า ปรกฺกมธาตุ ได้แก่ ความเพียรมีกำลังกว่านั้น เพราะเป็นเหตุก้าวไปข้างหน้าๆ คือฐานะ เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวด้วยบท ๓.
บทว่า ปีติสมฺโพชฺฌงฺคฏฺานิยา ได้แก่ ธรรมเป็นอารมณ์ของปีติ. บทว่า กายปสฺสทฺธิ ได้แก่ ความสงบแห่งขันธ์ (๑) สาม. บทว่า จิตฺต ปสฺสทฺธิ ได้แก่ ความสงบแห่งวิญญาณขันธ์. บทว่า สมาธินิมิตฺตํ ได้แก่ สมถะบ้าง อารมณ์ของสมถะบ้าง. บทว่า อพฺยคฺคนิมิตฺตํ เป็นไวพจน์ของบทว่า สมาธินิมิตฺตํ นั้น.
บทว่า อุเปกฺขาสมฺโพชฺฌงฺคฏฺานิยา ได้แก่ ธรรมเป็นอารมณ์ของอุเบกขา. แต่โดยเนื้อความ พึงทราบอาการอันเป็นกลางว่า ธรรมทั้งหลายเป็นที่ตั้งแห่งอุเบกขา. ในข้อนี้ สติ ธรรมวิจยะ และอุเบกขาสัมโพชฌงค์ ท่านกล่าวไว้โดยความเป็นอารมณ์อย่างนี้. ธรรมทั้งหลายที่เหลือท่านกล่าวไว้โดยความเป็นอารมณ์บ้าง โดยความเป็นอุปนิสสัยบ้าง.
จบอรรถกถากายสูตรที่ ๒
(๑) คือ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ และสังขารขันธ์.