๒. นาฬันทสูตร ว่าด้วยธรรมปริยาย
[เล่มที่ 30] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 412
๒. นาฬันทสูตร
ว่าด้วยธรรมปริยาย
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 30]
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 412
๒. นาฬันทาสูตร
ว่าด้วยธรรมปริยาย
[๗๒๖] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่ปาวาริกอัมพวัน ใกล้เมืองนาฬันทา ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างนี้ว่า สมณะหรือพราหมณ์อื่น ซึ่งจะรู้ยิ่งไปกว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าในทางปัญญาเครื่องตรัสรู้ มิได้มีแล้ว จักไม่มี และย่อมไม่มีในบัดนี้. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนสารีบุตร นี้เป็นอาสภิวาจาอย่างสูงที่เธอกล่าวแล้ว เธอถือเอาแต่วาทะอย่างเดียวบันลือสีหนาทว่า พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระองค์เลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างนี้ว่า สมณะหรือพราหมณ์อื่น ซึ่งจะรู้ยิ่งไปกว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าในทางปัญญาเครื่องตรัสรู้มิได้มีแล้ว จักไม่มี และย่อมไม่มีในบัดนี้.
[๗๒๗] ดูก่อนสารีบุตร พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่าใดที่ได้มีมาแล้วในอดีตกาล พระผู้มีพระภาคเจ้าเหล่านั้นทุกพระองค์ อันเธอกำหนดซึ่งใจด้วยใจแล้วรู้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเหล่านั้นได้ทรงมีศีลอย่างนี้ ได้มีธรรมอย่างนี้ ได้มีปัญญาอย่างนี้ ได้มีธรรมเป็นเครื่องอยู่อย่างนี้ หรือว่าหลุดพ้นแล้วอย่างนี้ ดังนี้ กระนั้นหรือ.
สา. หามิได้ พระเจ้าข้า.
[๗๒๘] พ. ดูก่อนสารีบุตร พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่าใด ที่จักมีในอนาคตกาล และพระผู้มีพระภาคเจ้าเหล่านั้นทุกพระองค์ อันเธอ
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 413
กำหนดซึ่งใจด้วยใจแล้วรู้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเหล่านั้นจักทรงมีศีลอย่างนี้ จักมีธรรมอย่างนี้ จักมีปัญญาอย่างนี้ จักมีธรรมเป็นเครื่องอยู่อย่างนี้ หรือว่าหลุดพ้นแล้วอย่างนี้ ดังนี้ กระนั้นหรือ.
สา. หามิได้ พระเจ้าข้า
[๗๒๙] พ. ดูก่อนสารีบุตร พระอรหันตสัมมาพุทธเจ้าในบัดนี้ คือเรา อันเธอกำหนดซึ่งใจด้วยใจแล้วรู้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้มีศีลอย่างนี้ มีธรรมอย่างนี้ มีปัญญาอย่างนี้ มีธรรมเป็นเครื่องอยู่อย่างนี้ หรือว่าหลุดพ้นแล้วอย่างนี้ ดังนี้ กระนั้นหรือ.
สา. หามิได้ พระเจ้าข้า.
[๗๓๐] พ. ดูก่อนสารีบุตร ก็ในข้อนี้ เธอไม่มีเจโตปริยญาณในพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุอะไร เธอจึงกล่าวอาสภิวาจาอย่างสูงนี้ เธอถือเอาวาทะแต่อย่างเดียวบันลือสีหนาทว่า พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระองค์เลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างนี้ว่า สมณะหรือพราหมณ์อื่น ซึ่งจะรู้ยิ่งไปกว่าพระผู้มีพระภาคเจ้า ในทางพระปัญญาเครื่องตรัสรู้ มิได้มีแล้ว จักไม่มี และย่อมไม่มีในบัดนี้.
สา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จะมีเจโตปริยญาณในพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบันก็หามิได้ แต่ว่าข้าพระองค์รู้ได้ตามกระแสพระธรรม.
[๗๓๑] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เปรียบเหมือนปัจจันตนครของพระราชามีเชิงเทินมั่นคง มีกำแพงและหอรบแน่นหนา มีประตูเดียว คนเฝ้าประตูของพระราชาในนครนั้น มีปัญญาเฉลียวฉลาด มีความรู้ ห้ามคนที่ไม่รู้จัก
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 414
ให้คนที่รู้จักเข้าไป. เขาเดินตรวจตามทางรอบนครนั้น ไม่พบที่ต่อหรือช่องแห่งกำแพงโดยที่สุด แม้เพียงแมวอาจรอดออกไปได้. เขาจะพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า สัตว์ตัวเขื่องๆ ชนิดใดชนิดหนึ่ง จะเข้านครนี้หรือจะออกไป สัตว์เหล่านั้นทั้งหมดย่อมเข้าหรือออกโดยประตูนี้เท่านั้น แม้ฉันใด ข้าพระองค์รู้ตามกระแสพระธรรม ก็ฉันนั้นเหมือนกัน พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่าใดที่ได้มีมาแล้วในอดีตกาล พระผู้มีพระภาคเจ้าเหล่านั้นทุกพระองค์ ทรงละนิวรณ์ ๕ อันเป็นเครื่องเศร้าหมองแห่งใจ ทอนกำลังปัญญา ทรงมีพระหฤทัยตั้งมั่นดีแล้วในสติปัฏฐาน ๔ ทรงเจริญโพชฌงค์ ๗ ตามความเป็นจริง ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว. พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่าใด จักมีในอนาคตกาล... จักตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ. แม้พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในบัดนี้ ก็ทรงละนิวรณ์ ๕ อันเป็นเครื่องเศร้าหมองแห่งใจ ทอนกำลังปัญญา ทรงมีพระหฤทัยตั้งมั่นดีแล้ว ในสติปัฏฐาน ๔ ทรงเจริญโพชฌงค์ ๗ ตามความเป็นจริง ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว.
[๗๓๒] พ. ดีละๆ สารีบุตร เพราะเหตุนั้นแหละ เธอพึงกล่าวธรรมปริยายนี้เนืองๆ แก่ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ด้วยว่าโมฆบุรุษเหล่าใดจักมีความเคลือบแคลงหรือความสงสัยในตถาคต โมฆบุรุษเหล่านั้นจักละความเคลือบแคลงหรือความสงสัยนั้นเสีย เพราะได้ฟังธรรมปริยายนี้.
จบนาฬันทสูตรที่ ๒
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 415
นาฬันทวรรคที่ ๒
นาฬันทสูตร
พึงทราบอธิบายในนาฬันทสูตรที่ ๒ แห่งทุติยวรรค.
คำว่าในนาฬันทา ได้แก่ในนครที่มีชื่ออย่างนี้ว่า นาฬันทา. ทรงกระทำนครนั้นให้เป็นโคจรคาม.
คำว่า ปาวาริกอัมพวัน ได้แก่ ที่สวนมะม่วงของเศรษฐีชื่อว่า ทุสสปาวาริกะ. นัยว่า ป่ามะม่วงนั้นได้เป็นอุทยานของเศรษฐีนั้น. ปาวาริกเศรษฐีนั้น ฟังพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าเลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว สร้างวิหารถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า ประกอบด้วยกุฏี ที่หลีกเร้นและมณฑปเป็นต้นในอุทยานนั้น วิหารนั้นถึงการนับว่า ปาวาริกัมพวัน เหมือนชีวกัมพวัน อธิบายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ในปาวาริกัมพวันนั้น.
บทว่า เลื่อมใสแล้วอย่างนี้ ความว่า มีความเชื่อถึงพร้อมแล้วอย่างนี้ อธิบายว่า เราเชื่ออย่างนี้. บทว่า โดยยิ่งกว่าๆ ความว่า ผู้มีชื่อเสียงอย่างยิ่ง อธิบายว่า หรือว่าผู้มีความรู้ยิ่งกว่าโดยความรู้.
บทว่า ในการตรัสรู้พร้อม ความว่า ในสัพพัญญุตญาณหรือในอรหัตตมรรคญาณ. เพราะว่า พระพุทธคุณทั้งหลายทั้งหมดเป็นอันท่านถือเอาแล้วด้วยอรหัตตมรรคทีเดียว. ถึงแม้พระอัครสาวกทั้งสอง ก็ได้เฉพาะสาวกบารมีญาณด้วยอรหัตตมรรคเท่านั้น. พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมได้โดยเฉพาะพระปัจเจกโพธิญาณ. พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมได้เฉพาะพระ
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 416
สัพพัญญุตญาณ และพระพุทธคุณทั้งสิ้น อรหัตตมรรคญาณแม้ทั้งสิ้น ย่อมสำเร็จแก่ท่านเหล่านั้น ด้วยอรหัตตมรรคนั่นเอง เพราะฉะนั้น อรหัตตมรรคญาณจึงชื่อว่าเป็นคุณเครื่องตรัสรู้พร้อม. เพราะเหตุนั้น จึงไม่มีผู้ที่ยิ่งกว่าพระผู้มีพระภาคเจ้า. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่าสภาพที่ยิ่งกว่าคือ คุณเป็นเครื่องตรัสรู้.
บทว่า อุฬาร คือประเสริฐ. ก็อุฬารศัพท์นี้ย่อมมาในอรรถว่า อร่อย ในบทเป็นต้นว่า ย่อมเคี้ยวกินของที่ควรเคี้ยวอร่อย. ย่อมมาในอรรถว่า ประเสริฐ ในบทเป็นต้นว่า ได้ยินว่า วัจฉายนะ พราหมณ์ผู้เจริญ ย่อมสรรเสริญพระสมณโคดม โดยความประเสริฐ อย่างประเสริฐ. มาในอรรถว่า ไพบูลย์ ในบทเป็นต้นว่า และแสงสว่างอันโอฬารหาประมาณไม่ได้. อุฬาร ศัพท์นี้นั้นมาแล้วในอรรถว่าประเสริฐในที่นี้. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า บทว่า อุฬาร ได้แก่ ประเสริฐ. บทว่า องอาจ ความว่า ไม่หวั่นไหว คือไม่คลอนแคลน เหมือนเสียงโคอุสภะ.
บทว่า ถือเอาโดยส่วนเดียว ความว่า ไม่กล่าวโดยสืบๆ ต่อแห่งอาจารย์ตามที่ได้ยินมาบ้าง ตามที่ได้ยินมาอย่างนั้นอย่างนี้บ้าง ด้วยการอ้างตำราบ้าง ด้วยอาการตรึกตามอาการบ้าง ด้วยทนต่อความเพ่งแห่งทิฏฐิบ้าง เพราะเหตุแห่งการคาดคะเนบ้าง เพราะเหตุเดาบ้าง ถือเอาโดยส่วนเดียว เหมือนแทงตลอดด้วยญาณโดยประจักษ์. อธิบายว่า การกล่าวด้วยการตกลงใจท่านกล่าวไว้แล้ว. บทว่า บันลืออย่างสีหะ ความว่า บันลืออย่างประเสริฐ อธิบายว่า บันลือแล้วอย่างสูงสุด เหมือนกับสีหะ ไม่เล่น ไม่เหลวไหลเปล่งแล้ว.
บทว่า สารีบุตร ประโยชน์อะไรแก่ท่าน ความว่า ปรารภทำเทศนานี้ เพื่อให้การตามประกอบ เพราะว่า บุคคลบางพวกเปล่งสีหนาทแล้ว ไม่อาจเพื่อจะให้การตามประกอบในการบันลือของตนได้ ไม่อดทนต่อการเสียดสี
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 417
เป็นเหมือนลิงตกไปในยางเหนียว. ถ่านไฟย่อมเผาไหม้โลหะที่ไม่บริสุทธิ์โดยธรรมดาฉันใด บุคคลก็เป็นเหมือนถ่านเพลิงไหม้อยู่ฉันนั้น. คนหนึ่งถูกเขาให้ตามประกอบในการบันลือดุจสีหะ ไม่อาจเพื่อจะให้ได้ทั้งอดทนต่อการเสียดสี ผู้นี้ชื่อว่าย่อมงามยิ่งกว่า ดุจเงินที่ไม่มีสนิมตามธรรมดา. พระเถระก็เป็นเช่นนั้น. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทราบพระเถระนั้นว่า ผู้นี้เป็นผู้อดทนต่ออนุโยค ดังนี้แล้ว ทรงปรารภเทศนานี้ เพื่อให้ตามประกอบในการเปล่งสีหนาท.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เหล่านั้น ทุกพระองค์ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเหล่านั้นทั้งปวง อันท่าน (กำหนดรู้แล้ว).
บทว่า มีศีลอย่างนี้ ความว่า มีศีลอย่างนั้นด้วยมรรคศีล ผลศีล โลกิยศีลและโลกุตรศีล. ธรรมที่เป็นฝักฝ่ายแห่งสมาธิท่านประสงค์เอาในบทนี้ว่า ผู้มีธรรมอย่างนี้ อธิบายว่าผู้มีสมาธิอย่างนี้ ด้วยมรรคสมาธิ ผลสมาธิ ที่เป็นโลกิยะและโลกุตระ.
บทว่า ผู้มีปัญญาอย่างนี้ ความว่า และผู้มีปัญญาอย่างนี้ด้วยอำนาจมรรคปัญญาเป็นต้น. ก็ในบทนี้ว่า ผู้มีธรรมเป็นเครื่องอยู่อย่างนี้ ดังนี้ หากมีคำถามว่า ธรรมเป็นเครื่องอยู่ชื่อว่าท่านถือเอาแล้ว เพราะธรรมที่เป็นฝ่ายสมาธิท่านถือเอาแล้วในหนหลัง เพราะเหตุไร จึงไม่ถือเอาธรรมเป็นเครื่องอยู่ที่ถือเอาแล้ว. ตอบว่า คำนี้พระเถระถือเอาแล้ว. ก็คำนี้ท่านกล่าวไว้ เพื่อแสดงนิโรธสมาบัติ. เพราะฉะนั้น พึงเห็นเนื้อความในบทนี้อย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเหล่านั้น ได้ทรงเป็นผู้มีปกติอยู่ด้วยนิโรธสมาบัติอย่างนี้.
ในบทว่า ผู้มีวิมุตติอย่างนี้ ได้แก่ วิมุตติ ๕ คือ วิกขัมภนวิมุตติ ตทังควิมุตติ สมุจเฉทวิมุตติ ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ นิสสรณวิมุตติ.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 418
ในวิมุตติเหล่านั้น สมาบัติ ๘ ถึงการนับว่า วิกขัมภนวิมุตติ (พ้นได้ด้วยการข่ม) เพราะพ้นจากนิวรณ์เป็นต้น ที่ตนเองข่มได้แล้ว
อนุปัสสนา ๗ มีการตามเห็นว่าไม่เที่ยงเป็นต้น ถึงการนับว่า ตทังควิมุตติ (พ้นได้ด้วยองค์นั้น) เพราะพ้นจากความสำคัญว่าเที่ยงเป็นต้น ที่ตนเองละสละได้ด้วยอำนาจเป็นข้าศึกต่อนิวรณ์เป็นต้นนั้น.
อริยมรรค ๔ ถึงการนับว่า สมุจเฉทวิมุตติ (พ้นเด็ดขาด) เพราะพ้นจากกิเลสทั้งหลาย ที่ตนถอนขึ้นแล้ว.
สามัญญผล ๔ ย่อมถึงการนับว่า ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ (พ้นได้ด้วยการสงบระงับ) เพราะเกิดขึ้นในที่สุดแห่งการสงบระงับกิเลสทั้งหลาย ด้วยอานุภาพมรรค.
นิพพาน ถึงการนับว่า นิสสรณวิมุตติ (พ้นได้ด้วยการสลัดออก) เพราะสลัดจากกิเลสทั้งหลาย คือเพราะปราศจาก ได้แก่ตั้งอยู่ในที่ไกล. พึงเห็นเนื้อความในคำนี้ว่า ชื่อว่าพ้นแล้วอย่างนี้ ด้วยอำนาจวิมุตติ ๕ เหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้.
บทว่า สารีบุตร ก็ประโยชน์อะไรแก่ท่าน พระพุทธเจ้าเหล่านั้นใด จักมีอยู่ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อตรัสถามว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ล่วงไปแล้ว คือดับแล้ว โดยไม่เหลือ ได้แก่ถึงความเป็นผู้หาบัญญัติมิได้ ดับไปแล้วเหมือนเปลวประทีป ชื่อว่า ดับแล้วอย่างนี้ ท่านถือเอาความเป็นผู้หาบัญญัติมิได้ จักรู้ได้อย่างไร ก็พระคุณของพระพุทธเจ้าที่ยังไม่ถึงทั้งหลาย เธอจะกำหนดรู้ด้วยใจของตนหรือ แล้วจึงตรัสอย่างนี้ว่า สารีบุตร ก็เรามีประโยชน์อะไรแก่เธอในบัดนี้. พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงถามว่า พระพุทธเจ้าแม้ที่ยังไม่มาแล้ว ยังไม่มีพระชาติ ยังไม่เกิด ยังไม่อุบัติ เธอจักรู้พระพุทธเจ้าเหล่านั้นได้อย่างไร. ก็การที่จะรู้พระพุทธเจ้า
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 419
เหล่านั้น เป็นเหมือนการแลดูรอยเท้าในอากาศ ที่ไม่ปรากฏรอยเท้า บัดนี้ เธออยู่วิหารเดียวกับเรา เที่ยวไปเพื่อภิกษาด้วยกัน เวลาแสดงธรรมก็นั่งข้างขวา ก็คุณทั้งหลายของเรา เธอกำหนดรู้ด้วยใจของตนหรือ แล้วจึงตรัสอย่างนี้. พระเถระย่อมปฏิเสธปัญหาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามแล้วๆ ว่า เป็นอย่างนั้นหามิได้ พระพุทธเจ้าข้า. ก็สิ่งที่พระเถระรู้แล้วก็มี ไม่รู้แล้วบ้างก็มี.
ถามว่า ท่านย่อมคัดค้านในที่ที่ตนรู้แล้ว หรือในที่ที่ตนไม่รู้แล้ว.
ตอบว่า ย่อมคัดค้านในที่ที่ตนไม่รู้แล้วเท่านั้น ได้ยินว่า เมื่อเริ่มคำถามแล้ว พระเถระได้รู้แล้วอย่างนี้ว่า นี่ไม่ใช่คำถาม คำถามต้องถามในสาวกบารมีญาณ จึงไม่ทำการคัดค้านด้วยสาวกบารมีญาณของตน ย่อมคัดค้านในพระสัพพัญญุตญาณในฐานะที่ตนไม่เข้าใจ เพราะเหตุนั้น พระเถระจึงแสดงคำแม้นี้ว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ย่อมไม่มีสัพพัญญุตญาณ ที่สามารถจะรู้เหตุแห่งศีล สมาธิ ปัญญา และวิมุตติ ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบันได้.
บทว่า นี้ ได้แก่ พระพุทธเจ้า ต่างด้วยพระพุทธเจ้าในอดีตเป็นต้น เหล่านี้.
บทว่า ก็ทำไมเล่า ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสถามว่า ก็เมื่อไม่มีความรู้อย่างนั้น ทำไมเธอจึงกล่าวอย่างนี้.
บทว่า คล้อยตามธรรม ได้แก่ การถือเอานัยแห่งญาณโดยอนุมาน อันพระเถระผู้ไปตามการประกอบแห่งญาณ อันเกิดขึ้นแล้วโดยประจักษ์แก่ธรรม และดำรงอยู่ในสาวกบารมีญาณรู้แล้ว พระเถระกราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ย่อมรู้ด้วยเหตุนี้. เพราะว่า การถือเอาโดยนัยของพระเถระไม่มีประมาณ ไม่มีที่สุด สัพพัญญุตญาณย่อมไม่มีประมาณ หรือ
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 420
ที่สุดรอบฉันใด การถือเอาโดยนัยของพระธรรมเสนาบดี ก็ไม่มีประมาณ หรือที่สุดรอบฉันนั้น เพราะเหตุนั้น พระเถระนั้น ย่อมรู้ว่า พระศาสดานั้น ทรงเป็นอย่างนี้ ด้วยเหตุนี้ๆ ทรงเป็นผู้ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่าด้วยเหตุนี้ๆ เพราะว่าการถือเอาโดยนัยของพระเถระ คือคติแห่งพระสัพพัญญุตญาณนั่นเอง บัดนี้ พระเถระเมื่อจะแสดงอุปมา เพื่อทำให้การถือเอาโดยนัยนั้นปรากฏ จึงกล่าวคำเป็นต้นว่า แม้ฉันใด พระเจ้าข้า.
เพราะในมัชฌิมประเทศนั้น ป้อมหรือกำแพงเป็นต้นของเมืองจะแข็งแรงหรือไม่แข็งแรงก็ตาม ไม่ต้องวิตกอะไรทั้งหมด. เรื่องโจรไม่ต้องระแวง เพราะฉะนั้น พระเถระไม่ถือเอาเรื่องนั้นเป็นสำคัญจึงกล่าวว่า เมืองชายแดนเป็นต้น.
บทว่า มีเชิงเทินมั่นคง ความว่า มีเชิงกำแพงมั่นคง.
บทว่า มีกำแพงและเสาระเนียดหนาแน่น ความว่า มีกำแพงหนาแน่น และมีประตูหน้าต่างมั่นคง. ถามว่า เพราะเหตุไร พระเถระจึงกล่าวว่า มีประตูเดียว. ตอบว่า เพราะว่าในเมืองที่มีประตูมาก จะต้องมีคนเฝ้าประตูที่ฉลาดหลายคน ส่วนในเมืองที่มีประตูเดียวใช้คนเดียวก็พอ ไม่มีผู้อื่นเสมอด้วยปัญญาของพระเถระ เพราะฉะนั้น พระเถระจึงกล่าวว่า มีประตูเดียว เพื่อจะแสดงคนเฝ้าประตูคนเดียวเท่านั้น เพื่อจะเปรียบความที่ตนเป็นผู้ฉลาด.
บทว่า ปณฺฑิโต เป็นผู้ฉลาด คือประกอบด้วยความเป็นผู้ฉลาด.
บทว่า พฺยตฺโต ผู้สามารถ คือประกอบความเป็นผู้สามารถ ได้แก่ เป็นผู้มีความรู้คล่องแคล่ว.
บทว่า เมธาวี มีปัญญา คือประกอบด้วยเมธา กล่าวคือปัญญาพิจารณาการเกิดขึ้นแห่งสถานการณ์. บทว่า ทางรอบพระนคร ได้แก่ ทางรอบกำแพง ชื่อว่า สำหรับเดินตรวจ.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 421
บทว่า ที่ต่อกำแพง ได้แก่ ที่ที่อิฐสองก้อนเชื่อมติดกัน. บทว่า ช่องกำแพง ได้แก่ ที่ทำเป็นช่องกำแพง.
บทว่า เครื่องเศร้าหมองแห่งใจ ได้แก่ นิวรณ์ ๕ ทำจิตให้เศร้าหมอง คือทำความเศร้าหมอง ได้แก่ให้เข้าไปเร่าร้อน เบียดเบียนอยู่ เพราะฉะนั้น พระเถระจึงกล่าวว่า เครื่องเศร้าหมองแห่งใจ. บทว่า ทอนกำลังปัญญา ความว่า นิวรณ์ทั้งหลาย เมื่อเกิดขึ้น ย่อมไม่ให้ปัญญาที่ยังไม่เกิดขึ้นให้เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น พระเถระจึงเรียกว่า บั่นทอนกำลังปัญญา.
บทว่า ผู้มีจิตตั้งมั่นดีแล้ว ความว่า เป็นผู้มีจิตตั้งมั่นแล้วในสติปัฏฐาน ๔.
บทว่า ในโพชฌงค์ ๗ ตามความเป็นจริง ได้แก่ เจริญแล้วตามภาวะของตน.
ด้วยบทว่า อนุตตรสัมมาสัมโพธิ พระเถระแสดงว่า แทงตลอดความเป็นพระอรหันต์ และสัพพัญญุตญาณ.
ก็อีกอย่างหนึ่ง คำว่า สติปัฏฐาน นี้คือ วิปัสสนาโพชฌงค์ มรรคก็คือพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ และความเป็นพระอรหันต์ อีกอย่างหนึ่ง คำว่า สติปัฏฐาน ก็คือวิปัสสนาเจือด้วยโพชฌงค์ ได้แก่ความเป็นพระอรหันต์ คือ สัมมาสัมโพธิญาณมั่นคง. ส่วนพระทีฆภาณกมหาสิวเถระ กล่าวแล้วว่า เมื่อถือเอาวิปัสสนาในสติปัฏฐานแล้ว ถือเอาโพชฌงค์ว่า เป็นมรรคและเป็นสัพพัญญุตญาณ ก็จะพึงเป็นปัญหาที่สวย แต่ว่า อย่าไปถือเอาอย่างนั้น. พระเถระเมื่อจะแสดงความไม่มีความแตกต่างกัน เหมือนทองและเงินแตกแล้วในท่ามกลาง ในการละนิวรณ์ ในการเจริญสติปัฏฐานและในการตรัสรู้เอง ของพระสัพพัญญูพุทธเจ้าทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้ หยุดแค่นี้ก่อน ควรเปรียบเทียบข้ออุปมา ก็ท่านพระสารีบุตรแสดงถึงเมือง
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 422
ชายแดน กำแพง ทางรอบพระนคร คนเฝ้าประตูที่ฉลาด เหล่าสัตว์ที่คับคั่งเข้าออกเมือง. แสดงสัตว์เหล่านั้นปรากฏแก่คนเฝ้าประตู. ในคำนั้นหากมีคำถามว่า อะไรเหมือนอะไร. ตอบว่า เพราะว่า พระนิพพานเหมือนนคร ศีลเหมือนกำแพง ความละอายแก่ใจเหมือนทางรอบพระนคร อริยมรรคเหมือนประตู พระธรรมเสนาบดีเหมือนคนเฝ้าประตูที่ฉลาด พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน เหมือนเหล่าสัตว์จำนวนมากเข้าออกพระนคร ข้อที่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบันปรากฏโดยความมีศีลเสมอกันเป็นต้น แก่ท่านพระสารีบุตร เหมือนข้อที่สัตว์เหล่านั้นปรากฏแก่คนเฝ้าประตู. พระเถระได้กราบทูลอย่างนี้ แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าพระองค์ดำรงอยู่ในสาวกบารมีญาณ ย่อมรู้การถือเอาโดยนัยที่คล้อยตามธรรม ดังนี้ การตามประกอบสีหนาทของตน ก็เป็นอันพระเถระถวายแล้ว.
บทว่า เพราะฉะนั้น ความว่า เพราะพระเถระกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ย่อมไม่มีญาณเครื่องกำหนดรู้พระทัยในพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ทั้งที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบันแล ก็แต่ว่า การคล้อยตามธรรมข้าพระองค์รู้แล้ว ฉะนั้น.
บทว่า พึงกล่าวเนืองๆ ความว่า เธอพึงกล่าวบ่อยๆ.
บทว่า เรากล่าวแล้วในเวลาเช้า ความว่า ไม่กล่าวในเวลาเย็น และเวลาเที่ยงเป็นต้น อธิบายว่า ไม่กล่าวแล้วในวันอื่นเป็นต้นว่า เรากล่าวแล้วในวันนี้.
บทว่า จักละความสงสัยนั้น ความว่า ขึ้นชื่อว่า พระสาวกที่ถึงพร้อมด้วยความแล่นไปแห่งความรู้ แม้เช่นกับพระสารีบุตร ก็ไม่อาจจะรู้การเที่ยวไปแห่งจิตของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย.