พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๑๐. อธิปไตยสูตร ว่าด้วยอธิปไตย ๓

 
บ้านธัมมะ
วันที่  20 ต.ค. 2564
หมายเลข  38662
อ่าน  482

[เล่มที่ 34] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 184

ปฐมปัณณาสก์

เทวทูตวรรคที่ ๔

๑๐. อธิปไตยสูตร

ว่าด้วยอธิปไตย ๓

อรรถกถาอธิปไตยสูตร 188

อธิบายอธิปไตย ๓ 188


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 34]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 27 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 184

๑๐. อธิปไตยสูตร

ว่าด้วยอธิปไตย ๓

[๔๗๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อธิปไตย ๓ นี้ ๓ คืออะไร คือ อัตตาธิปไตย โลกาธิปไตย ธรรมาธิปไตย.

ก็อัตตาธิปไตยเป็นอย่างไร ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ อยู่ป่าก็ดี อยู่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างก็ดี พิจารณาเห็นอย่างนี้ว่า ก็เราออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต มิใช่เพื่อจีวร มิใช่เพื่อบิณฑบาต มิใช่เพื่อเสนาสนะ เป็นเหตุมิใช่เพื่อความมีและไม่มีอย่างนั้น ที่แท้ เราเป็นผู้อันความเกิด

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 27 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 185

ความแก่ ความตาย ความโศก ความคร่ำครวญ ความไม่สบายกาย ความเสียใจ ความคับแค้นใจครอบงำแล้ว ตกอยู่ในกองทุกข์ มีความทุกข์ท่วมทับแล้ว คิดว่า (ด้วยการบวชนี้) ลางทีความทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้จะพึงปรากฏได้ ก็แลเราละทิ้งกามอย่างใด ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตแล้ว จะมาแสวงหากามอย่างนั้น หรือกามที่เลวยิ่งกว่านั้น นั่นไม่สมควรแก่เราเลย ภิกษุนั้นจึงตกลงอย่างนี้ว่า ความเพียร เราต้องทำไม่ย่อหย่อน สติต้องตั้งมั่นไม่ฟั่นเฟือน กายต้องระงับไม่กระสับกระส่าย จิตต้องเป็นสมาธิแน่วแน่ ดังนี้ เธอทำตนเองให้เป็นอธิปไตย ละอกุศล บำเพ็ญกุศล ละธรรมที่มีโทษ บำเพ็ญธรรมที่ไม่มีโทษ บริหารตนให้หมดจดได้ นี่ ภิกษุทั้งหลาย เราเรียกว่า อัตตาธิปไตย.

ก็โลกาธิปไตยเป็นอย่างไร ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ อยู่ป่าก็ดี ฯลฯ คิดว่า (ด้วยการบวชนี้) ลางทีความทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้จะพึงปรากฏได้ ก็แลเราบวชอยู่อย่างนี้. จะมาตรึกกามวิตก พยาบาทวิตก และวิหิงสาวิตก โลกสันนิวาสนี้ใหญ่นะ ก็ในโลกสันนิวาสอันใหญ่นี้ สมณพราหมณ์ทั้งหลาย ผู้มีฤทธิ์ มีทิพจักษุรู้จิตคนอื่นได้มีอยู่ สมณพราหมณ์เหล่านั้น เห็นไปได้ไกลด้วย ท่านเข้ามาใกล้ก็ไม่เห็นตัวด้วย ท่านรู้จิต (ของผู้อื่น) ด้วยจิต (ของท่าน) ด้วย ท่านเหล่านั้นจะพึงรู้จักเราอย่างนี้ว่า ดูกุลบุตรผู้นี้ซิ ท่านผู้เจริญทั้งหลาย เขาจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตด้วยศรัทธาแล้ว ยังวุ่นด้วยธรรมอันเป็นบาปอกุศลอยู่ แม้เทวดาทั้งหลายผู้มีฤทธิ์ มีทิพจักษุ รู้จิตผู้อื่นได้ก็มี เทวดาเหล่านั้น เห็นไปได้ไกลด้วย เข้ามาใกล้ก็ไม่เห็นตัว

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 27 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 186

ด้วย รู้จิต (ของผู้อื่น) ด้วยจิต (ของตน) ด้วย แม้เทวดาเหล่านั้น ก็จะพึงรู้จักเราอย่างนี้ว่า ดูกุลบุตรผู้นี้ซิ ท่านผู้เจริญทั้งหลาย เธอออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตด้วยศรัทธาแล้ว ยังวุ่นด้วยธรรมอันเป็นบาปอกุศลอยู่ ภิกษุนั้นจึงตกลงใจอย่างนี้ว่า ความเพียร เราต้องทำไม่ย่อหย่อน สติต้องตั้งมั่นไม่ฟั่นเฟือน กายต้องระงับไม่กระสับกระส่าย จิตต้องเป็นสมาธิแน่วแน่ ดังนี้ เธอทำโลก (คือผู้อื่น) นั่นแลให้เป็นอธิปไตย ละอกุศล บำเพ็ญกุศล ละธรรมที่มีโทษ บำเพ็ญธรรมที่ไม่มีโทษ บริหารตนให้หมดจดได้ นี่ ภิกษุทั้งหลาย เราเรียกว่า โลกาธิปไตย.

ก็ธรรมาธิปไตยเป็นอย่างไร ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ อยู่ป่าก็ดี ฯลฯ คิดว่า (ด้วยการบวชนี้) ลางทีความทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้จะพึงปรากฏได้ (สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม) พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว (สนฺทิฏฺิโก) อันผู้ได้บรรลุจะพึงเห็นเอง (อกาลิโก) ไม่ประกอบด้วยกาล (เอหิปสฺสิโก) ควรเรียกให้มาดู (โอปนยิโก) ควรน้อมเข้ามา (ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญฺญูหิ) อันวิญญูพึงรู้เฉพาะตน เพื่อนสพรหมจารีผู้รู้ผู้เห็น (พระธรรมนั้น) อยู่ก็มี ก็แลเราบวชในพระธรรมวินัยนี้อันเป็นสวากขาตะอย่างนี้แล้ว จะมาเกียจคร้านประมาทเสีย นั่นไม่สมควรแก่เราเลย ภิกษุนั้นจึงตกลงใจอย่างนี้ว่า ความเพียร เราต้องทำไม่ย่อหย่อน สติต้องตั้งมั่นไม่ฟั่นเฟือน กายต้องระงับไม่กระสับกระส่าย จิตต้องเป็นสมาธิแน่วแน่ ดังนี้ เธอทำธรรมนั่นแลให้เป็นอธิปไตย ละอกุศล บำเพ็ญกุศล ละธรรมที่มีโทษ บำเพ็ญธรรมที่ไม่มีโทษ บริหารตนให้หมดจดได้ นี่ ภิกษุทั้งหลาย เราเรียกว่า ธรรมาธิปไตย.

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 27 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 187

นี้แล ภิกษุทั้งหลาย อธิปไตย ๓

ชื่อว่าความลับ ย่อมไม่มีในโลก สำหรับผู้ทำการบาป แน่ะ บุรุษ ตัวของท่านย่อมรู้ว่าจริงหรือเปล่า ผู้เจริญ ท่านดูหมิ่นตัวเอง ซึ่งเป็นพยานอย่างดีเสียแล้ว เมื่อบาปมีอยู่ในตัว ไฉนท่านจะปิดซ่อนมัน (ไม่ให้ตัวเองรู้) ได้

เทวดาทั้งหลายและตถาคตทั้งหลาย ย่อมเห็นคนเขลาที่ประพฤติไม่สมควรอยู่ในโลก เพราะเหตุนั้นแหละ บุคคลควรประพฤติเป็นผู้มีตนเป็นใหญ่ควรมีสติ เป็นผู้มีโลกเป็นใหญ่ควรมีปัญญารักษาตน มีความพินิจ เป็นผู้มีธรรมเป็นใหญ่ควรประพฤติตามธรรม

พระมุนีผู้บากบั่นจริง ย่อมไม่เสื่อม ผู้ใดมีความเพียร กำราบมารลามกเสียได้ ถึงธรรมที่สิ้นชาติแล้ว ผู้เช่นนั้นนั่นเป็นพระมุนี รู้แจ้งโลกมีปัญญาดี ไม่มีความทะเยอทะยานในธรรมทั้งปวง.

จบอธิปไตยสูตรที่ ๑๐

จบเทวทูตวรรคที่ ๔

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 27 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 188

อรรถกถาอธิปไตยสูตร

พึงทราบวินิจฉัยในอธิปไตยสูตรที่ ๑๐ ดังต่อไปนี้ :-

อธิบายอธิปไตย ๓

อธิปไตย ที่เกิดจากเหตุที่สำคัญที่สุด ชื่อว่า อธิปไตย. ในบทว่า อตฺตาธิปเตยฺยํ เป็นต้น พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ คุณชาตที่เกิดโดยทำตนให้เป็นใหญ่ ชื่อว่า อัตตาธิปไตย. คุณชาตที่เกิดโดยทำชาวโลกให้เป็นใหญ่ ชื่อว่า โลกาธิปไตย. คุณชาตที่เกิดโดยทำโลกุตรธรรม ๙ ให้เป็นใหญ่ ชื่อว่า ธัมมาธิปไตย.

บทว่า อิติภโว ในคำว่า น อิติภวาภวเหตุ หมายถึงภายในอนาคตอย่างนี้ (เราตถาคตออกบวชเป็นอนาคาริก) ไม่ใช่เพราะเหตุแห่งภพในอนาคตนั้น ไม่ใช่เพราะเหตุแห่งปัจจุบันภพนั้น. บทว่า โอติณฺโณ คือ แทรกซ้อน. ก็ชาติแทรกซ้อนอยู่ข้างในของบุคคลใด บุคคลนั้นชื่อว่าถูกชาติครอบงำ. แม้ในชราเป็นต้น ก็มีนัยนี้แล. บทว่า เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส ได้แก่ กองวัฏทุกข์ทั้งหมด. บทว่า อนฺตกิริยา ปญฺาเยถ ความว่า การทำที่สุด คือ การทำทางรอบด้านให้ขาดตอน พึงปรากฏ. บทว่า โอหาย แปลว่า ละ. บทว่า ปาปิฏฺตเร แปลว่า ต่ำช้ากว่า.

บทว่า อารทฺธํ ความว่า (ความเพียร) ที่ประคองไว้แล้ว คือ ให้บริบูรณ์แล้ว และชื่อว่าไม่ย่อหย่อน เพราะเริ่มแล้ว. บทว่า อุปฏฺิตา ความว่า สติ ชื่อว่าตั้งมั่น และไม่หลงลืม เพราะตั้งมั่นด้วยอำนาจสติปัฏฐาน ๔. บทว่า ปสฺสทฺโธ กาโย ความว่า นามกายและกรชกายสงบ คือ

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 27 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 189

มีความกระวนกระวายระงับแล้ว และเพราะระงับแล้ว จึงชื่อว่าไม่กระสับกระส่าย. บทว่า สมาหิตํ จิตฺตํ ความว่า จิตที่ตั้งมั่นโดยชอบ คือ ตั้งไว้ด้วยดีในอารมณ์ (และ) เพราะตั้งไว้โดยชอบนั่นเอง จึงชื่อว่ามีอารมณ์เดียวเป็นเลิศ.

บทว่า อธิปตึ กริตฺวา ได้แก่ ทำธรรมให้เป็นใหญ่ (สำคัญ). บทว่า สุทฺธมตฺตานํ ปริหรติ ได้แก่ ปริหาร ความว่า ปฏิบัติ คือ คุ้มครองตนให้บริสุทธิ์ คือ ให้หมดมลทิน. และภิกษุนี้ชื่อว่าบริหารตนให้บริสุทธิ์โดยอ้อมจนกระทั่งถึงอรหัตตมรรค. ส่วนท่านผู้บรรลุผลแล้ว ชื่อว่าบริหารตนให้บริสุทธิ์โดยตรง. บททั้งหลาย มีบทว่า สฺวากฺขาโต เป็นต้น ได้อธิบายไว้พิสดารแล้วในวิสุทธิมรรค.

บทว่า ชานํ ปสฺสํ วิหรนฺติ ความว่า เพื่อนสพรหมจารีทั้งหลายรู้อยู่เห็นอยู่ซึ่งธรรมนั้นอยู่. ก็ในบทว่า อิมานิ โข ภิกฺขเว ตีณิ อธิปเตยฺยานิ นี้ มีความว่า อธิปไตย ๓ อย่างเหล่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้คละกัน ทั้งโลกิยะและโลกุตระ.

บทว่า ปกุพฺพโต ความว่า การทำอยู่. บทว่า อตฺตา เต ปุริส ชานาติ สจฺจํ วา ยทิ วา มุสา ความว่า เธอทำสิ่งใดไว้ สิ่งนั้นจะมีสภาพเป็นจริง หรือมีสภาพไม่จริงก็ตาม ตัวของเธอเองย่อมรู้สิ่งนั้น นักศึกษาพึงทราบตามเหตุนี้. ชื่อว่าสถานที่ปิดบังสำหรับผู้ทำบาปกรรมไม่มีในโลก. บทว่า กลฺยาณํ แปลว่า ดี. บทว่า อติมญฺสิ คือ เธอสำคัญล่วงเลย (ลืมตัว). บทว่า อถ นํ ปริคุยฺหสิ ความว่า เธอพยายามอยู่ว่า เราจะปิดบังไว้โดยประการที่แม้ตัวของเราก็ไม่รู้.

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 27 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 190

บทว่า อตฺตาธิปโก ได้แก่ มีตนเป็นอธิบดี คือ มีตนเป็นใหญ่. บทว่า โลกาธิโป ได้แก่ มีโลกเป็นใหญ่. บทว่า นิปโก แปลว่า มีปัญญา. บทว่า ฌายี แปลว่า เพ่งอยู่. บทว่า ธมฺมาธิโป ได้แก่ มีธรรมเป็นใหญ่. บทว่า สจฺจปรกฺกโม ได้แก่ มีความบากบั่นอย่างมั่นคง คือ มีความบากบั่นอย่างแท้จริง. บทว่า ปสยฺห มารํ แปลว่า ข่มมาร. บทว่า อภิภุยฺย อนฺตกํ นี้ เป็นไวพจน์ของบทว่า ปสยฺห มารํ นั้นนั่นเอง.

บทว่า โย จ ผุสี ชาติกฺขยํ ปธานวา ความว่า บุคคลใดมีปกติเพ่ง มีความเพียรครอบงำมาร แล้วสัมผัสอรหัตตผลอันเป็นสภาวะที่สิ้นไปแห่งชาติ. บทว่า โส ตาทิโส ได้แก่ บุคคลนั้น ชนิดนั้น คือ ดำรงอยู่โดยอาการอย่างนั้น. บทว่า โลกวิทู คือ ทำโลก ๓ ให้เป็นอันรู้แจ้ง คือ ให้ปรากฏอยู่แล้ว. บทว่า สุเมโธ แปลว่า ผู้มีปัญญาดี. บทว่า สพฺเพสุ ธมฺเมสุ อตมฺมโย มุนิ ความว่า มุนี คือ พระขีณาสพ ชื่อว่าอตัมมยะ เพราะไม่มีตัมมยะ กล่าวคือ ตัณหาในธรรมที่เป็นไปในภูมิ ๓ ทั้งหมด. มีคำอธิบายว่า ท่านไม่เสื่อม ไม่สูญไป ในกาลไหนๆ ในที่ไหนๆ.

จบอรรถกถาอธิปไตยสูตรที่ ๑๐

จบเทวทูตวรรควรรณนาที่ ๔

รวมพระสูตรที่มีในเทวทูตวรรคนี้ คือ

๑. พรหมสูตร ๒. อานันทสูตร ๓. สารีปุตตสูตร ๔. นิพพานสูตร ๕. หัตถกสูตร ๖. ทูตสูตร ๗. ปฐมราชสูตร ๘. ทุติยราชสูตร ๙. สุขุมาลสูตร ๑๐. อธิปไตยสูตร และอรรถกถา.