๙. คิลานสูตร ว่าด้วยมีตนเป็นเกาะ
[เล่มที่ 30] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 395
๙. คิลานสูตร
ว่าด้วยมีตนเป็นเกาะ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 30]
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 395
๙. คิลานสูตร
ว่าด้วยมีตนเป็นเกาะ
[๗๐๘] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ เวฬุวคาม ใกล้กรุงเวสาลี. ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาแล้วตรัสว่า มาเถิด ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเข้าจำพรรษาในกรุงเวสาลีโดยรอบ ตามมิตร ตามสหาย ตามพวก (ของตนๆ) เถิด เราจะเข้าจำพรรษา ณ เวฬุวคามนี้แล. ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วเข้าจำพรรษาในกรุงเวสาลีโดยรอบ ตามมิตร ตามสหาย ตามพวก (ของตนๆ).
[๗๐๙] ส่วนพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเข้าจำพรรษา ณ เวฬุวคามนั้นแหละ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเข้าจำพรรษาแล้ว อาพาธกล้าบังเกิดขึ้น เวทนาอย่างหนักใกล้มรณะเป็นไปอยู่. ได้ยินว่า ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงดำรงพระสติสัมปชัญญะ ทรงอดกลั้น ไม่ทรงพรั่นพรึง. ครั้งนั้น พระองค์ทรงดำริว่า การที่เรายังไม่บอกภิกษุผู้อุปัฏฐาก ยังไม่อำลาภิกษุสงฆ์ แล้วปรินิพพานเสียนั้น หาสมควรแก่เราไม่ ไฉนหนอ เราพึงขับไล่อาพาธนี้เสียด้วยความเพียร แล้วดำรงชีวิตสังขารอยู่. ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงขับไล่พระประชวรนั้นด้วยความเพียร แล้วทรงดำรงชีวิตสังขารอยู่. ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหายจากพระประชวรแล้ว ทรงหายจากความเจ็บป่วยไม่นาน ประทับนั่งบนอาสนะที่เขาปูลาดไว้ใต้ร่มเงาแห่งวิหาร.
[๗๑๐] ลำดับนั้น ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 396
ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอดทน ข้าพระองค์เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยังอัตภาพให้เป็นไป กายของข้าพระองค์ประหนึ่งจะงอมระงมไป แม้ทิศทั้งหลายก็ไม่ปรากฏแก่ข้าพระองค์ แม้ธรรมทั้งหลายก็ไม่แจ่มแจ้งแก่ข้าพระองค์ เพราะความประชวรของพระผู้มีพระภาคเจ้า แต่ข้าพระองค์มาเบาใจอยู่หน่อยหนึ่งว่า พระผู้มีพระภาคเจ้ายังไม่ทรงปรารภภิกษุสงฆ์ แล้วตรัสพระพุทธพจน์อันใดอันหนึ่ง จักยังไม่เสด็จปรินิพพานก่อน. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ ก็บัดนี้ภิกษุสงฆ์จะยังมาหวังอะไรในเราเล่า. ธรรมอันเราแสดงแล้ว กระทำไม่ให้มีในภายใน ไม่ให้มีในภายนอก. กำมืออาจารย์ในธรรมทั้งหลาย มิได้มีแก่ตถาคต. ผู้ใดพึงมีความดำริฉะนี้ว่า เราจักบริหารภิกษุสงฆ์ หรือว่าภิกษุสงฆ์ยังมีตัวเราเป็นที่เชิดชู ผู้นั้นจะพึงปรารภภิกษุสงฆ์ แล้วกล่าวคำอันใดอันหนึ่งแน่นอน. ดูก่อนอานนท์ ตถาคตมิได้มีความดำริอย่างนี้ว่า เราจักบริหารภิกษุสงฆ์ หรือว่าภิกษุสงฆ์มีตัวเราเป็นที่เชิดชู ดังนี้. ตถาคตจักปรารภภิกษุสงฆ์แล้วกล่าวคำอันใดอันหนึ่งทำไมอีกเล่า. บัดนี้เราก็แก่เฒ่า เป็นผู้ใหญ่ล่วงกาลผ่านวัยแล้ว วัยของเราเป็นมาถึง ๘๐ ปีแล้ว. เกวียนเก่ายังจะใช้ไปได้ก็เพราะการซ่อมแซมด้วยไม้ไผ่ ฉันใด กายของตถาคตก็ฉันนั้นเหมือนกัน ยังเป็นไปได้ก็คล้ายกับเกวียนเก่าที่ซ่อมแซมแล้วด้วยไม้ไผ่ ฉะนั้น.
[๗๑๑] ดูก่อนอานนท์ สมัยใด ตถาคตเข้าเจโตสมาธิอันไม่มีนิมิต เพราะไม่กระทำไว้ในใจซึ่งนิมิตทั้งปวง เพราะดับเวทนาบางเหล่าแล้วอยู่ สมัยนั้น กายของตถาคตย่อมผาสุก เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายจงมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง คือ จงมีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่เถิด.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 397
[๗๑๒] ดูก่อนอานนท์ ก็ภิกษุเป็นผู้มีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง คือ มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่. ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย. ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่... ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่... ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย. ดูก่อนอานนท์ ภิกษุเป็นผู้มีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง คือ มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่ อย่างนี้แล.
[๗๑๓] ดูก่อนอานนท์ ก็ผู้ใดผู้หนึ่งในบัดนี้ก็ดี ในเวลาที่เราล่วงไปแล้วก็ดี จักเป็นผู้มีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง คือมีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่ ภิกษุเหล่าใดเป็นผู้ใคร่ต่อการศึกษา ภิกษุเหล่านั้นจักเป็นผู้เลิศ.
จบคิลานสูตรที่ ๙
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 398
อรรถกถาคิลานสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในคิลานสูตรที่ ๙.
บทว่า เวลุวคามเก ความว่า มีปารคามอยู่แห่งหนึ่ง มีชื่ออย่างนี้ ใกล้กรุงเวสาลี. ณ ปารคามนั้น. ในบทว่า ยถามิตฺตํ เป็นต้น ได้แก่มิตรทั้งหลาย. บทว่า สนฺทิฏฺํ ความว่า เพื่อนแรกพบร่วมกันในที่นั้นๆ จัดเป็นมิตรที่ไม่มั่นคงนัก. บทว่า สมฺภตฺตํ ความว่า เพื่อนคบกันดี มีความเยื่อใย จัดเป็นมิตรมั่นคง. อธิบายว่า พวกเธอทั้งหลายจงเข้าจำพรรษา ในที่มีภิกษุทั้งหลายเห็นปานนั้นอยู่เถิด. ถามว่า ตรัสอย่างนั้น เพราะเหตุไร ตอบว่า เพื่ออยู่ผาสุกของภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น.
ได้ยินว่า ในเวฬุวคาม เสนาสนะไม่พอสำหรับภิกษุเหล่านั้น ทั้งภิกษาก็น้อย แต่โดยรอบกรุงเวสาลี มีเสนาสนะมาก ทั้งภิกษาก็หาได้ง่าย เพราะฉะนั้น พระองค์จึงตรัสอย่างนี้.
ถามว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไร พระองค์จึงไม่ทรงปล่อยไปว่า เธอทั้งหลาย จงไปตามสบายเถิด. ตอบว่า เพื่ออนุเคราะห์ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น. ได้ยินว่า พระองค์ได้มีพระดำริอย่างนี้ว่า เราดำรงอยู่เพียงกึ่งเดือน จักปรินิพพาน. ถ้าภิกษุทั้งหลาย จักไปไกลเรา เธอทั้งหลายจักไม่อาจเห็นเราในเวลาปรินิพพาน. ครั้งนั้น พวกเธอพึงมีความเดือดร้อนว่า เมื่อพระศาสดาปรินิพพานไม่ได้ประทานแม้เพียงสติแก่เราทั้งหลาย ถ้าเราทั้งหลายพึงรู้ ก็ไม่พึงอยู่ไกลอย่างนี้. แต่เมื่อเธอทั้งหลายอยู่รอบกรุงเวสาลี จักมาฟังธรรมเดือนละ ๘ ครั้ง ก็ได้โอวาทของสุคต ดังนี้ จึงไม่ทรงปล่อย.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 399
บทว่า ขโร ได้แก่ กล้าแข็ง. บทว่า อาพาโธ ได้แก่ โรคที่เป็นวิสภาคะ. บทว่า พาฬฺหา แปลว่า มีกำลัง. บทว่า มรณนฺติกา ได้แก่ สามารถจะให้ถึงตาย คือใกล้ตายได้. บทว่า สโต สมฺปชาโน อธิวาเสติ ความว่า ทรงดำรงพระสติไว้ดี กำหนดด้วยญาณทรงอดกลั้น. บทว่า อวิหญฺมาโน ความว่า ไม่ทรงกระสับกระส่ายไปตามอำนาจเวทนา คือ ทรงอดกลั้นไว้ไม่ให้ถูกเวทนาเบียดเบียน และไม่ให้เกิดทุกข์. บทว่า อนามนฺเตตฺวา คือไม่บอกภิกษุให้รู้ และไม่เผดียงภิกษุสงฆ์ให้รู้ ท่านอธิบายว่า ไม่ประทานโอวาทานุสาสนี. บทว่า วิริเยน ได้แก่ ด้วยความเพียรเป็นบุรพภาค และด้วยความเพียรเป็นผลสมาบัติ. บทว่า ปฏิปณาเมตฺวา คือ ข่มไว้. ในบทว่า ชีวิตสํขารํ นี้ แม้ชีวิตจัดเป็นชีวิตสังขาร. ชีวิตอันบุคคลปรับปรุง คือต่อชีวิตที่กำลังขาด ดำรงอยู่ได้ด้วยธรรมคือผลสมาบัติใด แม้ธรรมคือผลสมาบัตินั้น ก็จัดเป็นชีวิตสังขาร. ชีวิตสังขารนั้น ทรงประสงค์ในที่นี้. บทว่า อธิฏฺาย ความว่า เราพึงเข้าผลสมาบัติ อันสามารถอธิษฐานเหตุให้ดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้ ดังนี้. นี้ความสังเขปในข้อนี้.
ถามว่า ก็ก่อนแต่นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่ทรงเข้าผลสมาบัติหรือ. ตอบว่า ทรงเข้า. แต่สมาบัตินั้น เป็นขณิกสมาบัติ ก็ขณิกสมาบัติ ย่อมข่มเวทนาได้ ในภายในสมาบัติเท่านั้น พอออกจากสมาบัติแล้ว เวทนาย่อมครอบงำสรีระอีก เหมือนสาหร่ายขาดจากกัน เพราะไม้ขอนตก หรือเพราะหินตก แล้วก็ปกคลุมน้ำอีก ฉะนั้น. สมาบัติที่เข้าด้วยอำนาจมหาวิปัสสนา (๑) ทำหมวด ๗ แห่งรูป (๑) และหมวด ๗ แห่งอรูป มิให้เป็นกอ มิให้เป็นชัฏใด สมาบัตินั้นย่อมข่มไว้ด้วยดี. เมื่อออกจากสมาบัตินั้นแล้วนาน เวทนาจึงจะเกิดขึ้นได้ เหมือนสาหร่ายที่ใช้ให้คนลงสู่สระโบกขรณีเอามือและเท้าแยก
(๑) ดูในวิสุทธิมรรคบาลีภาค ๓ ตอนมัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 400
ไม่ให้ประชิดกันด้วยดี นานจึงจะปกคลุมน้ำได้ ฉะนั้น. ด้วยประการอย่างนี้ ในวันนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทำหมวด ๗ แห่งรูป และหมวด ๗ แห่ง อรูป มิให้เป็นกอ มิให้เป็นชัฏ เหมือนแรกตั้งวิปัสสนาใหม่ๆ ณ มหาโพธิบัลลังก์ ไหลไปด้วยอาการ ๑๔ ทรงข่มเวทนาด้วยมหาวิปัสสนา ทรงเข้าสมาบัติด้วยทรงดำริว่า ตลอด ๑๐ เดือน เวทนาอย่าเกิดขึ้นเลย ดังนี้. เวทนาอันสมาบัติข่มไว้ก็เกิดขึ้นไม่ได้ตลอด ๑๐ เดือน. บทว่า คิลานา วุฏฺิโต ได้แก่ ประชวรแล้ว หายประชวรอีก.
บทว่า มธุรกชาโต วิย ความว่า เกิดความหนัก เกิดความกระด้าง เหมือนถูกคนเงื้อหลาวขึ้นให้สะดุ้ง. บทว่า น ปกฺขายนฺติ ได้แก่ ย่อมไม่ประกาศ คือ ย่อมไม่ปรากฏ เพราะเหตุต่างๆ. บทว่า ธมฺมาปิ มํ นปฺปฏิภนฺติ ท่านแสดงว่า สติปัฏฐานธรรม ย่อมไม่ปรากฏแก่ข้าพระองค์. ส่วนธรรมที่เป็นแบบอย่าง เป็นความคล่องแคล่วด้วยดีของพระเถระ. บทว่า น อุทาหรติ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ยังไม่ประทานปัจฉิมโอวาท ท่านพระอานนท์ กล่าวหมายถึงข้อนั้น.
บทว่า อนนฺตรํ อพาหิรํ ความว่า ก็ภิกษุเมื่อไม่ทำธรรมทั้งสอง ด้วยอำนาจธรรม หรือด้วยอำนาจบุคคล คิดว่า เราจักไม่แสดงธรรมประมาณเท่านี้ ชื่อว่า กระทำธรรมให้มีในภายใน. เมื่อคิดว่า จักแสดงธรรมประมาณเท่านี้แก่คนอื่น ชื่อว่า กระทำบุคคลให้มีในภายนอก. แต่เมื่อคิดว่าจักแสดงแก่บุคคลอื่น ชื่อว่า กระทำบุคคลให้มีในภายใน. เมื่อคิดว่า จักไม่แสดงแก่บุคคลนี้ ชื่อว่า กระทำบุคคลให้มีในภายนอก. อธิบายว่า เราไม่ทำอย่างนี้แสดงธรรม. บทว่า อาจริยมุฏฺิ ความว่า ชื่อว่า กำมืออาจารย์ย่อมมีสำหรับพวกคนภายนอก. ในเวลาหนุ่ม ท่านไม่กล่าวแก่ใคร ในปัจฉิมกาล
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 401
เมื่อนอนบนเตียงเป็นที่ตาย จึงกล่าวแก่อันเตวาสิกผู้เป็นที่รัก ที่ชอบใจ ท่านแสดงว่า พระตถาคตไม่มีคำอะไร ที่จะกำมือเก็บไว้อย่างนี้ว่า เราจักกล่าวคำนี้ ในเวลาแก่ ในเวลาครั้งสุดท้าย ดังนี้.
บทว่า อหํ ภิกฺขุสงฺฆํ ความว่า เราจักบริหารภิกษุสงฆ์หรือ. บทว่า มมุทฺเทสิโก ความว่า หรือว่า เราชื่อว่า มมุทเทสิกะ เพราะวิเคราะห์ว่า มีความเชิดชู ด้วยอรรถว่า อันภิกษุสงฆ์พึงเชิดชู ขอภิกษุสงฆ์จงหวังเรา เฉพาะเราเท่านั้น จะเป็นเรื่องใด เรื่องหนึ่งก็ตาม อย่าล่วงเราไป อธิบายว่า ก็หรือว่าแก่คนใด คนหนึ่ง. บทว่า น เอวํ โหติ ความว่า ตถาคตย่อมไม่มีอย่างนี้ เพราะอิสสาและมัจฉริยะทั้งหลาย หมดสิ้นแล้ว ณ โพธิบัลลังก์นั่นแล. บทว่า ส กึ แปลว่า นั้นอะไร. บทว่า อสีติโก ความว่า วัย ๘๐ ปี. คำนี้ ตรัสเพื่อทรงแสดงถึงวัยที่ผ่านมาตามลำดับถึงปัจฉิมวัย. บทว่า เวฬุมิสฺสเกน ความว่า เพราะซ่อมแซมด้วยไม้ไผ่อันปรับปรุงด้วยเครื่องผูกที่ทูบ และที่ล้อเป็นต้น. บทว่า มญฺเ ยาเปติ ท่านแสดงว่า การก้าวไปด้วยอิริยาบถ ๔ ย่อมมีแก่ตถาคต เพราะผูกด้วยพระอรหัตตผล เหมือนเกวียนเก่ายังเป็นไปได้ เพราะซ่อมแซมด้วยไม้ไผ่ ฉะนั้น.
บัดนี้ เมื่อพระองค์ทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสคำเป็นต้นว่า ยสฺมึ อานนฺท สมเย ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สพฺพนิมิตฺตานํ ได้แก่ รูปนิมิตเป็นต้น. บทว่า เอกจฺจานํ เวทนานํ ได้แก่ โลกิยเวทนา. บทว่า ตสฺมาติหานนฺท ท่านแสดงว่า เพราะความผาสุกย่อมมีได้ ด้วยผลสมาบัติวิหารนี้. ฉะนั้น แม้เธอทั้งหลายจงอยู่อย่างนี้ เพื่อประโยชน์แก่ความอยู่ผาสุกนั้นเถิด. บทว่า อตฺตทีปา ความว่า เธอทั้งหลาย จงทำตนให้เป็นเกาะคือเป็นที่พึ่งอยู่เถิด เหมือนคนอยู่ในมหาสมุทร ทำเกาะอาศัยอยู่
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 402
ฉะนั้น. บทว่า อตฺตสรณา ความว่า เธอทั้งหลาย จงมีตนเป็นคติ อย่ามีคนอื่นเป็นคติเลย. แม้ในบทมีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ก็นัยนี้นั่นแล. ก็โลกุตรธรรม ๙ อย่าง พึงทราบว่า ธรรมในบทนี้. บทว่า ตมตคฺเคเม เต ตัดบทเป็น ตมอคฺเค ต อักษร ในท่ามกลางท่านกล่าวด้วยสามารถการเชื่อมบท. มีอธิบายว่า ภิกษุเหล่านี้ ชื่อว่า ตมตัคคา เพราะอรรถว่า มีความมืดเป็นเลิศ. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถือเทศนาด้วยธรรมอันเป็นยอด คือพระอรหัตว่า ดูก่อนอานนท์ ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นของเรา ตัดกระแสแห่งความมืดได้ทั้งหมดอย่างนี้แล้ว จักเป็นผู้เลิศ คือส่วนสูงสุดเกินเปรียบ คือจักเป็นผู้เลิศกว่าพวกภิกษุเหล่านั้น. ภิกษุเหล่าใดเหล่าหนึ่งเป็นผู้ใคร่ต่อการศึกษา และภิกษุเหล่านั้นทั้งหมด มีสติปัฏฐาน ๔ เป็นอารมณ์ จักเป็นผู้เลิศ ดังนี้.
จบอรรถกถาคิลานสูตรที่ ๙